หลังจากที่ตู่ซื่อและฮวาหั่วสามารถผ่านตำหนักชะตาสวรรค์ได้
ข่าวเรื่องนี้ก็กระจายไปทั่วทั้งนิกายกำเนิดสวรรค์ นับแต่อดีตมายังไม่เคยมีศิษย์ใหม่ที่สามารถผ่านตำหนักชะตาสวรรค์ได้รวดเร็วถึงเพียงนี้
ตระกูลใหญ่หลายตระกูลเริ่มที่จะส่งคนมาชักชวนให้ตู่ซื่อและฮวาหั่วเข้าร่วมกองกำลังกับพวกเขา
กองกำลังต่าง ๆ ล้วนก็ต้องการผู้มีพรสวรรคือันโดดเด่นเช่นนี้อยู่แล้ว
อู่หมิงที่เป็นหนึ่งในทายาทตระกูลใหญ่ ก็ถูกบิดาบังคับให้เขาก่อตั้งกองกำลังและชักชวนให้ตู่ซื่อและฮวาหั่วมาเข้าร่วมในกองกำลัง
แม้ในใจของเขาจะคาดหวังให้เป็นเช่นนั้น แต่เขาต้องการให้ตู่ซื่อและฮวาหั่วเข้าร่วมด้วยความเต็มใจ
มิใช่การใช้อำนาจของตระกูลในการฝืนใจเขา
ลึก ๆ ในใจของอู่หมิง เขาคิดว่าตู่ซื่อนั้นมีความสามารถมากพอที่จะก่อตั้งกองกำลังด้วยตนเอง
ด้วยฝีมืออันโดดเด่นของตู่ซื่อนั้น อู่หมิงเองต้องการที่จะเป็นลูกน้องของตู่ซื่อเลยเสียด้วยซ้ำ
แต่บิดาของเขาจะต้องไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเป็นแน่
การก่อตั้งกองกำลังนั้นขอเพียงแค่มีเงินก็สามารถก็ตั้งได้แล้ว
ดังนั้นตระกูลใหญ่ ๆ จึงมักจะให้ลูกหลานก่อตั้งกองกำลังเป็นของตัวเอง
เพื่อที่จะสร้างชื่อเสียงให้แก่ตระกูล แต่ในบางครั้งก็ไม่ต่างไปจากการทิ้งเงินลงบ่อสักเท่าใดนัก
เพราะทางกองกำลัง จะต้องจ่ายค่าตอบแทนให้กับสมาชิกในกองกำลังเป็นประจำทุกเดือน และหากไม่จ่ายค่าตอบแทนตามสัญญา
สมาชิกในกองกำลังนั้น ๆ ก็จะสามารถยกเลิก สัญญาการเข้ากองกำลังนั้น ๆ ได้
ในทางกลับกัน หากกองกำลังสามารถจ่ายค่าตอบแทนได้ตามสัญญา
สมาชิกในกองกำลังก็จะต้องปฏิบัติตามกฏของกองกำลังนั้น ๆ อย่างเคร่งครัด
การฝ่าฝืนคำสั่ง หรือหักหลังกองกำลังที่ตนสังกัดอยู่ จะไม่อาจเข้าร่วมกองกำลังอื่น
ๆ ได้ เว้นแต่ว่าจะย้ายไปอยู่กับกองกำลังฝ่ายตรงข้าม
ที่มีตระกูลใหญ่ให้การหนุนหลัง แต่ก็จะถูกตราหน้าเป็นพวกคนทรยศ ไม่มีกองกำลังใดที่คิดจะคบหากับเขาอีกต่อไป
ด้านหน้าที่พักของตู่ซื่อและฮวาหั่ว มีตัวแทนจากกองกำลังต่าง ๆ
ส่งคนมาเชื้อเชิญให้ตู่ซื่อเข้าร่วมในกองกำลัง
บางกองกำลังที่มาจากตระกูลใหญ่ยินดีที่จะเสนอศิลาจิตวิญญาณตอบแทนให้เป็นจำนวนมาก
หากตู่ซื่อยอมตอบรับในการเข้ากองกำลังของพวกเขา
“พวกเจ้าสนใจที่จะเข้าร่วมกองกำลังของข้าหรือไม่”
