test

เมนู นิยาย บน

เมนูมังงะ

6 พ.ย. 2559

The Road of Du Ze บทที่ 4 麒麟天武术 วรยุทธกิเลนสวรรค์


         
เจ้าลืมตาขึ้นและบอกแก่นางไปว่า การฝึกให้พอเพียงเท่านี้ และบอกให้นางไปพักผ่อนกิเลนฟ้าแนะนำ
         
ตู่ซื่อลืมตาขึ้นมา และพูดกับฮวาหั่ว “ฮว่าหั่ว ข้าว่าวันนี้เราฝึกแค่นี้ และไปพักผ่อนกันได้แล้ว”
         
ฮวาหั่วลืมตาขึ้นมา และพยักหน้า พร้อมกับตอบไปว่า “ถ้าเช่นนั้นข้าจะไปพักผ่อนในห้องพักของข้า”
         

 จากนั้นนางก็เดินเข้าห้องพักไป ก่อนที่จะนางจะปิดประตู ก่อนที่นางจะปิดประตูกิเลนฟ้ารีบพูดขึ้นมาว่า เจ้าโง่รีบบอกไปสิว่า ขอให้ฝันดี’ [:หว่านอัน:ฝันดี ราตรีสวัสดิ์]
         
“แม่นางฮวาหั่ว ขะ..ขอให้ฝันดีนะ” ตู่ซื่อพูดออกไปแบบไม่เต็มคำพร้อมกับยืนงง เพราะทำตัวไม่ถูก
         
“นี่เจ้าเป็นบ้าอะไรกัน!” ฮวาหั่วปิดประตูและเดินเข้าไปในห้อง
         

    “เขาไม่เคยพูดเช่นนี้กับข้า ตอนที่ข้าขอให้ทำพันธสัญญากับข้เจ้าก็ปฏิเสธ แล้วมาพูดเช่นนี้กับข้าด้วยเหตุใด” ฮวาหั่วรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยกับท่าทีของตู่ซื่อเมื่อครู่ เขาดูไม่ต่างจากพวกผู้ชายที่มักจะมาวุ่นวายกับนาง เมื่อครั้งยังอยู่ที่โลกใบเล็ก
         
“ผู้ชายก็เหมือนกันทุกคน” ฮวาหั่วพูดขึ้นมา พร้อมกับเปลี่ยนชุดและนอนพัก
         
เพราะเจ้าให้ข้าพูดบ้า ๆ ออกไป เห็นหรือไม่ว่านางไม่พอใจตู่ซื่อบ่นกับกิเลนฟ้า
         
ที่นางนางไม่พอใจ นั้นคือท่าทีของเจ้า เป็นผู้ชายก็จงพูดออกไปอย่างกล้าหาญสิ!’ กิเลนฟ้าตอบกลับไป
         
ให้ข้าฝึกฝนยังดีเสียกว่าพูดถ้อยคำอันน่าอายเช่นนั้นตู่ซื่อพูดด้วยความไม่พอใจและเดินเข้าไปยังห้องพัก
         
ถ้าเช่นนั้นข้าจะ ถ่ายทอดวรยุทธกิเลนฟ้าให้แก่เจ้า คงจะง่ายกว่าสอนให้เจ้าเกี้ยวผู้หญิง เจ้านี่มันน่าเบื่อเสียจริงกิเลนฟ้าพูดออกไป
         
วรยุทธกิเลนฟ้า คือสิ่งใดกัน ข้านั้นมีเทคนิคการบ่มเพาะพลัง [กิเลนฟ้า] ที่ได้มาจากสหายข้าอยู่แล้วตู่ซื่อตอบกลับไป โดยปกติแล้วสำหรับร่างทรงอสูร วรยุทธก็มิใช่สิ่งที่สำคัญนัก
         

    ‘เจ้าเด็กโง่ เทคนิคการบ่มเพาะพลังนั้นเหมาะสมดีแล้ว แต่หากเจ้าได้เรียนรู้วรยุทธกิเลนสวรรค์เจ้าก็จะสามารถนำพลังออกมาใช้ได้อย่างเหมาะสม สามารถใช้ในตอนที่ผสานร่างหรือไม่ก็ได้กิเลนฟ้ารู้สึกไม่พอใจยิ่งนัก มันคิดจะมอบวรยุทธล้ำค่าให้ตู่ซื่อแต่เขากลับทำเป็นไม่สนใจ
         

