test

เมนู นิยาย บน

เมนูมังงะ

17 ก.พ. 2560

God of sword and The Woodman บทที่ 6 สถาบันแห่งคนเก็บฟืน




          นับตั้งแต่ที่เสี่ยวเยว่ได้รับ หนังสือตำนานเทพแห่งการเก็บฟืน เขาก็ยิ่งมุ่งมั่นในวิถีแห่งคนเก็บฟืนมากยิ่งขึ้น เทพกระบี่กับเจ้าที่ก็ได้แต่หวังว่า เมื่อเสี่ยวเยว่ได้พบเจอกับคนอื่น ๆ นอกเหนือไปจากคนในครอบครัว เขาก็คงจะได้รับรู้ความจริงเสียที


          เมื่อผ่านพ้นไปอีกหนึ่งปี บัดนี้เสี่ยวเยว่นั้นอายุเจ็ดขวบแล้ว ต้าเยว่จึงได้เรียกเขามาพูดคุยเรื่องที่จะเข้าไปเรียนในสถานศึกษา การเป็นคนเก็บฟืนนั้นจำเป็นต้องรู้เท่าทันคน แม้ว่าจะอ่านออกเขียนได้แล้วแต่ก็ยังไม่เพียงพอ


          “เสี่ยวเยว่ พ่อจะพาเจ้าไปเข้าเรียนที่สถาบันแห่งคนเก็บฟืน” ต้าเยว่พูดขึ้นมาขณะที่ทานอาหารกันในครอบครัว


          “สถาบันแห่งคนเก็บฟืน มันเป็นสถานที่เช่นใดกันขอรับท่านพ่อ” เสี่ยวเยว่ถามออกไปด้วยความตื่นเต้นและสงสัย


          “มันเป็นสถานที่เจ้าจะได้ฝึกฝนหาความรู้ และฝึกวิชาป้องกันตัวและจะได้พบเจอกับเหล่าสหายในวัยเดียวกัน” ต้าเยว่ตอบกลับไปพร้อมกับหวลคิดเมื่อตอนที่เขานั้นยังเป็นเด็ก


          “ฝึกวิชาป้องกันตัว” เทพกระบี่นั้นถึงกับหูผึ่งเมื่อได้ยินคำพูดนี้จากปากของต้าเยว่


          “เหตุใดคนเก็บฟืนต้องฝึกวิชาป้องกันตัวด้วย ข้าไม่เข้าใจ นั่นไม่ใช่การออกนอกลู่นอกทางจากวิถีแห่งคนเก็บฟืนหรอกหรือ?” เสี่ยวเยว่ ามกลับไปด้วยความสงสัย


          “เสี่ยวเยว่ ในป่านั้นหาได้มีความปลอดภัยไม่ ในบางครั้งพ่อก็ต้องเผชิญหน้ากับพวกหมีหรือสุนัขป่า หากไม่มีวิชาป้องกันตัว พ่อของเจ้าคงไม่สามารถมีชีวิตรอดมาได้จนถึงทุกวันนี้ น่าเสียดายที่พ่อนั้นไม่ใช่จอมยุทธจึงไม่มีวิชาที่จะถ่ายทอดให้แก่เจ้า ดังนั้นเจ้าจึงต้องไปฝึกฝนที่สถาบันแห่งคนเก็บฟืนแทน” ต้าเยว่ตอบกลับไปพร้อมกับลูบหัวเสี่ยวเยว่ด้วยความเอ็นดู


          “หากท่านพ่อพูดเช่นนั้น ข้าก็ยินดีที่จะไปฝึกฝนวิชาป้องกันตัวที่สถาบันแห่งคนเก็บฝืน” สำหรับเสี่ยวเยว่นั้นคำพูดของพ่อ คือสิ่งที่เขาเชื่อถือมาโดยตลอด ดังนั้นเขาจึงสามารถยอมรับมันได้แม้ว่าจะรู้สึกสงสัยอยู่ในใจ