ชายผู้หนึ่งตะโกนเรียกตู่ซื่อและฮวาหั่ว
“กองกำลังเล็ก ๆ ของเจ้านั่นอยู่ไป ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น เข้าร่วมกองกำลังของข้าดีกว่า
รับรองว่าพวกเจ้าจะต้องไร้รับค่าตอบแทน มากเท่าที่เจ้าต้องการเป็นแน่”
คนอีกกลุ่มตะโกนแทรกขึ้นมา
แต่ตู่ซื้อและฮวาหั่วก็หาได้สนใจไม่ พวกเขาเดินตรงไปยังประตูที่พักโดยไม่สนใจที่จะมองเลยเสียด้วยซ้ำ
“ช้าก่อน พวกเจ้าคงเป็นตู่ซื่อและฮวาหั่ว ข้านั้นมีนามว่าลิ่วฟง
[หกวายุ] เป็นตัวแทนจากกองกำลังฟ้าดิน มาเชิญชวนให้เจ้าเข้าร่วมกองกำลังฟ้าดินของพวกเรา”
ชายที่มีนามว่าลิ่วฟงใช้มือจับไหล่ของตู่ซื้อเอาไว้พร้อมกับพูดออกไป
ไหล่ของตู่ซื่อสัมผัสได้ถึงพลังอันแข็งแกร่งจากมือของลิ่วฟง ซึ่งดูเหมือนว่าลิ่วฟงผู้นี้จะมีพลังในระดับแก่นแท้แห่งสวรรค์เลยทีเดียว
“นั่นมันยอดฝีมือของกองกำลังฟ้าดิน
พวกเขาเองก็สนใจในตัวตู่ซื่อและฮวาหั่วเช่นกันหรือนี่”
ชายที่ยืนอยู่ห่างออกไปพูดขึ้นมาด้วยความเศร้าใจ
หากกองกำลังอันใหญ่โตอย่างกองกำลังฟ้าดิน ยื่นมือเข้ามาแย่งตัวตู่ซื่อและฮวาหั่ว
กองกำลังเล็ก ๆ ของเขาก็คงไม่มีหวังแล้ว
“ข้าได้ยินมาว่า พวกเขามักจะใช้กำลังบังคับเหล่าเด็กใหม่ ที่มีพรสวรรค์ให้เข้าร่วมในกองกำลัง”
ชายอีกคนพูดกระซิบเบา ๆ
“ต่อให้พวกตู่ซื่อคิดจะเข้ากองกำลังของเรา ข้าก็คงต้องปฏิเสธแล้ว”
ชายอีกคนพูดขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งเพียงไหน
หากมีความขัดแย้งกับกองกำลังฟ้าดิน สมาชิกกองกำลังนั้น ๆ
ก็จะถูกเล่นงานเมื่อออกไปยังโลกภายนอกทันที แม้ว่าไม่อาจจะที่จะเป็นมิตรกับกองกำลังฟ้าดิน
ก็จงอย่าได้คิดที่จะวางตนเป็นศัตรูของพวกเขา นี่คือสัจธรรมที่ศิษย์ของนิกายกำเนิดสวรรค์ทราบดี
ก่อนที่ตู่ซื่อจะรวบรวมพลังไปที่ไหล่เพื่อที่จะผลักมือของลิ่วฟงให้กระเด็นออกไป
ฮวาหั่วก็ได้ห้ามไว้โดยการส่งเสียงผ่านลมปราณว่า
‘ใจเย็นก่อนตู่ซื่อ ให้ข้าออกหน้าเอง’
“ข้าได้ยินชื่อเสียงของกองกำลังฟ้าดินว่ายิ่งใหญ่เพียงใด
รู้สึกขอบคุณเป็นอย่างยิ่งที่สนใจในตัวพวกข้าทั้งสอง”
ฮวาหั่วประสานมือพร้อมกับก้มศีรษะอย่างนอบน้อมขณะพูดกับลิ่วฟง
เมื่อเห็นท่าทีอันสุภาพของฮวาหั่ว
ลิ่วฟงก็หัวเราะด้วยความยินดีพร้อมกับปล่อยมือจากไหล่ของตู่ซื่อทันที
“หมายความว่าพวกเจ้าตกลงที่จะเข้าร่วมกับกองกำลังฟ้าดินแล้วใช่หรือไม่?”