   ‘หมายความว่าข้าจะแข็งแกร่งขึ้นใช่หรือไม่ ถ้าเช่นนั้นโปรดชี้แนะข้าด้วยตู่ซื่อตอบกลับไปอย่างสุภาพ หากเป็นผู้ที่สามารถชี้แนะได้เขาก็พร้อมที่จะให้ความเคารพ
         

    ‘ท่าทางจริงจังขึ้นไม่เลว ที่ข้ายอมถ่ายทอดวรยุทธกิเลนสวรรค์ให้แก่เจ้า เพื่อที่เจ้าจะแข็งแกร่งขึ้น เมื่อถึงวันที่ข้าต้องแยกออกจากร่างของเจ้า ข้าก็จะเติบโตและได้พลังเพิ่มขึ้น
         

    ‘ข้าเข้าใจในเรื่องนี้ตู่ซื่อนั้นรับปากกับกิเลนฟ้าว่าจะปล่อยเขาออกไปหลังจากนี้ห้าสิบปี หากเขาแข็งแกร่งขึ้นกิเลนฟ้าก็ย่อมแข็งแรงขึ้นเช่นกัน
         

     ‘การที่ข้าถูกจับมาขัง เพราะข้ายังเด็กเกินไป แต่ความรู้ของข้าที่สืบทอดมาจากสายเลือดโบราณของบรรพชน มีมากมายเกินกว่ามนุษย์เช่นเจ้า ถ้าเช่นนั้นจงนั่งลงและฟังข้าให้ดีกิเลนฟ้าเริ่มสั่งสอนอย่างจริงจัง ตู่ซื่อจึงไปนั่งสมาธิบนที่นอนของเขา
         

      ‘วรยุทธกิเลนสวรรค์ มีท่าพื้นฐานอยู่สามกระบวนท่า ขั้นแรกเจ้าจงฝึกฝนการนำพลังสวรรค์ มาเป็นม่านพลังป้องกัน จงโคจรพลังสวรรค์ในตัวออกมาเป็นม่านพลังที่มองไม่เห็น นี่คือวรยุทธกิเลนสวรรค์พื้นฐานกระบวนท่าที่หนึ่ง กิเลนคลุมสวรรค์ หากเจ้าฝึกสำเร็จจะสามารถนำพลังสวรรค์มาห่อหุ้มร่างกาย และจะป้องกันการโจมตีได้ทุกชนิด แต่ก็ขึ้นอยู่กับระดับพลังของเจ้า
         

    ตู่ซื่อฟังอย่างตั้งใจ และพยายามโคจรพลังสวรรค์ไปโดยรอบ ก็บังเกิดม่านพลังบาง ๆ ขึ้นมาดั่งที่กิเลนฟ้าได้บอกไว้ แต่ดูเหมือนว่าการปล่อยพลังสวรรค์ออกไป จะเป็นการสิ้นเปลืองพลังไม่น้อย
         

    ‘วรยุทธกิเลนสวรรค์ท่าพื้นฐานกระบวนท่าที่สอง คือกิเลนกลืนสวรรค์ เจ้าสูดลมหายใจ ได้ทั้งทางปากและจมูกของเจ้า ดูดกลืนพลังของกิเลนคลุมสวรรค์ ที่เจ้าปล่อยออกมาเมื่อครู่ หากฝึกจนเชี่ยวชาญเจ้าก็จะสามารถดูดซับได้จากร่างกายทุกส่วน
         
     ตู่ซื่อสูดพลังสวรรค์ที่เขาปล่อยออกมาก่อนหน้านี้เข้าทางปากและจมูก ดูเหมือนว่าจะดูดกลืนกลับมาได้ทั้งหมด รวมไปถึงสามารถดูดซับพลังสวรรค์ที่อยู่โดยรอบได้ดียิ่งขึ้น ดูเหมือนว่าวรยุทธกิเลนสวรรค์ จะไม่มีการใช้พลังสวรรค์ที่สูญเปล่าเลยแม้แต่น้อย
         

    ‘สำหรับวรยุทธกิเลนสวรรค์ท่าพื้นฐานกระบวนท่าที่สาม คือกิเลนทะลวงสวรรค์ เป็นการห่อหุ้มหมัดและเท้าด้วยพลังสวรรค์และจู่โจมออกไป
         
ตู่ซื่อลองรวบรวมพลังสวรรค์และต่อยหมัดออกไป
         
โครม!
         

