“ข้าทราบเพียงว่านายน้อยอู่จินกับลูกน้องอีกคนได้ประลองกับอู่หมิงและสหายของเขาอีกสองคนขอรับ”
ผู้รับใช้คนหนึ่งรายงานแก่ อู่ฟง
“จงไปเรียกอู่หมิงมายังห้องโถงที่ตำหนักใหญ่เดี๋ยวนี้
ข้าจะต้องคุยเรื่องนี้ต่อหน้าท่านผู้นำตระกูล” อู่ฟงพูดขึ้นมาด้วยเสียงอันดัง
เขาเป็นชายวัยกลางคนรูปร่างท้วม ไม่มีผมทางด้านหน้า
มีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับดาราสวรรค์ ปกติแล้วเขาทำหน้าที่ดูแลการค้าของตระกูล
ห้องโถงหลักของตระกูลเทพนักรบ
อู่เสิ่น [武神:นักรบแห่งเทพ] ผู้นำของตระกูลเทพนักรบเป็นชายชราผมขาว
แต่หนวดและเครายังคงเป็นสีดำ มีใบหน้าคมคายและดุดัน สวมชุดคลุมสีขาวตรงส่วนอกมีลายเมฆทั้งสองด้าน
นั่งอยู่บนบรรลังค์
“ท่านผู้นำตระกูล อู่หมิง
สมคบกับคนนอกทำร้ายลูกชายข้าจนบาดเจ็บ แม้ทางกายอาจจะไม่มีบาดแผล
แต่ชะตาวิญญาณทั้งสามถูกทำลายจนสลายไป ไม่รู้ว่าในภายภาคหน้าเขาจะยังสามารถบ่มเพาะพลังได้อีกหรือไม่”
อู่ฟงพูดด้วยน้ำเสียงที่เกรี้ยวกราด
“จริงหรือไม่อู่หมิง?”
ผู้นำตระกูลอู่เทียนหันไปถามอู่หมิงที่ยืนอยู่ด้านล่าง
“เรียนท่านผู้นำตระกูล
เรื่องที่ท่านอู่ฟงพูดมานั้น มีทั้งเรื่องจริงและเท็จ ท่านสามารถให้ข้าชี้แจงได้หรือไม่ขอรับ”
อู่หมิงประสานมือและก้มหัวพูดอย่างนอบน้อม
“ข้าพูดเรื่องใดเท็จ จงพูดออกมา!”
อู่ฟงพูดขึ้นมาด้วยความไม่พอใจ
“ข้าและอู่จินท้าประลองกันอย่างยุติธรรม
ผู้ที่ขอให้เป็นการต่อสู้สามต่อสามก็คืออู่จินเอง
และเราทั้งสองได้มีการเดิมพันกันอีกด้วยว่า หากข้าชนะ
ข้าจะได้เฝิ่นหงกลับมาเป็นคู่หมั้นของข้าด้วย” อู่หมิงพูดออกไปอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“สามหาว
การหมั้นหมายเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ เด็กอย่างพวกเจ้าไม่มีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจ”
อู่ฟงพูดขึ้นมาพร้อมกับพ่นลมหายใจอย่างเย็นชา
“ท่านผู้นำตระกูลข้าขอพูดอีกได้หรือไม่?”