ลิ่วฟงเอ่ยถามพร้อมกับหัวเราะด้วยความยินดี
“หาใช่เป็นเช่นนั้นไม่ พวกข้ายินดีที่จะลองฟังข้อเสนอจากท่าน
และจะนำไปไตร่ตรองดูในภายหลัง”
“หึ อวดดีนัก เมื่อกองกำลังฟ้าดินเอ่ยปากชักชวน
ไม่มีผู้ใดที่จะปฏิเสธมาก่อน” ลิ่วฟงพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา ใบหน้าของเขาแสดงความไม่พอใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด
“ท่านลิ่วฟงอย่าได้ขุ่นเคืองใจ
ท่านเองก็เห็นว่ามีกองกำลังมากมายที่ยื่นข้อเสนอให้พวกข้าเข้าร่วมกับกองกำลังของพวกเขา
พวกข้าไม่อาจที่จะตัดรอนน้ำใจของพวกเขาได้ ท่านลิ่วฟงโปรดเห็นใจพวกข้าด้วย” ฮวาหั่วพยายามชี้แจงอย่างนอบน้อม
แต่ในใจของนางนั้นร้อนรุ่มราวกับถุกเปลวไฟแผดเผาอยู่ แต่อีกฝ่ายนั้นมีพลังเหนือกว่าหลายขั้น
หากใช้กำลังขัดขืนตัวนางเองและตู่ซื่อคงไม่อาจรับมือได้เป็นแน่
แม้จะมีกฏห้ามมิให้มีการสังหารกันเองในพื้นที่สถาบันกำเนิดฟ้า
แต่การเป็นศัตรูกับกองกำลังฟ้าดิน จะไม่เกิดผลดีกับตัวนางเองและตุ่ซื่อเป็นแน่
เมื่อคิดได้เช่นนี้นางจึงต้องเก็บงำความไม่พอใจไว้ข้างใน
“ก็ได้ ข้อเสนอของกองกำลังฟ้าดินก็คือ
เมื่อพวกเจ้าเข้าร่วมกับกองกำลังฟ้าดิน จะได้รับค่าตอบแทนเป็นศิลาจิตวิญญาณจำนวนยี่สิบก้อนต่อเดือน
พรุ่งนี้ข้าจะมาขอรับคำตอบจากพวกเจ้า” ลิ่วฟงพูดพร้อมกับหันหลังเดินจากไป โดยปกติแล้วสมาชิกในกองกำลังฟ้าดินที่อยู่ในระดับชะตาสวรรค์ จะได้รับค่าตอบแทนเพียงเดือนละสิบห้าศิลาจิตวิญญาณเท่านั้น
แต่สำหรับผู้มีพรสวรรค์เช่นตู่ซื่อและฮวาหั่วก็จะได้มากขึ้นเพราะมีโอกาสที่จะพัฒนาได้มากกว่าคนที่มีอายุมากกว่า
เนื่องจากกองกำลังฟ้าดินมีสมาชิกอยู่นับพันคนทำให้มีค่าใช้จ่ายไม่น้อย
จึงไม่อาจที่จะจ่ายค่าตอบแทนให้กับสมาชิกกองกำลังระดับล่างได้สูงนัก
สำหรับฮวาหั่วแล้วนางคิดว่าเป็นค่าตอบแทนที่น้อยเกินไป
เพราะกองกำลังอื่น ๆ ต่างเสนอให้ค่าตอบแทนไม่น้อยกว่าสามสิบศิลาจิตวิญญาณต่อเดือนและมีบางกองกำลังที่เสนอให้นางกับตู่ซื่อถึงห้าสิบศิลาจิตวิญญาณต่อเดือนเลยทีเดียว
กองกำลังฟ้าดินที่ใหญ่โตกลับตระหนี่ยิ่งนัก
“สักวันข้าจะต้องกระทืบเจ้าลิ่วฟงผู้นี้ให้จมดินด้วยเท้าทั้งสองของข้า”
ฮวาหั่วพูดด้วยความไม่พอใจ ก่อนที่จะเดินเข้าไปในห้องพักพร้อมกับตู่ซื่อ
ภายในที่พักของตู่ซื่อ
“ตู่ซื่อ เจ้าไม่ลองทบทวนข้อเสนอของพวกเขาดูบ้างหรือ?