          “เหตุใดเจ้าจึงไม่ยอมเชื่อคำพูดของข้า ดั่งที่เจ้าเชื่อคำพูดของพ่อ” เทพกระบี่พูดพร้อมกับถอนหายใจ


          “นี่นับว่าเป็นเรื่องที่ดีไม่น้อย เมื่อเสี่ยวเยว่ต้องไปเรียนที่สถาบันแห่งคนเก็บฟืน เขาก็จะได้พบกับคนอื่น ๆ นี่อาจเป็นโอกาสดีที่เขาจะได้รับรู้ความจริงเรื่องเทพแห่งการเก็บฟืน” เจ้าที่พูดขึ้นมาด้วยความยินดี 


เนื่องจากบนเขานี้มีเพียงครอบครัวของเสี่ยวเยว่ที่อาศัยอยู่ เจ้าที่จึงไม่จำเป็นต้องไปดูแลผู้อื่น ในช่วงหลังมานี้เจ้าที่จึงแทบจะย้ายมาอาศัยอยู่ที่บ้านเสี่ยวเยว่เลยก็ว่าได้


“แล้วเจ้าได้ยินหรือไม่ ที่สถาบันแห่งคนตัดฟืนนั้นมีการสอนวิชาป้องกันตัว นั่นหมายความว่าข้าอาจจะหาโอกาสที่จะฝึกฝนวรยุทธให้เสี่ยวเยว่ก็เป็นได้” เทพกระบี่เองก็นึกฝันถึงวันที่เขาจะได้กลับขึ้นไปบนสรวงสวรรค์


“น่าเสียดายที่ต้าเยว่และภรรยานั้น เป็นคนที่นอนหลับสนิท ไม่ว่าจะเข้าไปในความฝันของเขากี่ครั้ง ก็พบเจอแต่ความว่างเปล่าเท่านั้น ไม่ใช่นั้นการบอกกล่าวแก่พ่อของเขาให้เป็นผู้บอกความจริง เกี่ยวกับเทพแห่งการเก็บฟืนมันคงเป็นเรื่องง่ายกว่านี้” เจ้าที่พูดพร้อมกับถอนหายใจ


เช้าวันต่อมาต้าเยว่ได้พาเสี่ยวเยว่เดินทางไปยังสถาบันแห่งคนเก็บฟืน เป็นพื้นที่เล็ก ๆ ที่เหล่าคนเก็บฟืนช่วยกันสร้างขึ้นมา เพื่อเป็นที่ให้ลูกหลานของพวกเขามาศึกษาหาความรู้ เนื่องจากตัวเมืองนั้นอยู่ห่างไกลออกไป การที่จะพาลูกหลานพวกเขาเข้าไปเรียนในเมืองจึงเป็นเรื่องที่ลำบาก และค่าใช้จ่ายยังสูงลิ่วอีกด้วย


ต้าเยว่ได้พาเสี่ยวเยว่เดินดูรอบ ๆ สถาบันแห่งคนเก็บฟืน ที่นี่แบ่งพื้นที่ออกเป็นสัดส่วน ในส่วนอาหารหลัก จะเป็นสถานที่ให้พวกเด็ก ๆ ได้ศึกษาหาความรู้โดยเหล่าอาจารย์ที่เป็นคนเก็บฟืนเช่นเดียวกัน


ที่ด้านนอกจะเป็นลานสำหรับฝึกวิชาป้องกันตัว โดยเด็กทุกคนจะได้รับอาวุธที่ทำจากไม้ ที่ครอบครัวของเขาได้มอบให้ ดั่งเสี่ยวเยว่ที่ได้รับกระบี่ไม้มาจากบิดา นั่นเพราะหากให้พวกเด็ก ๆ จับต้องอาวุธของจริง อาจจะเกิดอันตรายขึ้นมาได้ ส่วนที่สามจะเป็นส่วนที่พักให้เด็ก ๆ ได้ใช้เป็นที่หลับนอน พวกเขาจะต้องเรียนอยู่ที่นี่เป็นเวลาสามปีจึงจะถือว่าเรียนจบ 


