‘เจ้าลืมตาขึ้นและบอกแก่นางไปว่า การฝึกให้พอเพียงเท่านี้
และบอกให้นางไปพักผ่อน’ กิเลนฟ้าแนะนำ
ตู่ซื่อลืมตาขึ้นมา และพูดกับฮวาหั่ว
“ฮว่าหั่ว ข้าว่าวันนี้เราฝึกแค่นี้ และไปพักผ่อนกันได้แล้ว”
ฮวาหั่วลืมตาขึ้นมา
และพยักหน้า พร้อมกับตอบไปว่า “ถ้าเช่นนั้นข้าจะไปพักผ่อนในห้องพักของข้า”
จากนั้นนางก็เดินเข้าห้องพักไป
ก่อนที่จะนางจะปิดประตู ก่อนที่นางจะปิดประตูกิเลนฟ้ารีบพูดขึ้นมาว่า ‘เจ้าโง่รีบบอกไปสิว่า
ขอให้ฝันดี’ [晚安:หว่านอัน:ฝันดี
ราตรีสวัสดิ์]
“แม่นางฮวาหั่ว ขะ..ขอให้ฝันดีนะ”
ตู่ซื่อพูดออกไปแบบไม่เต็มคำพร้อมกับยืนงง เพราะทำตัวไม่ถูก
“นี่เจ้าเป็นบ้าอะไรกัน!”
ฮวาหั่วปิดประตูและเดินเข้าไปในห้อง
“เขาไม่เคยพูดเช่นนี้กับข้า
ตอนที่ข้าขอให้ทำพันธสัญญากับข้า เจ้าก็ปฏิเสธ แล้วมาพูดเช่นนี้กับข้าด้วยเหตุใด”
ฮวาหั่วรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยกับท่าทีของตู่ซื่อเมื่อครู่ เขาดูไม่ต่างจากพวกผู้ชายที่มักจะมาวุ่นวายกับนาง
เมื่อครั้งยังอยู่ที่โลกใบเล็ก
“ผู้ชายก็เหมือนกันทุกคน” ฮวาหั่วพูดขึ้นมา
พร้อมกับเปลี่ยนชุดและนอนพัก
‘เพราะเจ้าให้ข้าพูดบ้า ๆ ออกไป
เห็นหรือไม่ว่านางไม่พอใจ’ ตู่ซื่อบ่นกับกิเลนฟ้า
‘ที่นางนางไม่พอใจ
นั้นคือท่าทีของเจ้า เป็นผู้ชายก็จงพูดออกไปอย่างกล้าหาญสิ!’ กิเลนฟ้าตอบกลับไป
‘ให้ข้าฝึกฝนยังดีเสียกว่าพูดถ้อยคำอันน่าอายเช่นนั้น’
ตู่ซื่อพูดด้วยความไม่พอใจและเดินเข้าไปยังห้องพัก
‘ถ้าเช่นนั้นข้าจะ ถ่ายทอดวรยุทธกิเลนฟ้าให้แก่เจ้า
คงจะง่ายกว่าสอนให้เจ้าเกี้ยวผู้หญิง เจ้านี่มันน่าเบื่อเสียจริง’ กิเลนฟ้าพูดออกไป
‘วรยุทธกิเลนฟ้า คือสิ่งใดกัน
ข้านั้นมีเทคนิคการบ่มเพาะพลัง [กิเลนฟ้า] ที่ได้มาจากสหายข้าอยู่แล้ว’ ตู่ซื่อตอบกลับไป โดยปกติแล้วสำหรับร่างทรงอสูร
วรยุทธก็มิใช่สิ่งที่สำคัญนัก
‘เจ้าเด็กโง่
เทคนิคการบ่มเพาะพลังนั้นเหมาะสมดีแล้ว แต่หากเจ้าได้เรียนรู้วรยุทธกิเลนสวรรค์เจ้าก็จะสามารถนำพลังออกมาใช้ได้อย่างเหมาะสม
สามารถใช้ในตอนที่ผสานร่างหรือไม่ก็ได้’ กิเลนฟ้ารู้สึกไม่พอใจยิ่งนัก
มันคิดจะมอบวรยุทธล้ำค่าให้ตู่ซื่อแต่เขากลับทำเป็นไม่สนใจ
‘หมายความว่าข้าจะแข็งแกร่งขึ้นใช่หรือไม่
