เทพกระบี่ยังคงครุ่นคิดหาหนทาง
ที่จะทำให้เสี่ยวเยว่หันมาสนใจเรื่องวรยุทธ
เขาจึงตัดสินใจที่จะรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเสี่ยวเยว่ให้มากที่สุด
แต่เนื่องจากเขาไม่อาจที่จะขยับไปที่ใดได้
การหาข้อมูลที่ว่าจึงมีเพียงจากพ่อและแม่ของเสี่ยวเยว่เท่านั้น
เช้าวันหนึ่งขณะทานอาหารกัน
เสี่ยวเยว่ก็เอยถามพ่อของเขา
“ท่านพ่อ
เทพแห่งการเก็บฟืนจะคอยเฝ้ามองพวกเราอยู่เสมอใช่หรือไม่?”
เสี่ยวเยว่ถามด้วยดวงตาที่เป็นประกาย
“แน่นอน
พระองค์ทรงจับตามองผู้ที่มุ่งสู่วิถีแห่งการเก็บฝืนทุกคน”
ต้าเยว่ตอบกลับไปพร้อมกับลูบศีรษะเสี่ยวเยว่ด้วยความเอ็นดู
“ถ้าเช่นนั้นข้าจะออกไปคัดแยกฟืนให้ท่านนำไปขายในเมือง
เพื่อให้เทพแห่งการเก็บฟืนได้เห็นว่าข้านั้นมีความมุ่งมั่นมากเพียงใด”
เสี่ยวเยว่รีบวิ่งออกไปอย่างร่าเริงโดยที่ลืมกระบี่ไม้ทิ้งเอาไว้
“เหตุใดท่านจึงยังโกหกเสี่ยวเยว่เช่นนั้น?”
แม่ของเสี่ยวเยว่พูดพร้อมกับส่ายศีรษะพร้อมกับถอนหายใจ
“เรื่องนี้มันก็แค่นิทานเท่านั้น
ลูกชายเรานั้นเป็นเด็กฉลาด ที่เขาเอ่ยถามก็เป็นเพราะความสนุกเท่านั้น
หาใช่เพราะเชื่อเรื่องราวเหล่านั้นไม่” ต้าเยว่ตอบกลับไปพร้อมกับหัวเราะ
“ถ้าเป็นเช่นนั้นข้าก็สบายใจ”
แม่ของเสี่ยวเยว่เอามือจับตรงหน้าอกพร้อมกับยิ้ม ด้วยความโล่งใจ
“พวกเจ้าคงไม่รู้ว่า พวกเจ้านั้นประเมินความฉลาด
ลูกของพวกเจ้าไว้สูงเกินไป”
เทพกระบี่ที่ได้ยินเรื่องราวทั้งหมดบ่นขึ้นมาด้วยความไม่พอใจ
หากไม่เป็นเพราะนิทานบ้า ๆ ของต้าเยว่ เขาคงไม่ต้องลำบากถึงเพียงนี้
วันต่อมาเสี่ยวเยว่ก็นำกระบี่ไม้อกไปเก็บฟืนดั่งเช่นทุกวัน
เทพกระบี่นั่นเพิ่งจะสังเกตุอะไรบางอย่างได้จึงเอ่ยถามออกไป
“เสี่ยวเยว่ เหตุใดเจ้าจึงเก็บเพียงแค่กิ่งไม้ที่ร่วงหล่นบนพื้นเท่านั้น
ข้าไม่เห็นว่าเจ้าจะหักกิ่งไม้จากต้นไม้ แม้ว่าจะเป็นต้นไม้ที่แห้งตายแล้ว”
เทพกระบี่คิดว่าหากหักกิ่งไม้แห้งก็จะได้กิ่งไม้มากขึ้น
และการเก็บฟืนในวันนี้ก็จะจบลงเร็วขึ้น
“ท่านไม่ได้มุ่งมั่นในการก้าวเดินสู่วิถีแห่งคนเก็บฟืน
ท่านคงไม่ทราบว่ากิ่งไม้ที่ร่วงหล่นอยู่บนพื้นคือสิ่งที่เทพแห่งการเก็บฟืนประทานให้แก่