อู่หมิงยังคงพูดอย่างใจเย็น
“มีสิ่งใดเจ้าก็จงพูดมา
ข้าจะเป็นผู้รับฟังและตัดสินเอง” ผู้นำตระกูลอู่เทียนพยักหน้าตอบรับ
“เดิมทีนั้น
ข้ากับเฝิ่นหงก็คบหาและหมั้นหมายกันมาตั้งแต่เด็ก จนเมื่อถึงตอนอายุสิบสี่ปี
นางนั้นสามารถก่อรูปชะตาวิญญาณได้สำหรับ แต่ข้านั้นไร้ซึ่งพรสวรรค์จึงยังไม่อาจที่จะทำได้
แต่ในตอนนี้อู่จินเองก็สามารถก่อรูปชะตาวิญญาณขึ้นมาได้ด้วยเช่นกัน
และเขานั้นแอบชื่นชมเฟิ่นหงมานานแล้ว จึงได้ขอให้ท่านอู่ฟงหาทางยกเลิกการหมั้นหมายของข้า”
อู่หมิงพูดด้วยน้ำเสียงที่เจ็บใจ
“เจ้าพูดบ้าอันใดกัน เนื่องด้วยเจ้าไร้ซึ่งพรสวรรค์
ทางตระกูลน้ำผึ้งแสงจันทร์ จึงได้ขอยกเลิกการหมั้นหมายและขอให้
เฝิ่นหงหมั้นกับอู่จินลูกชายของข้าแทน” อู่ฟงตะโกนแทรกออกไป
“ดูเหมือนว่าท่านจะลืมเลือนไปแล้ว
แต่ข้านั้นยังจดจำได้ดี ท่านได้ให้อู่จินที่บรรลุระดับชะตาสวรรค์แล้วมาท้าประลองกับข้า
โดยหากข้าแพ้ท่านจะยกเลิกการหมั้นของข้ากับเฝิ่นหง โดยที่ไม่ให้ข้าปฏิเสธ”
อู่หมิงพูดพร้อมกับกำหมัดแน่นเพราะความเจ็บแค้น
“มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ?”
ผู้นำตระกูลอู่เทียนหันไปถามอู่ฟง
“เป็นการท้าประลองกันอย่างยุติธรรมตามกฏของตระกูลอขงเรา
ซึ่งอู่หมิงนั้นยินดียอมรับมันเอง” อู่ฟงตอบกลับไปอย่างลนลาน
“ผลการประลองท่านผู้นำตระกูลก็คงทราบดี
ผู้ที่ยังไม่อาจก่อรูปชะตาวิญญาณเช่นข้าต้องพ่ายแพ้อยู่แล้ว
ในตอนนั้นข้าต้องนอนซมอยู่นับเดือน” อู่หมิงพูดต่อ
“เรื่องนั้นมิได้เกี่ยวกับเรื่องนี้
การที่เจ้าให้คนนอกมาทำร้ายคนในตระกูลเช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง”
อู่ฟงสบัดมือด้วยความไม่พอใจ
“ทำตามกฏของตระกูล ทำร้ายคนในตระกูล
ข้ารู้สึกว่าท่านอ้างเรื่องตระกูลเพียงแค่เรื่องที่ตนเองได้ประโยชน์เท่านั้น”
อู่หมิงพูดออกไปด้วยน้ำเสียงประชดประชัน
“เจ้าเด็กสามหาวกล้าดีเช่นใดจึงพูดเช่นนี้กับข้า”
อู่ฟงพูดด้วยน้ำเสียงที่เดือดดาลยิ่งนัก
“พอได้แล้ว”
ผู้นำตระกูลอู่เทียนพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่สงบ
“แต่ท่านผู้นำตระกูล”
อู่ฟงพยายามที่จะขอพูดต่อ
“เมื่อเจ้ายังเรียกข้าว่าผู้นำตระกูล
ก็จงเชื่อฟังคำสั่งของข้า” ผู้นำตระกูลอู่เทียนพูดด้วยเสียงที่ดุดันมากขึ้น
“อู่หมิง
ข้าต้องการทราบเรื่องราวของการประลองที่ผ่านมา
สำหรับเรื่องก่อนหน้านั้นข้าได้รับรู้แล้ว และข้าจะให้ความยุติธรรมแก่เจ้า”
ผู้นำตระกูลอู่เทียนหันไปพูดกับอู่หมิง
