test

เมนู นิยาย บน

เมนูมังงะ

10 พ.ย. 2559

The Road of Du Ze  บทที่ 7 建议 คำแนะนำ


        

      เมื่อกลับมาถึงบ้านพัก ตู่ซื่อให้ฮวาหั่วนั่งสมาธิอยู่ตรงกันข้ามและใช้มือทั้งสองประสานกัน กิเลนฟ้าบอกว่าด้วยวิธีนี้จะสามารถถ่ายทอดพลังสวรรค์ให้แก่กันได้ง่ายกว่า
         

     หลังจากที่มอบพลังสวรรค์ให้แก่ฮวาหั่วแล้ว ตู่ซื่อและฮวาหั่วก็บรรลุระดับชะตาสวรรค์ขั้นที่สองในทันที เนื่องจากพลังสวรรค์ที่ตู่ซื่อดูดกลืนมาจากอู่จินนั้น เป็นพลังสวรรค์ที่มาจากชะตาวิญญาณถึงสามดวง หากตู่ซื่อและฮวาหั่วขัดเกลาชะตาวิญาณดวงที่สองสำเร็จ ในบางที ทั้งสองคนอาจจะสร้างชะตาวิญญาณดวงที่สามขึ้นมาได้
         

“ตู่ซื่อ เจ้าบอกว่ามีเรื่องที่ต้องบอกแก่ข้า ข้าพร้อมที่จะรับรับฟังแล้ว” ฮวาหั่วพูดออกไป
         

     “เดิมทีข้านั้นมาจากตระกูลที่ต่ำต้อย ด้วยความช่วยเหลือของสหายผู้หนึ่ง ช่วยชี้แนะการบ่มเพาะพลัง พร้อมทั้งช่วยเหลือข้าในทุกด้าน ข้าได้สัญญากับเขาเอาไว้ว่า ชีวิตของข้าเป็นของเขา” ตู่ซื่อพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
         

     “เจ้าพูดราวกับว่าเจ้าต้องเป็นผู้รับใช้ของเขาไปชั่วชีวิต” ฮวาหั่วอดไม่ได้ที่จะพูดออกไป
         

    “เจ้าพูดเช่นนั้นก็ไม่ถูกต้องนัก แต่หากเขาขอให้ข้าช่วยเหลือ ไม่ว่าเรื่องใดข้าก็ยินดี” ตู่ซื่อตอบกลับไป สำหรับเขาแล้วสหายผู้นี้สำคัญเสียยิ่งกว่าชีวิต
         

     “แล้วมันต่างจากที่ข้าพูดตรงไหน เจ้าคิดหรือว่า ข้าจะยอมฝากชีวิตเอาไว้ให้กับคนที่ฝากชีวิตตนเองไว้กับผู้อื่นเช่นนี้” ฮวาหั่วพูดออกมา นางรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก
         

       “เพราะเรื่องนี้ ข้าจึงไม่ยอมรับการขอทำพันธสัญญาจากเจ้า ข้ารู้ดีว่ามันสำคัญเพียงใด ข้าเชื่อมั่นในสหายของข้า หากเจ้าเชื่อใจข้า ข้าขอให้เจ้ายอมเชื่อมั่นในสหายของข้าด้วยเช่นกัน” ตู่ซื่อพูดออกไป สำหรับเรื่องนี้นางคงจะยอมรับได้ยาก หากนางไม่ยินดีเขาก็คงต้องตัดใจจากนาง
         

“ข้าไม่อาจที่จะให้คำตอบเจ้าได้ในตอนนี้” ฮวาหั่วพูดพร้อมกับเดินกลับไปที่หอ้งพัก
         
“ข้าเข้าใจ” ตู่ซื่อตอบกลับไป
         

      ในคืนนั้นตู่ซื่อและฮวาหั่วต่างก็นอนไม่หลับ ฮาหั่วครุ่นคิดถึงเรื่องที่ตู่ซื่อพูดออกมา ซ้ำไปซ้ำมา นางนั้นก็ไม่ต่างจากหญิงสาวทั่ว ๆ ไป ที่มีความฝันต้องการคู่ครองที่ยิ่งใหญ่ ด้วยความสามารถของตู่ซื่อ เขาต้องเป็นชายผู้ยิ่งใหญ่ในฝันของนางได้เป็นแน่ แต่เขากลับมอบชีวิตให้กับสหายเช่นนี้ นางจะยอมรับได้เช่นใดกัน
         