ถ้าเช่นนั้นโปรดชี้แนะข้าด้วย’ ตู่ซื่อตอบกลับไปอย่างสุภาพ
หากเป็นผู้ที่สามารถชี้แนะได้เขาก็พร้อมที่จะให้ความเคารพ
‘ท่าทางจริงจังขึ้นไม่เลว
ที่ข้ายอมถ่ายทอดวรยุทธกิเลนสวรรค์ให้แก่เจ้า เพื่อที่เจ้าจะแข็งแกร่งขึ้น
เมื่อถึงวันที่ข้าต้องแยกออกจากร่างของเจ้า ข้าก็จะเติบโตและได้พลังเพิ่มขึ้น’
‘ข้าเข้าใจในเรื่องนี้’
ตู่ซื่อนั้นรับปากกับกิเลนฟ้าว่าจะปล่อยเขาออกไปหลังจากนี้ห้าสิบปี
หากเขาแข็งแกร่งขึ้นกิเลนฟ้าก็ย่อมแข็งแรงขึ้นเช่นกัน
‘การที่ข้าถูกจับมาขัง
เพราะข้ายังเด็กเกินไป แต่ความรู้ของข้าที่สืบทอดมาจากสายเลือดโบราณของบรรพชน
มีมากมายเกินกว่ามนุษย์เช่นเจ้า ถ้าเช่นนั้นจงนั่งลงและฟังข้าให้ดี’ กิเลนฟ้าเริ่มสั่งสอนอย่างจริงจัง ตู่ซื่อจึงไปนั่งสมาธิบนที่นอนของเขา
‘วรยุทธกิเลนสวรรค์ มีท่าพื้นฐานอยู่สามกระบวนท่า
ขั้นแรกเจ้าจงฝึกฝนการนำพลังสวรรค์ มาเป็นม่านพลังป้องกัน
จงโคจรพลังสวรรค์ในตัวออกมาเป็นม่านพลังที่มองไม่เห็น นี่คือวรยุทธกิเลนสวรรค์พื้นฐานกระบวนท่าที่หนึ่ง
กิเลนคลุมสวรรค์ หากเจ้าฝึกสำเร็จจะสามารถนำพลังสวรรค์มาห่อหุ้มร่างกาย
และจะป้องกันการโจมตีได้ทุกชนิด แต่ก็ขึ้นอยู่กับระดับพลังของเจ้า’
ตู่ซื่อฟังอย่างตั้งใจ และพยายามโคจรพลังสวรรค์ไปโดยรอบ
ก็บังเกิดม่านพลังบาง ๆ ขึ้นมาดั่งที่กิเลนฟ้าได้บอกไว้
แต่ดูเหมือนว่าการปล่อยพลังสวรรค์ออกไป จะเป็นการสิ้นเปลืองพลังไม่น้อย
‘วรยุทธกิเลนสวรรค์ท่าพื้นฐานกระบวนท่าที่สอง
คือกิเลนกลืนสวรรค์ เจ้าสูดลมหายใจ ได้ทั้งทางปากและจมูกของเจ้า ดูดกลืนพลังของกิเลนคลุมสวรรค์
ที่เจ้าปล่อยออกมาเมื่อครู่ หากฝึกจนเชี่ยวชาญเจ้าก็จะสามารถดูดซับได้จากร่างกายทุกส่วน’
ตู่ซื่อสูดพลังสวรรค์ที่เขาปล่อยออกมาก่อนหน้านี้เข้าทางปากและจมูก
ดูเหมือนว่าจะดูดกลืนกลับมาได้ทั้งหมด
รวมไปถึงสามารถดูดซับพลังสวรรค์ที่อยู่โดยรอบได้ดียิ่งขึ้น ดูเหมือนว่าวรยุทธกิเลนสวรรค์
จะไม่มีการใช้พลังสวรรค์ที่สูญเปล่าเลยแม้แต่น้อย
‘สำหรับวรยุทธกิเลนสวรรค์ท่าพื้นฐานกระบวนท่าที่สาม
คือกิเลนทะลวงสวรรค์ เป็นการห่อหุ้มหมัดและเท้าด้วยพลังสวรรค์และจู่โจมออกไป’
ตู่ซื่อลองรวบรวมพลังสวรรค์และต่อยหมัดออกไป
โครม!