หลังจากที่ได้ฝากฝังเสี่ยวเยว่กับอาจารย์แล้ว ต้าเยว่จึงเดินทางกลับบ้านและปล่อยให้เสี่ยวเยว่ได้ไปทำความรู้จักกับเด็กคนอื่น ๆ


ในปีนี้มีเด็กที่ถูกส่งมาเรียนที่สถาบันแห่งคนเก็บฟืนเพียงแค่ห้าคนเท่านั้น ซึ่งทุกคนล้วนแต่เป็นเด็กชายอายุเท่ากับเสี่ยวเยว่ แต่ดูเหมือนว่าทุกคนนั้นยังไม่สนิทสนมกันนัก จึงต่างก็แยกกันอยู่เงียบ ๆ


“เสี่ยวเยว่ เหตุใดเจ้าจึงไม่ไปชักชวนเด็กเหล่านั้นให้มาพูดคุยกันเล่า” เทพกระบี่พูดออกไป เมื่อเห็นว่าเสี่ยวเยว่เองก็พยายามแยกตัวไปนั่งอ่านหนังสือตามลำพัง


แท้จริงแล้วเทพกระบี่นั้นไม่ได้สนใจว่าเสี่ยวเยว่จะมีเพื่อนหรือไม่ แต่เขาต้องการให้เสี่ยวเยว่ได้พูดคุยกับคนอื่น ๆ เรื่องเทพแห่งการเก็บฟืน และเสี่ยวเยว่จะได้รู้ความจริงเสียทีว่า ไม่มีเทพชื่อนั้นอยู่บนสรวงสวรรค์


“สวัสดี ข้าชื่อว่าโหวจื่อ คนอื่น ๆ มักจะเรียกข้าว่าวานรน้อย เจ้ากำลังอ่านหนังสืออะไรอยู่หรือ?” เด็กชายที่มีรูปร่างผอมแห้ง มีแขนยาว เขาพกกระบองไม้พาดอยู่ที่ด้านหลัง เขาแอบมองเสี่ยวเยว่จากบนต้นไม้ ถามออกไปด้วยความสงสัย [หมายเหตุ 猴子:โหวจื่อ:วานร]


“เยี่ยมมาก นั่นคือสิ่งที่ข้าต้องการ” เทพกระบี่แอบยิ้มด้วยความดีใจ โดยมีเจ้าที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ โดยปกติแล้วเจ้าที่จะหายตัวอยู่ ทำให้เสี่ยวเยว่มองไม่เห็นตัวเขา


“ข้านั้นชื่อว่าเสี่ยวเยว่ ผู้มุ่งมั่นในวิถีแห่งคนเก็บฟืน หนังสือที่ข้าอ่านก็คือตำนานเทพแห่งการเก็บฟืน” เสี่ยวเยว่ตอบกลับไปพร้อมกับหันปกหนังสือให้ วานรน้อยได้เห็น


“พูดออกไปเลยวานรน้อย ตำนานเทพแห่งการเก็บฟืนบ้าอันใดกัน มันไม่มีอยู่จริง” เทพกระบี่คาดหวังให้วานรน้อยพูดออกมาดั่งที่เขาต้องการ


“ตำนานเทพแห่งการเก็บฟืน เจ้าเองก็นับถือเทพแห่งการเก็บฟืนเช่นกันหรือ?” วานรน้อยพูดออกไปด้วยความตื่นเต้น เขานั้นเป็นลูกชายของคนเก็บฟืน ย่อมต้องเคยได้ยินเรื่องราวของเทพแห่งการเก็บฟืนมาก่อน เรียกได้ว่าเทพแห่งการเก็บฟืนนั้นเป็นที่นับถือของเด็กที่เกิดในครอบครัวของคนเก็บฟืนทั้งหลาย


