test

เมนู นิยาย บน

เมนูมังงะ

28 พ.ย. 2559

The Road of Du Ze บทที่ 13 宫天命 ตำหนักชะตาสวรรค์



“อย่าได้คิดว่าพวกเจ้าชนะได้แล้ว พยัคฆ์เกล็ดมังกร!” หัวหน้าของชายในชุดดำเรียกจิตอสูรของเขาออกมา เป็นเสือที่มีเกล็ดมังกรอยู่โดยรอบ เป็นจิตอสูรสายเลือดมังกรที่มีระดับการเติบโตอยู่ในระดับมหัศจรรย์ หลังจากที่ผสานเข้ากับจิตอสูรพยัคฆ์เกล็ดมังกร ร่างกายของหัวหน้าชายชุดดำก็ขยายใหญ่ขึ้นราวสิบเมตร 


“ตู่ซื่อระวังนะ ระดับพลังของเขาสูงกว่าพวกเราหลายขั้น” ฮวาหั่วพูดพร้อมกับยิงธนูออกไป ลูกธนูปักเข้าที่อกของพยัคฆ์เกล็ดมังกร แต่หลังจากที่ปักแล้วไฟก็ดับลง ดูเหมือนว่าเกล็ดมังกรนี้จะมีความสามารถในการต้านไฟได้เป็นอย่างดี


“ตายซะ!” พยัคฆ์เกล็ดมังกรคำรามลั่นก่อนที่จะพุ่งเข้ามาขย้ำตู่ซื่อ ตู่ซื่อได้ใช้มือขวาที่สวมถุงมืออยู่ต้านรับเอาไว้ ดูเหมือนว่าฟันของพยัคฆ์เกล็ดมังกรจะไม่อาจแทงทะลุ ถุงมือเพลิงอัสนีได้


“กิเลนทะลวงสวรรค์!” ตู่ซื่อต่อยหมัดซ้ายออกไปโดยใช้วรยุทธกิเลนทะลวงสวรรค์ ต่อเข้าที่ปากของพยัคฆ์เกล็ดมังกร เพียงแค่หมัดเดียวก็ทำให้พยัคฆ์เกล็ดมังกรต้องอ้าปากด้วยความเจ็บปวดและกระเด็นออกไปหลายเมตร


“ดูเหมือนว่าในปากของเจ้าจะไม่มีเกล็ดมังกรอยู่นะ” ตู่ซื่อพูดขณะที่เดินไปใกล้ ๆ พยัคฆ์เกล็ดมังกร หลังจากนั้นร่างกายของเขาก็กลับคือสู่สภาพมนุษย์


“เจ้าจะบอกได้หรือยังว่า ใครเป็นคนส่งพวกเจ้ามา” ฮวาหั่วง้างธนูเพลิงสวรรค์เอาไว้และถามออกไป


“อย่าได้ยิงข้า ข้านั้นเป็นลูกน้องของท่านอู่ฟง เขาต้องการให้พวกข้ามาแก้แค้นให้คุณชายอู่จิน” ชายในชุดดำรีบตอบกลับไป หลังจากเห็นฮวาหั่วง้างธนูอยู่


“เป็นคนของตระกูลเทพนักรบอย่างที่เจ้าบอกจริง ๆ” ตู่ซื่อพูดกับกิเลนฟ้าที่อยู่ในห้วงขอบเขตวิญญาณ


“แล้วเจ้าจะทำเช่นใดกับพวกมัน?” กิเลนฟ้าถามกลับมา


“พวกท่านจงกลับไปะ แล้วอย่าได้มาคิดทำร้ายข้าอีก หากเจอกันคราวหน้า ข้าจะไม่ละเว้นท่านเช่นนี้” ตู่ซื่อพูดพร้อมกับโบกมือไล่ให้พวกเขาทั้งสามกลับไป


“ขอบคุณที่ไว้ชีวิต” ชายชุดดำสามคนที่เหลือรอดอยู่ ต่างรีบพูดขอบคุณและพากันทะยานหนีไป


“เหตุใดเจ้าจึงไม่สังหารมันเสียเล่า?” ฮวาหั่วอดไม่ได้ที่จะถามออกไป ขณะที่นางกำลังเก็บธนูเพลิงสวรรค์เอาไว้ในแหวนห้วงมิติ


