ก่อนที่จะจบชั้นเรียน
มีนักเรียนอีกสิบคนที่สามารถจุดดวงไฟแห่งชะตาได้
ส่วนคนที่ก่อรูปชะตาวิญญาณได้ในวันนี้มีเพียว ตู่ซื่อ ฮวาหั่ว และ อู่หมิงเท่านั้น
อาจารย์เอี่ยนเก๋อจึงมอบศิลาจิตวิญญาณเป็นรางวัลแก่พวกเขาคนละยี่สิบก้อน
เย็นวันนั้น อู่หมิงได้เชิญ
ตู่ซื่อและฮวาหั่วไปยังตำหนักเล็กของตระกูลเทพนักรบ ที่เป็นที่พักของอู่หมิง
เนื่องจากเขานั้นไร้พรสวรรค์จึงถูกย้ายมาให้อยู่ในตำหนักเล็ก
ซึ่งถูกแยกออกมาจากตำหนักใหญ่ ไกลพอสมควร
แต่ก็สงบเงียบทำให้อู่หมิงไม่รู้สึกลำบากมากนัก
อู่หมิงเล่าให้ฟังว่า เดิมทีเขาเคยมีคู่หมั้นนามว่า
มี่เฝิ่นหง [蜜粉红:น้ำผึ้งสีชมพู]
แต่ได้ถูกยกเลิกไปเนื่องจากนางนั้นบรรลุระดับชะตาสวรรค์ตั้งแต่ฝึกฝนในตระกูล
ส่วนอู่หมิงนั้นไร้พรสวรรค์ทางตระกูลของนางจึงได้ขอยกเลิกการหมั้นหมาย
และให้นางไปหมั้นกับอู่จินแทน
“หากข้ามีความสามารถมากกว่านี้
ข้าคงจะไม่ต้องสูญเสียนางไป” อู่หมิงพูดขึ้นมาด้วยความเจ็บใจ
“ในตอนนี้เจ้าก็บรรลุระดับชะตาสวรรค์แล้ว
เหตุใดจึงไม่ใช้ความสามารถของเจ้าแย่งชิงนางกลับมามา” ฮว่าหั่วพูดขึ้นมา
นางรู้สึกเบื่อผู้ชายที่เอาแต่โอดครวญไม่ยอมต่อสู้เพื่อคนที่รัก
“แม้ว่าข้าจะบรรลุระดับชะตาสวรรค์
แต่อู่จินก็อยู่ในระดับชะตาสวรรค์ขั้นที่สอง ข้าจะไปต่อสู้กับเขาได้เช่นใด”
อู่หมิงพูดขึ้นมา เดิมทีเขานั้นก็เป็นเพียงแค่คนขี้ขลาดเท่านั้น
‘จงบอกแก่เขาว่า
เจ้าจะให้การช่วยเหลือ ส่วนจะด้วยวิธีไหนค่อยหารือกันในภายหลัง’ กิเลนฟ้าพูดขึ้นมาในหัวของตู่ซื่อ การมีบุญคุณกับคุณชายจากตระกูลใหญ่
จักต้องได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าเป็นแน่ กิเลนฟ้าคิด
“หากเจ้ามีใจคิดจะสู้
ข้าก็จะช่วยเหลือเจ้าเอง” ตู่ซื่อพูดออกไป ตามที่กิเลนฟ้าบอก
“เหตุใดเจ้าต้องช่วยเหลือคนเช่นเขาด้วย
สตรีผู้ใดกันจะมาสนใจคนที่ยืมมือผู้อื่นให้ช่วยแย่งคู่หมั้นของตนเองกลับมา”
ฮวาหั่วพูดขึ้นมาด้วยความไม่พอใจ
“ที่เจ้าพูดมาก็ไม่ผิดนัก
หากข้ารักนางจริงข้าควรจะต่อสู้ด้วยกำลังของข้าเอง” อู่หมิงพูดพร้อมกับก้มหน้า
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็จงไปสู้ด้วยกำลังของเจ้า