หลังจากที่ได้ยิน เสี่ยวเยว่พูดคุยกับวานรน้อยเรื่องเทพแห่งการเก็บฟืน เด็กคนอื่น ๆ ต่างก็มารวมตัวกัน เพื่อบอกเล่าเกี่ยวกับเรื่องเทพแห่งการเก็บฟืนที่พวกเขาเคยได้ยินมา


“นี่มันโรงเรียนบ้าอะไรกัน เจ้าเด็กพวกนี้ล้วนแต่ถูกล้างสมองกันไปหมดแล้ว” เทพกระบี่พูดขึ้นมาด้วยความเจ็บแค้น ส่วนเจ้าที่นั้นก็ได้แต่แอบหัวเราะเมื่อเห็นท่าทีของเทพกระบี่


“เจ้าที่ นี่ไม่ใช่เรื่องน่าขัน เจ้าเองก็ต้องช่วยข้าคิดหาหนทางที่จะทำให้เจ้าเด็กพวกนี้หยุดงมงายในเทพที่ไม่มีอยู่จริง เพื่อที่เจ้าจะได้กุศลไปด้วยเช่นกัน” เทพกระบี่ต่อว่าที่เห็นเจ้าที่แอบหัวเราะในท่าทีของเขา


“ข้าเองก็กำลังคิดหาหนทางอยู่ คนเหล่านั้นล้วนแต่เป็นเด็กน้อย แม้ว่าจะมีคนกล่าวแย้งว่าเทพแห่งคนเก็บฟืนไม่มีอยู่จริง ท่านคิดหรือว่าเสี่ยวเยว่จะสามารถยอมรับได้ ในสถาบันแห่งนี้ยังมีอาจารย์ที่เป็นผู้ใหญ่อยู่อีกด้วย ท่านควรที่จะหวังพึ่งพาพวกเขามากกว่าที่จะเป็นเด็กเหล่านี้” เจ้าที่ให้คำแนะนำ


“ข้าไม่ทันได้คิดถึงเรื่องนี่ นับว่าเจ้านั้นฉลาดไม่เลว สมแล้วที่เป็นเทพที่ใกล้ชิดกับมนุษย์มากที่สุด” เทพกระบี่กล่าวชื่นชม


“ความคิดของเจ้าที่นั้นวิเศษยิ่งนัก การให้คำแนะนำเช่นนี้ก็อาจจะเรียกได้ว่าเขากำลังทำกุศลแก่เทพกระบี่ ท่านสามารถตอบแทนเขาด้วยการมอบกุศลให้แก่เขาได้หรือไม่” เง๊กเซียนฮ่องเต๊รู้สึกชื่นชมความฉลาดของเจ้าที่ จึงหันไปพูดกับเจ้าแม่ซีหวังหมู่


“ก่อนหน้านี้กุศลของเจ้าที่ถูกลดทอนลงไปเนื่องจากกล่าวคำโกหก หากท่านคิดว่านี่คือการสร้างกุศลข้าก็จะคืนกุศลบางส่วนให้แก่เขา” เจ้าแม่ซีหวังหมู่พูดพร้อมกับเพิ่มกุศลให้แก่เจ้าที่


“โอ้ เจ้าแม่ซีหวังหมู่ทรงมอบกุศลคืนให้แก่ข้า ขอบคุณยิ่งนัก” เจ้าที่รีบประสานมือไว้เหนือหัวและกล่าวขอบคุณเจ้าแม่ซีหวังหมู่โดยทันที ทุกครั้งที่กุศลที่สะสมไว้มีการเพิ่มขึ้นหรือลดลง เทพองค์นั้นจะได้รับการแจ้งเตือนจากเบื้องบนเป็นเสียงที่ดังกังวาลเข้ามาในหัวของพวกเขาโดยตรง ซึ่งในครั้งนี้เป็นเสียงของเจ้าแม่ซีหวังหมู่บอกแก่เจ้าที่ว่า