   ‘ใจของข้านั้นต้องการที่จะให้เจ้ามาเป็นคู่พันธสัญญาฮวาหั่วคิดถึงคำพูดของตู่ซื่อ นางรับรู้ได้ว่าตู่ซื่อนั้นเองก็มีใจให้กับนาง และเขาก็ขอให้นางเชื่อใจในตัวเขา
         

     ตู่ซื่อได้ถ่ายทอดวรยุทธอันแข็งแกร่งให้แก่นางโดยไม่ปิดบัง ปกป้องนางยามที่ได้รับบาดเจ็บ และยังถ่ายเทพลังสวรรค์ให้แก่นาง และยังเป็นสุภาพบุรุษอย่างที่นางไม่เคยพบเจอมาก่อน เมื่อคิดถึงเรื่องราวเหล่านี้นางรู้สึกเจ็บปวดยิ่งนัก หากต้องสูญเสียเขาไป
         

นางครุ่นคิดในเรื่องนี้ทั้งคืนจนแทบไม่ได้นอน
         

     เช้าวันต่อมา นางเปิดประตูห้องออกมาเห็นว่าตู่ซื่อยังคงนั่งอยู่ที่เดิม นางเดินไปกุมมือของตู่ซื่อและพูดออกไปว่า “ข้าเชื่อมั่นในตัวเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะตัดสินใจเช่นใด ข้าก็จะยอมรับมัน”
         

  “ขอบคุณที่เจ้าเชื่อใจข้า ข้าจะไม่ทำให้เจ้าไม่ผิดหวังสำหรับการตัดสินใจในคราวนี้” ตู่ซื่อตอบกลับไป ในตอนนี้หัวใจของตู่ซื่อนั้นพองโตยิ่งนัก
         

  ‘ในที่สุดก็ตกลงใจกันได้เสียที ตู่ซื่อข้ามีเรื่องที่ต้องบอกกับเจ้า ฮวาหั่วนั้นมีพรสวรรค์แต่ หากนางยังคงใช้วรยุทธกิเลนสวรรค์ การบ่มเพาะพลังของนางอาจจะไม่ก้าวหน้าเท่าใดนักกิเลนฟ้าพูดขึ้นมา
         
เจ้าหมายความเช่นใดกัน?’ ตู่ซื่อถามด้วยความสงสัย
         
     ‘ข้าเองก็ไม่คิดเลยว่า การใช้วรยุทธกิเลนสวรรค์ โดยไร้ซึ่งกิเลนที่สถิตอยู่ในร่างจะสูญเสียพลังสวรรค์มากถึงเพียงนี้กิเลนฟ้าพูดพร้อมกับถอนหายใจ
         
     ‘แล้วมีหนทางใดบ้าง หรือว่าข้าจะต้องห้ามมิให้นางใช้วรยุทธนี้ตู่ซื่อถามด้วยความร้อนใจ
         

      ‘สำหรับหนทางก็พอมีอยู่บ้าง โดยการหากิเลนให้มาสถิตในร่างของนาง เช่นเดียวกับข้า แต่คงไม่มีกิเลนตนไหนยินยอมเป็นแน่ แม้แต่ตัวข้าเองกิเลนฟ้าพูดออกมาด้วยน้ำเสียงดูหมิ่นในโชคชะตาของตนเอง ก่อนที่จะพูดขึ้นอีกว่า
         

    ‘เผ่ากิเลนของข้านั้น หาได้ยากยิ่งนัก เดิมทีพวกข้านั้นก็อยู่บนโลกใบเล็กเช่นเจ้า แต่หลังจากที่ถูกรุกราน พวกข้าจึงหลบหนีมายังอาณาจักรซากมังกรแห่งนี้ และหลบซ่อนอยู่ในหุบเขาแห่งเทพ หากเจ้าสามารถเดินทางไปที่นั่นได้ ข้าอาจจะพูดคุยกับนางได้
         