“หากสังหารพวกเขาไป พวกเขาก็จะกลับมาล้างแค้นในภายหลังอยู่ดี ในตอนนี้บิดาของอู่จินกำลังโกรธแค้นพวกเรา การที่เราปล่อยยอดฝีมือระดับดาราสวรรค์ทั้งสามคนกลับไป พวกเขาจะต้องปฏิเสธหากบิดาของอู่จินสั่งให้มาจัดการกับพวกเราอีกครั้ง” ตู่ซื่อตอบกลับไปพร้อมกับยิ้ม


“นับว่ามีความคิดไม่เลว” กิเลนเพลิงพูดแทรกขึ้นมา


“ด้วยความสามารถของพวกเราในตอนนี้ การที่จะลุยผ่านตำหนักชะตาสวรรค์คงจะไม่ใช่เรื่องที่ลำบากอีกต่อไปแล้ว” ฮวาหั่วพูดขึ้นมาด้วยความยินดี ตอนนี้นางมีทั้งอาวุธและชุดเกราะวิเศษ ในตอนนี้เหลืออีกเพียงแค่สี่ชั้น ก็จะสามารถผ่านตำหนักชะตาสวรรคืไปได้ และจะได้รับของรางวัลมาอีกด้วย


หลังจากนั้นทั้งสองคนก็เดินทางกลับนิกายกำเนิดสวรรค์ ระหว่างทางตู่ซื่อได้พบเจอกับทะเลสาบแห่งหนึ่งที่มีพลังสวรรค์เอ่อล้นออกมา แต่รอบ ๆ ทะเลสาบน้ำก็มียอดฝีมือระดับแก่นแท้แห่งสวรรค์ยืนเฝ้าอยู่หลายสิบคน ตู่ซื่อจึงเดินหลบเลี่ยงไป


“ทะเลสาบแห่งนั้นคืออะไรกัน?” ตู่ซื่อถามกิเลนฟ้าและกิเลนเพลิงที่อยู่ในห้วงขอบเขตวิญญาณ


“ที่แห่งนั้นเรียกว่าทะเลสาบแห่งเทพ มันสามารถผลิตศิลาจิตวิญญาณได้ จึงมีมนุษย์และอสูรพยายามที่จะครอบครองเอาไว้ ด้วยกำละงของพวกเจ้าในตอนนี้ คงจะยากหากคิดที่จะแย่งชิงมา” กิเลนเพลิงตอบกลับไป


“แม้ว่าพวกเราจะเลื่อนระดับพลังจนสูงขึ้นจนระดับเทียบเท่ากับพวกเขา แต่ด้วยกำลังคนเพียงสองคนก็คงจะเป็นเรื่องที่ยากอยู่ดี” ฮวาหั่วพูดออกไปด้วยความเสียดาย


ตู่ซื่อพยักหน้าตอบรับ และเดินทางมุ่งหน้ากลับนิกายกำเนิดสวรรค์


บ้านพักของตู่ซื่อ


          “ในตอนนี้พวกเราก็มีศิลาจิตวิญญาณพอที่จะใช้ได้หลายเดือนแล้ว จากนี้ไปพวกเราจะพยายามผ่านตำหนักชะตาสวรรค์ให้ได้” ตู่ซื่อพูดกับฮวาหั่ว ขณะที่กำลังดูดซับพลังสวรรค์อยู่


          “หากพวกเรามีกำลังคนมากพอ และยึดครองทะเลสาบแห่งเทพสักแห่งคงจะหมดปัญหาเรื่องการหาศิลาจิตวิญญาณ” ฮวาหั่วพูดขึ้นมาพร้อมกับถอนหายใจ


          “รอจนกว่าพวกเราจะบรรลุระดับที่สูงกว่านี้ เราค่อยเริ่มหาคนมาร่วมทีม อาจจะเป็นพวกนักเรียนในชั้นเรียนของพวกเราก็ได้” ตู่ซื่อตอบกลับไป ในตอนนี้ด้วยระดับพลังของพวกเขาทั้งสองสามารถรับมือได้เพียงแค่ ยอดฝีมือระดับดาราสวรรค์ในขั้นแรก ๆ เท่านั้น


