วันต่อมา เนี่ยลี่ทำการผสานเข้ากับดวงจิตแห่งเทพของเทพธิดาเสิ่นช่วง
เพื่อฝึกฝนในการใช้พลังในการใช้สร้างโลกที่ตัดขาดจากโลกใบอื่น
“ข้าต้องทำเช่นใดจึงจะสร้างโลกดั่งโลกใบเล็ก
หรือห้วงสรรค์น้อยได้?” เนี่ยลี่ถามออกไป
“ด้วยพลังวิญญาณของเจ้าในตอนนี้
ไม่อาจที่จะทำได้ การสร้างโลกขึ้นมาทั้งใบ ต้องใช้พลังสวรรค์จำนวนมากเกินกว่าที่เจ้ามี
และจำเป็นต้องมีสิ่งที่ใช้ในการค้ำจุดโลกที่สร้างขึ้นมาอีกด้วย
แม้แต่ข้าในอดีตที่บรรลุระดับขอบเขตแห่งพระเจ้า
ยังต้องสละกายาเทพเพื่อเป็นสิ่งค้ำจุนให้กับโลกใบเล็กของเจ้าและใช้ดวงจิตของข้าในการค้ำจุนห้วงสวรรค์น้อย”
เทพธิดาเสิ่นช่วงตอบกลับไป
เนี่ยลี่ขมวดคิ้วหลังจากได้ยินคำตอบ
หากเป็นเช่นนั้น เขาจะมีพลังนี้เอาไว้ด้วยเหตุใด
หากมันไม่สามารถใช้ประโยชน์อันใดได้
“ด้วยพลังของข้าในตอนนี้
สามารถสร้างห้วงมิติเช่นใดได้บ้าง?”
เนี่ยลี่เอ่ยถามขึ้นหลังจากที่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง
“แม้ว่า
ไม่อาจจะสร้างพื้นที่ใหญ่โตดั่งโลกใบเล็กหรือห้วงสวรรค์น้อยได้
แต่ข้าคิดว่าเจ้าอาจจะสร้างพื้นที่เล็ก ๆ ที่มีขนาดใหญ่ราวห้องสักห้อง
หรือตำหนักสักหลังได้โดยที่ไม่ต้องใช้สิ่งค้ำจุน แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าเจ้านั้นมีพลังมากเพียงไหน”
เทพธิดาเสิ่นช่วงตอบกลับไป
“นอกเหนือไปจากโลกใบเล็กและห้วงสวรรคน้อย
ยังมีโลกใบอื่นอยู่อีกหรือไม่?”
เนี่ยลี่อดไม่ได้ที่จะถามออกไป
“ข้ารู้เพียงว่ามี
แต่ข้าไม่อาจที่จะบอกได้ว่ามีกี่แห่งและอยู่ที่ใด เนื่องจากมิได้เป็นโลกที่ข้าสร้าง
ที่ข้ารู้ ผู้เป็นอาจารย์ของข้าได้สร้างโลกแห่งหนึ่งไว้ท่านได้เรียกโลกแห่งนั้นว่า
ดินแดนแห่งสวรรค์ แต่น่าเสียดายที่ข้าเองก็หาได้รู้วิธีเดินทางไปยังโลกแห่งนั้น” เทพธิดาเสิ่นช่วงตอบพร้อมกัวถอนหายใจ
“ดินแดนแห่งสวรรค์
นี่ท่านจะบอกข้าว่า สวรรค์ที่เหล่าทวยเทพอาศัยอยู่
อาจารย์ท่านเป็นผู้สร้างขึ้นมาเช่นนั้นหรือ?”
เนี่ยลี่ถามออกไปด้วยความตกใจ
“เป็นเรื่องที่อาจารย์ข้าเคยบอกกล่าวมาเท่านั้น
ข้าเองก็ไม่เคยเห็นด้วยตาเช่นกัน” เทพธิดาเสิ่นช่วงตอบกลับไป
ดูเหมือนว่า
เขาจะต้องหาหนทางไปยัง ดินแดนแห่งสวรรค์ด้วยตนเอง
แต่ในตอนนี้เขาลองสร้างพื้นที่เล็ก ๆ มีขนาดราวห้องพักของเขา
จากนั้นก็กำหนดทางเข้าออกขึ้นมาจากนั้นเขาก็ลองก้าวเข้าไปยังห้องนั้น
เมื่อก้าวเข้ามาในห้องที่เขาสร้างขึ้น
เป็นเพียงพื้นที่ว่างเปล่าและไม่มีสิ่งใดอยู่เลย เนี่ยลี่ตรวจสอบดูพื้นที่โดยรอบ
ดูเหมือนว่า เมื่อพยายามเดินออกไปไกลเกินกว่าพื้นที่ของห้อง
ปรากฏว่าเขานั้นราวกับถูกกั้นขวางเอาไว้ด้วยกำแพงที่มองไม่เห็น
“ข้าจะสร้าง
ภูเขาและแม่น้ำ หรือพืชพรรณต้นไม้ ได้หรือไม่?”