หากเจ้าต่อสู้อย่างเต็มที่ แม้ว่าจะพ่ายแพ้กลับมา ข้าจะคอยช่วยเหลือเจ้าเอง”
ตู่ซื่อพูดออกไป
“ตกลง!” อู่หมิงพูดขึ้นมา
เขารู้สึกมั่นใจในตัวเองขึ้นเล็กน้อย
หลังจากที่ทานอาหารกันเสร็จตู่ซื่อและฮวาหั่วก็เดินทางกลับมายังที่พัก
ที่บ้านพัก
ตู่ซื่อได้ถ่ายทอด
วรยุทธกิเลนคลุมสวรรค์ให้แก่ฮวาหั่ว
โดยกิเลนฟ้าแนะนำให้ถ่ายทอดไปเพียงกระบวนท่าเดียวก่อน
เนื่องจากนางไม่อาจฝึกฝนวรยุทกิเลนกลืนสวรรค์ได้ จึงควรเรียนรู้ไปทีละกระบวนท่า
เพื่อที่จะไม่สิ้นเปลืองพลังสวรรค์มากนัก
ฮว่าหั่วเองก็นับว่ามีพรสวรรค์ไม่น้อย
นางสามารถควบคุมม่านพลังจาก วรยุทธกิเลนคลุมสวรรค์ได้อย่างคล่องแคล่ว
และสามารถสร้างม่านพลังในระยะไกลได้
ฮวาหั่วเองในเวลานี้ก็รู้สึกชื่นชมตู่ซื่อมากยิ่งขึ้น
เขาทั้งรอบรู้ มีพรสวรรค์ ซื่อตรงและยังมีน้ำใจยิ่งนัก วรยุทธที่แข็งแกร่งเช่นนี้
หากเป็นนางคงไม่ถ่ายทอดผู้ใดโดยง่ายเป็นแน่
แต่เขากลับถ่ายทอดให้แก่นางโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนแม้แต่น้อย
หลังจากที่ฝึกฝนเสร็จ
กิเลนสวรรค์ก็บอกให้ตู่ซื่อแนะนำให้ฮซาหั่วดูดซับพลังสวรรค์จากศิลาจิตวิญญาณ
เนื่องจากนางใช้พลังวิญญาณในการฝึกฝนไปไม่น้อย
เช้าวันต่อมา
ในชั้นเรียนวันนี้ อาจารย์เอี่ยนเก๋อให้ทุกคนฝึกฝนการต่อสู้
โดยให้นักเรียนที่บรรลุระดับชะตาสวรรค์แล้ว จับคู่ประลองกัน
เพื่อฝึกทักษะการต่อสู้
มีเพียงอู่หมิงที่ไม่มีคู่ให้ประลองเขาจึงเอ่ยถามอาจารย์เอี่ยนเก๋อว่า
“อาจารย์เอี่ยนเก๋อ เนื่องจากข้าไม่มีคู่ฝึกซ้อม
ข้าสามารถที่จะขอท้าประลองกับผู้อื่นได้หรือไม่?”
“เจ้าต้องการที่จะประลองกับผู้ใดกัน?”
อาจารย์เอี่ยนเก๋อถามกลับไป
“ข้าต้องการที่จะประลองกับอู่จินขอรับ”
อู่หมิงพูดขึ้นมาโดยไร้ซึ่งความหวาดกลัว
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของอู่หมิง
อู่จินก็หัวเราะและตอบกลับไปว่า “เหตุใดข้าต้องลดตัวไปประลองกับเจ้าด้วย หรือเจ้าคิดที่จะเอาชนะข้าเพื่อชิงตัวคู่หมั้นของเจ้ากลับคืนไปเช่นนั้นหรือ?”
“ถูกต้อง ข้าขอท้าประลองกับเจ้า
หากข้าเอาชนะเจ้าได้ การหมั้นหมายของเจ้ากับ เฝิ่นหงจะต้องเป็นอันยกเลิก!”