“ได้ขอรับ เดิมทีในวันก่อนหน้านี้
ข้าได้ไปท้าประลองกับอู่จิน แต่ได้รับการปฏิเสธ แต่ได้ให้เงื่อนไขมาว่า
หากข้าสามารถเอาชนะฟงเจี้ยน แห่งตระกูลวายุครามได้ เขาก็ยินดีที่จะประลองกับข้า”
อู่หมิงค่อย ๆ เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“เมื่อข้าสามารถเอาชนะฟงเจี้ยนได้
อู่หมิงก็ได้เพิ่มเงื่อนไขขึ้นมาว่าเขาต้องการประลองสามต่อสาม เพื่อหาทางกำจัดสหายของข้า
และสหายของข้าก็ตอบรับ วานนี้จึงได้มีการประลองกันที่ลานประลองของสถาบันกำเนิดฟ้า”
อู่หมิงเล่าต่อ
“ข้าต้องการทราบรายละเอียดของการประลองด้วย”
ผู้นำตระกูลอู่เทียนพูดแทรกขึ้นมา
“สหายของข้านั้นได้ล้มลูกน้องของอู่จินทั้งสองคนได้อย่างรวดเร็ว
และอู่จินจึงยอมที่จะต่อสู้กับข้า
เขานั้นต่อยข้าแต่ข้าก็ต้านรับเอาไว้ได้และสามารถต่อยเขาคืนได้หนึ่งหมัด
หลังจากนั้นอู่จินก็เตะข้ากระเด็นไป จากนั้นสหายของข้าก็เข้ามารับตัวข้าเอาไว้
ทันใดนั้นอู่จินก็ผสานเข้ากับจิตอสูรหมาป่าเกล็ดมังกรเพลิง และใช้ลมหายใจมังกรโจมตีใส่พวกข้า
สหายข้าได้ใช้วรยุทธบางอย่างต้านรับเอาไว้ได้ จากนั้นอู่จินก็ล้มลง
เรื่องราวทั้งหมดมีเพียงเท่านี้ขอรับ”
อู่หมิงประสานมือและก้มหัวพูดความจริงออกไปทั้งหมด
“เจ้าอย่าได้โกหก
หากเป็นเช่นนั้นเหตุใดชะตาวิญญาณของอู่จินจึงได้สลายไปเช่นนี้” อู่ฟงพูดสวนกลับไป
“เรื่องนั้นข้าไม่ทราบ
และเมื่อข้าเอาชนะได้แล้ว ข้ากับเฟิ่นหงจึงกลับมาเป็นคู่หมั้นกันอีกครั้ง
และในอีกสองวันข้างหน้าข้าและเฟิ่งหงได้ตกลงว่าจะทำพันธสัญญาร่วมกันที่ตำหนักชะตาฟ้า”
อู่หมิงพูดออกไปพร้อมกับยิ้มด้วยความยินดี อู่หมิงหันไปมองอู่ฟงและพูดขึ้นอีกว่า
“เมื่อเวลานั้นมาถึง
ใครก็ไม่อาจที่จะพรากเฝิ่นหงไปจากข้าได้!”
“เจ้ามีผู้ใดเป็นพยานหรือไม่ในการประลอง?”
ผู้นำตระกูลอู่เทียนเอ่ยถาม
“สำหรับเรื่องนี้ท่านผู้นำตระกูลสามารถสอบถามอาจารย์เอี่ยนเก๋อได้ขอรับ”
การประลองครั้งนี้อาจารย์เอี่ยนเก๋อเป็นผู้อนุญาตและนับได้ว่าเป็นพยานที่มีน้ำหนักมากพอ
“ตกลงถ้าเช่นนั้นข้าจะเดินทางไปสอบถามอาจารย์เอี่ยนเก๋อด้วยตนเอง
แล้วจะมาตัดสินในเรื่องนี้และให้ความยุติธรรมแก่ทุกฝ่าย”
ผู้นำตระกูลอู่เทียนพูดพร้อมกับพยักหน้า
“ขอบคุณท่านผู้นำตระกูล” อู่หมิงประสานมือและก้มหัวพูดด้วยความเคารพ
“อู่หมิงข้าต้องการที่จะพบกับสหายของเจ้า
หากเจ้าได้พบกับเขา
ช่วยบอกแก่เขาว่าข้านั้นเชิญให้มาเยี่ยมชมที่ตำหนักของตระกูลเทพนักรบ”