ผู้ที่เชื่อมั่นในพระองค์ หากทุกคนล้วนแต่หักกิ่งไม้จากต้นไม้
สักวันต้นไม้ในป่าคงหมดสิ้นแน่” เสี่ยวเยว่พูดพร้อมกับประสานมือเพื่อขอบคุณเทพแห่งการเก็บฟืน
เทพกระบี่ทำได้เพียงแค่ถอนหายใจ
ความเชื่อของเจ้าเด็กผู้นี้คงไม่อาจลบล้างไปได้โดยง่ายเป็นแน่
คงต้องรอให้เขาเติบใหญ่และได้พบเจอกับผู้คนมากขึ้น และได้รู้ความจริงในเรื่องนี้
หรือไม่เขาก็ต้องหาผู้ที่มาช่วยเหลือ เมื่อขึ้นได้เช่นนี้เขาจึงคิดถึงเทพที่สถิตอยู่ตามสถานที่ต่าง
ๆ บนโลก นั่นคือเจ้าที่ ที่เป็นเทพชั้นต่ำที่สุด ที่สร้างกุศลอยู่บนโลก
ด้วยตำแหน่งของเขานั้นสามารถสั่งการเจ้าที่ทั้งหลายได้ แต่เจ้าที่มักจะสถิตอยู่ในศาลเจ้า ดังนั้นเขาจะต้องมองหาศาลเจ้าก่อนเป็นอันดับแรก
“เสี่ยวเยว่ บริเวรนี้มีศาลเจ้าที่หรือไม่?”
เทพกระบี่เอ่ยถามออกไป
“หากขึ้นไปบนเขาก็จะมีศาลเจ้าที่อยู่แห่งหนึ่ง
ท่านถามด้วยเหตุใดกัน?” เสี่ยวเยว่ตอบ
“ข้าเป็นเทพจากสรวงสวรรค์
ในบางครั้งข้าเองก็ต้องติดต่อกับเจ้าที่ เพื่อสอบถามเรื่องราวต่าง ๆ
เจ้าสามารถพาข้าไปที่ศาลเจ้าได้หรือไม่?”
เทพกระบี่ตอบกลับไปพร้อมกับร้องขอเสี่ยวเยว่
“หากว่าท่านสามารถให้ข้าได้พูดคุยกับเจ้าที่ได้
ข้าก็จะยินดีที่จะพาท่านไป” เสี่ยวเยว่คิดครู่หนึ่งก่อนที่จะตอบกลับไป เขานั้นยังไม่เคยพบเห็นเจ้าที่มาก่อน
“ย่อมได้” เทพกระบี่ตอบกลับไป
ด้วยตำแหน่งของเขานั้น
การสั่งให้เจ้าที่ปรากฏตัวต่อหน้ามนุษย์ไม่ใช่เรื่องยากอันใด
แต่เขาสงสัยอยู่เหมือนกันว่า เสี่ยวเยว่ต้องการพบเจ้าที่ด้วยเหตุผลใดกัน
เสี่ยวเยว่จึงเดินทางขึ้นไปบนเขา
และไปถึงศาลเจ้าเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่บนพื้น ในศาลเจ้านั้นมีรูปปั้นเจ้าที่เล็ก ๆ
ตั้งอยู่
“ข้าพาท่านมาถึงศาลเจ้าแล้ว”
เสี่ยวเยว่นำกระบี่ไม้มาถือไว้ในมือ และวางไว้ใกล้ ๆ ศาลเจ้าแห่งนั้น
“เทพเจ้าที่
ที่สถิตอยู่ในศาลเจ้านี้จงปรากฏตัวออกมาต่อหน้าข้า” เทพกระบี่ออกคำสั่ง
ทุกอย่างยังคงเงียบสงบและไม่มีสิ่งใดปรากฏขึ้นมา
“ข้าคือเทพกระบี่สวรรค์ทะลายพิภพสยบปฐพี
เทพเจ้าที่
