นับตั้งแต่ที่เสี่ยวเยว่ได้รับ
หนังสือตำนานเทพแห่งการเก็บฟืน เขาก็ยิ่งมุ่งมั่นในวิถีแห่งคนเก็บฟืนมากยิ่งขึ้น เทพกระบี่กับเจ้าที่ก็ได้แต่หวังว่า
เมื่อเสี่ยวเยว่ได้พบเจอกับคนอื่น ๆ นอกเหนือไปจากคนในครอบครัว เขาก็คงจะได้รับรู้ความจริงเสียที
เมื่อผ่านพ้นไปอีกหนึ่งปี
บัดนี้เสี่ยวเยว่นั้นอายุเจ็ดขวบแล้ว
ต้าเยว่จึงได้เรียกเขามาพูดคุยเรื่องที่จะเข้าไปเรียนในสถานศึกษา
การเป็นคนเก็บฟืนนั้นจำเป็นต้องรู้เท่าทันคน
แม้ว่าจะอ่านออกเขียนได้แล้วแต่ก็ยังไม่เพียงพอ
“เสี่ยวเยว่
พ่อจะพาเจ้าไปเข้าเรียนที่สถาบันแห่งคนเก็บฟืน”
ต้าเยว่พูดขึ้นมาขณะที่ทานอาหารกันในครอบครัว
“สถาบันแห่งคนเก็บฟืน
มันเป็นสถานที่เช่นใดกันขอรับท่านพ่อ” เสี่ยวเยว่ถามออกไปด้วยความตื่นเต้นและสงสัย
“มันเป็นสถานที่เจ้าจะได้ฝึกฝนหาความรู้
และฝึกวิชาป้องกันตัวและจะได้พบเจอกับเหล่าสหายในวัยเดียวกัน”
ต้าเยว่ตอบกลับไปพร้อมกับหวลคิดเมื่อตอนที่เขานั้นยังเป็นเด็ก
“ฝึกวิชาป้องกันตัว”
เทพกระบี่นั้นถึงกับหูผึ่งเมื่อได้ยินคำพูดนี้จากปากของต้าเยว่
“เหตุใดคนเก็บฟืนต้องฝึกวิชาป้องกันตัวด้วย
ข้าไม่เข้าใจ นั่นไม่ใช่การออกนอกลู่นอกทางจากวิถีแห่งคนเก็บฟืนหรอกหรือ?” เสี่ยวเยว่ ถามกลับไปด้วยความสงสัย
“เสี่ยวเยว่
ในป่านั้นหาได้มีความปลอดภัยไม่
ในบางครั้งพ่อก็ต้องเผชิญหน้ากับพวกหมีหรือสุนัขป่า หากไม่มีวิชาป้องกันตัว
พ่อของเจ้าคงไม่สามารถมีชีวิตรอดมาได้จนถึงทุกวันนี้ น่าเสียดายที่พ่อนั้นไม่ใช่จอมยุทธจึงไม่มีวิชาที่จะถ่ายทอดให้แก่เจ้า
ดังนั้นเจ้าจึงต้องไปฝึกฝนที่สถาบันแห่งคนเก็บฟืนแทน”
ต้าเยว่ตอบกลับไปพร้อมกับลูบหัวเสี่ยวเยว่ด้วยความเอ็นดู
“หากท่านพ่อพูดเช่นนั้น
ข้าก็ยินดีที่จะไปฝึกฝนวิชาป้องกันตัวที่สถาบันแห่งคนเก็บฝืน” สำหรับเสี่ยวเยว่นั้นคำพูดของพ่อ
คือสิ่งที่เขาเชื่อถือมาโดยตลอด ดังนั้นเขาจึงสามารถยอมรับมันได้แม้ว่าจะรู้สึกสงสัยอยู่ในใจ
“เหตุใดเจ้าจึงไม่ยอมเชื่อคำพูดของข้า
ดั่งที่เจ้าเชื่อคำพูดของพ่อ” เทพกระบี่พูดพร้อมกับถอนหายใจ
“นี่นับว่าเป็นเรื่องที่ดีไม่น้อย
เมื่อเสี่ยวเยว่ต้องไปเรียนที่สถาบันแห่งคนเก็บฟืน เขาก็จะได้พบกับคนอื่น ๆ
นี่อาจเป็นโอกาสดีที่เขาจะได้รับรู้ความจริงเรื่องเทพแห่งการเก็บฟืน”
เจ้าที่พูดขึ้นมาด้วยความยินดี
เนื่องจากบนเขานี้มีเพียงครอบครัวของเสี่ยวเยว่ที่อาศัยอยู่
เจ้าที่จึงไม่จำเป็นต้องไปดูแลผู้อื่น ในช่วงหลังมานี้เจ้าที่จึงแทบจะย้ายมาอาศัยอยู่ที่บ้านเสี่ยวเยว่เลยก็ว่าได้