เจ้าหมายถึงผู้ใดกัน?’ ตู่ซื่ออดไม่ได้ที่จะถามออกไป
         

      ‘กิเลนเพลิงคู่หมั้นของข้า ก่อนที่ข้าจะถูกจับ ข้ากับนางได้ออกมาท่องเที่ยวกัน แต่เมื่อพบกับพวกมนุษย์เช่นเจ้า คนเหล่านั้นพยายามที่จะจับข้ากับนาง ข้าจึงได้ขัดขวางเอาไว้และยอมถูกจับเพียงลำพังกิเลนฟ้าตอบกลับไป
         

หากนางหลบหนีไปได้ นางจะต้องกลับไปที่หุบเขาแห่งเทพเป็นแน่กิเลนฟ้าพูดด้วยความมั่นใจ
         
หุบเขาแห่งเทพอยู่ที่ใดกัน?’ ตู่ซื่อถาม
         

     ‘ข้าเองก็ต้องการที่จะรู้เช่นกัน ข้าคิดที่จะให้อู่หมิงหาข้อมูลในเรื่องนี้ให้ แต่เจ้ากลับบอกว่า ไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทนกิเลนฟ้าพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ
         

     ‘เรื่องนี้ข้าสามารถไปขอความความช่วยเหลือจากเขาได้ ใครจะรู้เล่าว่าเจ้านั้นต้องการเพียงแค่เรื่องนี้ตู่ซื่อตอบกลับไปพร้อมกับหัวเราะ
         

      ‘เจ้าคิดว่าข้าจะขอชีวิตเจ้าอู่หมิงหรืออย่างไร ข้าได้บอกเรื่องราวทั้งหมดไปแล้ว จากนี้ไปเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องไปหาที่ตั้งของหุบเขาแห่งเทพ สำหรับเรื่องของข้า เจ้าจะบอกกับนางก็ได้ แต่อย่าให้ผู้อื่นล่วงรู้ได้กิเลนฟ้าพูดจบก็เงียบหายไป
         
“เหตุใดเจ้าจึงยืนนิ่งอีกแล้ว” ฮวาหั่วถามด้วยความสงสัย
         
“ข้านั้นพูดคุยกับอสูรที่อยู่ในกายข้า” ตู่ซื่อตอบกลับไป
         

“ข้าไม่เข้าใจ” ฮวาหั่วถามด้วยความสงสัย การที่จะผสานกับจิตอสูร ต้องเป็นอสูรที่เสียชีวิตแล้ว และอสูรเหล่านั้นก็ไม่อาจที่จะพูดคุยภาษามนุษย์ได้
         

     “ข้าเองก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายเช่นใด ข้าจะถามกิเลนฟ้าแล้วให้คำตอบแก่เจ้าในภายหลัง แต่เรื่องนี้ขอให้เจ้าเก็บเป็นความลับ” ตู่ซื่อเองก็ไม่เข้าใจมากนัก เพราะสหายเขาเป็นผู้ทำให้ทั้งหมด
         

    “ข้าหาใช่คนที่ปากสว่างไม่ ถ้าเช่นนั้นเราควรที่จะไปยังชั้นเรียนกันได้แล้ว” ฮวาหั่วพูดพร้อมกับจับมือของตู่ซื่อไปพร้อมกัน
         

ในชั้นเรียน สถาบันกำเนิดฟ้า
         

     ในวันนี้อาจารย์เอี่ยนเก๋อให้จับคู่ฝึกซ้อมวรยุทธกัน ดูเหมือนว่าอู่จินจะได้รับบาดเจ็บจากการประลองเมื่อวานจึงไม่อาจที่จะมาเข้าเรียนได้ และการที่ชะตาวิญญาณที่ก่อรูปแล้วสลายไป ไม่เคยมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นมาก่อน ทางตระกูลนักรบสวรรค์จึงขอให้เขาพักผ่อนไปสักระยะก่อน
         

   อู่หมิงที่จับคู่ฝึกวรยุทธอยู่กับมี่เฝิ่นหง ฝึกอยู่ไม่ไกลนักกับตู่ซื่อและฮวาหั่ว ตู่ซื่อเอ่ยถามออกไปว่า “อู่หมิง เจ้ารู้จักหุบเขาแห่งเทพหรือไม่?
         