เนี่ยลี่เอ่ยถามเทพธิดาเสิ่นช่วง
“นี่คือโลกที่เจ้าสร้าง
ทุกสิ่งล้วนเป็นไปตามความปราถนาของเจ้า แต่เจ้าจะสูญเสียพลังไปมากน้อย
ตามแต่สิ่งที่เจ้าต้องการสร้าง
หากเจ้าไม่ต้องการสูญเสียพลังในการสร้างสิ่งเหล่านั้นมากเกินไป
เจ้าก็สามารถที่จะทำให้ภาพสิ่งที่ต้องการปรากฏขึ้นที่พื้นที่โดยรอบได้”เทพธิดาเสิ่นช่วงตอบ
เนี่ยลี่ลองหลับตาและสร้างภาพสะท้อนโดยรอบ
ให้ปรากฏเป็นท้องฟ้า แม่น้ำ และภูเขา แม้ว่าจะเป็นเพียงภาพสะท้อน
แต่ก็งดงามสมจริงยิ่งนัก และเนี่ยลี่สามารถปรับเปลี่ยนภาพสะท้อนเป็นเวลาใดก็ได้
เขาลองปรับเปลี่ยนให้เป็นยามค่ำคืนและเห็นดวงจันทร์ในคืนเต็มดวง
ก็ดูงดงามไม่ต่างไปจากของจริงแม้แต่น้อย
“ข้าขอตั้งชื่อพื้นที่แห่งนี้ว่าตำหนักชมจันทร์ หากข้าต้องการสร้างโลกที่กว้างใหญ่กว่านี้
ข้าก็ต้องฝึกฝนให้แข็งแกร่งขึ้นสินะ” เนี่ยลี่พูดออกไป เขามีความคิดบางอย่างขึ้นมา
หลังจากนั้นเขาก็คลายการผสานร่างและกลับไปบ่มเพาะพลัง
ก่อนที่จะถึงหนึ่งเดือนข้างหน้า เขาจะต้องสร้างโลกที่มีขนาดเท่ากับตำหนักของเขา
เพื่อทำบางสิ่ง
เหตุการณ์ภายในนิกายยังคงเงียบสงบ
เหล่านิกายอสูรเองก็ยังไร้การเคลื่อนไหว
และดูเหมือนว่าผลไม้แห่งพระเจ้าที่เขาได้รับมาจากจักรพรรดิเมฆาสวรรค์ก็ถูกใช้กลั่นทำยาทิพย์จนหมดแล้ว
เนื่องจากเนี่ยลี่แจกจ่ายให้แก่ศิษย์ในนิกายจำนวนมาก
โชคดีที่ต้นไม้แห่งพระเจ้าในภาพจิตกรรมหมื่นขุนเขาและสายน้ำเริ่มที่จะมีดอกผล
ทำให้เนี่ยลี่ยังสามารถผลิตยาทิพย์ออกมาได้อย่างต่อเนื่อง
สำหรับการทำยาทิพย์นี้เนี่ยลี่ได้มอบหมายให้เซี่ยวหยู่และเทพธิดายู่หยานที่อยู่ในภาพจิตกรรมหมื่นขุนเขาและสายน้ำเป็นผู้กลั่นยาให้
ในยามนี้ดูเหมือนว่าเทพธิดายู่หยานจะตัวใหญ่ขึ้นกว่าเดิมหลังจากที่บรรลุระดับเทพสงคราม
กายาเทพของเทพธิดายู่หยานนั้นมีความมั่นคงขึ้น
ในยามนี้แม้ว่ารูปร่างของนางจะเป็นผู้ใหญ่ แต่ความสูงของนางนั้นราวกับเด็กอายุสิบขวบ
ส่วนจินตานนั้นในตอนนี้ยังคงตัวใหญ่ขึ้นไปเรื่อย ๆ
เนื่องจากมีศิลาจิตวิญญาณให้กินอย่างไม่มีวันหมด
หลายวันต่อมาเนี่ยลี่ได้สั่งการให้เหล่าศิษย์และชนเผ่าเมฆาสวรรค์
ช่วยกันสร้างตำหนักใหม่ขึ้นมา
