test

เมนู นิยาย บน

เมนูมังงะ

9 พ.ย. 2559

Tales of Demons & Gods Next Legend บทที่ 444.15 ศึกสองหน้า


         ผู้นำนิกายทุกคนไปนั่งตรงที่นั่ง ที่ได้จัดเตรียมเอาไว้และเหล่าศิษย์ก็ยืนอยู่ด้านหลังของพวกเขาซึ่งพวกเขาไม่พูดอะไรกันแม้สักคำ
         
“ก่อนจะคุยกันเรื่องนั้น ข้าขอให้ท่านตอบข้อสงสัยมาก่อนได้หรือไม่” ปรมาจารย์อินเยวี่ย แห่งนิกายเสียงสวรรค์พูดขึ้น
         
“เชิญท่านถามมาได้” ปรมาจารย์เทียนอู่ตอบกลับไป
         
“ปกติแล้วที่นั่งของผู้นำนิกายทั้งหก จะมีเพียงเจ็ดที่นั่ง แต่เหตุใดในคราวนี้จึงมีที่นั่งที่แปดด้วย” ปรมาจารย์อินเยวี่ย ถามด้วยความสงสัย
         
“เรื่องที่ท่านถาม ข้าขอเสียมารยาทตอบท่านเอง” เนี่ยลี่พูดและเดินออกมาพร้อมกับต้วนเจี้ยน และลู่เพียว
         
“ที่นั่งที่แปดเป็นของผู้นำนิกายเร้นเมฆา ที่เป็นดั่งนิกายสาขาของนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์” เนี่ยลี่ พูดต่อ
         
“ขอคารวะท่านผู้นำนิกายทุกท่าน ข้าคือต้วนเจี้ยน ผู้นำนิกายเร้นเมฆา” ต้วนเจี้ยนประสานมือคารวะเหล่าผู้นิกายอย่างสุภาพ
         

   “ไม่คิดเลยว่า นิกายเร้นเมฆาจะมีผู้นำคนใหม่เป็นเด็กเช่นนี้ ดูเหมือนว่าพวกข้าจะแก่ชรามากเกินไปแล้ว” ปรมาจารย์ฟู่ชิน แห่งนิกายกำเนิดสวรรค์พูดพร้อมกับหัวเราะ
         

  “หาใช่เพียงแค่นิกายเร้นเมฆาเท่านั้นที่มีผู้นำนิกายเยาว์วัยเช่นนี้ นิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ของข้าก็เช่นกัน นี่คือประมุขเนี่ย ผู้นำนิกายคนใหม่ของนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์” ปรมาจารย์เทียนอู่พูดขึ้นมาพร้อมกับยิ้ม
         
      “นี่ท่านพูดล้อเล่นอันใดกัน ท่านให้เด็กน้อยผู้นี้เป็นผู้นำหนึ่งในนิกายศักดิ์สิทธิ์เช่นนั้นหรือ” ปรมาจารย์หมู่ชินพูดขึ้นมาด้วยความไม่พอใจ
         

    “จากที่ข้าสัมผัสได้เจ้าเด็กผู้นี้ มีพลังอยู่ในระดับวิถีแห่งมังกรขั้นที่ห้าเท่านั้น หากนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ตกต่ำถึงเพียงนี้ ก็ไม่ควรที่จะเป็นหนึ่งในหกนิกายศักดิ์สิทธิ์แล้ว” ปรมาจารย์อู๋เม่า แห่งนิกายเทพไร้ลักษณ์ มองดูเนี่ยลี่ด้วยความดูถูก
         

   หลังจากได้ยินเหล่าผู้นำนิกายคนอื่น ๆ พูดเช่นนั้น เนี่ยลี่จึงนั่งลงตรงที่นั่ง และเชิญต้วนเจี้ยนให้นั่งลงเช่นกน จากนั้นเขาก็พูดขึ้นมาว่า
         

   “ขออภัยท่านผู้นำนิกายทั้งหลาย ท่านอาจจะดูว่าข้านั้นอ่อนวัยเกินไปสำหรับตำแหน่งนี้ แต่ข้าก็ก้าวขึ้นตำแหน่งด้วยความสามารถของข้า” เนี่ยลี่พูดออกไปพร้อมกับยิ้ม
         