ข้าคิดว่าบางคนก็ให้เสนอที่น่าสนใจไม่น้อยนะ” ฮวาหั่วหันไปปรึกษาตู่ซื่อ
“หากเข้าร่วมกองกำลัง
พวกเราก็จะต้องทำตามคำสั่งของกองกำลังนั้น ๆ ดังนั้นพวกเราต้องตัดสินใจให้ดี
และที่สำคัญข้าเชื่อว่าอีกไม่นานสหายของข้าเนี่ยหลี
จะต้องก่อตั้งกองกำลังขึ้นมาเป็นแน่ หากข้าเข้าร่วมกับกองกำลังอื่น
ข้าก็ไม่อาจที่จะเข้าร่วมกับกองกำลังของเนี่ยหลีได้” ตู่ซื่อตอบกลับไป
เขานั้นได้มอบชีวิตให้กับเนี่ยหลีแล้ว การเข้าร่วมกับกองกำลังอื่น จึงไม่อยู่ในความคิดของเขาแม้แต่น้อย
“ก็จริงดั่งที่เจ้าพูด แม้ว่าพวกเราจะถูกเรียกว่าผู้มีพรสวรรค์
แต่พลังของเรายังไม่บรรลุระดับดาราสวรรค์เสียด้วยซ้ำ กองกำลังใหญ่ ๆ
ต่างก็มียอดฝีมือในระดับแก่นแท้แห่งสวรรค์
บางกองกำลังก็มียอดฝีมือระดับวิถีแห่งมังกรเสียด้วยซ้ำ พวกเขาจะต้องการเราไปเพื่ออะไรกัน?”
ฮวาหั่วเองก็เริ่มที่จะสงสัย
“หากพวกเจ้าต้องการทราบคำตอบ
ก็จงเปิดประตูให้สหายของเจ้าเข้ามาสิ ข้าคิดว่าเขาคงจะให้คำตอบแก่พวกเจ้าได้”
กินเลนฟ้าสัมผัสได้ถึงพลังของอู่หมิงที่อยู่หน้าประตูได้ จึงได้บอกกับตู่ซื่อ
“อู่หมิงอยู่ที่หน้าประตูเช่นนั้นหรือ?”
ตู่ซื่อรู้สึกประหลาดใจที่อู่หมิงไม่ได้เคาะประตูเรียกเขา
เขาก็เดินไปเปิดประตูและพบว่าอู่หมิงยืนนิ่งอยู่ที่หน้าประตูดั่งที่กิเลนฟ้าบอก
เขาจึงเชิญให้อู่หมิงเข้ามาในที่พัก
“นั่นมันอู่หมิงจากตระกูลเทพนักรบมิใช่หรือ?”
“หรือว่าตระกูลเทพนักรบก็คิดที่จะชักชวนให้พวกเขาเข้าร่วมกับกองกำลังของพวกเขาเช่นกัน”
เหล่าคนที่อยู่ด้านนอก พูดขึ้นมาด้วยความสงสัย
หากตระกูลใหญ่อย่างตระกูลเทพนักรบยื่นมือเข้ามาเช่นนี้ ก็ไม่มีผู้ใดที่จะใช้กำลังข่มขู่ให้ตู่ซื่อและฮวาหั่วเข้าร่วมกับกองกำลังของพวกเขาได้อีก
“อู่หมิงเจ้าทราบหรือไม่ว่าเหตุใด
พวกเขาจึงต้องการให้ข้าและฮวาหั่วเข้าร่วมในกองกำลังของพวกเขานัก”
ฮวาหั่วเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“แน่นอน ข้าย่อมทราบดีอยู่แล้ว
การชักชวนผู้มีพรสวรรค์ให้เข้าร่วมกองกำลังในขณะที่ระดับพลังยังอยู่ในระดับชะตาสวรรค์
จะมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการชักชวนยอดฝีมือระดับดาราสวรรค์หรือแก่นแท้แห่งสวรรค์หลายเท่านัก
และเมื่อพวกเจ้าสามารถเลื่อนระดับพลังได้จนถึงระดับดาราสวรรค์หรือสูงกว่านั้น