เพื่อที่จะเตรียมไว้รับรองผู้ที่จะเดินทางมาชุมนุมกันในอีกราวหนึ่งเดือนข้างหน้า
โดยที่เนี่ยลี่ได้สร้างประตูทางเข้าไปยังตำหนักชมจันทร์
โดยมีเพียงผู้ที่เขาอนุญาตเท่านั้นจึงจะเข้าไปยังตำหนักชมจันทร์ที่แท้จริงได้
โดยที่คนอื่น ๆ จะเดินเข้าไปยังตำหนักธรรมดาที่สร้างขึ้นมาใหม่
ก่อนที่จะถึงวันชุมนุม
เนี่ยลี่สามารถขยายพื้นที่ของตำหนักชมจันทร์ ให้กว้างใหญ่ขึ้นได้หลายเท่า
จากนั้นเนี่ยลี่ก็ปรับเปลี่ยนพื้นที่ให้เป็นดั่งตำหนักริมน้ำและด้านบนมีดวงดาวและดวงจันทร์ส่องสว่างอยู่
เมื่อถึงวันชุมนุมหกนิกายศักดิ์สิทธิ์
เนี่ยลี่ได้ขอให้ปรมาจารย์ทั้งห้าออกไปเป็นผู้ต้อนรับ
ผู้นำนิกายทั้งห้าและได้ขอให้ปรมาจารย์ทั้งห้าพกป้ายศิลาเร้นเมฆาเอาไว้
เพื่อปิดกั้นพลังวิญญาณให้อยู่ในระดับเทพสงครามเท่านั้น
นิกายเทพอัคคี
ที่เป็นนิกายที่แข็งแกร่งที่สุดในหกนิกายศักดิ์สิทธิ์ มีเพียงปรมาจารย์เทียนหั่ว [天火:เพลิงสวรรค์] เป็นชายชราผมยาวขาวโพลน ทั้งหัวมีเครายาวสีขาว สวมชุดสีขาวคลุมด้วยเสื้อคลุมสีน้ำเงินและถือพัดอยู่ในมือ ดูแล้วสุขุมยิ่งนัก มี
โอรสศักดิ์สิทธิ์เหยียนหยาง และผู้ติดตามไม่กี่คนที่เดินทางมาด้วย
นิกายเสียงสวรรค์
ปรมาจารย์อินเยวี่ย [天音乐:เพลงสวรรค์] เป็นหญิงสูงวัยที่ยังดูงดงาม สีผมของนางดำขลับ นางสวมชุดผ้าไหมสีโอรสได้เดินทางมาพร้อมกับธิดาศักดิ์สิทธิ์เอียจื่ออวิ๋น
เซี่ยวหนิงเอ๋อ เซี่ยวซุ่ย และศิษย์ผู้ติดตามคนอื่น ๆ
นิกายกำเนิดสวรรค์
ปรมาจารย์ฟู่ชิน [父亲:บิดา] ผู้มีผมหนวดและเคราสีขาวหน้าตาใจดี สวมเสื้อคลุมสีเขียวในมือถือขลุ่ยอยู่ด้วย
และ ปรมาจารย์หมู่ชิน[母亲:มารดา] เป็นหญิงนางสวมชุดสีฟ้า ผมขาวยาวถึงกลางหลังที่ดูมิได้แก่ชรา และดูใจดี ได้พา โอรสศักดิ์สิทธิ์ตู่ซื่อ และธิดาศักดิ์สิทธิ์ ฮวาหั่ว
และเหล่าผู้ติดตาม
นิกายเทพไร้ลักษณ์
ปรมาจารย์อู๋เม่า [无貌:ไร้ตัวตน] เป็นชายชราที่มีใบหน้าดุดัน ผมและหนวดเคราของเขายังคงมีสีดำ สวมเสื้อคลุมสีขาวและมีผ้าโพกหัวได้นำโอรสศักดิ์สิทธิ์ซูเซียงจิ้ง
และ เว่ยหนาน รวมถึงผู้ติดตามอีกหลายคน
นิกายร้อยบุพผาสวรรค์
ปรมาจารย์ฮัวฮวาลี่ [花华丽:ดอกไม้ที่งดงาม] เป็นหญิงที่มีใบหน้าดูเย็นชา สวมชุดรัดสีทีเทาขาว ประดับด้วยเข็มกลัดรูปดอกไม้ตรงกลางหน้าอก ได้พาโอรสศักดิ์สิทธิ์ไป๋ฮัว