ที่สถิตอยู่ในศาลเจ้านี้จงปรากฏกายต่อหน้าข้า” เทพกระบี่พูดออกไปอีกครั้ง
“ผู้ใดกันที่มาแอบอ้างนามของเทพกระบี่สวรรค์ทะลายพิภพสยบปฐพี และมารบกวนข้าเช่นนี้”
ร่างของชายชราผู้หนึ่งปรากฏกายขึ้นมา ด้วยความไม่พอใจ
“ไหนกันผู้ที่มารบกวนข้า
เจ้าเด็กน้อยผู้นี้หรือ? ที่แอบอ้างนามของเทพกระบี่สวรรค์ทะลายพิภพสยบปฐพี”
เจ้าที่กวาดสายตามองไปโดยรอบ พบเพียงเด็กชายผู้หนึ่งที่ยืนอยู่เบื้องหน้าศาลเจ้า
“ท่านคือเจ้าที่เช่นนั้นหรือ
ข้านั้นมิได้เรียกท่านออกมา แต่เป็นกระบี่ไม้นั่น”
เสี่ยวเยว่ชี้ไปยังกระบี่ไม้และตอบกลับไป
“กระบี่ไม้สกปรกนี่หรือ?
เจ้าพูดบ้าอันใดกัน กระบี่ไม้จะพูดได้เช่นใดกัน?” เจ้าที่หันไปมองกระบี่ไม้และพูดออกไป
“แม้ว่าเจ้าที่จะเป็นเทพชั้นต่ำที่สุด
แต่คงเคยได้ยินชื่อของข้ามาบ้าง ข้าคือเทพกระบี่สวรรค์ทะลายพิภพสยบปฐพี
ที่เคยรับใช้เง๊กเซียนฮ่องเต๊อยู่บนสรวงสวรรค์” เทพกระบี่พูดออกไป
“เทพกระบี่สวรรค์ทะลายพิภพสยบปฐพี
นั้นเป็นเทพรูปงามข้าเคยพบกับเขามาครั้งหนึ่ง
เขามิได้มีรูปลักษณ์เป็นกระบี่ไม้สกปรกเช่นนี้
แต่ข้าก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแห่งเทพ จากกระบี่ไม้นี้ได้” เจ้าที่พูดพร้อมกับจ้องมองกระบี่ได้โดยละเอียด
“ข้านั้นถูกเจ้าแม่ซีหวังหมู่
ส่งให้มาจุติเป็นเพียงท่อนไม้บนโลก คนเก็บฟืนนามว่าต้าเยว่ได้เก็บข้าไปและนำไปทำเป็นกระบี่ไม้
เพื่อเป็นของขวัญ ให้เด็กผู้นี้ในวันที่เขาเกิด” เทพกระบี่ตอบกลับไป
“ถ้าเช่นนั้นเด็กผู้นี้ก็คือ
ผู้มีชะตาต้องกันกับท่าน และคงได้รับการถ่ายทอดวรยุทธ จากเทพกระบี่สวรรค์ทะลายพิภพสยบปฐพีโดยตรง
เมื่อเติบใหญ่เขาคงจะต้องเป็น ยอดฝีมือที่เก่งกาจเป็นแน่” เจ้าที่พูดด้วยความยินดี
“หากเป็นเช่นนั้น
ข้าคงไม่ต้องลำบากมาพบกับเจ้า” เทพกระบี่พูดพร้อมกับถอนหายใจ
“ท่านหมายความเช่นใดกัน?”
เจ้าที่เอ่ยถามด้วยความสงสัย
“เจ้าลองพูดคุยกับเขาแล้วเจ้าจะทราบเอง”
เทพกระบี่ตอบกลับไป
เมื่อได้ยินเช่นนั้น
เสี่ยวเยว่จึงรีบพูดขึ้นมาด้วยความตื่นเต้นทันที
“หากท่านเป็นเทพเจ้าที่จริง
ท่านคงเคยได้ยินนามของเทพแห่งการเก็บฟืนใช่หรือไม่?”
