เทพกระบี่และเจ้าที่มานั่งปรับทุกข์กันว่า
ต่อไปจะทำเช่นใดกันอีก และการที่เจ้าที่ได้โกหกไปว่า
เขานั้นได้รับคำสั่งให้มาทดสอบเสี่ยวเยว่นั้น
ทำให้กุศลที่เขาสะสมมานับร้อยปีลดน้อยลงไปอีกด้วย
“เทพกระบี่สวรรค์ทะลายพิภพสยบปฐพี
ท่านไม่น่าดึงข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย” เจ้าที่พูดขึ้นมาด้วยความเศร้าใจ
กุศลที่เขาใช้เวลาสร้างมาต้องหายไป
กลายเป็นว่าสิบปีที่ผ่านมาการทำความดีของเขานั้นต้องสูญเปล่า
“เรียกข้าว่าเทพกระบี่ก็ได้
ข้านั้นเริ่มรู้สึกแล้วว่านามของข้านั้นมันยาวเกินไป” เทพกระบี่พูดพร้อมกับถอนหายใจ
“ส่วนเรื่องกุศลของเจ้านั้น
เจ้าจะให้ข้าทำเช่นใดเล่า ข้าเองก็เตือนเจ้าแล้วว่า
เด็กบ้านั้นเชื่อมั่นในเรื่องเทพแห่งการเก็บฟืนมากเพียงใด
แต่เจ้าก็ยังไปพูดกับเขาเช่นนั้น
เจ้าควรที่จะมาช่วยข้าคิดหาหนทางที่จะเปลี่ยนความคิดของเจ้าเด็กนั่น มากกว่ามาเสียดายกุศลที่ท่านสูญเสียไป
ท่านไม่คิดหรือว่าการช่วยให้เด็กนั่นหลุดพ้นจากความเชื่อที่ผิดของเขานั้น
จะได้กุศลมากมายเพียงใดกัน” เทพกระบี่พูดออกไป เพื่อให้เจ้าที่สบายใจขึ้น
“ข้าเองก็ไม่ได้คิดในเรื่องนี้
จริงดั่งท่านว่า การช่วยเจ้าเด็กนั่นให้หลุดพ้นไปจากวิถีแห่งการเก็บฟืน
อาจจะเป็นการสร้างกุศลได้มากพอที่จะทำให้ท่านกลับขึ้นไปบนสวรรค์เสียด้วยซ้ำ
และข้าอาจจะได้กลายเป็นเทพบนสรวงสวรรค์ไม่ต้องมาเป็นเจ้าที่ดั่งทุกวันนี้”
เจ้าที่พูดขึ้นมาด้วยความยินดี
“จะได้กุศลมากมายถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?” เง๊กเซียนฮ่องเต๊หันไปถามเจ้าแม่ซีหวังหมู่
“เรื่องนั้นข้าก็ไม่แน่ใจนัก
แต่คงไม่ได้มากดั่งที่พวกเขาคาดหวังเป็นแน่”
เจ้าแม่ซีหวังหมู่ส่ายศีรษะและตอบกลับไป
“ข้าคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้แล้ว
ความรู้ของมนุษย์นั้นมักจะบันทึกส่งต่อกันผ่านตำรา
หากข้าสอนให้เสี่ยวเยว่อ่านหนังสือได้ เมื่อเขาได้ไปสืบเสาะหาตำรามาอ่าน
เขาก็จะทราบความจริงที่ว่าเทพแห่งการเก็บฟืนนั้นไม่มีอยู่จริง”
เจ้าที่พูดขึ้นมาทันทีที่คิดเรื่องนี้ได้
“แต่เสี่ยวเยว่จะเห็นว่าการเรียนหนังสือนั้นเป็นวิถีที่นอกรีตหรือไม่?” เทพกระบี่พูดด้วยความกังวล
“เรื่องนั้นท่านไม่ต้องกังวล
พ่อของเสี่ยวเยว่เองก็สามารถอ่านออกเขียนได้
ดังนั้นเสี่ยวเยว่ที่นับถือพ่อของเขายิ่งนัก ก็ย่อมไม่ปฏิเสธในเรื่องนี้เป็นแน่”
เจ้าที่ตอบกลับไป
วันต่อมาเมื่อเสี่ยวเยว่ได้เดินทางเข้าไปหาฟืนตามปกติ
เขาก็ได้แวะไปที่ศาลเจ้าที่ เจ้าที่จึงรีบปรากฏตัวออกมาทันที
“เสี่ยวเยว่
เจ้านั้นอ่านออกเขียนได้หรือไม่
การเป็นคนเก็บฟืนนั้นจะต้องติดต่อซื้อขายฟืนกับผู้อื่น