คลื่นพลังจากหมัดที่ต่อยออกไป ทำให้ของที่วางอยู่บนโต๊ะถูกพัดล้มลงเสียงดัง
         

   “นี่มัน เป็นวรยุทธที่ร้ายกาจยิ่งนักตู่ซื่อพูดออกมาด้วยความตกใจ เขานั้นใช้ พลังสวรรค์ห่อหุ้มเพียงเล็กน้อย พลังจากการต่อย กลับปล่อยคลื่นพลัง รุนแรงจนทำให้ ของบนโต๊ะถูกพัดจนล้มได้
         
“นี่เจ้าทำบ้าอะไรกัน เจ้าบอกให้ข้าพักผ่อนแต่เจ้ากลับมาทำเสียงดังเช่นนี้” ฮวาหั่วเดินมาบ่นที่หน้าห้องของตู่ซื่อ นางตื่นเพราะตกใจจากเสียงของที่ล้ม
         
      “ข้าขอโทษ ข้าทดสอบดูดซับพลังสวรรค์และปล่อยมันออกมา ตอนนี้ข้าเองก็จะพักผ่อนแล้ว ขอโทษที่ทำให้เจ้าตื่น” ตู่ซื่อรีบพูดออกไป ดูเหมือนว่าวันนี้เขาจะทำผิดพลาดหลายครั้งแล้ว
         

   “ถ้าเช่นนั้นก็ รีบพักผ่อนซะ แล้วก็ขอให้ฝันดีนะ” ฮวาหั่วพูดพร้อมกับแอบยิ้ม คำพูดที่ฟังดูซื่อบื้อเช่นนี้ สมกับเป็นตู่ซื่อยิ่งกว่าคำพูดบ้า ๆ ก่อนหน้านี้เสียอีก
         
 ‘ฟังดูซะ คำอวยพรให้ฝันดีเขาพูดกันเช่นนี้กิเลนฟ้าพูดพร้อมกับหัวเราะในหัวของตู่ซื่อ
         

  “ฝันดีเช่นนั้นหรือ ข้าไม่เคยได้ยินคำอวยพรที่ไพเราะเช่นนี้มาก่อน” ตู่ซื่อยืนนิ่งอยู่นาน ก่อนที่จะล้มตัวลงนอน


เช้าวันต่อมา ก่อนที่จะเดินทางไปยัง สถาบันกำเนิดฟ้า กิเลนฟ้าได้บอกกับตู่ซื่อว่า


วรยุทธกิเลนสวรรค์ที่ข้าได้ถ่ายทอดให้เจ้า เจ้าสามารถถ่ายทอดกระบวนท่า กิเลนคลุมสวรรค์ และ กิเลนทะลวงสวรรค์ ให้หญิงผู้นั้นได้ ส่วนกิเลนกลืนสวรรค์นั้นเป็นกระบวนพิเศษที่เป็นความสามารถเฉพาะตัวของข้า มีเพียงผู้ที่มีข้าสถิตอยู่จึงจะสามารถใช้ได้ แต่จงอย่าบอกว่าได้รับการถ่ายทอดจากข้า

ข้าเข้าใจแล้วตู่ซื่อตอบกลับไป

“เหตุใด ข้ารู้สึกว่าเจ้ายืนนิ่งคุยกับตัวเองอยู่ในบางเวลา” ฮวาหั่วเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“คะ...คือ” ตู่ซื่อไม่อาจที่จะบอกออกไป เพราะกิเลนฟ้าได้ห้ามเอาไว้


“ถ้าเจ้าไม่ต้องการบอก ข้าก็จะไม่ฝืนใจเจ้า” ฮวาหั่วเห็นท่าทีของตู่ซื่อ ก็รู้ได้ทันทีว่าเขาลำบากใจที่จะตอบ นางจึงรู้สึกไม่พอใจ จากนั้นนางก็เดินออกไปโดยมีท่าทีอันเย็นชา