   “เจ้ามีความสามารถอันใดกัน ข้านั้นพอที่จะได้ยินเรื่องราวของเจ้าจากเหยียนหยางมาบ้าง ข้าเองก็ต้องการเห็นด้วยตาตนเองเช่นกัน!” ปรมาจารย์เทียนหั่ว แห่งนิกายเทพอัคคี พูดขึ้นมาอย่างใจเย็น หากดูจากระดับพลังแล้วเขาเป็นหนึ่งในหกนิกายศักดิ์สิทธิ์เนื่องจากเขานั้นอยู่ในระดับเทพสงครามขั้นที่เก้า
         

    “ความสามารถของข้า หากแสดงด้านกำลัง คงเป็นดั่งลูกแมวที่พองขนต่อหน้าพญาราชสีห์ แต่ตำหนักชมจันทร์แห่งนี้ข้าเป็นผู้ที่สร้างขึ้นมา ข้าคิดว่าพวกท่านคงไม่อาจที่จะทำลายเพื่อออกไปข้างนอกได้” เนี่ยลี่พูดออกไปพร้อมกับยิ้ม
         

    “ถ้าเช่นนั้นข้าขอทดสอบดูเอง!” ปรมาจารย์ฮัวฮวาลี่แห่งนิกายร้อยบุพผาสวรรค์ พูดขึ้นมาพร้อมกับปากุหลาบดอกหนึ่งออกไปตรงด้านข้าง พลังที่แผ่พุ่งออกไปนั้น อยู่ในระดับเทพสงครามขั้นที่ห้า
         

ตูมม!
         

    เสียงกุหลาบปะทะเข้ากับกำแพงที่มองไม่เห็นระเบิดเสียงดังยิ่งนัก แต่ก็ไม่อาจที่จะเปิดทางออกไปได้
         

      “วางใจได้ ข้ามิได้ต้องการเรียกพวกท่านมาเพื่อกักขังไว้ แต่ด้วยพลังระดับเทพสงครามคงไม่อาจที่จะทำลายตำหนักชมจันทร์ของข้าได้เป็นแน่” เนี่ยลี่พูดออกไป
         

    “นี่มันกำแพงบ้าอะไรกัน!” ปรมาจารย์ฮัวฮวาลี่พูดขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ
         
   “เจ้าพูดราวกับว่า มีระดับพลังที่เหนือเกินกว่าระดับเทพสงคราม!” ปรมาจารย์เทียนหั่วพูดขึ้นมาด้วยความสงสัย
         

     “ข้าบอกได้เพียงว่า ในตำหนักนี้ ผู้ที่มีระดับพลังสูงที่สุดคือท่านปรมาจารย์เทียนอู่ หากพวกท่านไม่ยอมรับฟังข้อเสนอจากข้า ข้าก็คงไม่อาจที่จะพูดสิ่งอื่นใดได้มากกว่านี้” เนี่ยลี่ตอบกลับไป
         

    หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเนี่ยลี่ ผู้นำนิกายคนอื่น ๆ ต่างก็รู้สึกสงสัยยิ่งนัก เดิมทีปรมาจารย์เทียนอู่นั้น มีระดับพลังอยู่ในระดับเทพสงครามขั้นที่ห้า แต่ระดับพลังที่พวกเขาสัมผัสได้ในตอนนี้ มีเพียงแค่ระดับเทพสงครามขั้นที่สองเท่านั้น แต่เหตุใดเนี่ยลี่จึงบอกว่าปรมาจารย์เทียนอู่นั้นมีระดับพลังที่แข็งแกร่งที่สุดในตำหนักนี้
         
ทางปรมาจารย์เทียนอู่นั้นยืนยิ้มด้วยความยินดีเป็นอย่างมาก
         

    ในขณะเดียวกัน ที่ด้านนอกนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ มีกองกำลังของอสูรจำนวนมาก มายืนอยู่ด้านนอก อสูรกลุ่มนี้มาจากนิกายห้าอสูรสายฟ้า และ นิกายจันทราโลหิตซึ่งนำมาโดยผู้นำนิกายทั้งสอง ปรมาจารย์ต้าเหลย และ ปรมาจารย์เซวี่ยซินเยวี่ย บัดนี้พวกเขานั้นบรรลุระดับเทพสงครามขั้นที่สามแล้ว และหายจากอาการบาดเจ็บแล้ว