หากไม่มีความรู้ติดตัวอาจจะถูกคดโกงได้”
เจ้าที่พูดออกไปพร้อมกับปั้นหน้ายิ้มด้วยความเอ็นดู
“ท่านพ่อข้าก็เคยบอกว่า
ปีหน้าจะส่งข้าไปเรียนหนังสือ หากข้าสามารถอ่านออกเขียนได้โดยที่ยังไม่ได้ไปเข้าเรียน
ท่านพ่อและท่านแม่คงต้องประหลาดใจเป็นแน่” เสี่ยวเยว่พูดขึ้นมาด้วยความยินดี
“ถ้าเช่นนั้น
หลังจากที่นำกิ่งไม้เหล่านี้ไปส่งให้พ่อของเจ้า
เจ้าก็จงกลับมาหาข้าที่นี่อีกครั้ง” เจ้าที่ตอบกลับไปด้วยความยินดี
เขาคิดว่าแผนในครั้งนี้คงสำเร็จเป็นแน่
“แล้วเหตุใดท่านจึงไม่ไปสอนข้าที่บ้านของข้าเล่า?” เสี่ยวเยว่ถามด้วยความสงสัย
“เจ้าต้องการให้พ่อกับแม่ของเจ้าประหลาดใจมิใช่หรือ
หากไปสอนที่บ้านของเจ้า ก็ไม่อาจปกปิดเขาได้ว่าเจ้านั้นแอบเรียนหนังสือ”
เทพกระบี่พูดแทรกออกไป เมื่อเห็นว่าเจ้าที่ไม่อาจหาคำตอบให้เสี่ยวเยว่ได้
“ข้าเข้าใจแล้ว อีกครึ่งชั่วยามข้ากลับมา”
เสี่ยวเยว่รีบวิ่งลงเขาไปทันที
หลังจากที่นำฟืนไปมอบให้แก่พ่อของเขา
เพื่อที่จะนำไปขายในเมือง เสี่ยวเยว่ก็ได้ขออนุญาตขึ้นไปบนเขาอีกครั้ง
ซึ่งพ่อแม่ของเขาก็ไม่ได้ห้ามอันใด
“หลายวันมานี้ ข้าเห็นเสี่ยวเยว่มีความสุขยิ่งนัก
หรือว่าเขาจะได้พบเจอกับเพื่อนใหม่บนภูเขาเป็นแน่”
แม่ของเสี่ยวเยว่หันไปพูดกับต้าเยว่ที่กำลังจะนำฟืนไปขายในเมือง
“ถ้าเป็นเช่นนั้นก็คงดี
พวกเรานั้นอาศัยอยู่ในป่าห่างไกลกับบ้านของผู้อื่น
ข้าเองก็ต้องการให้เขามีเพื่อนบ้าง” ต้าเยว่พูดพร้อมกับลุกขึ้นยืน
“เพราะเสี่ยวเยว่นั้นขยันขันแข็ง
ช่วยท่านหาฟืนทุกวัน ทำให้เราพอที่จะมีเงินเก็บ
ปีหน้าข้าคิดว่าพวกเราคงจะส่งให้เขาไปเรียนรู้หาความรู้ได้แล้ว”
แม่ของเสี่ยวเยว่พูดด้วยความยินดี
เขาหวังที่จะให้เสี่ยวเยว่ได้มีความรู้และไม่ต้องลำบากดั่งพ่อของเขา
“ถ้าเช่นนั้น หลังจากนำฟืนไปขายแล้ว
ข้าจะหาซื้อตำราไว้ให้เสี่ยวเยว่ได้ฝึกอ่านเขียน”
ต้าเยว่พูดพร้อมกับออกเดินทางเข้าไปในเมือง
โดยมีแม่ของเสี่ยวเยว่มองตามไปจนลับสายตา
เสี่ยวเยว่ที่รีบวิ่งขึ้นเขามาหาเจ้าที่นั้น
กำลังนั่งอยู่บนก้อนหิน เพื่อรอให้เจ้าที่สอนหนังสือ
“เรามาเริ่มต้นที่การเขียนชื่อของเจ้าก่อน
นี่คือตัวอักษร เสี่ยว และนี่คือตัวอักษร เยว่ ”
เจ้าที่ใช้ไม้เท้าขีดเขียนตัวอักษรลงบนพื้นและให้เสี่ยวเยว่จดจำ
“ตัวแรก ข้านั้นก็พอจะจดจำได้ แต่ตัวที่สองต้องขีดเขียนหลายเส้นนี่มันจำได้ยาก”
เสี่ยวเยว่เริ่มบ่นขึ้นมา
“เจ้าลองใช้กระบี่ไม้นั่นเขียนดูสิ”
เจ้าที่แนะนำ
“ทำไมต้องใช้ร่างของข้าด้วย”
เทพกระบี่พูดขึ้นมาด้วยความไม่พอใจ
“ข้าต้องการให้เสี่ยวเยว่ถือท่านให้คล่องมือ
เผื่อว่าจะได้ใช้ในการฝึกวรยุทธไงเล่า” เจ้าที่กระซิบบอกเทพกระบี่
“ตกลง เจ้าใช้ข้าเขียนตัวอักษรที่พื้นก็ได้”