อู่หมิงพูดพร้อมกับชี้ไปที่อู่จิน
“ข้าจะไม่ขัดขวางหากพวกเจ้ายินดีที่จะประลองกัน”
อาจารย์เอี่ยนเก๋อพูดขึ้นมา เขาเองก็ทราบถึงความขัดแย้งระหว่างอู่หมิงและอู่จิน
หากสามารถตัดสินความขัดแย้งได้ต่อหน้าเขา
คงจะดีกว่าการที่พวกเขาจะไปแอบต่อสู้กันลับหลัง
“อาจารย์เอี่ยนเก๋อ
ข้าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องลดตัวไปประลองกับเขา เพราะแม้ว่าข้าจะล้มเขาได้ ข้าก็ไม่ได้สิ่งใด”
อู่จินตอบกลับอาจารย์เอี่ยนเก๋อ
“ก็นับว่าเป็นเหตุผลที่รับฟังได้”
อาจารย์เอี่ยนเก๋อพยักหน้าตอบรับ
“เจ้าคนขี้ขลาด!”
อู่หมิงพูดพร้อมกับกัดฟัน เขานั้นไม่สมบัติอันใดที่คู่ควรที่จะไปเดิมพันกับอู่จิน
เขาจึงเจ็บแค้นตนเองยิ่งนัก
“อย่าได้มาอวดดีนัก
ถ้าเจ้าต้องการที่จะเจ็บตัว ข้าก็ให้โอกาสเจ้า ข้าจะให้เจ้าประลองกับลูกน้องของข้า
หากเจ้าชนะข้าก็จะยอมประลองกับเจ้า แต่หากเจ้าแพ้
เจ้าจะต้องจ่ายศิลาจิตวิญญาณให้แก่ข้าจำนวนหนึ่งพันก้อน”
อู่จินพูดออกไปด้วยความดูถูก ศิลาจิตวิญญาณหนึ่งพันก้อนนับว่ามีค่ายิ่งนัก
แม้จะเป็นทายาทจากตระกูลใหญ่
พวกเขาก็ได้รับศิลาจิตวิญญาณเพียงแค่เดือยละหนึ่งพันก้อนเท่านั้น หากต้องสูญเสียไป
ในเดือนนี้เขาก็ไม่อาจที่จะดูดซับพลังวิญญาณได้
“ข้าตกลง!” อู่หมิงตอบกลับไป
หากเขาไม่ยอมรับข้อเสนอนี้ เขาก็คงไม่มีโอกาสที่จะได้ประลองกับอู่จินอีกแล้ว
นั่นหมายความว่าโอกาสที่จะแย่งชิงคู่หมั้นของเขากลับมาก็จะไม่มีอีกต่อไป
“ฟงเจี้ยน เจ้าจงไปประลองกับเขา”
อู่จินเลือกลูกน้องของเขาผู้หนึ่ง ให้ประลองกับอู่หมิง เป็นเด็กหนุ่มรูปร่างใหญ่โต
ดุดันราวกับหมี ฟงเจี้ยน [风剑:กระบี่วายุ]มาจากตระกูล
วายุคราม มีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับชะตาสวรรค์ขั้นที่สอง
หลังจากนั้นอาจารย์เอี่ยนเก๋อก็จัดพื้นที่ให้ทั้งสองประลองกัน
“การประลองในคราวนี้
หากทำให้อีกฝ่ายล้มลงได้คือผู้ชนะ” อาจารย์เอี่ยนเก๋อพูดออกไป
ทันทีที่เริ่มการประลอง ฟงเจี้ยนก็พุ่งเข้ามาต่อยอู่หมิงทันที
ดูเหมือนว่าเขาจะรวดเร็วผิดกับร่างกายที่เห็น
อู่หมิงรีบหลบทันทีหมัดของฟงเจี้ยนเฉียวหน้าของอู่หมิง
ทำให้เป็นรอยราวกับถูกคมกระบี่
แม้ว่าอู้หมิงจะถูกมองว่าไร้พรสวรรค์
แต่เขาก็ได้รับการถ่ายทอด วรยุทธของตระกูลเทพนักรบมาเช่นกัน เขาจึงโจมตีกลับไปได้
