test

เมนู นิยาย บน

เมนูมังงะ

14 พ.ย. 2559

Tales of Demons & Gods Next Legend บทที่ 444.20 เพลิงทมิฬเที่ยงแท้


         
      “เจ้าชั่งบังอาจเสียจริง ที่ต้องให้ข้ามารับฟังเรื่องไร้สาระเช่นนี้ หากนิกายเทพอสูรอ่อนแอนัก ก็จงปล่อยให้พวกมนุษย์มากกวาดล้างให้สิ้นซากไปซะ!” บริวารแห่งเทพพูดด้วยน้ำเสียงที่เกรี้ยวกราด
         

      “ท่านบริวารแห่งเทพโปรดฟังข้า หาใช่ว่านิกายเทพอสูรนั้นอ่อนแอ แต่ด้วยเพราะปรมาจารย์แห่งเทพทั้งสี่มีความเห็นไม่ตรงกัน ข้าจึงดั้นด้นมาขอคำชี้แนะจากท่าน” ปรมาจารย์เทพเสวียนหมิงก้มหน้าพูดด้วยตัวที่สั่นสะท้าน
         

     “อาณาจักรซากมังกรหาใช่อาณาจักรเดียวที่ข้าได้รับมอบหมายให้ดูแล การตัดสินใจเล็กน้อยเพียงเท่านี้หากพวกเจ้าไม่อาจทำได้ ก็ไม่ต้องรอให้พวกมนุษย์บุกมาทำลาย ข้าจะเป็นผู้ลงไปทำลายเสียบัดนี้เลย!
         

     สิ้นเสียงของบริวารแห่งเทพ ก็มีเสียงฟ้าร้องคำรามดังลั่นไปทั่ว ปรมาจารย์เทพเสวียนหมิงรีบคุกเข่าและประสานมือพูดออกไปว่า
         

 “ขออภัยท่านบริวารแห่งเทพ ข้าจะนำเรื่องนี้ไปหารือกับเหล่าปรมาจารย์แห่งเทพอีกครั้ง ขอให้ท่านบริวารแห่งเทพละเว้นเรื่องในคราวนี้ด้วย”
        

     “ถ้าเช่นนั้นก็จงไสหัวออกไปซะ” บริวารแห่งเทพ พูดออกมาพร้อมกับเสียงฟ้าร้องที่สงบลงไป
         

   หลังจากจากนั้นปรมาจารย์เทพเสวียนหมิงจึงกลับออกมาด้วยความเศร้าใจ แม้จะเจ็บแค้นในใจเขาก็ไม่อาจที่จะแสดงออกมาให้บริวารแห่งเทพเห็นได้ หาไม่แล้วชีวิตของเขาคงต้องจบลงในพริบตาเป็นแน่
         

หลายวันต่อมา ภายในภาพจิตรกรรมหมื่นขุนเขาและสายน้ำ
         

เนี่ยลี่และเหล่าสหาย เข้ามาเยี่ยมเทพธิดายู่หยานและ เซี่ยวหยู่ ส่วนเนี่ยลี่นั้นขอตัวไปหาเหล่าผู้นำนิกายคนอื่น ๆ
         

     “ท่านประมุขเนี่ย นี่ก็ผ่านไปเจ็ดวันแล้ว มีท่านผู้นำนิกายสองท่านที่บรรลุขอบเขตแห่งพระเจ้าแล้ว คือท่านปรมาจารย์เทียนหั่ว แห่งนิกายเทพอัคคี และ ท่านปรมาจารย์อินเยวี่ยแห่งนิกายเสียงสวรรค์ขอรับ” ปรมาจารย์เทียนอู่รายงานทันทีเมื่อเห็นเนี่ยลี่
         

      “ข้าเองก็คาดเอาไว้แล้ว แต่ในตอนนี้ข้าต้องการที่จะหารือกับผู้นำนิกายทั้งหกคน ท่านเทียนอู่ โปรดไปแจ้งแก่พวกเขาด้วย ข้าจะนั่งรอในห้องโถงของตำหนักซีอิงเสิ่น” เนี่ยลี่ยิ้มและหันไปพูดกับปรมาจารย์เทียนอู่
         