เทพกระบี่พูดด้วยความยินดี
เสี่ยวเยว่ที่ไม่เคยเขียนตัวอักษรมาก่อน
จึงทำได้อย่างงก ๆ เงิ่น ๆ จึงทำให้เทพกระบี่ขัดใจไม่น้อย
“เจ้าเขียนผิดแล้ว มองดูดี ๆสิ”
เทพกระบี่เริ่มที่จะบ่นออกไป
“พูดมากเสียจริง ทำไมท่านไม่เขียนเองเลยเล่า”
เสี่ยวเยว่เริ่มรู้สึกรำคาญที่เทพกระบี่บ่นไม่หยุดเสียที
“หากข้าขยับได้เอง
ข้าคงจะหนีไปจากเจ้าแล้ว” เทพกระบี่บ่นอยู่ในใจ
ด้วยความบังเอิญ
พู่ที่ติดอยู่ตรงส่วนปลายกระบี่ไม้ ก็ไปพันกับข้อมือของเสี่ยวเยว่ ทำให้เทพกระบี่สามารถขยับแขนขวาของเสี่ยวเยว่ได้
“ที่ท่านคิดจะทำอะไร
คิดจะควบคุมร่างกายของข้าเช่นนั้นหรือ?”
เสี่ยวเยว่พูดพร้อมกับโยนกระบี่ไม้ทิ้งไป
“เจ้าเข้าใจผิดแล้ว
ข้าแค่จะลองเขียนตัวอักษรให้เจ้าดูเท่านั้น และมันบังเอิญพู่ที่ปลายกระบี่ของข้าไปติดกับแขนของเจ้า
จึงทำให้ข้าขยับแขนของเจ้าได้ ข้าเองก็ไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน” เทพกระบี่รีบปฏิเสธไปในทันที
ถ้าหากเสี่ยวเยว่เกิดหวาดระแวงในตัวเขา เสี่ยวเยว่จะต้องนำเขาไปเผาทิ้งเป็นแน่
“การที่เจ้าสามารถโยนกระบี่ทิ้งไปได้
ย่อมหมายความว่าเทพกระบี่นั้นไม่อาจที่จะควบคุมร่างเจ้าได้แต่อย่างใด
นี่อาจจะเป็นปาฏิหาริย์ที่เทพแห่งการเก็บฟืนมอบให้เจ้าก็เป็นได้”
เจ้าที่พูดออกไป การที่เขาเลือกใช้คำว่า อาจจะ
เจ้าที่คิดว่าคงไม่อาจเรียกได้ว่าเขานั้นกล่าวคำโกหก
“ข้าจะเชื่อท่านดูสักครั้ง
จงจำไว้ว่าอย่าได้เคลื่อนไหวมือของข้า หากข้าไม่ได้อนุญาต”
เสี่ยวเยว่เดินไปหยิบกระบี่ไม้มาอีกครั้ง
“ไหนท่านลองเขียนให้ข้าดูอีกครั้ง”
เสี่ยวเยว่พูดออกไป
เทพกระบี่ขยับพู่ไปพันที่ข้อมือของเสี่ยวเยว่และควบคุมแขนของเขาอีกครั้ง
เขาค่อย ๆ เขียนตัวอักษรลงไปที่พื่น และไม่ทำสิ่งใดเกินไปกว่าที่เสี่ยวเยว่สั่ง
“คงเป็นเพราะท่านเจ้าที่เขียนให้ข้าดูแบบกลับหัว
แต่พอเทพกระบี่เขียนให้ข้าดู ข้าจึงรู้ว่ามันเขียนได้ง่ายเพียงใด” เสี่ยวเยว่ลองเขียนขึ้นมาอีกครั้งใกล้
ๆ กับที่เทพกระบี่เขียนไว้ ซึ่งก็สามารถเขียนได้อย่างถูกต้อง
เสี่ยวเยว่นั้นฉลาดและหัวไวยิ่งนัก
ตลอดทั้งวัน เทพกระบี่และเจ้าที่สามารถสอนให้เขาอ่านเขียนตัวอักษรทั้งหมดได้
หลังจากนั้นเสี่ยวเยว่ก็นอนพิงก้อนหินเพื่อพักผ่อนเนื่องจากเรียนมาทั้งวันแล้ว
เทพกระบี่เห็นว่าเสี่ยวเยว่หลับสนิทแล้วจึงรีบหันไปพูดกับเจ้าที่ทันที
“เจ้าที่จงนำข้าไปวางไว้ที่มือของเสี่ยวเยว่ที”
แม้ว่าจะสงสัยแต่เจ้าที่ก็ทำตามคำสั่งของเทพกระบี่แต่โดยดี
เทพกระบี่ค่อย ๆ ขยับพู่ที่ปลายกระบี่ไปพันที่มือของเสี่ยวเยว่อีกครั้ง
จากนั้นเขาก็ขยับแขนของเสี่ยวเยว่และแทงกระบี่ไม้ไปทางด้านหน้า
ที่บังเอิญเป็นที่ตั้งศาลเจ้าของเจ้าที่พอดี
ฟุ่บ!