          หลังจากนั้นทั้งสองคนก็นั่งดูดซับพลังสวรรค์จนหมด ก่อนที่จะแยกย้ายกันไปพักผ่อน ระดับพลังของทั้งสองคนในเวลานี้อยู่ในระดับชะตาสวรรค์ขั้นที่หกแล้ว แต่ด้วยอาวุธและชุดเกราะวิเศษทำให้ความแข็งแกร่งของพวกเขาไม่ได้ด้อยกว่าระดับดาราสวรรค์เลย


          เช้าวันต่อมา อู่หมิงได้เดินทางมาหาตู่ซื่อและฮวาหั่ว


          “ข้าได้ข่าวมาว่าพวกเจ้าถูกลูกน้องบิดาของอู่จินลอบทำร้ายเป็นเรื่องจริงหรือไม่?” อู่หมิงถามออกไปอย่างร้อนใจ


          “ถูกต้องแล้ว แต่พวกข้าจัดการคนพวกนั้นไปทั้งหมดแล้ว” ตู่ซื่อตอบกลับไปอย่างไม่ใส่ใจมากนัก


          “เจ้าจงอย่าได้วางใจให้มากนัก แม้ว่าบิดาของอู่จินจะมีหน้าที่ในการทำการค้าของตระกูล แต่กองกำลังของเขาก็มียอดฝีมือระดับแก่นแท้แห่งสวรรค์อยู่ไม่น้อย” อู่หมิงพูดเตือนหลังจากที่ได้เห็นท่าทีที่ไม่กังวลของตู่ซื่อ


          “กองกำลัง คือสิ่งใดกัน เจ้าหมายถึงกำลังทหารเช่นนั้นหรือ?” ฮวาหั่วอดไม่ได้ที่จะถามแทรกขึ้นมา


          “นิกายของเราอนุญาตให้ก่อตั้งกองกำลังได้ โดยปกติจะมีการตั้งกองกำลังเพื่อให้ช่วยหนุนหลังในการขึ้นเป็นผู้นำตระกูล หรือผู้นำนิกาย บางส่วนก็ตั้งกองกำลังเพื่อที่จะยึดครองและปกป้องทะเลสาบแห่งเทพ” อู่หมิงค่อย ๆ อธิบาย


          “การสร้างกองกำลังคงจะต้องใช้เงินมิใช่น้อยสินะ” ตู่ซื่อนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะถามออกไป


          “โดยปกติ ผู้นำกองกำลังจะต้องจ่ายค่าจ้างให้แก่ผู้เข้าร่วมในกองกำลัง โดยส่วนใหญ่ก็อยู่ที่คนละสามสิบถึงห้าสิบก้อนต่อเดือน สำหรับยอดฝีมือในระดับชะตาสวรรค์ขั้นที่ห้าถึงเก้า หากเป็นยอดฝีมือในระดับดาราสวรรค์ก็ต้องจ่ายไม่น้อยกว่าเดือนละหนึ่งร้อยศิลาจิตวิญญาณ” อู่หมิงตอบกลับไป 


โดยปกติกองกำลังหนึ่งจะมีกำลังคนราวหนึ่งร้อยคน หากมีเพียงยอดฝีมือระดับชะตาสวรรค์ ก็จะมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่เดือนละสามถึงห้าพันศิลาจิตวิญญาณ ซึ่งนับว่าเป็นเงินก้อนใหญ่เลยทีเดียว


“อู่หมิง หากข้าได้รับของวิเศษหรือจิตอสูรมา เจ้าสามารถนำไปขายแลกเปลี่ยนเป็นเงินให้ข้าได้หรือไม่?” ตู่ซื่อเริ่มคิดหาหนทางในการหาศิลาจิตวิญญาณ เขาได้เรียนรู้เรื่องการค้าจากเนี่ยลี่มาไม่น้อย เมื่อครั้งที่ยังอยู่ที่โลกใบเล็ก


“แน่นอน! ข้านั้นติดหนี้บุญคุณเจ้าอยู่ เรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านั้นข้าสามารถดำเนินการให้เจ้าได้” อู่หมิงรับปากด้วยความยินดี