แต่การที่ระดับพลังของเขาด้อยกว่าหนึ่งขั้น
ทำให้หมัดของเขาทำความเสียหายแก่ฟงเจี้ยนได้ไม่มากนัก
‘เจ้าจงบอกแก่เจ้าหนุ่มผู้นั้น
การประลองนี้หาได้มีเป้าหมายในการเอาชีวิตไม่ แค่อ้อมไปด้านหลังแล้วจัดการที่ขา
ทำให้เสียหลักล้มก็เอาชนะได้แล้ว’ กิเลนฟ้าพูดขึ้นมาในหัวของตู่ซื่อ
‘อู่หมิง
ไม่มีความจำเป็นที่ต้องเข้าปะทะ
หลบเข้าด้านหลังแล้วโจมตีให้เสียหลักเจ้าก็เอาชนะได้แล้ว’ ตู่ซื่อส่งเสียงผ่านลมปราณไปให้อู่หมิงตามที่กิเลนฟ้าบอก
หลังจากที่ได้รับคำแนะนำจากตู่ซื่อ
อู่หมิงก็ยิ้มออกมา เหตุใดเขาจึงคิดเรื่องนี้ไม่ได้
การที่จะเอาชนะเขานั้นเป็นเรื่องยาก แต่การทำให้ล้มนั้นก็ไม่เกินกำลังของเขานัก
อู่หมิงตั้งท่าเตรียมตังรับ ฟงเจี้ยนเห็นเช่นนั้นจึงทุ่มกำลังสุดตัวเข้าโจมตี
โดยหมายที่จะจัดการให้อยู่หมัดในคราวเดียว อู่หมิงเบี่ยงตัวหลบเล็กน้อย แล้วใช้เท้าตวัดขาทั้งสองข้างของฟงเจี้ยน
ทำให้เขาล้มลงในทันที
“จบการประลอง อู่หมิงเป็นผู้ชนะ”
อาจารย์เอี่ยนเก๋อตัดสินการประลอง
ตู่ซื่อและฮวาหั่วเดินไปแสดงความยินดีกับอู่หมิง
“เจ้าคนไร้ประโยชน์!”
อู่จินพูดขึ้นมาด้วยความไม่พอใจพร้อมกับจ้องหน้าฟงเจี้ยน เมื่อได้เห็นว่าอู่หมิงนั้นสนิทสนมกับตู่ซื่อและฮวาหั่ว
เขาจึงพูดขึ้นมาว่า
“ข้าจะประลองกับเจ้า
แต่จะเป็นการประลองสามต่อสาม หากพวกเจ้าแพ้จะต้องมาเป็นคนรับใช้ของข้า”
อู่จินพูดออกไป หากกำจัดขยะได้พร้อมกันทั้งสามคม เขาคงจะรู้สึกยินดียิ่งนัก
“เจ้าคนหน้าไม่อาย เหตุใดจึงกลับคำพูด พวกเขามิได้เกี่ยวข้องอันใดกับเรื่องนี้!”
อู่หมิงตะโกนออกไป เขาไม่คิดที่จะให้ทั้งสองคนต้องเดือนร้อนไปด้วยเช่นนี้
“ไม่มีปัญหา!”
ฮวาหั่วตอบกลับไป อู่หมิงได้แสดงความกล้าหาญให้นางเห็นแล้ว และนางก็รู้สึกรังเกียจคนอย่างอู่จินยิ่งนัก
“ถ้าหากนางตกลง ข้าก็ไม่มีปัญหาอันใดเช่นกัน”
ตู่ซื่อพูดขึ้นบ้าง เขาเองก็ไม่คิดว่าฮวาหั่วจะยอมรับข้อตกลงได้ง่ายเช่นนี้
“แต่ท่านอาจารย์เอี่ยนเก๋อ
ข้าต้องการให้ท่านเป็นพยานในข้อตกลงการประลองครั้งนี้ หากอู่หมิงเป็นผู้ชนะ
อู่จินจะต้องยกเลิกการหมั้นหมายกับแม่นางมี่เฝิ่นหง และหากพ่ายแพ้พวกข้าทั้งสามคนจะต้องเป็นคนรับใช้ของอู่จิน”
ตู่ซื่อหันไปพูดกับอาจารย์เอี่ยนเก๋อ
“เจ้ายอมรับการเดิมพันนี้หรือไม่?”