คลื่นลมปราณพุ่งออกจากปลายกระบี่ไม้
ไปทางศาลเจ้าของเจ้าที่ แต่โชคดีที่เทพกระบี่ขยับแขนได้ไม่ถนัดนักจึงพลาดเป้าหมายไป
ทำให้ก้อนหินที่อยู่ใกล้ ๆ กับศาลเจ้าเกิดระเบิดขึ้นมา
เทพกระบี่รีบนำพู่ออกจากแขนของเสี่ยวเยว่
ขณะที่เสี่ยวเยว่นั้นตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจกับเสียงระเบิด
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” เสี่ยวเยว่รู้สึกตกใจที่เห็นต้นไม้ล้มลง
“ข้าขอให้เจ้าที่แสดงอิทธิฤทธิ์
แต่คงรุนแรงมากเกินไปจนทำให้เจ้าตกใจตื่น” เทพกระบี่รีบพูดกลบเกลื่อนทันที
“นี่ก็เย็นมากแล้ว
ข้าคงต้องรีบกลับบ้านแล้ว” เสี่ยวเยว่หันไปมองโดยรอบ เห็นว่าตะวันเริ่มคล้อยแล้วจึงรีบลุกขึ้นยืน
“อย่าได้บอกใครว่าข้านั้นสอนให้เจ้าอ่านเขียนตัวอักษร
เพราะข้าไม่ต้องการให้ผู้อื่นว่าเจ้าที่เช่นข้าปรากฏกายต่อหน้ามนุษย์
หากพ่อแม่ของเจ้าถามก็ให้บอกว่า มีคนแก่ใจดีสอนเจ้า”
เจ้าที่รีบกำชับเสี่ยวเยว่ทันที หากคนอื่นรู้ว่าเจ้าที่ปรากฏกายต่อหน้ามนุษย์
ที่นี่คงจะต้องวุ่นวายไม่น้อย
“ตกลง ข้าจะบอกท่านพ่อท่านแม่เช่นนั้น”
เสี่ยวเยว่ตอบพร้อมกับรีบวิ่งลงเขาไป
แม้ว่าจะกำชับไปแล้ว
แต่เจ้าที่ก็อดที่จะกังวลไม่ได้จึงแอบตามเสี่ยวเยว่ไปที่บ้าน
และพูดคุยกับเทพกระบี่
“ท่านทำอันใดกัน
ศาลของข้าเกือบถูกท่านนั้นทำลายไปแล้ว” เจ้าที่บ่นด้วยความไม่พอใจ
“ข้าไม่รู้ว่า สามารถปล่อยลมปราณของข้าผ่านกระบี่ออกไปเช่นนั้นได้
แต่ท่านก็เห็นแล้ว หากข้าควบคุมแขนของเสี่ยวเยว่และใช้ช่วยเหลือผู้คน
ข้าคงจะได้กุศลไม่มากก็น้อย” เทพกระบี่กล่าวขอโทษ แต่ก็รู้สึกยินดียิ่งนัก
ที่แม้ว่าจะกลายเป็นกระบี่ไม้ วรยุทธของเขานั้นก็ยังสามารถใช้ได้เช่นเดิม แม้ว่าจะไม่รุนแรงดั่งที่เขาเคยใช้
อาจเป็นเพราะร่างกายของเสี่ยวเยว่นั้นยังเป็นเด็กอยู่
“ในตอนนี้เสี่ยวเยว่นั้นก็อ่านออกเขียนได้แล้ว
จากนี้ไปก็แค่เสาะหาตำราให้เขาอ่าน และเขาก็จะได้รู้ความจริงเสียที”
เจ้าที่พูดพร้อมกับถอนหายใจ
เย็นวันนี้เมื่อต้าเยว่กลับมา เขาก็นำหนังสือสองเล่มออกมามอบให้เสี่ยวเยว่และพูดขึ้นว่า
“พ่อซื้อหนังสือมาให้เจ้าสองเล่ม
เจ้าจะได้จดจำตัวอักษรเอาไว้
เมื่อได้เข้าเรียนเจ้าจะได้อ่านออกเขียนได้รวดเร็วยิ่งขึ้น”
