“เจ้าชั่งบังอาจเสียจริง ที่ต้องให้ข้ามารับฟังเรื่องไร้สาระเช่นนี้
หากนิกายเทพอสูรอ่อนแอนัก ก็จงปล่อยให้พวกมนุษย์มากกวาดล้างให้สิ้นซากไปซะ!” บริวารแห่งเทพพูดด้วยน้ำเสียงที่เกรี้ยวกราด
“ท่านบริวารแห่งเทพโปรดฟังข้า
หาใช่ว่านิกายเทพอสูรนั้นอ่อนแอ
แต่ด้วยเพราะปรมาจารย์แห่งเทพทั้งสี่มีความเห็นไม่ตรงกัน
ข้าจึงดั้นด้นมาขอคำชี้แนะจากท่าน” ปรมาจารย์เทพเสวียนหมิงก้มหน้าพูดด้วยตัวที่สั่นสะท้าน
“อาณาจักรซากมังกรหาใช่อาณาจักรเดียวที่ข้าได้รับมอบหมายให้ดูแล
การตัดสินใจเล็กน้อยเพียงเท่านี้หากพวกเจ้าไม่อาจทำได้
ก็ไม่ต้องรอให้พวกมนุษย์บุกมาทำลาย ข้าจะเป็นผู้ลงไปทำลายเสียบัดนี้เลย!”
สิ้นเสียงของบริวารแห่งเทพ
ก็มีเสียงฟ้าร้องคำรามดังลั่นไปทั่ว ปรมาจารย์เทพเสวียนหมิงรีบคุกเข่าและประสานมือพูดออกไปว่า
“ขออภัยท่านบริวารแห่งเทพ
ข้าจะนำเรื่องนี้ไปหารือกับเหล่าปรมาจารย์แห่งเทพอีกครั้ง
ขอให้ท่านบริวารแห่งเทพละเว้นเรื่องในคราวนี้ด้วย”
“ถ้าเช่นนั้นก็จงไสหัวออกไปซะ”
บริวารแห่งเทพ พูดออกมาพร้อมกับเสียงฟ้าร้องที่สงบลงไป
หลังจากจากนั้นปรมาจารย์เทพเสวียนหมิงจึงกลับออกมาด้วยความเศร้าใจ
แม้จะเจ็บแค้นในใจเขาก็ไม่อาจที่จะแสดงออกมาให้บริวารแห่งเทพเห็นได้
หาไม่แล้วชีวิตของเขาคงต้องจบลงในพริบตาเป็นแน่
หลายวันต่อมา
ภายในภาพจิตรกรรมหมื่นขุนเขาและสายน้ำ
เนี่ยลี่และเหล่าสหาย
เข้ามาเยี่ยมเทพธิดายู่หยานและ เซี่ยวหยู่
ส่วนเนี่ยลี่นั้นขอตัวไปหาเหล่าผู้นำนิกายคนอื่น ๆ
“ท่านประมุขเนี่ย
นี่ก็ผ่านไปเจ็ดวันแล้ว มีท่านผู้นำนิกายสองท่านที่บรรลุขอบเขตแห่งพระเจ้าแล้ว คือท่านปรมาจารย์เทียนหั่ว
แห่งนิกายเทพอัคคี และ ท่านปรมาจารย์อินเยวี่ยแห่งนิกายเสียงสวรรค์ขอรับ”
ปรมาจารย์เทียนอู่รายงานทันทีเมื่อเห็นเนี่ยลี่
“ข้าเองก็คาดเอาไว้แล้ว
แต่ในตอนนี้ข้าต้องการที่จะหารือกับผู้นำนิกายทั้งหกคน ท่านเทียนอู่
โปรดไปแจ้งแก่พวกเขาด้วย ข้าจะนั่งรอในห้องโถงของตำหนักซีอิงเสิ่น”
เนี่ยลี่ยิ้มและหันไปพูดกับปรมาจารย์เทียนอู่