“แล้วเจ้าได้ยินหรือไม่
ที่สถาบันแห่งคนตัดฟืนนั้นมีการสอนวิชาป้องกันตัว
นั่นหมายความว่าข้าอาจจะหาโอกาสที่จะฝึกฝนวรยุทธให้เสี่ยวเยว่ก็เป็นได้”
เทพกระบี่เองก็นึกฝันถึงวันที่เขาจะได้กลับขึ้นไปบนสรวงสวรรค์
“น่าเสียดายที่ต้าเยว่และภรรยานั้น
เป็นคนที่นอนหลับสนิท ไม่ว่าจะเข้าไปในความฝันของเขากี่ครั้ง
ก็พบเจอแต่ความว่างเปล่าเท่านั้น
ไม่ใช่นั้นการบอกกล่าวแก่พ่อของเขาให้เป็นผู้บอกความจริง
เกี่ยวกับเทพแห่งการเก็บฟืนมันคงเป็นเรื่องง่ายกว่านี้”
เจ้าที่พูดพร้อมกับถอนหายใจ
เช้าวันต่อมาต้าเยว่ได้พาเสี่ยวเยว่เดินทางไปยังสถาบันแห่งคนเก็บฟืน
เป็นพื้นที่เล็ก ๆ ที่เหล่าคนเก็บฟืนช่วยกันสร้างขึ้นมา
เพื่อเป็นที่ให้ลูกหลานของพวกเขามาศึกษาหาความรู้
เนื่องจากตัวเมืองนั้นอยู่ห่างไกลออกไป
การที่จะพาลูกหลานพวกเขาเข้าไปเรียนในเมืองจึงเป็นเรื่องที่ลำบาก
และค่าใช้จ่ายยังสูงลิ่วอีกด้วย
ต้าเยว่ได้พาเสี่ยวเยว่เดินดูรอบ ๆ
สถาบันแห่งคนเก็บฟืน ที่นี่แบ่งพื้นที่ออกเป็นสัดส่วน ในส่วนอาหารหลัก
จะเป็นสถานที่ให้พวกเด็ก ๆ
ได้ศึกษาหาความรู้โดยเหล่าอาจารย์ที่เป็นคนเก็บฟืนเช่นเดียวกัน
ที่ด้านนอกจะเป็นลานสำหรับฝึกวิชาป้องกันตัว
โดยเด็กทุกคนจะได้รับอาวุธที่ทำจากไม้ ที่ครอบครัวของเขาได้มอบให้
ดั่งเสี่ยวเยว่ที่ได้รับกระบี่ไม้มาจากบิดา นั่นเพราะหากให้พวกเด็ก ๆ
จับต้องอาวุธของจริง อาจจะเกิดอันตรายขึ้นมาได้ ส่วนที่สามจะเป็นส่วนที่พักให้เด็ก
ๆ ได้ใช้เป็นที่หลับนอน
พวกเขาจะต้องเรียนอยู่ที่นี่เป็นเวลาสามปีจึงจะถือว่าเรียนจบ
หลังจากที่ได้ฝากฝังเสี่ยวเยว่กับอาจารย์แล้ว
ต้าเยว่จึงเดินทางกลับบ้านและปล่อยให้เสี่ยวเยว่ได้ไปทำความรู้จักกับเด็กคนอื่น ๆ
ในปีนี้มีเด็กที่ถูกส่งมาเรียนที่สถาบันแห่งคนเก็บฟืนเพียงแค่ห้าคนเท่านั้น
ซึ่งทุกคนล้วนแต่เป็นเด็กชายอายุเท่ากับเสี่ยวเยว่
แต่ดูเหมือนว่าทุกคนนั้นยังไม่สนิทสนมกันนัก จึงต่างก็แยกกันอยู่เงียบ ๆ
“เสี่ยวเยว่
เหตุใดเจ้าจึงไม่ไปชักชวนเด็กเหล่านั้นให้มาพูดคุยกันเล่า” เทพกระบี่พูดออกไป
เมื่อเห็นว่าเสี่ยวเยว่เองก็พยายามแยกตัวไปนั่งอ่านหนังสือตามลำพัง
แท้จริงแล้วเทพกระบี่นั้นไม่ได้สนใจว่าเสี่ยวเยว่จะมีเพื่อนหรือไม่
แต่เขาต้องการให้เสี่ยวเยว่ได้พูดคุยกับคนอื่น ๆ เรื่องเทพแห่งการเก็บฟืน
และเสี่ยวเยว่จะได้รู้ความจริงเสียทีว่า ไม่มีเทพชื่อนั้นอยู่บนสรวงสวรรค์
“สวัสดี ข้าชื่อว่าโหวจื่อ คนอื่น ๆ