“หากเจ้าไม่มีธุระอื่นใด ข้ากับฮวาหั่วคิดจะเดินทางไปยังตำหนักชะตาสวรรค์ เพื่อที่จะผ่านทั้งเก้าชั้นก่อน ตอนนี้พวกข้านั้นผ่านชั้นที่ห้าแล้ว” ตู่ซื่อพูดพร้อมกับลุกยืนขึ้น


“พวกเจ้าจะมีพรสวรรค์มากเกินไปแล้ว ข้ากับเฝิ่นหงนั้น เพิ่งจะผ่านชั้นที่สองได้เมื่อไม่นานมานี้เองเท่านั้น” อู่หมิงพูดด้วยความตกใจ


“เจ้านั้นเป็นคนจากตระกูลใหญ่ หากต้องการผ่านตำหนักชะตาสวรรค์ ก็แค่หาซื้อของอาวุธและเกราะวิเศษมาสวมใส่ ก็คงจะสามารถผ่านไปได้” ฮวาหั่วพูดขณะที่ลุกขึ้นยืนเช่นกัน


“ข้าก็ลืมคิดไป หากสวมใส่ของวิเศษระดับสองหรือระดับสาม ก็ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้ได้หลายขั้น ถ้าเช่นนั้นข้าจะลองไปหาพวกของวิเศษในคลังของตระกูลของข้า ข้าขอตัวก่อนนะ” อู่หมิงพูดขึ้นและเดินออกจากบ้านพักไป


ตู่ซื่อและฮวาหั่วจึงเดินทางไปยังตำนหักชะตาสวรรค์


ตำหนักชะตาสวรรค์ชั้นที่หก


          “ในชั้นนี้จะพบเจอกับสิ่งใดกันนะ” ฮวาหั่วอดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ ก่อนที่จะเปิดประตูเข้าไป


          กรร!


          ทันทีที่ประตูเปิดออกก็มีเสียงคำรามดังลั่นออกมา ด้านหน้าของพวกเขามีมังกรดินตัวหนึ่งอยู่ ร่างกายของมันยาวเหมือนงูมีเกล็ดเป็นสีน้ำตาลเข้มราวกับพื้นดิน ดวงตาของมันเป็นประกายราวกับโลหะ


          ทันใดนั้น มันก็พ่นก้อนหินขนาดใหญ่มาทางตู่ซื่อและฮวาหั่วทันที ขนาดของก้อนหินนี้มีขนาดใหญ่ยิ่งนัก


          “กิเลนทะลวงสวรรค์!” ตู่ซื่อต่อยหมัดออกไปที่ก้อนหินที่ถูกพ่นออกมา ก้อนหินแตกละเอียดเป็นผุยผงในทันที


          “ดูเหมือนว่าจะไม่ได้แข็งแกร่งมากดั่งที่คิดเอาไว้” ตู่ซื่อพูดออกไป แต่ดูเหมือนว่ามังกรดินจะไม่พอใจที่ตู่ซื่อสามารถทำลายก้อนหินที่มันพ่นออกไปได้ มันจึงพ่นก้อนหินออกมาเป็นจำนวนมาก


          “กิเลนคลุมสวรรค์!” ตู่ซื่อสร้างม่านพลังป้องกันเอาไว้ได้ทั้งหมด ส่วนฮวาหั่วรีบหยิบเอาธนูเพลิงสวรรค์ออกมาและง้างยิงใส่มังกรดินทันที


          ลูกธนูเพลิงพุ่งปักเข้าตรงหน้าผากของมังกรดินด้วยความแม่นยำ เพียงแค่พริบตามังกรดินก็ลุกไหม้จนแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ กลายเป็นกลุ่มก้อนพลังสวรรค์มห้ทั้งสองคนได้ดูดซับ


          ในชั้นที่เจ็ดทั้งสองคนได้พบกับงูสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ ที่มีขนาดใหญ่กว่ามังกรดินในชั้นที่หกเสียอีก มันมีความรวดเร็วเป็นอย่างมาก และสายฟ้าของมันก็รุนแรงยิ่งนักแต่ก็ไม่อาจสร้างความเสียหายอ่านเสื้อเกราะวิเศษของทั้งสองคนได้  ฮวาหั่วใช้กรงเล็บอัคคีเฉือนตั้งแต่หัวไปจนถึงหางของมัน ทำให้มันตายไปอย่างง่ายดาย