     “ข้าจะรีบไปแจ้งให้พวกเขาทราบในทันที” ปรมาจารย์เทียนอู่พูดเสร็จก็รีบไปตามเหล่าผู้นำนิกายทั้งหกคนออกมา
         

        ในตอนนี้ผู้นำนิกายคนอื่น ๆ อีกสี่คน แม้จะยังไม่บรรลุระดับขอบเขตแห่งพระเจ้า แต่ก็มีความก้าวหน้าไม่น้อย ปรมาจารย์ฟู่ชิน และ ปรมาจารย์หมู่ชิน แห่งนิกายกำเนิดสวรรค์นั้น บรรลุระดับเทพสงครามขั้นที่เก้าแล้ว ส่วน ปรมาจารย์อู๋เม่า แห่งนิกายเทพไร้ลักษณ์ และ ปรมาจารย์ฮัวฮวาลี่แห่งนิกายร้อยบุพผาสวรรค์ ในตอนนี้อยู่ในระดับเทพสงครามขั้นที่แปด
         

ส่วนปรมาจารย์ทั้งห้าของนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์นั้นบรรลุระดับขอบเขตแห่งพะรเจ้ากันทุกคนแล้ว
         

     “ขออภัยที่ต้องรบกวนการบ่มเพาะพลังของท่านผู้นำกายทั้งหกคน เนื่องจากข้ามีเรื่องที่ต้องแจ้งให้พวกท่านทราบ” เนี่ยลี่ประสานมือคารวะพร้อมกับพูดออกไป
         

     “ประมุขเนี่ยพูดเกินไปแล้ว การที่พวกข้าสามารถบ่มเพาะพลังได้ถึงเพียงนี้ ก็เพราะประมุขเนี่ยอยู่แล้ว!” ปรมาจารย์เทียนหั่วพูดและหัวเราะด้วยความยินดี
         

   “อีกไม่นานข้าจะต้องกลับไปยังโลกใบเล็ก และข้าทราบมาว่าศิษย์ของพวกท่านเองก็มาจากโลกใบเล็กเช่นกัน ข้าจึงอยากจะขอเชิญพวกเขากลับไปด้วย” เนี่ยลี่พูดออกไป
         

    “สำหรับเรื่องนั้นข้าอนุญาต ศิษย์ของข้านั้นเป็นสตรี การที่ต้องออกเดินทางจากบ้านมาเป็นเวลานาน พวกนางคงคิดถึงครอบครัวไม่น้อย”  ปรมาจารย์อินเยวี่ย พูดขึ้นมา
         
“แต่ข้าทราบมาว่าประตูไปสู่โลกใบเล็กจะเปิดทุก ๆ ห้าปี มิใช่หรือ?” ปรมาจารย์อู๋เม่า พูดแทรกขึ้นมา
         
“เรื่องนั้นท่านไม่ต้องกังวล ข้าสามารถหาหนทางในการกลับไปได้” เนี่ยลี่ยิ้มและตอบกลับไป
         
“ถ้าเช่นนั้น ข้าก็ฝากศิษย์ของข้าด้วย” ปรมาจารย์อู๋เม่า พยักหน้าและตอบกลับไป
         
“พวกข้าก็เช่นกัน” ผู้นำนิกายคนอื่น ๆ ก็ตอบกลับไป
         

    “ในยามที่ข้ากลับไปยังโลกใบเล็กนั้น พวกท่านจำต้องออกจากที่แห่งนี้ เนื่องจากสถานที่แห่งนี้เชื่อมต่อกับห้วงขอบเขตวิญญาณของข้า” เนี่ยลี่พูดแล้วนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะหยิบศิลาเร้นเมฆาออกมา และพูดต่ออีกว่า
         