มักจะเรียกข้าว่าวานรน้อย เจ้ากำลังอ่านหนังสืออะไรอยู่หรือ?” เด็กชายที่มีรูปร่างผอมแห้ง มีแขนยาว เขาพกกระบองไม้พาดอยู่ที่ด้านหลัง
เขาแอบมองเสี่ยวเยว่จากบนต้นไม้ ถามออกไปด้วยความสงสัย [หมายเหตุ
猴子:โหวจื่อ:วานร]
“เยี่ยมมาก นั่นคือสิ่งที่ข้าต้องการ”
เทพกระบี่แอบยิ้มด้วยความดีใจ โดยมีเจ้าที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ
โดยปกติแล้วเจ้าที่จะหายตัวอยู่ ทำให้เสี่ยวเยว่มองไม่เห็นตัวเขา
“ข้านั้นชื่อว่าเสี่ยวเยว่
ผู้มุ่งมั่นในวิถีแห่งคนเก็บฟืน หนังสือที่ข้าอ่านก็คือตำนานเทพแห่งการเก็บฟืน”
เสี่ยวเยว่ตอบกลับไปพร้อมกับหันปกหนังสือให้ วานรน้อยได้เห็น
“พูดออกไปเลยวานรน้อย
ตำนานเทพแห่งการเก็บฟืนบ้าอันใดกัน มันไม่มีอยู่จริง” เทพกระบี่คาดหวังให้วานรน้อยพูดออกมาดั่งที่เขาต้องการ
“ตำนานเทพแห่งการเก็บฟืน
เจ้าเองก็นับถือเทพแห่งการเก็บฟืนเช่นกันหรือ?” วานรน้อยพูดออกไปด้วยความตื่นเต้น
เขานั้นเป็นลูกชายของคนเก็บฟืน
ย่อมต้องเคยได้ยินเรื่องราวของเทพแห่งการเก็บฟืนมาก่อน
เรียกได้ว่าเทพแห่งการเก็บฟืนนั้นเป็นที่นับถือของเด็กที่เกิดในครอบครัวของคนเก็บฟืนทั้งหลาย
หลังจากที่ได้ยิน เสี่ยวเยว่พูดคุยกับวานรน้อยเรื่องเทพแห่งการเก็บฟืน
เด็กคนอื่น ๆ ต่างก็มารวมตัวกัน
เพื่อบอกเล่าเกี่ยวกับเรื่องเทพแห่งการเก็บฟืนที่พวกเขาเคยได้ยินมา
“นี่มันโรงเรียนบ้าอะไรกัน
เจ้าเด็กพวกนี้ล้วนแต่ถูกล้างสมองกันไปหมดแล้ว”
เทพกระบี่พูดขึ้นมาด้วยความเจ็บแค้น ส่วนเจ้าที่นั้นก็ได้แต่แอบหัวเราะเมื่อเห็นท่าทีของเทพกระบี่
“เจ้าที่ นี่ไม่ใช่เรื่องน่าขัน
เจ้าเองก็ต้องช่วยข้าคิดหาหนทางที่จะทำให้เจ้าเด็กพวกนี้หยุดงมงายในเทพที่ไม่มีอยู่จริง
เพื่อที่เจ้าจะได้กุศลไปด้วยเช่นกัน”
เทพกระบี่ต่อว่าที่เห็นเจ้าที่แอบหัวเราะในท่าทีของเขา
“ข้าเองก็กำลังคิดหาหนทางอยู่
คนเหล่านั้นล้วนแต่เป็นเด็กน้อย
แม้ว่าจะมีคนกล่าวแย้งว่าเทพแห่งคนเก็บฟืนไม่มีอยู่จริง
ท่านคิดหรือว่าเสี่ยวเยว่จะสามารถยอมรับได้
ในสถาบันแห่งนี้ยังมีอาจารย์ที่เป็นผู้ใหญ่อยู่อีกด้วย
ท่านควรที่จะหวังพึ่งพาพวกเขามากกว่าที่จะเป็นเด็กเหล่านี้” เจ้าที่ให้คำแนะนำ
“ข้าไม่ทันได้คิดถึงเรื่องนี่
นับว่าเจ้านั้นฉลาดไม่เลว สมแล้วที่เป็นเทพที่ใกล้ชิดกับมนุษย์มากที่สุด”
เทพกระบี่กล่าวชื่นชม
“ความคิดของเจ้าที่นั้นวิเศษยิ่งนัก
การให้คำแนะนำเช่นนี้ก็อาจจะเรียกได้ว่าเขากำลังทำกุศลแก่เทพกระบี่
ท่านสามารถตอบแทนเขาด้วยการมอบกุศลให้แก่เขาได้หรือไม่”