ศิษย์ของนิกายจันทราโลหิต ได้สืบข่าวมาว่า บุรุษผู้อ้างตนว่าเป็นเทพกระบี่นั้น อยู่ในนิกายขนนกสักดิ์สิทธิ์ ปรมาจารย์ต้าเหลยจึงคิดที่จะมาแก้แค้นให้แก่ศิษย์เอกทั้งห้าของเขา


“ข้าให้เวลาแก่พวกเจ้าหนึ่งก้านธูป หากไม่นำตัวเทพกระบี่ออกมา นิกายห้าอสูรสายฟ้าและนิกายจันทราโลหิตจะถล่ม นิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ให้สิ้นซาก!ปรมาจารย์ต้าเหลยที่บินอยู่เหนือประตูนิกายขนนกศกดิ์สิทธิ์พูดขึ้นมา


กู้เบ่ย หลี่ชิงอวิ๋น และ หลงยู่อิน รีบเข้าไปรายงานแก่เนี่ยลี่ทันที [ทั้งสามคนได้รับอนุญาตจากเนี่ยลี่เอาไว้แล้ว ประตูที่อยู่ด้านในจะมองเห็นเวลาที่มีคนเข้าออกเท่านั้น เมื่อเข้าไปด้านในแล้วประตูจะหายไป]


ในตำหนักชมจันทร์ของจริง


“ขออภัยท่านผู้นำนิกายทุกท่าน ข้ามีเรื่องด่วนที่ต้องรายงานแก่ประมุขเนี่ย” หลี่ชิงอวิ๋นพูดขึ้นมาด้วยความสุภาพ เขานั้นรู้ดีว่าเวลาใด ควรที่จะพูดจาเช่นใด

“ท่านพี่หลี่มีเรื่องด่วนอันใดกัน?” เนี่ยลี่ถามด้วยความสงสัย


“ท่านประมุขเนี่ย ที่หน้าประตูนิกาย ปรมาจารย์ต้าเหลย และ ปรมาจารย์เซวี่ยซินเยวี่ย จากนิกายห้าอสูรสายฟ้า และ นิกายจันทราโลหิต ได้ยกกองกำลังมาเพื่อกดดันให้เราส่งตัว กู้เบ่ยออกไปขอรับ” หลี่ชิงอวิ๋นตอบกลับไป


นิกายห้าอสูรสายฟ้า และ นิกายจันทราโลหิต ชั่งเลือกเวลาได้ผิดยิ่งนัก ในเวลานี้ผู้นำนิกายศักดิ์สิทธิ์ทุกคนอยู่ที่นี่ แต่ข้าต้องการชมฝีมือของท่านปรมาจารย์เทียนอู่มากกว่า” ปรมาจารย์อู๋เม่าพูดขึ้นมา


“เรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านี้ ไม่จำเป็นต้องให้ท่านปรมาจารย์เทียนอู่แสดงฝีมือ ท่านพี่หลี่ชิงอวิ๋น กู้เบ่ย หลงยู่อิน ทั้งสามคนที่เป็นถึงผู้นำตระกูลหลักทั้งสาม จงออกไปแสดงฝีมือให้ผู้นำนิกายที่อยู่ที่นี่ได้เห็น!” เนี่ยลี่สั่งการออกไป ดูเหมือนว่านิกายห้าอสูรสายฟ้า และ นิกายจันทราโลหิต จะบุกมาได้ในเวลาที่เหมาะสมยิ่งนัก