    ทันทีที่อู่หมิงหันมามองตู่ซื่อ ก็ถูกหมัดของมี่เฝิ่นหงต่อเข้าที่หน้าทันที แม้ว่าจะไม่รุนแรงนัก แต่ก็ทำให้เขาล้มลงไปได้
         

     “ต้องรู้จักแน่นอน ที่แห่งนั้นอยู่ไม่ไกลจากนิกายของเรานัก ในหุบเขานั้นว่ากันว่า มีพวกกิเลนอาศัยอยู่ แต่ก็ไม่มีผู้ใดที่เคยเห็นพวกมันมาก่อน” อู่หมิงตอบกลับหลังจากที่คิดอยู่ครู่หนึ่ง
         

“เจ้าหาแผนที่ทางไปของหุบเขานั้นได้หรือไม่?” ตู่ซื่อรีบถามออกไป
         

   “ข้าก็พอที่จะหาได้ ถึงแม้ว่าเจ้าจะบรรลุระดับชะตาสวรรค์ขั้นที่สองแล้ว จนกว่าจะเข้าไปทำพันธสัญญาในตำหนักชะตาสวรรค์ เจ้าก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปยังโลกภายนอก เจ้าทราบเรื่องนี้แล้วใช่หรือไม่?” อู่หมิงตอบกลับไป เขาสงสัยว่า เหตุใดตู่ซื่อจึงได้สนใจที่แห่งนั้น
         

    “เรื่องนั้นข้ารู้ดี อีกแค่สองวัน ข้าก็สามารถไปทำพันธสัญญาได้แล้ว ข้าจะออกเดินทางไปหลังจากนั้น” ตู่ซื่อตอบกลับไป
         

   “หมายความว่าเจ้ากับนาง ตกลงใจกันแล้วใช่หรือไม่?” อู่หมิงตบมือด้วยความยินดี
         

 “ข้ายินดีกับเจ้าท้งสองด้วย” มี่เฝิ่นหงยิ้มและพูดกับตู่ซื่อและฮวาหั่ว
         

    “หลังจากเลิกชั้นเรียนข้าจะไปหาแผนที่มาให้เจ้า” อู่หมิงพูดออกมา และหันไปฝึกซ้อมต่อ หลังจากที่ได้เห็นสายตาของอาจารย์เอี่ยนเก๋อที่จ้องมองมา
         

     “เจ้าเด็กผู้นี้มีวรยุทธที่แปลกยิ่งนัก ความก้าวหน้าของเขาเหนือล้ำกว่าใครในชั้นเรียนนี้ ในภายภาคหน้าเขาจะต้องเป็นยอดฝีมือที่ค้ำจุนนิกายกำเนิดสวรรค์ได้เป็นแน่” อาจารย์เอี่ยนเก๋อพูดขึ้นมาเบา ๆ
         

     หลังจากจบชั้นเรียนในวันที่ห้า นักเรียนกว่าครึ่งสามารถจุดจุดดวงไฟแห่งชะตาได้ และมีอีกสองคนที่สามารถสร้างชะตาวิญญาณได้สำเร็จ
         

   อู่หมิงได้ไปค้นหาแผนที่มามอบให้กับตู่ซื่อ และบอกกับเขาว่า “การเดินทางไปยังหุบเขาแห่งเทพนั้นมิได้ไกลนัก แต่ที่นั่นมีอสูรอยู่มากมาย และส่วนใหญ่ก็อยู่ในระดับดาราสวรรค์ ก่อนที่เจ้าจะเดินทางไปจงนำชะตาวิญญาณไปฝากไว้ที่ห้องโถงวิญญาณเพื่อความปลอดภัย”
         
“ข้าจะจำเอาไว้ ขอบใจเจ้ามาก” ตู่ซื่อตอบกลับไปและ กลับไปยังบ้านพักพร้อมกับฮวาหั่ว
         
กิเลนฟ้า ข้าได้เส้นทางการไปหุบเขาแห่งเทพมาแล้วตู่ซื่อพูดกับกิเลนฟ้า
         
ข้าเห็นแล้ว ไม่คิดเลยว่าจะอยู่ใกล้กันถึงเพียงนี้กิเลนฟ้าตอบกลับไป
         

     “เจ้าบอกข้าว่า จะอธิบายให้ข้าเข้าใจด้วย มิใช่หรือ เหตุใดจึงนิ่งเงียบไปเพียงผู้เดียว” ฮวาหั่วพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่น้อยใจ
         