      “นี่คือศิลาเร้นเมฆา ที่ข้าสลักคำว่า เสิ่นจง เอาไว้ พวกท่านโปรดพกเอาไว้ในยามที่ออกจากที่นี่ไป มันสามารถปิดกั้นระดับพลังของพวกท่านให้อยู่ราวระดับเทพสงครามขั้นที่หนึ่งหรือสองได้” เนี่ยลี่มอบศิลาเร้นเมฆาให้แก่ผู้นำนิกายทั้งหกคน [神宗:เสิ่นจง:นิกายศักดิ์สิทธิ์]
         

  “ข้าเข้าใจแล้ว ประมุขเนี่ยไม่ต้องการให้พวกข้าเปิดเผยพลังในระดับขอบเขตแห่งพระเจ้าออกไปสินะ” ปรมาจารย์เทียนหั่วพูดพร้อมกับพยักหน้าและรับศิลาเร้นเมฆาไป
         

   “ถูกต้องแล้ว แม้ว่าพวกท่านจะสามารถปิดกั้นระดับพลังได้อยู่แล้ว แต่มันก็ไม่อาจที่จะปกปิดยอดฝีมือที่มีระดับพลังในระดับเดียวกันหรือเหนือกว่าได้ ซึ่งแตกต่างจากการใช้ศิลาเร้นเมฆา” เนี่ยลี่ตอบกลับไปพร้อมกับพูดต่ออีกว่า
         

    “การเดินทางไปยังโลกใบเล็ก อาจจะต้องใช้เวลาไม่น้อย ข้าจะเตรียมยาทิพย์ให้แก่พวกท่านสำหรับใช้ในการบ่มเพาะพลังได้ในหนึ่งปี และหากใช้เวลายาวนานกว่านั้น ข้าจะให้คนนำมามอบไว้ที่ท่านเทียนอู่ พวกท่านคงต้องหาโอกาสในการชุมนุมกันและมารับยาทิพย์จากท่านเทียนอู่”
         
“พวกข้าเข้าใจแล้ว” ผู้นำนิกายทั้งหกคนตอบกลับมาพร้อมกัน
         
“ประมุขเนี่ยข้ามีเรื่องที่ต้องแจ้งกับท่าน” ปรมาจารย์เทียนหั่วพูดขึ้นมา
         
“เรื่องอันใดกัน?” เนี่ยลี่ถามด้วยความสงสัย
         
“หลังจากที่ข้าบรรลุระดับขอบเขตแห่งพระเจ้า ข้าได้เดินสำรวจตำหนักซีอิงเสิ่นแห่งนี้ ข้าได้พบว่ามีห้องลับที่อยู่ใต้ดิน และมีเปลวเพลิงสีดำอยู่” ปรมาจารย์เทียนหั่ว ค่อย ๆ พูดออกไป
         
“เปลวเพลิงสีดำ?” เนี่ยลี่รู้สึกสงสัยยิ่งนัก เขาไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน
         

   “เป็นเปลวเพลิงที่มีความร้อนแรงยิ่งนัก ข้านั้นยังไม่กล้าที่จะสัมผัส จึงนำมาแจ้งแก่ประมุขเนี่ย” ปรมาจารย์เทียนหั่วตอบกลับไป จริง ๆ แล้วก็เป็นเรื่องเสียมารยาทไม่น้อยที่เดินสำรวจตำหนักผู้อื่น โดยที่ไม่แจ้งแก่เจ้าของ
         

ในอดีต ปรมาจารย์เทียนหั่ว เคยเข้าไปยังตำหนักซีอิงเสิ่นมาก่อน จึงรู้สึกสนใจตำหนักแห่งนี้เพราะมีความคล้ายคลึงกันยิ่งนัก จึงลองเดินสำรวจดู
         
“ท่านประมุขเทียนหั่วรบกวนนำทางให้ข้าด้วย” เนี่ยลี่พูดออกไปด้วยความตื่นเต้น ส่วนเรื่องมารยาทนั้นเขาหาได้สนใจมากนัก
         