เสี่ยวเยว่ถามออกไปด้วยดวงตาที่เป็นประกาย
“เจ้าพูดอันใดกัน
นั่นคือนามของเทพองค์ใดเช่นนั้นหรือ?” เจ้าที่ถามกลับไปด้วยความตกใจ
แต่เขานั้นมีตำแหน่งต่ำต้อย อาจจะมีเทพที่เขาไม่รู้จักก็เป็นได้
“เทพแห่งการเก็บฟืนเป็นนามของเทพผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดบนสรวงสวรรค์
ข้านั้นคือผู้มุ่งมั่นที่จะเดินทางในวิถีแห่งคนเก็บฟืน
เพื่อที่จะได้กลายเป็นบริวารของเทพแห่งการเก็บฟืนเมื่อจากโลกนี้ไป” เสี่ยวเยว่พูดพร้อมกับแสดงให้เห็นความมุ่งมั่นผ่านแววตาของเขา
“เจ้าอย่าเพิ่งได้โต้แย้งเขา”
เทพกระบี่กระซิบบอกเจ้าที่
“ข้านั้นลืมไป
วันนี้ข้ามีนัดหมายกับเจ้าที่องค์อื่นเอาไว้ เจ้าเด็กน้อยหากมีสิ่งใดที่จะถามข้า
ก็จงเดินทางมาในภายหลัง” เจ้าที่รีบพูดตัดบททันที
“ในครั้งหน้า
หาท่านได้ขึ้นไปบนสวรรค์ โปรดช่วยนำความมุ่งมั่นของข้า ไปแจ้งแก่เทพแห่งการเก็บฟืนด้วย”
เสี่ยวเยว่บอกถึงความต้องการของเขาออกไป
“ตกลง หากมีโอกาสได้ขึ้นไปบนสรวงสวรรค์
ข้าจะไปแจ้งแก่ท่านผู้นั้น” เจ้าที่ตอบกลับไป ก่อนที่จะหายตัวไป
“ท่านเห็นไหมเล่า
แม้แต่เทพชั้นต่ำสุดอย่างเจ้าที่ ยังรู้จักเทพแห่งการเก็บฟืน
แต่เทพชื่อยาวเช่นท่านที่แอบอ้างว่าพำนักอยู่บนสรวงสวรรค์กลับไม่รู้จักพระองค์”
เสี่ยวเยว่หันไปพูดกับเทพกระบี่
เจ้าที่นั้นยังคงยืนอยู่ที่เดิม
เพียงแค่หายตัวไม่ให้เสี่ยวเยว่มองเห็นเท่านั้น
“เทพกระบี่สวรรค์ทะลายพิภพสยบปฐพีนี่มันเรื่องอันใดกัน
มีเทพที่มีนามว่าเทพแห่งการเก็บฟืนด้วยเช่นนั้นหรือ” เจ้าที่ถามด้วยความสงสัย
โดยที่ไม่ให้เสี่ยวเยว่ได้ยินเสียงของพวกเขา
“เด็กผู้นี้หลงเชื่อในนิทานที่พ่อของเขาเล่าให้ฟัง
และเชื่อว่าเทพแห่งการเก็บฟืนคือเทพผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งสรวงสวรรค์ ทำให้เขานั้นมุ่งสู่วิถีแห่งคนเก็บฟืน และมองว่าการฝึกวรยุทธนั้นเป็นวิถีที่นอกรีต
และขัดขวางวิถีแห่งคนเก็บฟืนของเขา” เทพกระบี่พูดพร้อมกับถอนหายใจ
“เหตุใดท่านจึงไม่อธิบายความจริงให้เขาฟัง”
เจ้าที่ถามด้วยความสงสัย
“ข้านั้นบอกเล่าความจริงทุกอย่างแล้ว
แต่เขานั้นไม่ยอมเชื่อฟังข้า และยังข่มขู่ข้าอีกว่า หากข้ายังพูดเรื่องนี้อีก
เขาจะนำร่างของข้าไปโยนเข้ากองไฟ” เทพกระบี่พูดด้วยความเศร้าใจ
“การที่ท่านให้เขาเดินทางมาหาข้า
เพราะต้องการให้ข้าทำสิ่งใดกัน?” เจ้าที่เอ่ยถามออกไปตามตรง
“เป็นเพราะข้านั้นไม่อาจทำให้เขาเชื่อข้าได้
ข้าจึงต้องให้เจ้าเป็นผู้บอกกล่าวความจริงแก่เขาแทน”
เทพกระบี่บอกถึงความต้องการของเขาออกไป
“แล้วท่านจะให้ข้าบอกกล่าวกับเขาด้วยวิธีใดกัน?”