ผู้นำตระกูลอู่เทียนพุดด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยนกับอู่หมิง
“ข้าจะแจ้งให้เขาทราบเองขอรับ”
อู่หมิงพูดด้วยความยินดี
เช้าวันต่อมา
ในชั้นเรียนของสถาบันวิญญาณฟ้า
“ในวันนี้ขอให้พวกเจ้าจงฝึกพื้นฐานที่ข้าได้สั่งสอนไป
สำหรับผู้ที่บรรลุระดับชะตาสวรรค์แล้ว
พวกเจ้าจะต้องจับคู่เพื่อมองหาสหายต่างเพศที่รู้ใจ ในวันพรุ่งนี้ ผู้ที่เลือกสรรค์ผู้ที่จะมาเป็นคู่ชิวิตกันได้แล้ว
ข้าจะพาพวกเจ้าไปยังตำหนักชะตาสวรรค์เพื่อทำพันธสัญญากัน”
อาจารย์เอี่ยนเก๋อพูดขึ้นมา ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
ในวันนี้มีนักเรียนที่สามารถจุดดวงไฟแห่งชะตาได้อีกยี่สิบคน
และมีผู้ที่จุดดวงไฟแห่งชะตาได้อีกสี่คน นักเรียนในชั้นเรียนของเขาที่บรรลุระดับชะตาสวรรค์แล้วมีทั้งหมดสิบเก้าคน
หากตัดอู่จินที่สูญเสียชะตาวิญญาณไปก็จะมีทั้งหมดสิบแปดคน
เป็นชายเก้าคนและหญิงเก้าคนพอดี [เดิมทีในตอนเริ่มต้นมีสิบคน
ต่อมาตู่ซื่อ ฮวาหั่ว และ อู่จิน จากนั้นมีเพิ่มมาอีกสองคนในวันก่อนหน้านี้ และในวันนี้มีอีกสี่คน]
“เมื่อพวกเจ้าทำพันธสัญญากันขอบเขตชะตาวิญญาณของพวกเจ้าก็จะเชื่อมต่อกัน
การบ่มเพาะพลังของทั้งสองฝ่ายจะเกื้อหนุนกัน
หากใช้วรยุทธและการบ่มเพาะพลังที่เกื้อหนุนกัน
ก็จะสามารถบ่มเพาะพลังและแข็งแกร่งขึ้นได้อย่างรวดเร็ว” อาจารย์เอี่ยนเก๋อพูดอธิบาย
ในตอนนี้ตู่ซื่อและฮวาหั่วนั่งหันหน้าเข้าหากันและใช้มือทั้งสองประกบกันอยู่
เป็นการพยายามที่จะให้พลังสวรรค์ในห้วงขอบเขตของทั้งสองคนใกล้เคียงกัน
หลังจากที่พลังของทั้งสองสมดุลกัน
ตู่ซื่อและฮวาหั่วก็สามารถก่อรูปชะตาวิญญาณดวงที่สามได้สำเร็จ
เมื่ออาจารย์เอี่ยนเก๋อสามารถสัมผัสได้ถึงระดับชะตาสวรรค์ขั้นที่สามของทั้งสองคนก็รู้สึกตื่นเต้นยิ่งนัก
ทั้งสองคนจะมีพรสวรรค์ที่เหนือชั้นเกินไปแล้ว
เมื่อการเรียนการสอนของวันนี้จบลง
อู่หมิงก็ได้เชิญตู่ซื่อและฮวาหั่วไปยังตำหนักของตระกูลเทพนักรบ
แต่ตู่ซื่อก็ได้ปฏิเสธกลับไป เนื่องจากเขานั้นต้องการบ่มเพาะพลังให้ก้าวหน้ายิ่งกว่านี้ก่อนที่จะออกเดินทางไปยัง
หุบเขาแห่งเทพ แต่ก็ได้กล่าวคำขออภัยไปยังผู้นำตระกูลเทพนักรบแล้ว
ในคืนนั้นทั้งสองคนต่างก็ดูดซับพลังสวรรค์จากศิลาจิตวิญญาณไปจนเต็มเปี่ยม
แม้ว่าจะไม่เพียงพอที่จะก่อรูปชะตาวิญญาณอีกดวงได้ แต่ก็มีพลังวิญญาณอยู่ในห้วงขอบเขตวิญญาณของทั้งสองคนอยู่ไม่น้อย
วันต่อมา
อาจารย์เอี่ยนเก๋อให้นักเรียนที่ยังไม่บรรลุระดับชะตาสวรรค์ฝึกฝนต่อไนชั้นเรียน