   หลังจากนั้น ปรมาจารย์เทียนหั่ว ได้นำทางเนี่ยลี่เข้าไป โดยที่ผู้นำนิกายคนอื่น ๆ เนี่ยลี่ให้แยกย้ายไปบ่มเพาะพลังกันต่อ
         

เปลวเพลิงอันร้อนแรงกำลังลุกโชนอยู่ เนี่ยลี่เองก็ไม่กล้าที่จะสัมผัสเช่นกัน จึงตะโกนเรียกหลิงหยา ให้เข้ามาที่นี่
         

หลิงหยา เพลิงสีดำนี่คือสิ่งใดกัน?” เนี่ยลี่ถามออกไป
         

    “นี่คือเพลิงทมิฬเที่ยงแท้ เป็นสมบัติที่แท้จริงของตำหนักซีอิงเสิ่น” หลิงหยาตอบกลับไป เมื่อกลายเป็นหุ่นเชิดวิญญาณจึงไม่อาจที่จะโกหกเนี่ยลี่ได้
         
“เหตุใดเจ้าจึงไม่บอกเรื่องนี้แก่ข้า?” เนี่ยลี่ถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ
         
“ก็เจ้าไม่เคยเอ่ยถาม” หลิงหยาตอบกลับไป
         
“ถ้าเช่นนั้น เพลิงทมิฬเที่ยงแท้ สามารถใช้ทำอันใดได้?” เนี่ยลี่ถามด้วยความสงสัย
         

      “เพลิงทมิฬเที่ยงแท้ เป็นดั่งดวงจิตอสูร หากผู้ใดสามารถผสานกันมันได้ ก็จะได้พลังมหาศาล แต่หากมิใช่ผู้ที่ เพลิงทมิฬเที่ยงแท้ยอมรับ หากสัมผัสกับเพลิงทมิฬเที่ยงแท้ก็จะถูกเผาไหม้จนไม่เหลือซาก” หลิงหยาอธิบาย
         

“คนเช่นใดที่จะผสานกับเปลวเพลิงอันน่ากลัวเช่นนี้ได้?” เนี่ยลี่บ่นด้วยความสงสัย
         

“คนผู้นั้นจะต้องมีสายเลือดมังกรทมิฬไหลเวียนอยู่ จึงจะสามารถรองรับพลังอันมหาศาลของเพลิงทมิฬเที่ยงแท้ได้” หลิงหยาพูดขึ้นมา
         

“สายเลือดมังกรทมิฬ? ต้วนเจี้ยน! หลิงหยาไปตามต้วนเจี้ยนที่อยู่ด้านนอกมา” เนี่ยลี่หันไปสั่งการหลิงหยา
         

หลังจากนั้นหลิงหยาก็ไปตามต้วนเจี้ยน แต่ทุกคนก็ตามมาด้วยความสงสัย
         

“ข้ามาแล้วขอรับ” ต้วนเจี้ยนพูดกับเนี่ยลี่ด้วยความเคารพ
         

“ต้วนเจี้ยน เพลิงทมิฬเที่ยงแท้ มีเพียงเจ้าที่จะผสานเข้ากับมันได้ จงปลดปล่อยจิตอสูรมังกรสายฟ้าเพลิงทมิฬ ที่อยู่ในห้วงขอบเขตวิญญาณของเจ้าออกไป และผสานเข้ากับเพลิงทมิฬเที่ยงแท้นี้ซะ” เนี่ยลี่พูดออกไป
         

“ขอรับ” ต้วนเจี้ยนปฏิบัติตามคำสั่งในทันที เขาไม่เคยมีความสงสัยในคำสั่งของเนี่ยลี่ ไม่ว่าเนี่ยลี่จะสั่งการเขาเช่นใด เขาก็ยินดีปฏิบัติตามคำสั่งอย่างไม่ลังเล
         