“รับทราบ ท่านประมุข!” ทั้งสามคนประสานมือและออกจากตำหนักชมจันทร์ไป


“นี่เจ้าบอกว่า ทั้งสามคนคือผู้นำตระกูลของตระกูลหลักทั้งสามของนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์เช่นนั้นหรือ?” ปรมาจารย์ฮัวฮวาลี่พูดขึ้นมาด้วยความสงสัย ระดับพลังของพวกเขานั้นอยู่ที่ระดับวิถีแห่งมังกรขั้นที่สองและสามเท่านั้น แต่ปรมาจารย์ต้าเหลย และ ปรมาจารย์เซวี่ยซินเยวี่ย ที่อยู่ด้านนอกนั้น พวกเขามีความแข็งแกร่งระดับเทพสงคราม เขาไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดเนี่ยลี่จึงส่งทั้งสามออกไปต่อสู้


“พวกท่านคงมีความกังวลในเรื่องนี้ เช่นนั้นข้าจะให้พวกท่านได้เห็นภาพที่อยู่ด้านนอก” เนี่ยลี่ผสานเข้ากับดวงจิตแห่งเทพของเทพธิดาเสิ่นช่วง จากนั้นก็สะบัดมือ โดยรอบก็เป็นดั่งกระจกใสที่มองเห็นด้านนอก


ที่ด้านนอกตำหนักชมจันทร์


หลี่ชิงอวิ๋น กู้เบ่ย และหลงยู่อินได้บินขึ้นไปหา ปรมาจารย์ต้าเหลย และ ปรมาจารย์เซวี่ยซินเยวี่ย ก่อนหน้านี้เขาได้สั่งการให้ศิษย์ในนิกายที่มีระดับพลังต่ำกว่าวิถีแห่งมังกรให้ไปหลบซ่อนตัวในที่ปลอดภัยแล้ว

แต่ทันใดนั้น โอรสศักดิ์สิทธิ์ไป๋ฮัวก็ได้บินขึ้นมาด้วยเช่นกัน


“โอรสศักดิ์สิทธิ์ไป๋ฮัว นี่เป็นเรื่องภายในของนิกายของเรา ท่านโปรดอย่าได้ยื่นมือเข้ามา” กู้เบ่ยหันไปพูดกับโอรสศักดิ์สิทธิ์ไป๋ฮัว


“หึ ข้าไม่เสียเวลาคุยกับผู้ที่ระดับพลังต่ำต้อยกว่าข้า ข้าจะรับมือกับพวกเขาเอง” โอรสศักดิ์สิทธิ์ไป๋ฮัว พูดขึ้นมาแบบไม่สนใจใยดีนัก เขานั้นอยู่ในระดับวิถีแห่งมังกรขั้นที่เก้าแล้ว อีกเพียงแค่ก้าวเดียวเขาก็จะบรรลุระดับเทพสงครามแล้ว


“นับจากวันนี้ไป ผู้คนจะต้องเรียกขานข้าว่าเทพกระบี่” โอรสศักดิ์สิทธิ์ไป๋ฮัว ชักกระบี่ออกมา และรวบรวมลมปราณไว้ที่ปลายกระบี่ก่อนที่จะปล่อยลมปราณพุ่งออกไป


“กระบี่ร้อยบุพฝาสวรรค์!” โดยรอบกระบี่ปรากฏกลีบดอกไม้ออกมาเป็นจำนวนมาก กลีบดอกไม้แต่ละใบต่างก็คกริบไม่ต่างจากกระบี่ พุ่งไปยังปรมาจารย์ต้าเหลย


“โง่เง่า!ปรมาจารย์ต้าเหลยสะบัดมือเพียงครั้งเดียวกลีบดอกไม้เหล่านั้นก็ลุกไหม้ดั่งถูกเผาไหม้ด้วยสายฟ้า


“อะไรกัน!” โอรสศักดิ์สิทธิ์ไป๋ฮัวพูดขึ้นด้วยความประหลาดใจ


“ถ้าเช่นนั้น รับกระบวนท่านี้ไป กระบี่บุพผามายาสวรรค์” โอรสศักดิ์สิทธิ์ไป๋ฮัวเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ปรากฏเป็นร่างของเขาสี่ร่างและพุ่งเข้าหาปรมาจารย์ต้าเหลยพร้อมกันทั้งสี่ทิศ