ชั้นเรียนในสถาบันกำเนิดฟ้า


อาจารย์เอี่ยนเก๋อยังคงสอนให้นักเรียนในชั้นเรียนจุดดวงไฟแห่งชะตาต่อจากเมื่อวาน แต่ดูเหมือนว่าจะมีเพียงอู่หมิง ที่ตู่ซื่อได้ชี้แนะไปเมื่อวานเท่านั้น ที่สามารถทำได้ ในตอนนี้ชั้นเรียนแห่งนี้มีผู้ที่จุดดวงไฟแห่งชะตาได้ทั้งหมดสิบสามคนเท่านั้น


“หากพวกเจ้าไม่สามารถจดดวงไฟแห่งชะตาได้ ก็ไม่อาจที่จะก้าวไปสู่ขั้นถัดไปได้ สำหรับนักเรียนทั้งสิบสามคนที่สามารถจุดดวงไฟแห่งชะตาได้ จงมานั่งอยู่แถวหน้า ข้าจะสอนขั้นต่อไป ส่วนคนที่ยังไม่อาจทำได้จงพยายามจุดดวงไฟแห่งชะตาต่อไป” อาจารย์เอี่ยนเก๋อ พูดพร้อมกับถอนหายใจ


การที่อู่หมิงสามารถจุดดวงไฟแห่งชะตาได้ ทำให้เหล่าผู้ที่มาจากห้าตระกูลใหญ่ทั้งสิบหันไปมองด้วยความประหลาดใจ คนไร้พรสวรรค์เช่นอูหมิงเหตุใดจึงสามารถจุดดวงไฟแห่งชะตาได้


“บทเรียนที่สองคือการจุดชะตาวิญญาณขึ้นในห้วงขอบเขตวิญญาณของพวกเจ้า วิธีการไม่ต่างจากการจุดดวงไฟแห่งชะตา เพียงแค่พวกเจ้าต้องใช้พลังงานสวรรค์จำนวนมากในห้วงขอบเขตวิญญาณ เมื่อสามารถจุดได้แล้วก็จงใช้พลังสวรรค์คงรูปชะตาวิญญาณให้ได้ หากทำสำเร็จพวกเจ้าก็จะบรรลุระดับชะตาสวรรค์” อาจารย์เอี่ยนเก๋ออธิบายอย่างช้า ๆ


“อาจารย์เอี่ยนเก๋อ พวกข้าทั้งสิบที่มาจากตระกูลใหญ่ ทุกคนล้วนบรรลุระดับชะตาสวรรค์ขั้นที่สองแล้ว เหตุใดจึงต้องมาเรียนรู้พร้อมกับคนเหล่านี้” อู่จิน [:นักรบทองคำ] หนึ่งในสิบนักเรียนที่มาจากห้าตระกูลใหญ่เอ่ยถามออกไป เขานั้นมาจากตระกูล เทพนักรบ เช่นเดียวกับอู่หมิง แต่มีพรสวรรค์เหนือกว่าอู่หมิงอย่างเห็นได้ชัด


“การเรียนรู้พื้นฐานเป็นสิ่งสำคัญ ศิษย์ของข้าทุกคนต้องเรียนรู้ไปตามขั้นตอน ไม่ว่าจะมาจากตระกูลใหญ่เพียงไหนก็ตาม” อาจารย์เอี่ยนเก๋อตอบกลับไปอย่างไม่สนใจนัก เด็กจากตระกูลใหญ่มักจะถือตัวเช่นนี้ เขามักจะพบเห็นได้ในทุกปี


“ถ้าหากพวกเจ้าสามารถก่อรูปชะตาวิญญาณดวงที่สามได้ในวันนี้ ข้าจะมอบศิลาจิตวิญญาณให้เป็นรางวัลคนละห้าสิบก้อน ส่วนพวกเจ้าทั้งสามหากสามารถจุดดวงไฟแห่งชะตาดวงแรกได้ ข้าก็จะให้ศิลาจิตวิญญาณแก่พวกเจ้าคนละยี่สิบก้อน” อาจารย์เอี่ยนเก๋อพูดกับอู่จินก่อนที่จะหันมาบอกกับตู่ซื่อ ฮวาหั่ว และอู่หมิง


พลังงานสวรรค์ในห้วงขอบเขตวิญญาณของเจ้ามีมากพอแล้ว เพียงแค่สร้างชะตาวิญญาณดวงเล็ก ๆ ขึ้นมาแล้วหล่อเลี้ยงด้วยพลังวิญญาณของเจ้า จนกว่าดวงไฟแห่งชะตาจะคงรูปอยู่ได้กิเลนฟ้าให้คำแนะนำแก่ตู่ซื่อ


พรึ่บบ!