เง๊กเซียนฮ่องเต๊รู้สึกชื่นชมความฉลาดของเจ้าที่ จึงหันไปพูดกับเจ้าแม่ซีหวังหมู่
“ก่อนหน้านี้กุศลของเจ้าที่ถูกลดทอนลงไปเนื่องจากกล่าวคำโกหก
หากท่านคิดว่านี่คือการสร้างกุศลข้าก็จะคืนกุศลบางส่วนให้แก่เขา”
เจ้าแม่ซีหวังหมู่พูดพร้อมกับเพิ่มกุศลให้แก่เจ้าที่
“โอ้
เจ้าแม่ซีหวังหมู่ทรงมอบกุศลคืนให้แก่ข้า ขอบคุณยิ่งนัก”
เจ้าที่รีบประสานมือไว้เหนือหัวและกล่าวขอบคุณเจ้าแม่ซีหวังหมู่โดยทันที
ทุกครั้งที่กุศลที่สะสมไว้มีการเพิ่มขึ้นหรือลดลง
เทพองค์นั้นจะได้รับการแจ้งเตือนจากเบื้องบนเป็นเสียงที่ดังกังวาลเข้ามาในหัวของพวกเขาโดยตรง
ซึ่งในครั้งนี้เป็นเสียงของเจ้าแม่ซีหวังหมู่บอกแก่เจ้าที่ว่า
“กุศลในครั้งนี้ได้มากจากการช่วยเหลือให้คำชี้แนะแก่เทพกระบี่”
นั่นจึงทำให้เจ้าที่รีบกล่าวขอบคุณเจ้าแม่ซีหวังหมู่ในทันที
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะได้รับกุศลจากเบื้องบน
เป็นเพราะอะไรกัน?” เทพกระบี่ถามออกไปด้วยความประหลาดใจ
เพราะเขาไม่เห็นว่าเจ้าที่นั้นได้ทำสิ่งใดที่ควรจะได้รับกุศลแม้แต่น้อย
“เรื่องนั้นเป็นความลับสวรรค์
ท่านเองก็ทราบดีว่าข้าม่อาจบอกท่านได้” เจ้าที่ปฏิเสธไปทันที
เนื่องจากเป็นกฏแห่งสวรรค์ แต่ในใจของเขานั้นรู้สึกยินดียิ่งนัก
ที่แค่ให้คำแนะนำแก่เทพกระบี่เขาก็ได้กุศลกลับคืนมาไม่น้อย
“ข้าก็ถามไปเช่นนั้นเอง”
เทพกระบี่พูดตัดบทไปในทันที
ในตอนนี้พวกเด็ก ๆ เริ่มที่จะสนิทกัน
ทำให้เสี่ยวเยว่ได้มีเพื่อนใหม่เพิ่มขึ้น
ตอนนี้เขาได้รู้แล้วว่าในสถาบันแห่งนี้มีเด็กนักเรียนอยู่ทั้งหมดหกคนเท่านั้นได้แก่
เสี่ยวเยว่ โหวจื่อ ต้าเซี่ยง ทู่จื่อ หูหลางและ เหล่าสู่
ต้าเซี่ยง ฉายา ช้างน้อย
นั้นเป็นเด็กที่มีรูปร่างใหญ่โตเช่นเดียวกับชื่อของเขา
อาวุธที่เขาพกติดตัวนั้นคือขวานที่ทำจากไม้ [หมายเหตุ 大象:ต้าเซี่ยง:ช้าง]
ทู่จื่อ ฉายา กระต่ายน้อย เป็นเด็กผู้หญิงรูปร่างสมส่วน
มีผมที่สั้น เป็นคนที่ร่าเริงชอบกระโดดโลดเต้นไปทั่ว อาวุธของนางคือกระบี่ที่ทำจากไม้
[หมายเหตุ 兔子:ทู่จื่อ:กระต่าย]
หูหลาง ฉายา จิ้งจอกน้อย
เป็นเด็กชายตัวเล็กที่มีท่าทางเจ้าเล่ห์ อาวุธของเขาเป็นดาบไม้ขนาดใหญ่ [หมายเหตุ 狐狼:หูหลาง:หมาจิ้งจอก]
เหล่าสู่ ฉายา เจ้าหนูน้อย เป็นเด็กชายตัวเล็ก
ๆ มีฟันยื่นมาด้านหน้าเป็นเอกลักษณ์ เขาชอบวิ่งซุกซน อาวุธของเขาก็เป็นดาบที่ทำจากไม้
[หมายเหตุ 老鼠:เหล่าสู่:หนู]
[หมายเหตุ