“กุศลในครั้งนี้ได้มากจากการช่วยเหลือให้คำชี้แนะแก่เทพกระบี่” 


นั่นจึงทำให้เจ้าที่รีบกล่าวขอบคุณเจ้าแม่ซีหวังหมู่ในทันที


“ดูเหมือนว่าเจ้าจะได้รับกุศลจากเบื้องบน เป็นเพราะอะไรกัน?” เทพกระบี่ถามออกไปด้วยความประหลาดใจ เพราะเขาไม่เห็นว่าเจ้าที่นั้นได้ทำสิ่งใดที่ควรจะได้รับกุศลแม้แต่น้อย


“เรื่องนั้นเป็นความลับสวรรค์ ท่านเองก็ทราบดีว่าข้าม่อาจบอกท่านได้” เจ้าที่ปฏิเสธไปทันที เนื่องจากเป็นกฏแห่งสวรรค์ แต่ในใจของเขานั้นรู้สึกยินดียิ่งนัก ที่แค่ให้คำแนะนำแก่เทพกระบี่เขาก็ได้กุศลกลับคืนมาไม่น้อย


“ข้าก็ถามไปเช่นนั้นเอง” เทพกระบี่พูดตัดบทไปในทันที


ในตอนนี้พวกเด็ก ๆ เริ่มที่จะสนิทกัน ทำให้เสี่ยวเยว่ได้มีเพื่อนใหม่เพิ่มขึ้น ตอนนี้เขาได้รู้แล้วว่าในสถาบันแห่งนี้มีเด็กนักเรียนอยู่ทั้งหมดหกคนเท่านั้นได้แก่ เสี่ยวเยว่ โหวจื่อ ต้าเซี่ยง ทู่จื่อ หูหลางและ เหล่าสู่


ต้าเซี่ยง ฉายา ช้างน้อย นั้นเป็นเด็กที่มีรูปร่างใหญ่โตเช่นเดียวกับชื่อของเขา อาวุธที่เขาพกติดตัวนั้นคือขวานที่ทำจากไม้ [หมายเหตุ 大象:ต้าเซี่ยง:ช้าง]


ทู่จื่อ ฉายา กระต่ายน้อย เป็นเด็กผู้หญิงรูปร่างสมส่วน มีผมที่สั้น เป็นคนที่ร่าเริงชอบกระโดดโลดเต้นไปทั่ว อาวุธของนางคือกระบี่ที่ทำจากไม้ [หมายเหตุ 兔子:ทู่จื่อ:กระต่าย]


หูหลาง ฉายา จิ้งจอกน้อย เป็นเด็กชายตัวเล็กที่มีท่าทางเจ้าเล่ห์ อาวุธของเขาเป็นดาบไม้ขนาดใหญ่ [หมายเหตุ 狐狼:หูหลาง:หมาจิ้งจอก]


เหล่าสู่ ฉายา เจ้าหนูน้อย เป็นเด็กชายตัวเล็ก ๆ มีฟันยื่นมาด้านหน้าเป็นเอกลักษณ์ เขาชอบวิ่งซุกซน อาวุธของเขาก็เป็นดาบที่ทำจากไม้ [หมายเหตุ 老鼠:เหล่าสู่:หนู]


[หมายเหตุ จากนี้ไปจะเรียกพวกเขาด้วยฉายา เพื่อผู้อ่านจะได้จำชื่อพวกเขาได้ง่ายขึ้น แต่หากผู้อ่านต้องการให้ใช้ชื่อจีน ผู้แต่งก็จะปรับเปลี่ยนให้ สามารถแจ้งมาโดยการแสดงความคิดเห็นได้ครับ]


เนื่องจากพวกเขานั้นอยู่ในวัยเดียวกัน และยังนับถือเทพแห่งการเก็บฟืนเหมือนกัน จึงทำให้พวกเขาสนิทกันอย่างรวดเร็ว