คลื่นพลังจากหมัดที่ต่อยออกไป
ทำให้ของที่วางอยู่บนโต๊ะถูกพัดล้มลงเสียงดัง
“นี่มัน
เป็นวรยุทธที่ร้ายกาจยิ่งนัก” ตู่ซื่อพูดออกมาด้วยความตกใจ
เขานั้นใช้ พลังสวรรค์ห่อหุ้มเพียงเล็กน้อย พลังจากการต่อย กลับปล่อยคลื่นพลัง
รุนแรงจนทำให้ ของบนโต๊ะถูกพัดจนล้มได้
“นี่เจ้าทำบ้าอะไรกัน
เจ้าบอกให้ข้าพักผ่อนแต่เจ้ากลับมาทำเสียงดังเช่นนี้”
ฮวาหั่วเดินมาบ่นที่หน้าห้องของตู่ซื่อ นางตื่นเพราะตกใจจากเสียงของที่ล้ม
“ข้าขอโทษ
ข้าทดสอบดูดซับพลังสวรรค์และปล่อยมันออกมา ตอนนี้ข้าเองก็จะพักผ่อนแล้ว
ขอโทษที่ทำให้เจ้าตื่น” ตู่ซื่อรีบพูดออกไป
ดูเหมือนว่าวันนี้เขาจะทำผิดพลาดหลายครั้งแล้ว
“ถ้าเช่นนั้นก็ รีบพักผ่อนซะ แล้วก็ขอให้ฝันดีนะ”
ฮวาหั่วพูดพร้อมกับแอบยิ้ม คำพูดที่ฟังดูซื่อบื้อเช่นนี้ สมกับเป็นตู่ซื่อยิ่งกว่าคำพูดบ้า
ๆ ก่อนหน้านี้เสียอีก
‘ฟังดูซะ
คำอวยพรให้ฝันดีเขาพูดกันเช่นนี้’ กิเลนฟ้าพูดพร้อมกับหัวเราะในหัวของตู่ซื่อ
“ฝันดีเช่นนั้นหรือ
ข้าไม่เคยได้ยินคำอวยพรที่ไพเราะเช่นนี้มาก่อน” ตู่ซื่อยืนนิ่งอยู่นาน
ก่อนที่จะล้มตัวลงนอน
เช้าวันต่อมา ก่อนที่จะเดินทางไปยัง
สถาบันกำเนิดฟ้า กิเลนฟ้าได้บอกกับตู่ซื่อว่า
‘วรยุทธกิเลนสวรรค์ที่ข้าได้ถ่ายทอดให้เจ้า
เจ้าสามารถถ่ายทอดกระบวนท่า กิเลนคลุมสวรรค์ และ กิเลนทะลวงสวรรค์
ให้หญิงผู้นั้นได้ ส่วนกิเลนกลืนสวรรค์นั้นเป็นกระบวนพิเศษที่เป็นความสามารถเฉพาะตัวของข้า
มีเพียงผู้ที่มีข้าสถิตอยู่จึงจะสามารถใช้ได้ แต่จงอย่าบอกว่าได้รับการถ่ายทอดจากข้า’
‘ข้าเข้าใจแล้ว’ ตู่ซื่อตอบกลับไป
“เหตุใด
ข้ารู้สึกว่าเจ้ายืนนิ่งคุยกับตัวเองอยู่ในบางเวลา” ฮวาหั่วเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“คะ...คือ” ตู่ซื่อไม่อาจที่จะบอกออกไป
เพราะกิเลนฟ้าได้ห้ามเอาไว้
“ถ้าเจ้าไม่ต้องการบอก ข้าก็จะไม่ฝืนใจเจ้า”
ฮวาหั่วเห็นท่าทีของตู่ซื่อ ก็รู้ได้ทันทีว่าเขาลำบากใจที่จะตอบ
นางจึงรู้สึกไม่พอใจ จากนั้นนางก็เดินออกไปโดยมีท่าทีอันเย็นชา
ชั้นเรียนในสถาบันกำเนิดฟ้า
อาจารย์เอี่ยนเก๋อยังคงสอนให้นักเรียนในชั้นเรียนจุดดวงไฟแห่งชะตาต่อจากเมื่อวาน
แต่ดูเหมือนว่าจะมีเพียงอู่หมิง ที่ตู่ซื่อได้ชี้แนะไปเมื่อวานเท่านั้น