ปรมาจารย์ต้าเหลยมิได้หลบหลีกเลยแม้แต่น้อยปล่อยให้กระบี่ของ โอรสศักดิ์สิทธิ์ไป๋ฮัวปักเข้าที่ร่างของเขา ปรากฏว่ากระบี่ของโอรสศักดิ์สิทธิ์ไป๋ฮัวหักในทันที จากนั้นปรมาจารย์ต้าเหลยก็ใช้ฝ่ามือตบโอรสศักดิ์สิทธิ์ไป๋ฮัวร่วงลงไปด้านล่าง


“วันนี้นิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์จะต้องสิ้นชื่อไปตลอดกาล” ปรมาจารย์ต้าเหลยตะโกนขึ้นมาอย่างกราดเกรี้ยว


“นี่หรือ โอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งนิกายร้อยบุพผาสวรรค์ ข้าคิดว่าศิษย์ของท่านที่ยืนอยู่ด้านหลังยังแข็งแกร่งยิ่งกว่าเขาเสียอีก” เนี่ยลี่พูดขึ้นมาพร้อมกับชี้ไปที่จางหมิง


ปรมาจารย์ฮัวฮวาลี่ไม่อาจที่จะโต้แย้งได้ การที่ไป๋ฮัวได้ตำแหน่งโอรสศักดิ์สิทธิ์เป็นเพราะเขาเป็นบุตรชายของนางก็เท่านั้น


หลี่ชิงอวิ๋น เก็บศิลาเร้นเมฆาไว้ในแหวนพร้อมกับนำ ดาบเมฆาสวรรค์ออกมา ดาบนี้เขาได้รับมาจากปรมาจารย์เทียนอวิ๋น ในตอนนี้เขานั้นบรรลุระดับเทพสงครามขั้นที่หนึ่งแล้ว


“ข้าจะรับมือเซวี่ยซินเยวี่ยเอง หลงยู่อินฝากเจ้าจัดการกับกองกำลังพวกนั้นด้วย!” หลี่ชิงอวิ๋นพูดขึ้นมาพร้อมกับพุ่งเข้าไปหาปรมาจารย์เซวี่ยซินเยวี่ย


“ข้าเทพดาบเมฆาหลี่ชิงอวิ๋น เซวี่ยซินเยวี่ยจงรับมือ!” หลี่ชิงอวิ๋นประกาศชื่อออกไปพร้อมกับโจมตี


“เข้าใจแล้ว!” หลงยู่อินตอบรับพร้อมกับเก็บศิลาเร้นเมฆาไว้ในแหวนพร้อมกับนำอาวุธของนางออกมาด้วยเช่นกัน นางเองก็บรรลุระดับเทพสงครามแล้ว อาวุธของนางคือ มีดเขี้ยวมังกร เป็นมีดสั้นสองเล่ม นางถือมีดเอาไว้ด้วยมือทั้งสองข้างจากนั้นก็หมุนตัวพุ่งไปยังกองทัพของ นิกายห้าอสูรสายฟ้า และ นิกายจันทราโลหิต การหมุนตัวพุ่งออกไปของนางนั้นราวกับมังกรที่กำลังเคลื่อนไหว ทุกที่ ที่นางเคลื่อนผ่านไปยอดฝีมือของเผ่าอสูรต่างก็ล้มตายกันในพริบตา


“ข้าคือเทพธิดามังกรหลงยู่อิน หากพวกเจ้าไม่กลัวตายก็จงบุกเข้ามา!” นางประกาศชื่อออกไปพร้อมกับหมุนตัวโจมตีอย่างต่อเนื่อง กองกำลังนับแสนที่บุกมา ถูกนางสังหารไปนับหมื่นคน


กู้เบ่ยเองก็เก็บศิลาเร้นเมฆาไว้ในแหวน และใช้ลมปราณสร้างกระบี่ขึ้นมา ซึ่งก็คือเจตจำนงแห่งกระบี่บรรพชน!


“ข้ากับเจ้าคงไม่จำเป็นที่จะต้อง แนะนำตัวแล้วสินะ?” กู้เบ่ยพูดออกไปพร้อมกับตั้งท่าเตรียมต่อสู้...............จบตอน



แต่งโดย นายมะพร้าว



เมนู นิยาย ล่าง

เมนู มังงะ ล่าง