“ข้าจะรีบไปแจ้งให้พวกเขาทราบในทันที”
ปรมาจารย์เทียนอู่พูดเสร็จก็รีบไปตามเหล่าผู้นำนิกายทั้งหกคนออกมา
ในตอนนี้ผู้นำนิกายคนอื่น
ๆ อีกสี่คน แม้จะยังไม่บรรลุระดับขอบเขตแห่งพระเจ้า แต่ก็มีความก้าวหน้าไม่น้อย
ปรมาจารย์ฟู่ชิน และ ปรมาจารย์หมู่ชิน แห่งนิกายกำเนิดสวรรค์นั้น
บรรลุระดับเทพสงครามขั้นที่เก้าแล้ว ส่วน ปรมาจารย์อู๋เม่า แห่งนิกายเทพไร้ลักษณ์
และ ปรมาจารย์ฮัวฮวาลี่แห่งนิกายร้อยบุพผาสวรรค์
ในตอนนี้อยู่ในระดับเทพสงครามขั้นที่แปด
ส่วนปรมาจารย์ทั้งห้าของนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์นั้นบรรลุระดับขอบเขตแห่งพะรเจ้ากันทุกคนแล้ว
“ขออภัยที่ต้องรบกวนการบ่มเพาะพลังของท่านผู้นำกายทั้งหกคน
เนื่องจากข้ามีเรื่องที่ต้องแจ้งให้พวกท่านทราบ”
เนี่ยลี่ประสานมือคารวะพร้อมกับพูดออกไป
“ประมุขเนี่ยพูดเกินไปแล้ว
การที่พวกข้าสามารถบ่มเพาะพลังได้ถึงเพียงนี้ ก็เพราะประมุขเนี่ยอยู่แล้ว!” ปรมาจารย์เทียนหั่วพูดและหัวเราะด้วยความยินดี
“อีกไม่นานข้าจะต้องกลับไปยังโลกใบเล็ก
และข้าทราบมาว่าศิษย์ของพวกท่านเองก็มาจากโลกใบเล็กเช่นกัน
ข้าจึงอยากจะขอเชิญพวกเขากลับไปด้วย” เนี่ยลี่พูดออกไป
“สำหรับเรื่องนั้นข้าอนุญาต
ศิษย์ของข้านั้นเป็นสตรี การที่ต้องออกเดินทางจากบ้านมาเป็นเวลานาน
พวกนางคงคิดถึงครอบครัวไม่น้อย”
ปรมาจารย์อินเยวี่ย พูดขึ้นมา
“แต่ข้าทราบมาว่าประตูไปสู่โลกใบเล็กจะเปิดทุก
ๆ ห้าปี มิใช่หรือ?” ปรมาจารย์อู๋เม่า พูดแทรกขึ้นมา
“เรื่องนั้นท่านไม่ต้องกังวล
ข้าสามารถหาหนทางในการกลับไปได้” เนี่ยลี่ยิ้มและตอบกลับไป
“ถ้าเช่นนั้น
ข้าก็ฝากศิษย์ของข้าด้วย” ปรมาจารย์อู๋เม่า พยักหน้าและตอบกลับไป
“พวกข้าก็เช่นกัน”
ผู้นำนิกายคนอื่น ๆ ก็ตอบกลับไป
“ในยามที่ข้ากลับไปยังโลกใบเล็กนั้น
พวกท่านจำต้องออกจากที่แห่งนี้ เนื่องจากสถานที่แห่งนี้เชื่อมต่อกับห้วงขอบเขตวิญญาณของข้า”
เนี่ยลี่พูดแล้วนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะหยิบศิลาเร้นเมฆาออกมา และพูดต่ออีกว่า
“นี่คือศิลาเร้นเมฆา