และนักเรียนทั้งสิบแปดคนไปยังตำหนักชะตาสวรรค์
ตำหนักชะตาสวรรค์เป็นตำหนักสูงตระหง่านและงดงามเป็นอย่างยิ่ง
สามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังอันแข็งแกร่ง
เมื่อเดินเข้าไปด้านในตำหนักมีทางเข้าแยกไปอีกมากมาย
อาจารย์เอี่ยนเก๋อแจ้งว่าจะสามารถเข้าไปเส้นทางละสองคนเท่านั้น
เมื่อเข้าไปถึงด้านในแม้จะเป็นสถานที่เดียวกันแต่ก็ไม่อาจที่จะพบเจอกับผู้อื่นได้
ตู่ซื่อจับมือฮวาหั่วเดินเข้าไปด้านใน
ตามทางเดินมืด ๆ เมื่อไปถึงด้านในกลับมีแสงสว่างจ้าราวกับอยู่ภายนอกตำหนัก
รอบกายพวกเขามีเมฆหมอกปกคลุมบางเบา ทำให้ทั้งสองคนรู้สึกตัวเบาราวกับอยู่บนก้อนเมฆ
หลังจากจากที่ชื่นชมกับภูมิทัศน์โดยรอบแล้ว
ตู่ซื่อกับฮวาหั่วก็ได้นั่งลงบนที่นั่งที่อยู่ตรงกลางห้อง
และประสานมือประกบกันอีกครั้ง
ในครั้งนี้ความรู้สึกแตกต่างจากการประสานเพื่อถ่ายลมปราณอย่างชัดเจน
เนื่องจากลมปราณจากมือขวาของตู่ซื่อโคจรผ่านมือซ้ายของฮวาหั่ว
ส่วนมือขวาของฮวาหั่วก็โคจรผ่านไปทางมือซ้ายของตู่ซื่อ
ลมปราณโครจรผ่านทั้งสองคนราวกับมีร่างกายเดียวกัน เป็นการเริ่มต้นการทำพันธสัญญา
จากนั้นห้วงขอบเขตวิญญาณของทั้งสองคนก็มีสายใยยื่นออกไป
และผสานเข้าหากัน
การผสานห้วงขอบเขตชะตาวิญญาณเป็นการเชื่อมสายใยระหว่างห้วงขอบเขตวิญญาณของทั้งสองคน
และพลังวิญญาณของทั้งสองคนจะไหลผ่านเส้นสายใหญ่เหล่านี้จนเกิดความสมดุล
ชะตาวิญญาณของทั้งสองก็เกิดการเปลี่ยนแปลง
เดิมทีแล้วชะตาวิญญาณจะไร้สี
แต่เมื่อผสานห้วงขอบเขตวิญญาณกันแล้วชะตาวิญญาณหนึ่งดวงจะมีสองสี
คือไร้สีและอีกซีกหนึ่งจะเป็นสีแดง
หากมีคนใดคนหนึ่งตายไป ชะตาวิญญาณของคนผู้นั้นในห้วงวิญญาณของตนเองก็จะสลายไป
ส่วนจิตวิญญาณของอีกฝ่ายก็จะกลับคืนไปยังห้วงขอบเขตวิญญาณเดิม
เมื่อคนที่ตายฟื้นคืนกลับมา
ชะตาวิญญาณของอีกฝ่ายก็จะกลับมาผสานกันเช่นเดิม
โดยปกติแล้วเมื่อตายไปและกลับคืนชีพขึ้นมา จะสูญเสียชะตาวิญญาณไปหนึ่งดวง
แต่ด้วยเทคนิคลับนี้ของนิกายกำเนิดสวรรค์ จะสูญเสียเพียงครึ่งชะตาเท่านั้น
จึงสามารถฟื้นฟูชะตาวิญญาณได้รวดเร็วกว่าการสร้างใหม่
แต่จะเป็นเช่นนี้ได้ก็เมื่อผู้ที่ตายมีเพียงคนเดียวเท่านั้น
‘ได้ยินเสียงข้าแล้วใช่หรือไม่’
กิเลนฟ้าพูดขึ้นมาในหัวของฮวาหั่ว
ปกติแล้วกิเลนฟ้าจะมีชีวิตอยู่ในห้วงขอบเขตวิญญาณของตู่ซื่อ
เมื่อห้วงขอบเขตวิญญาณเชื่อมต่อกัน
มันจึงสามารถพูดคุยกับฮวาหั่วได้เช่นกัน.............จบตอน