และ จางหมิง พร้อมกับผู้ติดตามมา [จางหมิงนั้นระดับพลังสูงกว่า
แต่ไป๋ฮัวเป็นบุตรของฮัวฮวาลี่]
[ชื่อของปรมาจารย์ทั้งห้าเป็นดั่งฉายา
บางคนก็ได้รับสืบทอดชื่อมาจากประมุขคนเก่า]
เนี่ยลี่และลู่เพียวมองดูเหล่าสหายของเขาที่เดินทางมาด้วยความยินดี
เขาส่งเสียงผ่านห้วงวิญญาณไปบอกกับทุกคนว่า “ข้าดีใจเหลือเกินทีได้พบเห็นทุกคนอีกครั้ง
เมื่อเข้ามายังตำหนักชมจันทร์จะมีเพียงพวกเจ้าและผู้นำนิกายของพวกเจ้าเท่านั้นที่จะสามารถเข้ามายังตำหนักลับที่ข้าสร้างขึ้นมาได้”
ตู่ซื่อได้ยินเช่นนั้นจึงส่งเสียงตอบกลับไปว่า
“ที่อยู่ข้างกายของข้าคือฮวาหั่ว นางคือคู่หมั้นของข้า
นางจะสามารถเข้าไปยังตำหนักชมจันทร์ได้หรือไม่”
เนี่ยลี่แอบยิ้มและตอบกลับไปว่า
“ไม่คิดเลยว่าพี่ชายของข้าจะมีคู่หมั้นแล้ว
เหตุใดข้าจะต้องกีดกันมิให้พี่สะใภ้ของข้าเข้ามายังตำหนักชมจันทร์กันเล่า”
ทุกคนที่ได้ยินเสียงในห้วงขอบเขตวิญญาณต่างอดไม่ได้ที่จะยิ้ม
“แล้วคู่หมั้นของข้า
ไม่คิดที่จะทักทายข้าบ้างหรืออย่างไรกัน ข้าเศร้าใจยิ่งนัก” ลู่เพียวส่งเสียงออกไป
เพื่อหยอกเย้าเซี่ยวซุ่ย
“เจ้าพูดบ้าอะไร
หลังจากที่จบการพูดคุยข้าจะทักทายเจ้าเป็นการส่วนตัว” เซี่ยวซุ่ยตอบกลับไป
ลู่เพียวรู้สึกกลัวจนขนลุกจนไม่กล้าตอบกลับไป
เมื่อเดินทางมาถึงทางเข้าตำหนักชมจันทร์ปลอม
ทางเข้าเป็นทางเดินทางเดียว เหล่าผู้นำตระกูลและผู้ติดตามของแต่ละสำนักก็ค่อย ๆ
เดินเข้าไป
มีเพียงผู้ที่ได้รับอนุญาติเท่านั้นที่เดินเข้าไปยังตำหนักชมจันทร์ที่แท้จริงได้
ผู้ติดตามคนอื่น ๆ เมื่อเดินเข้าไปยังตำหนักชมจันทร์ปลอม
ก็ไปถึงห้องโถงใหญ่ มีที่ให้นั่งพัก พร้อมกับน้ำชา และอาหารมากมาย
แน่นอนว่าโอรสศักดิ์สิทธิ์ไป๋ฮัว ก็เข้ามาในห้องโถงนี้
“ประมุขนิกายของข้าหายไปที่ใดกัน?” โอรสศักดิ์สิทธิ์ไป๋ฮัวเอ่ยถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
“โอรสศักดิ์สิทธิ์ไป๋ฮัว
ท่านอย่าได้เป็นกังวล
ประมุขนิกายของท่านได้ไปยังห้องดื่มชากับเหล่าประมุขนิกายท่านอื่นแล้ว
เชิญท่านพักผ่อนให้สบายใจ” กู้เบ่ยทำหน้าที่เป็นผู้รับรองผู้ติดตามของนิกายนิกายร้อยบุพผาสวรรค์
“ไม่ทราบว่าเจ้าคือ?”