ที่สามารถทำได้
ในตอนนี้ชั้นเรียนแห่งนี้มีผู้ที่จุดดวงไฟแห่งชะตาได้ทั้งหมดสิบสามคนเท่านั้น
“หากพวกเจ้าไม่สามารถจุดดวงไฟแห่งชะตาได้
ก็ไม่อาจที่จะก้าวไปสู่ขั้นถัดไปได้
สำหรับนักเรียนทั้งสิบสามคนที่สามารถจุดดวงไฟแห่งชะตาได้ จงมานั่งอยู่แถวหน้า
ข้าจะสอนขั้นต่อไป ส่วนคนที่ยังไม่อาจทำได้จงพยายามจุดดวงไฟแห่งชะตาต่อไป”
อาจารย์เอี่ยนเก๋อ พูดพร้อมกับถอนหายใจ
การที่อู่หมิงสามารถจุดดวงไฟแห่งชะตาได้
ทำให้เหล่าผู้ที่มาจากห้าตระกูลใหญ่ทั้งสิบหันไปมองด้วยความประหลาดใจ
คนไร้พรสวรรค์เช่นอูหมิงเหตุใดจึงสามารถจุดดวงไฟแห่งชะตาได้
“บทเรียนที่สองคือการจุดชะตาวิญญาณขึ้นในห้วงขอบเขตวิญญาณของพวกเจ้า
วิธีการไม่ต่างจากการจุดดวงไฟแห่งชะตา
เพียงแค่พวกเจ้าต้องใช้พลังงานสวรรค์จำนวนมากในห้วงขอบเขตวิญญาณ
เมื่อสามารถจุดได้แล้วก็จงใช้พลังสวรรค์คงรูปชะตาวิญญาณให้ได้
หากทำสำเร็จพวกเจ้าก็จะบรรลุระดับชะตาสวรรค์” อาจารย์เอี่ยนเก๋ออธิบายอย่างช้า ๆ
“อาจารย์เอี่ยนเก๋อ พวกข้าทั้งสิบที่มาจากตระกูลใหญ่
ทุกคนล้วนบรรลุระดับชะตาสวรรค์ขั้นที่สองแล้ว
เหตุใดจึงต้องมาเรียนรู้พร้อมกับคนเหล่านี้” อู่จิน [武金:นักรบทองคำ] หนึ่งในสิบนักเรียนที่มาจากห้าตระกูลใหญ่เอ่ยถามออกไป เขานั้นมาจากตระกูล
เทพนักรบ เช่นเดียวกับอู่หมิง แต่มีพรสวรรค์เหนือกว่าอู่หมิงอย่างเห็นได้ชัด
“การเรียนรู้พื้นฐานเป็นสิ่งสำคัญ ศิษย์ของข้าทุกคนต้องเรียนรู้ไปตามขั้นตอน
ไม่ว่าจะมาจากตระกูลใหญ่เพียงไหนก็ตาม” อาจารย์เอี่ยนเก๋อตอบกลับไปอย่างไม่สนใจนัก
เด็กจากตระกูลใหญ่มักจะถือตัวเช่นนี้ เขามักจะพบเห็นได้ในทุกปี
“ถ้าหากพวกเจ้าสามารถก่อรูปชะตาวิญญาณดวงที่สามได้ในวันนี้
ข้าจะมอบศิลาจิตวิญญาณให้เป็นรางวัลคนละห้าสิบก้อน
ส่วนพวกเจ้าทั้งสามหากสามารถจุดดวงไฟแห่งชะตาดวงแรกได้
ข้าก็จะให้ศิลาจิตวิญญาณแก่พวกเจ้าคนละยี่สิบก้อน”
อาจารย์เอี่ยนเก๋อพูดกับอู่จินก่อนที่จะหันมาบอกกับตู่ซื่อ ฮวาหั่ว และอู่หมิง
‘พลังงานสวรรค์ในห้วงขอบเขตวิญญาณของเจ้ามีมากพอแล้ว
เพียงแค่สร้างชะตาวิญญาณดวงเล็ก ๆ ขึ้นมาแล้วหล่อเลี้ยงด้วยพลังวิญญาณของเจ้า จนกว่าดวงไฟแห่งชะตาจะคงรูปอยู่ได้’
กิเลนฟ้าให้คำแนะนำแก่ตู่ซื่อ
พรึ่บบ!