อาจารย์เอี่ยนเก๋อหันไปมองอู่จินพร้อมกับเอ่ยถาม
“แน่นอน แต่การประลองขอให้ตัดสินโดยการ
เอ่ยว่ายอมแพ้ หรือหมดสติไปเท่านั้น!” อู่จินตอบกลับไป
พวกเขาที่จะลงประลองทั้งสามคนอยู่ในระดับชะตาสวรรค์ขั้นที่สอง
หากต้องต่อสู้กันอย่างจริงจัง พวกเขาจะต้องไม่มีทางแพ้เป็นแน่
“พวกข้ายอมรับข้อเสนอนี้เช่นกัน!”
ฮวาหั่วตอบกลับไป คนพวกนี้ชั่งอวดดียิ่งนัก นางจะต้องจัดการให้คนเหล่านี้รู้สำนึก
“การประลองของพวกเจ้า
จะอยู่ในชั้นเรียนของวันพรุ่งนี้ วันนี้ให้แยกย้ายไปเตรียมตัวกันเอง
การเรียนวันนี้จบเพียงเท่านี้” อาจารย์เอี่ยนเก๋อพูดออกไป
หากวันนี้ให้เรียนต่อไป คงจะหาความสงบไม่ได้เป็นแน่
ก่อนที่จะเดินทางกลับ
ตู่ซื่อได้พูดกับอู่หมิงว่า “เจ้าจะต้องจัดการอู่จินด้วยตัวเอง
พวกข้าจะจัดการกับสองคนที่เหลือให้”
“คนรักของเจ้า
จงแย่งชิงกลับมาด้วยตัวเจ้าเอง” ฮวาหั่วพูดขึ้นมาบ้าง
“ข้าเข้าใจดี”
อู่หมิงมองไปที่มี่เฝิ่นหงที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก
แม้ว่าจะไม่ได้พูดคุยกันแต่เขาก็รับรู้ได้ถึงความห่วงใยที่ออกมาจากสายตาของนาง
เขายิ้มให้นางก่อนที่จะหันหลังเดินออกไป
หลังจากที่กลับไปยังบ้านพัก
ตู่ซื่อได้ถ่ายทอด วรยุทธกิเลนทะลวงสวรรค์ให้แก่ฮวาหั่ว
และดูเหมือนว่านางจะใช้ได้อย่างเชี่ยวชาญยิ่งนัก นางหันมาถามตู่ซื่อว่า
“นี่คือวิชาที่เจ้าแอบฝึกเมื่อคืนก่อนใช่หรือไม่
ที่ทำให้ข้าตกใจตื่น”
“ชะ....ใช่แล้ว ข้าขออภัยจริง ๆ”
ตู่ซื่อตอบกลับไป เขาเริ่มที่จะไม่เป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง
“ข้ามิได้ต่อว่าเจ้า
เหตุใดต้องขออภัยกันด้วย” ฮวาหั่วพูดพร้อมกับหัวเราะ ตู่ซื่อไม่เคยสังเกตุเลยว่า
ตอนที่นางยิ้มและหัวเราะ นางนั้นดูสดใสร่าเริงยิ่งนัก เขาจับนั้นจ้องนางอย่างตาไม่กระพริบ
ฮวาหั่วเห็นว่าตู่ซื่อจับจ้องนางตาไม่กระพริบ
จึงพูดออกไปด้วยความเขินอาย “เหตุใดต้องจ้องมองข้าเช่นนั้นด้วย”
“ขะ....ข้าขออภัย”
ตู่ซื่อพูดขึ้นมาพร้อมกับหันหน้าไปทางอื่น
“ข้าก็แค่ถามเท่านั้น
มิได้ว่าอันใดเจ้า” ฮวาหั่วพูดพร้อมกับก้มหน้าด้วยความเอียงอาย.............จบตอน