โอรสศักดิ์สิทธิ์ไป๋ฮัวถามออกไป เขารู้สึกคุ้นเคยกับเสียงของบุคคลผู้นี้
“แม้ว่าเราจะไม่เคยพบกันมาก่อน
แต่เราเคยเผชิญหน้ากันผ่านประตูนิกายมาแล้ว ข้าคือเทพกระบี่กู้เบ่ย!” กู้เบ่ยประสานมือคารวะและพูดออกไป
เมื่อได้ยินเช่นนั้นโอรสศักดิ์สิทธิ์ไป๋ฮัวก็อดที่จะแปลกใจไม่ได้
พลังลมปราณที่เขาสัมผัสได้จากกู้เบ่ยเป็นเพียง ระดับวิถีแห่งมังกรชั้นที่สองเท่านั้น
ต่างจากที่เคยเผชิญหน้ากันก่อนหน้านี้เป็นอย่างมาก
“เหตุใดข้าไม่เห็น
เหล่าโอรสศักดิ์สิทธิ์และธิดาศักดิ์สิทธิ์ของนิกายอื่น ๆ ในห้องโถงนี้เลย?” โอรสศักดิ์สิทธิ์ไป๋ฮัวถามออกไป
เมื่อกู้เบ่ยมีระดับพลังเพียงเท่านี้ เขาก็ไม่จำเป็นต้องใส่ใจมากนัก
“ท่านประมุขของเราเห็นว่าพวกท่านเดินทางมาไกลคงเหน็ดเหนื่อย
จึงได้จัดแยกห้องโถงให้แต่ละนิกายได้พักผ่อนเป็นการส่วนตัวไปก่อน
เมื่อถึงเวลาชมจันทร์จึงจะพาไปยังห้องโถงใหญ่เพื่อพบปะกัน” กู้เบ่ยตอบกลับไป
หากโอรสศักดิ์สิทธิ์ไป๋ฮัวรู้ว่าเขาถูกกีดกันออกมาจาก
ผู้นำนิกาย รวมถึงโอรสและธิดาศักดิ์สิทธิ์คนอื่น ๆ คงจะเจ็บใจไม่น้อย
เรื่องนี้ทำให้กู้เบ่ยต้องแอบหัวเราะอยู่ในใจ
ณ ตำหนักชมจันทร์
ผู้นำนิกายคนอื่น ๆ
เมื่อได้เห็นตำหนักชมจันทร์ ที่สามารถชมจันทร์และดาราได้ในยามกลางวันเช่นนี้
ก็รู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก
เนี่ยลี่ได้จัดเตรียมโต๊ะสำหรับนั่งจิบน้ำชาและชมดวงจันทร์
ได้อย่างสมเกียรติประมุขทุกท่าน ปรมาจารย์เทียนอู่ได้เชิญประมุขของแต่ละนิกายนั่ง
แต่ตัวเขากลับยืนอยู่หลังเก้าอี้
“ท่านปรมาจารย์เทียนอู่ ข้าไม่คิดเลยว่านิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์จะมีตำหนักชมจันทร์ที่งดงามถึงเพียงนี้
แต่ข้าสงสัยว่าไป๋ฮัวของข้านั้นอยู่ที่ใด เหตุใดเขาจึงมิได้อยู่ในที่แห่งนี้”
ปรมาจารย์ฮัวฮวาลี่ถามด้วยความสงสัย
เนื่องจากโอรสศักดิ์และธิดาศักดิ์สิทธิ์ของนิกายอื่น ๆ ต่างอยู่กันพร้อมหน้า
แต่ศิษย์ของนิกายร้อยบุพผาสวรรค์กลับมีเพียงจางหมิงเท่านั้นที่อยู่ที่นี่
“โอรสศักดิ์สิทธิ์ไป๋ฮัวอาจจะเดินหลงทางไปยังห้องอื่น
ๆ ข้าจะให้คนไปตามมาในภายหลัง ที่ข้าเชิญพวกท่านมาในวันนี้เพราะมีเรื่องสำคัญ”
ปรมาจารย์เทียนอู่ตอบกลับไป.........จบตอน