แค่เพียงไม่นานตู่ซื่อก็สามารถจุดและคงรูปชะตาวิญญาณดวงแรกได้สำเร็จ
ทำให้อาจารย์เอี่ยนเก๋อรู้สึกตกใจยิ่งนัก
ไม่เคยมีนักเรียนคนใดสามารถสร้างชะตาวิญญาณได้รวดเร็วเช่นนี้มาก่อน
แค่เพียงสองวันก็สามารถบรรลุระดับชะตาสวรรค์ได้
ตู่ซื่อหันไปมองฮวาหั่ว
เห็นว่านางพยายามที่จะจุดชะตาวิญญาณ เมื่อนางเห็นว่าเขามองอยู่ก็เบือนหน้าหนี
ดูเหมือนว่านางยังคงไม่พอใจในเรื่องตอนเช้า
ตู่ซื่อใช้ลมปราณถ่ายทอดเสียงไปที่ฮวาหั่วและพูดว่า
“ข้าขออภัยที่ไม่อาจบอกเรื่องที่เจ้าถามได้
ข้าสัญญาว่าเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมข้าจะบอกแก่เจ้าในทุกเรื่อง”
เมื่อเห็นว่า ตู่ซื่อพูดเช่นนั้นนางก็ถอนหายใจ
นี่นางเป็นบ้าอะไร แค่เด็กหนุ่มที่รู้จักเพียงแค่สองวัน
แต่นางกลับทำตัวกับราวกับเป็นคนรักที่รอให้เขามาเอาใจ
“เมื่อใดคือเวลาทีเหมาะสม” ฮวาหั่วถามกลับไป
“เมื่อเจ้ายอมรับในเรื่องของข้าได้
และตกลงทำพันธสัญญากัน” ที่ตู่ซื่อไม่ยอมรับคำขอของนางตั้งแต่เมื่อวาน
เพราะเขามีเรื่องที่ต้องให้นางยอมรับก่อน ชีวิตของเขานั้นได้มอบให้แก่สหายไปแล้ว นางต้องยอมรับในเรื่องนี้
เขาจึงจะยอมทำพันธสัญญาด้วย
เมื่อได้ยินเช่นนี้ นางก็รู้สึกเขินอาย
ตู่ซื่อและนางต่างก็รับรู้มาจากอู่หมิงแล้วว่า
คำพูดเช่นนี้ในนิกายกำเนิดสวรรค์ไม่ต่างจากการขอแต่งงาน
“แล้วเจ้าไม่คิดที่จะสอนให้ข้าจุดชะตาวิญญาณเช่นนั้นหรือ?”
ฮวาหั่วตอบกลับไปพร้อมกับก้มหน้าด้วยความเขินอาย นางเคยพบเจอผู้ชายมาหลายประเภท
แต่นางกลับหวั่นไหวเพราะผู้ชายซื่อบื้อเช่นนี้ นางก็ไม่เข้าใจตัวเองเช่นกัน
“เจ้าจงจุดชะตาวิญญารเช่นเดียวกับการจุดดวงไฟแห่งชะตา
แต่จงหล่อเลี้ยงด้วยพลังวิญญาณในห้วงขอบเขตวิญญาณของเจ้า
เมื่อหล่อเลี้ยงมากพอชะตาวิญญาณจะสามารถคงรูปอยู่ได้” ตู่ซื่อพยายามค่อย ๆ อธิบาย
พรึ่บบ!
ฮวาหั่วเองก็นับว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ไม่น้อย
เพียงแค่คำแนะนำเพียงเล็กน้อยก็สามารถก่อรูปชะตาวิญญาณได้สำเร็จ
หลังจากนั้นตู่ซื่อก็ให้คำแนะนำแก่อู่หมิง และในที่สุดอู่หมิงก็สามารถจุดชะตาวิญญาณได้สำเร็จ
กิเลนฟ้าบอกแก่เขาว่า การทำเช่นนี้จะทำให้อู่หมิงติดค้างเขาและจะมีประโยชน์ในภายภาคหน้า.................จบตอน