          หลังจากที่ทั้งสองคนดูดซับพลังสวรรค์จากสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ ตู่ซื่อและฮวาหั่วก็เลื่อนระดับพลังขึ้นไปเป็นระดับชะตาสวรรค์ขั้นที่เจ็ด


          ในชั้นที่แปดทั้งสองคนต้องเผชิญหน้ากับ อาชาวายุ แม้ว่ารูปลักษณ์ของมันจะเป็นแค่ม้าธรรมดา แต่ร่างกายของมันแข็งแกร่งยิ่งนัก และมีความรวดเร็วเป็นอย่างมาก มันสามารถเคลื่อนไหวมาทางด้านหลังของทั้งสองคนอย่างรวดเร็วและใช้เท้าหลังทั้งสองถีบให้ทั้งสองคนกระเด็นออกไปหลายเมตร หากมิได้สวมเกราะวิเศษระดับสี่ ทั้งสองคนจะต้องบาดเจ็บหนักเป็นแน่ ตู่ซื่อจึงพยายามกระโดดขี่หลังอาชาวายุเอาไว้ และโจมตีจากด้านบนหลังม้า จึงสามารถจัดการมันได้


          เมื่อเปิดประตุชั้นที่เก้า บรรยากาศโดยรอบกลับมืดสนิท ภายในห้องมีแะอยู่ราวสิบตัว กระจายอยู่ทั่วทั้งห้อง และดูภายนอกจะเป็นเพียงแค่แะภูเขาธรรมดาเท่านั้น แท้จริงแล้วมันคือแะมายา หากโจมตีไม่ถูกตัวจริงของมัน มันจะเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ แม้จะเป็นศัตรูที่อ่อนแอแต่ก็จัดการได้ไม่ง่ายนัก


          ฮวาหั่วลองแตะตัวแะตัวหนึ่ง ทันทีที่สัมผัสโดนตัวมัน มันก็แยกออกกลายเป็นสองตัวและเดินปะปนไปกับตัวที่เหลือในห้อง ตู่ซื่อคิดจะใช้วรยุทธกิเลนฟ้าทะลวงสวรรค์แต่ฮวาหั่วก็ได้ห้ามเอาไว้ การโจมตีจะต้องโจมตีพร้อมกันทั้งสิบเอ็ดตัว หากพลาดไปแม้แต่ตัวเดียว ก็อาจจะหาแะมายาตัวจริงได้ยากขึ้น


          ฮวาหั่วหยิบธนูเพลิงสวรรค์ออกมา และไปนั่งอยู่ตรงมุมหนึ่งของห้องที่สามารถมองเห็นแะมายาทั้งทั้งสิบเอ็ดตัว


          ลูกธนูเพลิงแยกออกเป็นสิบเอ็ดสายและพุ่งเข้าหาแะมายาทั้งสิบเอ็ดตัวพร้อมกัน ทำให้แะมายาตัวจริงสลายไปในทันที


          ทั้งสองคนดูดซับพลังสวรรค์จากกลุ่มก้อนพลังสวรรค์ที่มาจากตัวแะมายา ทำให้ระดับพลังของทั้งสองคนเพิ่มขึ้นเป็นระดับชะตาสวรรค์ขั้นที่แปด และได้รับรางวัลในการผ่านตำหนักชะตาสวรรค์ได้


          ทั้งสองคนได้รับศิลาจิตวิญญาณจำนวนหนึ่งร้อยก้อน และจิตอสูรสายเลือดมังกรที่มีระดับการเติบโตในระดับปานกลางสองตน และของวิเศษระดับสามอีกสองชิ้น แม้ว่าทั้งสองคนจะมีของที่ดียิ่งกว่านี้แล้ว แต่ของเหล่านี้ก็ยังสามารถนำไปขายได้


          หลังจากผ่านตำหนักชะตาสวรรค์ทั้งสองคนจะต้องหยุดพักเป็นเวลาหนึ่งเดือน และต้องฝึกฝนให้บรรลุระดับดาราสวรรค์ก่อน จึงจะสามารถเข้าไปยังตำหนักดาราสวรรค์ได้.....จบตอน

แต่งโดย นายมะพร้าว



<< Back                  Next >>



               

เมนู นิยาย ล่าง

เมนู มังงะ ล่าง