ที่ข้าสลักคำว่า เสิ่นจง เอาไว้ พวกท่านโปรดพกเอาไว้ในยามที่ออกจากที่นี่ไป
มันสามารถปิดกั้นระดับพลังของพวกท่านให้อยู่ราวระดับเทพสงครามขั้นที่หนึ่งหรือสองได้”
เนี่ยลี่มอบศิลาเร้นเมฆาให้แก่ผู้นำนิกายทั้งหกคน [神宗:เสิ่นจง:นิกายศักดิ์สิทธิ์]
“ข้าเข้าใจแล้ว
ประมุขเนี่ยไม่ต้องการให้พวกข้าเปิดเผยพลังในระดับขอบเขตแห่งพระเจ้าออกไปสินะ” ปรมาจารย์เทียนหั่วพูดพร้อมกับพยักหน้าและรับศิลาเร้นเมฆาไป
“ถูกต้องแล้ว
แม้ว่าพวกท่านจะสามารถปิดกั้นระดับพลังได้อยู่แล้ว
แต่มันก็ไม่อาจที่จะปกปิดยอดฝีมือที่มีระดับพลังในระดับเดียวกันหรือเหนือกว่าได้
ซึ่งแตกต่างจากการใช้ศิลาเร้นเมฆา” เนี่ยลี่ตอบกลับไปพร้อมกับพูดต่ออีกว่า
“การเดินทางไปยังโลกใบเล็ก
อาจจะต้องใช้เวลาไม่น้อย
ข้าจะเตรียมยาทิพย์ให้แก่พวกท่านสำหรับใช้ในการบ่มเพาะพลังได้ในหนึ่งปี
และหากใช้เวลายาวนานกว่านั้น ข้าจะให้คนนำมามอบไว้ที่ท่านเทียนอู่
พวกท่านคงต้องหาโอกาสในการชุมนุมกันและมารับยาทิพย์จากท่านเทียนอู่”
“พวกข้าเข้าใจแล้ว”
ผู้นำนิกายทั้งหกคนตอบกลับมาพร้อมกัน
“ประมุขเนี่ยข้ามีเรื่องที่ต้องแจ้งกับท่าน”
ปรมาจารย์เทียนหั่วพูดขึ้นมา
“เรื่องอันใดกัน?” เนี่ยลี่ถามด้วยความสงสัย
“หลังจากที่ข้าบรรลุระดับขอบเขตแห่งพระเจ้า
ข้าได้เดินสำรวจตำหนักซีอิงเสิ่นแห่งนี้ ข้าได้พบว่ามีห้องลับที่อยู่ใต้ดิน
และมีเปลวเพลิงสีดำอยู่” ปรมาจารย์เทียนหั่ว ค่อย ๆ พูดออกไป
“เปลวเพลิงสีดำ?” เนี่ยลี่รู้สึกสงสัยยิ่งนัก เขาไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน
“เป็นเปลวเพลิงที่มีความร้อนแรงยิ่งนัก
ข้านั้นยังไม่กล้าที่จะสัมผัส จึงนำมาแจ้งแก่ประมุขเนี่ย”
ปรมาจารย์เทียนหั่วตอบกลับไป จริง ๆ
แล้วก็เป็นเรื่องเสียมารยาทไม่น้อยที่เดินสำรวจตำหนักผู้อื่น
โดยที่ไม่แจ้งแก่เจ้าของ
ในอดีต
ปรมาจารย์เทียนหั่ว เคยเข้าไปยังตำหนักซีอิงเสิ่นมาก่อน จึงรู้สึกสนใจตำหนักแห่งนี้เพราะมีความคล้ายคลึงกันยิ่งนัก
จึงลองเดินสำรวจดู
“ท่านประมุขเทียนหั่วรบกวนนำทางให้ข้าด้วย”