     ‘ตู่ซื่อจงผสานเข้ากับจิตของข้า ข้าจะเป็นผู้คุยกับนางเองกิเลนฟ้าพูดขึ้นมา คงจะเป็นเรื่องง่ายกว่า หากเขาจะเป็นผู้อธิบาย
         

     ตู่ซื่อจึงผสานเข้ากับจิตของกิเลนฟ้า ร่างกายของเขาขยายใหญ่ขึ้นเล็กน้อย มีเขาของกิเลนงอกที่หน้าผาก และมีขนสีเงินขึ้นตามร่างกายของเขา
         

     “ข้าคือกิเลนฟ้า ข้าจะอธิบายให้เจ้าฟังเอง” ตู่ซื่อปล่อยให้กิเลนฟ้าควบคุมร่างกายของเขาและพูดออกไป
         
     “ขะ...ข้ารอฟังอยู่” ฮวาหั่วรู้สึกตกใจไม่น้อย เสียงของกิเลนฟ้าแตกต่างจากเสียงของตู่ซื่ออย่างชัดเจน
         

     “เมื่อพวกเจ้าตกลงที่จะทำพันธสัญญากัน ยมที่ห้วงขอบเขตวิญญาณของพวกเจ้าทั้งสองเชื่อมต่อกัน วรยุทธที่พวกเจ้าใช้ หากเป็นวรยุทธที่ขัดแย้งกันก็จะทำให้การบ่มเพาะก้าวหน้าได้ช้ายิ่งนัก แต่วรยุทธกิเลนสวรรค์ดูเหมือนว่าจะไม่เหมาะสมกับผู้ที่มิได้มีกิเลนสถิตอยู่ในร่าง หากเจ้าฝืนใช้ก็จะเกิดเหตุการณ์ในวันนี้ขึ้นมาได้อีก” กิเลนฟ้าอธิบาย
         

“ถ้าเช่นนั้นข้าควรทำเช่นใดกัน?” ฮวาหั่วอดไม่ได้ที่จะถามออกไป
         

   “ข้าได้คุยกับตู่ซื่อแล้วว่า จะเดินทางไปยังหุบเขาแห่งเทพ เพื่อไปหากิเลนเพลิง เพื่อให้นางมาสถิตอยู่ในร่างของเจ้า แต่ข้าไม่รับปากว่านางจะยินยอมง่าย ๆ หรอกนะ” กิเลนฟ้าตอบกลับไป
         

   “หากตู่ซื่อตัดสินใจเช่นนั้น ข้าก็ยินดี ข้าได้ตัดสินใจที่จะมอบชีวิตของข้าให้กับเขา ข้าไม่ต้องการที่จะเป็นตัวถ่วงในการความก้าวหน้าของเขา” ฮวาหั่วตอบกลับไปอย่างจริงจัง
         

    “เจ้านี่ราวกับกิเลนเพลิงไม่มีผิด ถ้าเช่นนั้นหลังจากที่พวกเจ้าได้รับอนุญาตให้ออกไปยังโลกภายนอกได้ เราจะออกเดินทางในทันที ในสองวันนี้พวกเจ้าจงฝึกฝนให้พลังอยู่ในระดับเดียวกัน จะได้ไม่เป็นอุปสรรคในการทำพันธสัญญา” กิเลนฟ้าพูดจบก็ลายการผสานร่าง ตู่ซื่อกลับมาอยู่ในรูปลักษณ์ปกติ
         
    หลังจากนั้นตู่ซื่อก็ช่วยถ่ายทอดพลังสวรรค์ให้แก่นาง เพื่อให้ระดับพลังของพวกเขาไม่มีความแตกต่างกันมากนัก
         

ตำหนักตระกูลเทพนักรบ
         

  “เจ้าคนผู้นั้นเป็นใคร จึงกล้าที่จะทำให้ลูกชายข้าบาดเจ็บถึงเพียงนี้” อู่ฟง [:นักรบวายุ] บิดาของอู่จินที่กลับมาจากการเดินทาง ตะโกนถามด้วยความไม่พอใจ.......จบตอน
        


แต่งโดย นายมะพร้าว



เมนู นิยาย ล่าง

เมนู มังงะ ล่าง