เจ้าที่ถามกลับไป
“ที่พักของเสี่ยวเยว่ข้าคิดว่าอยู่ในพื้นที่ดูแลของท่าน
การเข้าไปบอกกล่าวในฝัน อาจจะเป็นหนทางที่สะดวกที่สุด จงจำไว้ให้ดีว่า
เจ้าเด็กผู้นี้นับถือในเทพแห่งการเก็บฟืนยิ่งนัก จงอย่าได้พูดจาหักหาญน้ำใจของเขา”
เทพกระบี่กำชับ
“เขาก็เป็นแค่เด็กเท่านั้น
ท่านอย่าได้กังวล คืนนี้เป็นคือเดือนเพ็ญ ข้าจะไปพูดคุยกับเขาในความฝันเอง”
เจ้าที่ตอบกลับไป
“ไม่เลว
เมื่อไม่อาจบอกความจริงด้วยตนเองได้ ก็ไปขอให้ผู้อื่นช่วยเหลือ นับว่าเทพกระบี่สวรรค์ทะลายพิภพสยบปฐพีนั้นก้ฉลาดไม่น้อย”
เง๊กเซียนฮ่องเต๊กล่าวชื่นชม
“เจ้าที่เป็นเทพที่ใกล้ชิดกับมนุษยที่สุด
ย่อมมีหนทางในการบอกกล่าวให้เสี่ยวเยว่เข้าใจได้เป๋นแน่”
เจ้าหม่ซ๊หวังหมู่เองก็เห็นด้วย
ในคืนนั้น
เจ้าที่ได้เข้าไปในความฝันของเสี่ยวเยว่ โดยมีเทพกระบี่ยืนอยู่ห่างออกไป
“ท่านเจ้าที่ การที่ท่านมาหาข้าเช่นนี้
หมายความว่าท่านได้นำความมุ่งมั่นของข้า ไปแจ้งแก่เทพแห่งการเก็บฟืนแล้วใช่หรือไม่
ไม่ทราบว่าพระองค์ตอบกลับมาเช่นใดบ้าง” เสี่ยวเยว่ถามด้วยความตื่นเต้น
“เด็กน้อย
เจ้ามีนามว่าเสี่ยวเยว่สินะ บนสรวงสวรรค์นั้นหาได้มีเทพนามว่าเทพแห่งการเก็บฟืนไม่
ที่เจ้าได้ยินมาจากพ่อของเจ้านั้น เป็นเพียงนิทานหลอกเด็กเท่านั้น”
เจ้าที่ตอบกลับไปด้วยความเอ็นดูเสี่ยวเยว่ยิ่งนัก
“เจ้าที่
ทำไมเจ้าจึงได้พูดเช่นนั้น?” เทพกระบี่รู้สึกตกใจที่เจ้าที่พูดความจริงออกไปตรง ๆ
“ท่านอย่าได้กังวล
เขาเป็นแค่เด็ก ในบางครั้งอาจจะหลงเชื่อเรื่องราวต่าง ๆ ที่ได้ฟังมา เราเป็นเทพ
ก็ควรที่จะบอกความจริงแก่เขา” เจ้าที่หันมาพูดกับเทพกระบี่พร้อมกับยิ้ม
“เป็นเช่นนี้นี่เอง!”