จากนี้ไปจะเรียกพวกเขาด้วยฉายา เพื่อผู้อ่านจะได้จำชื่อพวกเขาได้ง่ายขึ้น แต่หากผู้อ่านต้องการให้ใช้ชื่อจีน
ผู้แต่งก็จะปรับเปลี่ยนให้ สามารถแจ้งมาโดยการแสดงความคิดเห็นได้ครับ]
เนื่องจากพวกเขานั้นอยู่ในวัยเดียวกัน
และยังนับถือเทพแห่งการเก็บฟืนเหมือนกัน จึงทำให้พวกเขาสนิทกันอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นเช่นนั้น
อาจารย์จึงเรียกพวกเด็ก ๆ เข้าไปในชั้นเรียน เพื่อเริ่มต้นการเรียนการสอนทันที
เบื้องหน้าของพวกเขามีกระดานไม้ขนาดใหญ่
และมีอาจารย์ผู้หนึ่งยืนอยู่ เขาเป็นชายชราที่มีผมและเคราสีขาวโพลน
ดูแล้วท่าทางใจดี
“ข้านั้นมีนามว่า ซู่จื่อ
ข้าจะเป็นอาจารย์ของพวกเจ้าในการศึกษาหาความรู้ที่นี่”
อาจารย์ซู่จื่อพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูใจดียิ่งนัก [树枝:ซู่จื่อ:กิ่งไม้]
“ท่านอาจารย์ซู่จื่อขอรับ
ก่อนที่จะเริ่มการเรียนการสอน ข้าขอถามสักข้อจะได้หรือไม่” วานรน้อยยกมือพร้อมกับถามออกไป
“เจ้าคงเป็น
วานรน้อย เจ้ามีคำถามอันใดก็จงถามมาได้” อาจารย์ซู่จื่อตอบกลับไปพร้อมกับรอยยิ้ม
“ข้าต้องการถามท่านอาจารย์ว่า
ท่านอาจารย์รู้จักหนังสือเล่มนี้หรือไม่?” วานรน้อยพูดพร้อมกับขอให้เสี่ยวเยว่ชูปกหนังสือให้อาจารย์ซู่จื่อดู
“สิ่งที่ข้าหวังเอาไว้มาถึงรวดเร็วยิ่งนัก
ด้วยฐานะที่เป็นถึงอาจารย์
เขาย่อมรู้อยู่แล้วว่าเทพแห่งการเก็บฟืนเป็นเพียงแค่นิทานเท่านั้น
เจ้าจงรีบบอกความจริงแก่เด็กพวกนี้ซะ” เทพกระบี่พูดด้วยความตื่นเต้น
“หนังสือเล่มนั้น”
อาจารย์ซู่จื่อค่อย ๆ พูดขึ้นมาอย่างช้า ๆ
“พูดออกไปเลยสิ
ว่ามันเป็นแค่เพียงหนังสือนิทานเท่านั้น” เทพกระบี่นั้นตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
หากเขามีร่างกายดั่งมนุษย์หัวใจเขาคงหลุดออกมาจากอกเป็นแน่
“เป็นหนังสือที่ขายดีที่สุดของสถาบันของเรา
หากต้องการพูดคุยกันในเรื่องนี้ เราจะมาพูดคุยกันในภายหลัง
ในตอนนี้เรามาเริ่มต้นจากการหัดเขียนชื่อของพวกเจ้าก่อน”
อาจารย์ซู่จื่อพูดพร้อมกับเขียนชื่อของทุกคนบนกระดาน และให้พวกเด็ก ๆ
เขียนชื่อของตัวเองด้วยพู่กันและนำมาส่ง
ทางด้านเทพกระบี่นั้น
นิ่งเงียบไปเพราะไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ได้ยิน
นิทานเล่มนั้นถูกแต่งและเขียนขึ้นจากที่นี่ ในตอนนี้เขาต้องการที่จะจุดไฟเผาสถาบันแห่งนี้ให้สิ้นซากไป
น่าเสียดายที่เขานั้นไม่มีมือที่จะใช้จุดไฟได้ เขาจึงทำได้เพียงแต่ร่ำไห้เท่านั้น
โดยมีเจ้าที่คอยปลอบใจอยู่ใกล้ ๆ......จบเหอะ