เนี่ยลี่พูดออกไปด้วยความตื่นเต้น ส่วนเรื่องมารยาทนั้นเขาหาได้สนใจมากนัก
หลังจากนั้น
ปรมาจารย์เทียนหั่ว ได้นำทางเนี่ยลี่เข้าไป โดยที่ผู้นำนิกายคนอื่น ๆ เนี่ยลี่ให้แยกย้ายไปบ่มเพาะพลังกันต่อ
เปลวเพลิงอันร้อนแรงกำลังลุกโชนอยู่
เนี่ยลี่เองก็ไม่กล้าที่จะสัมผัสเช่นกัน จึงตะโกนเรียกหลิงหยา ให้เข้ามาที่นี่
“หลิงหยา เพลิงสีดำนี่คือสิ่งใดกัน?” เนี่ยลี่ถามออกไป
“นี่คือเพลิงทมิฬเที่ยงแท้
เป็นสมบัติที่แท้จริงของตำหนักซีอิงเสิ่น” หลิงหยาตอบกลับไป
เมื่อกลายเป็นหุ่นเชิดวิญญาณจึงไม่อาจที่จะโกหกเนี่ยลี่ได้
“เหตุใดเจ้าจึงไม่บอกเรื่องนี้แก่ข้า?” เนี่ยลี่ถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ
“ก็เจ้าไม่เคยเอ่ยถาม”
หลิงหยาตอบกลับไป
“ถ้าเช่นนั้น
เพลิงทมิฬเที่ยงแท้ สามารถใช้ทำอันใดได้?” เนี่ยลี่ถามด้วยความสงสัย
“เพลิงทมิฬเที่ยงแท้
เป็นดั่งดวงจิตอสูร หากผู้ใดสามารถผสานกันมันได้ ก็จะได้พลังมหาศาล
แต่หากมิใช่ผู้ที่ เพลิงทมิฬเที่ยงแท้ยอมรับ
หากสัมผัสกับเพลิงทมิฬเที่ยงแท้ก็จะถูกเผาไหม้จนไม่เหลือซาก” หลิงหยาอธิบาย
“คนเช่นใดที่จะผสานกับเปลวเพลิงอันน่ากลัวเช่นนี้ได้?” เนี่ยลี่บ่นด้วยความสงสัย
“คนผู้นั้นจะต้องมีสายเลือดมังกรทมิฬไหลเวียนอยู่
จึงจะสามารถรองรับพลังอันมหาศาลของเพลิงทมิฬเที่ยงแท้ได้” หลิงหยาพูดขึ้นมา
“สายเลือดมังกรทมิฬ? ต้วนเจี้ยน! หลิงหยาไปตามต้วนเจี้ยนที่อยู่ด้านนอกมา”
เนี่ยลี่หันไปสั่งการหลิงหยา
หลังจากนั้นหลิงหยาก็ไปตามต้วนเจี้ยน
แต่ทุกคนก็ตามมาด้วยความสงสัย
“ข้ามาแล้วขอรับ”
ต้วนเจี้ยนพูดกับเนี่ยลี่ด้วยความเคารพ
“ต้วนเจี้ยน
เพลิงทมิฬเที่ยงแท้ มีเพียงเจ้าที่จะผสานเข้ากับมันได้ จงปลดปล่อยจิตอสูรมังกรสายฟ้าเพลิงทมิฬ
ที่อยู่ในห้วงขอบเขตวิญญาณของเจ้าออกไป และผสานเข้ากับเพลิงทมิฬเที่ยงแท้นี้ซะ”
เนี่ยลี่พูดออกไป
“ขอรับ”
ต้วนเจี้ยนปฏิบัติตามคำสั่งในทันที เขาไม่เคยมีความสงสัยในคำสั่งของเนี่ยลี่
ไม่ว่าเนี่ยลี่จะสั่งการเขาเช่นใด เขาก็ยินดีปฏิบัติตามคำสั่งอย่างไม่ลังเล
ทุกคนต่างจับจ้องต้วนเจี้ยน