แค่เพียงไม่นานตู่ซื่อก็สามารถจุดและคงรูปชะตาวิญญาณดวงแรกได้สำเร็จ ทำให้อาจารย์เอี่ยนเก๋อรู้สึกตกใจยิ่งนัก ไม่เคยมีนักเรียนคนใดสามารถสร้างชะตาวิญญาณได้รวดเร็วเช่นนี้มาก่อน แค่เพียงสองวันก็สามารถบรรลุระดับชะตาสวรรค์ได้


ตู่ซื่อหันไปมองฮวาหั่ว เห็นว่านางพยายามที่จะจุดชะตาวิญญาณ เมื่อนางเห็นว่าเขามองอยู่ก็เบือนหน้าหนี ดูเหมือนว่านางยังคงไม่พอใจในเรื่องตอนเช้า


ตู่ซื่อใช้ลมปราณถ่ายทอดเสียงไปที่ฮวาหั่วและพูดว่า “ข้าขออภัยที่ไม่อาจบอกเรื่องที่เจ้าถามได้ ข้าสัญญาว่าเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมข้าจะบอกแก่เจ้าในทุกเรื่อง”


เมื่อเห็นว่า ตู่ซื่อพูดเช่นนั้นนางก็ถอนหายใจ นี่นางเป็นบ้าอะไร แค่เด็กหนุ่มที่รู้จักเพียงแค่สองวัน แต่นางกลับทำตัวกับราวกับเป็นคนรักที่รอให้เขามาเอาใจ


“เมื่อใดคือเวลาทีเหมาะสม” ฮวาหั่วถามกลับไป


“เมื่อเจ้ายอมรับในเรื่องของข้าได้ และตกลงทำพันธสัญญากัน” ที่ตู่ซื่อไม่ยอมรับคำขอของนางตั้งแต่เมื่อวาน เพราะเขามีเรื่องที่ต้องให้นางยอมรับก่อน ชีวิตของเขานั้นได้มอบให้แก่สหายไปแล้ว นางต้องยอมรับในเรื่องนี้ เขาจึงจะยอมทำพันธสัญญาด้วย


เมื่อได้ยินเช่นนี้ นางก็รู้สึกเขินอาย ตู่ซื่อและนางต่างก็รับรู้มาจากอู่หมิงแล้วว่า คำพูดเช่นนี้ในนิกายกำเนิดสวรรค์ไม่ต่างจากการขอแต่งงาน


“แล้วเจ้าไม่คิดที่จะสอนให้ข้าจุดชะตาวิญญาณเช่นนั้นหรือ?” ฮวาหั่วตอบกลับไปพร้อมกับก้มหน้าด้วยความเขินอาย นางเคยพบเจอผู้ชายมาหลายประเภท แต่นางกลับหวั่นไหวเพราะผู้ชายซื่อบื้อเช่นนี้ นางก็ไม่เข้าใจตัวเองเช่นกัน


“เจ้าจงจุดชะตาวิญญารเช่นเดียวกับการจุดดวงไฟแห่งชะตา แต่จงหล่อเลี้ยงด้วยพลังวิญญาณในห้วงขอบเขตวิญญาณของเจ้า เมื่อหล่อเลี้ยงมากพอชะตาวิญญาณจะสามารถคงรูปอยู่ได้” ตู่ซื่อพยายามค่อย ๆ อธิบาย


พรึ่บบ!



ฮวาหั่วเองก็นับว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ไม่น้อย เพียงแค่คำแนะนำเพียงเล็กน้อยก็สามารถก่อรูปชะตาวิญญาณได้สำเร็จ หลังจากนั้นตู่ซื่อก็ให้คำแนะนำแก่อู่หมิง และในที่สุดอู่หมิงก็สามารถจุดชะตาวิญญาณได้สำเร็จ กิเลนฟ้าบอกแก่เขาว่า การทำเช่นนี้จะทำให้อู่หมิงติดค้างเขาและจะมีประโยชน์ในภายภาคหน้า.................จบตอน

แต่งโดย นายมะพร้าว



เมนู นิยาย ล่าง

เมนู มังงะ ล่าง