เสี่ยวเยว่พูดพร้อมกับพยักหน้าราวกับว่าเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดแล้ว
“เห็นไหมเล่า เขาเป็นเพียงเด็กเท่านั้น
เทพเช่นเรามีหน้าที่ต้องชี้ทางที่ถูกต้องแก่เขา” เจ้าที่พูดขึ้นมาด้วยความยินดี
“เจ้าเป็นปิศาจหาใช่เจ้าที่ไม่
เจ้าคงคิดที่จะหลอกให้ข้าหลุดพ้นจากวิถีแห่งคนเก็บฟืน
พรุ่งนี้ข้าจะไปเผาศาลของเจ้าทิ้งไปซะ”
เสี่ยวเยว่ชี้ไปที่เจ้าที่และพูดขึ้นมาด้วยความโกรธเกรี้ยว
“ทำไมกัน?”
เจ้าที่หันมามองเทพกระบี่ด้วยความตกใจ
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้า
ข้านั้นได้เตือนเจ้าเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้ว แต่เจ้าก้ไม่ยอมเชื่อฟังข้า”
เทพกระบี่พูดจบก็รีบหายออกไปจากความฝันของเสี่ยวเยว่
“เสี่ยวเยว่เจ้าอย่าได้ทำเช่นนั้น
ข้าแค่ได้รับคำสั่งให้มาทดสอบเจ้าเท่านั้น ว่าเจ้านั้นมีความมุ่งมั่นที่จะเดินทางในวิถีแห่งคนเก็บฟืนมากเพียงใด”
เจ้าที่รีบพูดกลบเกลื่อนทันที หากเสี่ยวเยว่เผาศาลของเขา เขาก็จะกลายเป็นเจ้าที่เร่รอ่น
ไม่ต่างไปจากผีที่ไร้ศาล
“เหตุใดจึงไม่รีบบอกข้าเล่า
ข้าหลงคิดว่าท่านเป็นปิศาจเสียอีก จึงได้พูดเช่นนั้นออกไป”
เสี่ยวเยว่พูดขึ้นมาด้วยความยินดี
“ข้าจะรีบนำเรื่องนี้ไปรายงานต่อเทพแห่งการเก็บฟืน
ว่าเจ้านั้นมีความมุ่งมั่นเพียงใด”
เจ้าที่พูดจบก็รีบหายออกไปจากความฝันของเสี่ยวเยว่ทันที
“ไม่คิดเลยว่าเจ้าเด็กผู้นี้
จะเชื่อเรื่องโกหกนั้นถึงเพียงนี้” เจ้าที่แอบถอนหายใจ
“เจ้าคงรู้แล้วว่า
ทำไมข้าจึงต้องลำบากถึงเพียงนี้ หากไม่สามารถทำให้เจ้าเด็กนั่นก้าวออกมาจากวิถีแห่งการเก็บฟืนบ้าบอนั่น
ข้าคงจะไม่อาจได้กลับขึ้นไปบนสวรรค์แน่ และศาลเจ้าของเจ้าอาจจะถูกเขาจุดไฟเผาเมื่อใดก็ได้
ไม่ต่างไปจากร่างที่เป็นกระบี่ไม้ของข้า” เทพกระบี่ได้ปรับทุกข์กับเจ้าที่หลังจากออกมาจากความฝันของเสี่ยวเยว่
“และการที่เจ้าบอกแก่เขาเช่นนั้น
ก็ทำให้เขายิ่งเชื่อมั่นในเทพแห่งการเก็บฟืนมากยิ่งขึ้น ข้าจะทำเช่นใดดี” เทพกระบี่พูดด้วยความเศร้าใจ………จบเหอะ