   ทุกคนต่างจับจ้องต้วนเจี้ยน ที่เดินเข้าไปใกล้ เพลิงทมิฬเที่ยงแท้ และเอื้อมมือออกไป ร่างกายของต้วนเจี้ยนถูกเพลิงทมิฬเที่ยงแท้ เผาไหม้จนเปลวเพลิงสีดำปกคลุมทั่วร่างของต้วนเจี้ยน
         

“นั่งลงและผสานเข้ากับมัน!” เนี่ยลี่ตะโกนออกไป
         

ต้วนเจี้ยนค่อย ๆ นั่งลง ร่างกายของเขานั้นเจ็บปวดยิ่งนัก ราวกับว่าเพลิงสีดำนี้จะแผดเผาร่างกายของเขาให้มอดไหม้
         

     ต้วนเจี้ยนพยายามที่จะผสานเพลิงทมิฬเที่ยงแท้ เข้ากับห้วงขอบเขตวิญญาณของเขา แต่ดูเหมือนว่าเพลิงทมิฬเที่ยงแท้ จะไม่ยอมให้ทำเช่นนั้น ยังคงลุกโชนเผาไหม้รุนแรงยิ่งขึ้น หากเป็นคนทั่วไป ร่างกายคงถูกเผาไหม้จนไม่เหลือซากไปแล้ว
         
“เนี่ยลี่ ต้วนเจี้ยนจะเป็นอะไรหรือไม่?” ลู่เพียวถามขึ้นมาด้วยความกังวล เปลวเพลิงนี้มันชั่งร้อนแรงยิ่งนัก
         
“ปลุกสายเลือดมังกรทมิฬในตัวเจ้าออกมา” เนี่ยลี่นึกขึ้นมาได้ จึงตะโกนออกไปอีกครั้ง
         

    เมื่อได้ยินคำแนะนำจากเนี่ยลี่ ต้วนเจี้ยนก็ระเบิดพลังจากสายเลือดมังกรทมิฬออกมา ร่ายกายของเขาเต็มไปด้วยเกล็ดมังกรสีดำ ปีกของเขาก็สยายออกไป แม้ว่าร่างกายของเขาจะถูกปกคลุมไปด้วยเพลิงสีดำ แต่เมื่อกระตุ้นพลังจากสายเลือดมังกรทมิฬออกมา มันก็ไม่อาจที่จะเผาไหม้ร่างกายของต้วนเจี้ยนได้อีกต่อไป
         

   หลายชั่วยามต่อมา เพลิงทมิฬเที่ยงแท้ที่ปกคลุมร่างกายของต้วนเจี้ยนอยู่ก็ค่อย ๆ มอดลง เนื่องจากถูกห้วงขอบเขตวิญญาณของต้วนเจี้ยนดูดซึมเข้าไป
         

     แต่เพลิงทมิฬเที่ยงแท้ยังคงลุกไหม้อยู่ในห้วงขอบเขตวิญญาณของต้วนเจี้ยน มันพองขยายออกหลายเท่า ราวกับว่ามันจะระเบิดออก แต่ว่าก็สามารถขยายตัวออกไปราวกับว่าไร้ที่สิ้นสุด
         

     ทุกคนต่างก็ตกใจกับกลิ่นอายลมปราณที่แผ่ออกมาจากร่างกายของต้วนเจี้ยน นี่มันระดับพลังในระดับขอบเขตแห่งพระเจ้า เพลิงทมิฬเที่ยงแท้ช่วยเพิ่มพลังให้แก่ต้วนเจี้ยนหลายร้อยเท่า นับว่าเป็นเปลวเพลิงที่มหัศจรรย์ยิ่งนัก
         

ต้วนเจี้ยนลืมตาขึ้นมาและรีบคุกเข่าและประสานมือพูดกับเนี่ยลี่ว่า
         

“นายท่าน บัดนี้ข้าได้ความทรงจำกลับคืนมาแล้ว ข้าคือหนึ่งในหกคนที่กลับชาติมาเกิดที่ท่านตามหาอยู่”..........................จบตอน


แต่งโดย นายมะพร้าว



เมนู นิยาย ล่าง

เมนู มังงะ ล่าง