“ท่านพ่อท่านแม่ ข้าสามารอ่านอักษรและเขียนชื่อตนเองได้แล้ว
เล่มนี้เขียนว่าตัวอักษรเบื้องต้นที่ควรจดจำ” เสี่ยวเยว่พูดออกไปด้วยความยินดี
ขณะที่รับหนังสือสองเล่มนั้นมา
เขาก็อ่านตัวอักษรบนปกหนังสือเล่มหนึ่งให้พ่อและแม่ของเขาฟัง
“ใครเป็นคนสอนเจ้ากัน?” ต้าเยว่ถามด้วยความสงสัย
“อืม...คนแก่ที่ชื่อว่าเจ้าที่
ข้าพบเจอกับเขาที่บนเขา” เสี่ยวเยว่ตอบไปตามตรง ทำให้เจ้าที่ตกใจไม่น้อย
“คงเป็นนักบวชชราที่เดินทางผ่านมา”
แม่ของเสี่ยวเยว่พูดพร้อมกับหัวเราะ เจ้าที่ไม่มีทางปรากฏกายต่อหน้ามนุษย์
โดยเฉพาะต่อหน้าเด็กอย่างเสี่ยวเยว่เป็นแน่
“ก็คงเป็นเช่นนั้น”
ต้าเยว่พูดพร้อมกับหัวเราะขึ้นมาเช่นกัน
“โชคดีที่พวกเขาไม่เชื่อว่าข้าคือเจ้าที่
เทพกระบี่ท่านเห็นตำราสองเล่มนั้นหรือไม่
ข้ามองไม่เห็นว่าเล่มล่างนั้นคือตำราอะไร”
เจ้าที่ถอนหายใจก่อนที่จะถามด้วยความสงสัย
หากเป็นตำราเกี่ยวกับเทพบนสวรรค์คงจะดีไม่น้อย
เพราะเสี่ยวเยว่จะได้รู้ว่าเทพแห่งการเก็บฟืนนั้นไม่มีอยู่จริง
“เข้าเองก็มองไม่เห็นเช่นกัน”
เทพกระบี่ตอบกลับไป เขานั้นเป็นเพียงกระบี่ไม้ย่อมมองเห็นได้ยากกว่าเจ้าที่
ที่มีร่างกายอยู่แล้ว
“ท่านพ่อ ท่านแม่
ข้าขอตัวไปอ่านหนังสือก่อนนะขอรับ”
เสี่ยวเยว่รีบกลับไปที่ห้องของเขาพร้อมกับหนังสือสองเล่มและกระบี่ไม้
“เล่มแรกตัวอักษรเบื้องต้น
ข้านั้นจดจำได้หมดแล้ว ถ้าเช่นนั้นข้าควรจะอ่านอีกเล่ม นี่มันหนังสืออะไรกันนะ?” เสี่ยวเยว่หยิบขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น
“ตำนานเทพแห่งการเก็บฟืน
ท่านพ่อซื้อหนังสือเล่มนี้มาให้ข้าหรือนี่ ข้าดีใจยิ่งนัก
จากนี้ไปข้าจะได้รู้ถึงเรื่องราวโดยละเอียดของท่านเทพแห่งการเก็บฟืน”
เสี่ยวเยว่พูดขึ้นด้วยความดีใจ และนั่งอ่านด้วยความตั้งใจ
ทางด้านเทพกระบี่และเจ้าที่นั้นนิ่งเงียบด้วยความตกใจ
ที่ได้รู้ว่าหนังสือเล่มนั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร
“ต้าเยว่
ตำราและหนังสือบนโลกนี้ก็มีอยู่มากมาย เหตุใดจึงต้องซื้อหนังสือนิทานเรื่องนี้มาให้เสิ่นเยว่ด้วย”
เทพกระบี่พูดพร้อมกับร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดใจ................จบเหอะ