เมื่อเห็นเช่นนั้น อาจารย์จึงเรียกพวกเด็ก ๆ เข้าไปในชั้นเรียน เพื่อเริ่มต้นการเรียนการสอนทันที


เบื้องหน้าของพวกเขามีกระดานไม้ขนาดใหญ่ และมีอาจารย์ผู้หนึ่งยืนอยู่ เขาเป็นชายชราที่มีผมและเคราสีขาวโพลน ดูแล้วท่าทางใจดี


“ข้านั้นมีนามว่า ซู่จื่อ ข้าจะเป็นอาจารย์ของพวกเจ้าในการศึกษาหาความรู้ที่นี่” อาจารย์ซู่จื่อพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูใจดียิ่งนัก [树枝:ซู่จื่อ:กิ่งไม้]


          “ท่านอาจารย์ซู่จื่อขอรับ ก่อนที่จะเริ่มการเรียนการสอน ข้าขอถามสักข้อจะได้หรือไม่” วานรน้อยยกมือพร้อมกับถามออกไป


          “เจ้าคงเป็น วานรน้อย เจ้ามีคำถามอันใดก็จงถามมาได้” อาจารย์ซู่จื่อตอบกลับไปพร้อมกับรอยยิ้ม


          “ข้าต้องการถามท่านอาจารย์ว่า ท่านอาจารย์รู้จักหนังสือเล่มนี้หรือไม่?” วานรน้อยพูดพร้อมกับขอให้เสี่ยวเยว่ชูปกหนังสือให้อาจารย์ซู่จื่อดู


          “สิ่งที่ข้าหวังเอาไว้มาถึงรวดเร็วยิ่งนัก ด้วยฐานะที่เป็นถึงอาจารย์ เขาย่อมรู้อยู่แล้วว่าเทพแห่งการเก็บฟืนเป็นเพียงแค่นิทานเท่านั้น เจ้าจงรีบบอกความจริงแก่เด็กพวกนี้ซะ” เทพกระบี่พูดด้วยความตื่นเต้น


          “หนังสือเล่มนั้น” อาจารย์ซู่จื่อค่อย ๆ พูดขึ้นมาอย่างช้า ๆ


          “พูดออกไปเลยสิ ว่ามันเป็นแค่เพียงหนังสือนิทานเท่านั้น” เทพกระบี่นั้นตื่นเต้นเป็นอย่างมาก หากเขามีร่างกายดั่งมนุษย์หัวใจเขาคงหลุดออกมาจากอกเป็นแน่


          “เป็นหนังสือที่ขายดีที่สุดของสถาบันของเรา หากต้องการพูดคุยกันในเรื่องนี้ เราจะมาพูดคุยกันในภายหลัง ในตอนนี้เรามาเริ่มต้นจากการหัดเขียนชื่อของพวกเจ้าก่อน” อาจารย์ซู่จื่อพูดพร้อมกับเขียนชื่อของทุกคนบนกระดาน และให้พวกเด็ก ๆ เขียนชื่อของตัวเองด้วยพู่กันและนำมาส่ง


          ทางด้านเทพกระบี่นั้น นิ่งเงียบไปเพราะไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ได้ยิน นิทานเล่มนั้นถูกแต่งและเขียนขึ้นจากที่นี่ ในตอนนี้เขาต้องการที่จะจุดไฟเผาสถาบันแห่งนี้ให้สิ้นซากไป น่าเสียดายที่เขานั้นไม่มีมือที่จะใช้จุดไฟได้ เขาจึงทำได้เพียงแต่ร่ำไห้เท่านั้น โดยมีเจ้าที่คอยปลอบใจอยู่ใกล้ ๆ......จบเหอะ


แต่งโดย นายมะพร้าว


<< Back                  Next >>


เมนู นิยาย ล่าง

เมนู มังงะ ล่าง