ที่เดินเข้าไปใกล้ เพลิงทมิฬเที่ยงแท้ และเอื้อมมือออกไป
ร่างกายของต้วนเจี้ยนถูกเพลิงทมิฬเที่ยงแท้
เผาไหม้จนเปลวเพลิงสีดำปกคลุมทั่วร่างของต้วนเจี้ยน
“นั่งลงและผสานเข้ากับมัน!” เนี่ยลี่ตะโกนออกไป
ต้วนเจี้ยนค่อย
ๆ นั่งลง ร่างกายของเขานั้นเจ็บปวดยิ่งนัก
ราวกับว่าเพลิงสีดำนี้จะแผดเผาร่างกายของเขาให้มอดไหม้
ต้วนเจี้ยนพยายามที่จะผสานเพลิงทมิฬเที่ยงแท้
เข้ากับห้วงขอบเขตวิญญาณของเขา แต่ดูเหมือนว่าเพลิงทมิฬเที่ยงแท้
จะไม่ยอมให้ทำเช่นนั้น ยังคงลุกโชนเผาไหม้รุนแรงยิ่งขึ้น หากเป็นคนทั่วไป
ร่างกายคงถูกเผาไหม้จนไม่เหลือซากไปแล้ว
“เนี่ยลี่
ต้วนเจี้ยนจะเป็นอะไรหรือไม่?”
ลู่เพียวถามขึ้นมาด้วยความกังวล เปลวเพลิงนี้มันชั่งร้อนแรงยิ่งนัก
“ปลุกสายเลือดมังกรทมิฬในตัวเจ้าออกมา”
เนี่ยลี่นึกขึ้นมาได้ จึงตะโกนออกไปอีกครั้ง
เมื่อได้ยินคำแนะนำจากเนี่ยลี่
ต้วนเจี้ยนก็ระเบิดพลังจากสายเลือดมังกรทมิฬออกมา
ร่ายกายของเขาเต็มไปด้วยเกล็ดมังกรสีดำ ปีกของเขาก็สยายออกไป
แม้ว่าร่างกายของเขาจะถูกปกคลุมไปด้วยเพลิงสีดำ
แต่เมื่อกระตุ้นพลังจากสายเลือดมังกรทมิฬออกมา มันก็ไม่อาจที่จะเผาไหม้ร่างกายของต้วนเจี้ยนได้อีกต่อไป
หลายชั่วยามต่อมา
เพลิงทมิฬเที่ยงแท้ที่ปกคลุมร่างกายของต้วนเจี้ยนอยู่ก็ค่อย ๆ มอดลง
เนื่องจากถูกห้วงขอบเขตวิญญาณของต้วนเจี้ยนดูดซึมเข้าไป
แต่เพลิงทมิฬเที่ยงแท้ยังคงลุกไหม้อยู่ในห้วงขอบเขตวิญญาณของต้วนเจี้ยน
มันพองขยายออกหลายเท่า ราวกับว่ามันจะระเบิดออก
แต่ว่าก็สามารถขยายตัวออกไปราวกับว่าไร้ที่สิ้นสุด
ทุกคนต่างก็ตกใจกับกลิ่นอายลมปราณที่แผ่ออกมาจากร่างกายของต้วนเจี้ยน
นี่มันระดับพลังในระดับขอบเขตแห่งพระเจ้า เพลิงทมิฬเที่ยงแท้ช่วยเพิ่มพลังให้แก่ต้วนเจี้ยนหลายร้อยเท่า
นับว่าเป็นเปลวเพลิงที่มหัศจรรย์ยิ่งนัก
ต้วนเจี้ยนลืมตาขึ้นมาและรีบคุกเข่าและประสานมือพูดกับเนี่ยลี่ว่า
“นายท่าน
บัดนี้ข้าได้ความทรงจำกลับคืนมาแล้ว
ข้าคือหนึ่งในหกคนที่กลับชาติมาเกิดที่ท่านตามหาอยู่”..........................จบตอน