พวกเขาก็จะใช้กล่าวอ้างบุญคุณว่าเป็นเพราะกองกำลังของพวกเขา
จึงทำให้พวกเจ้าพัฒนาฝีมือขึ้นไปได้ ซึ่งพวกเขาจะใช้ข้ออ้างนี้ในการจ่ายค่าตอบแทนให้พวกเจ้าไม่สูงนัก
ซึ่งส่วนใหญ่จะถูกระบุไว้ในหนังสือสัญญาเข้าร่วมกองกำลัง” อู่หมิงพยายามอธิบายให้เข้าใจได้ง่ายที่สุด
“แล้วที่เจ้ามาหาพวกข้าในวันนี้” ตู่ซื่อหันไปเอ่ยถามอู่หมิงด้วยความสงสัย
“แน่นอนว่า ข้าเองก็ไม่ต่างจากพวกที่อยู่ด้านนอกนั่น บิดาข้าได้สั่งให้ข้ามาชักชวนพวกเข้า
ให้เข้าร่วมในกองกำลังของข้า” อู่หมิงตอบกลับไปอย่างไม่ปิดบัง
“เรื่องนั้น!”ตู่ซื่อพูดขึ้นมาด้วยความลำบากใจ เพราะเขายังไม่ได้คิดที่จะเข้าร่วมกับกองกำลังใด
ๆ
“เจ้าอย่าได้กังวล ข้าไม่ได้มาเพื่อบังคับพวกเจ้า
ข้าทราบดีว่าการถูกบังคับนั้นเป็นเช่นใด
การที่ข้ามาก็เพราะเป็นคำสั่งของท่านพ่อเท่านั้น” อู่หมิงรีบพูดขึ้นมาเมื่อเห็นว่า
คำพูดของเขาทำให้ตู่ซื่อเป็นกังวล
“พวกข้าเองก็ไม่ได้รังเกียจเจ้าหรอกนะ
แต่มีหนทางใดบ้างที่เราจะร่วมมือกันได้ โดยที่ไม่ต้องเข้าร่วมกองกำลัง”
ฮวาหั่วถามออกไปพร้อมกับครุ่นคิด
“สัญญาพันธมิตร” อู่หมินิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดสิ่งที่คิดได้ออกมา
การทำสัญญาพันธมิตรคือการทำข้อตกลงร่วมกัน โดยที่แต่ละฝ่ายจะให้ความร่วมมือกัน
โดยที่ไม่ต้องเข้ามาเป็นสมาชิกในกองกำลังของอีกฝ่าย และแบ่งสรรปันส่วนสมบัติที่หามาได้
ตามที่ได้ทำข้อตกลงกันไว้
“เป็นข้อเสนอที่น่าสนใจ หากพวกเจ้าทำสัญญาพันธมิตรกับอู่หมิง ก็เท่ากับว่าพวกเจ้ามีตระกูลเทพนักรบหนุนหลังอยู่
ทำให้ตระกูลอื่น ๆ ไม่กล้าที่จะมาหาเรื่องพวกเจ้าได้” กิเลนฟ้าพูดขึ้นมาในห้วงขอบเขตวิญญาณของตู่ซื่อ
“ข้าเองก็เห็นด้วย หากคิดที่ครอบครองทะเลสาบแห่งเทพ ด้วยกำลังของพวกเจ้าเพียงเจ้าสองคนก็คงไม่อาจทำได้
และหากเข้าร่วมกับกองกำลัง ก็คงจะได้รับค่าตอบแทนเพียงเล็กน้อย การทำสัญญาพันธมิตร
ย่อมได้รับค่าตอบแทนที่สูงกว่า” กิเลนเพลิงพูดสนับสนุน
“ตกลงอู่หมิง พวกข้ายินดีที่จะทำสัญญาพันธมิตรกับกองกำลังของเจ้า
แล้วกองกำลังของเจ้านั้นมีชื่อว่าอะไรกัน?” ตู่ซื่อหันไปพูดกับอู่หมิง
“กองกำลังเทพนักรบไร้นาม” อู่หมิงตอบไปพร้อมหัวหัวเราะด้วยความยินดี
“อะไรนะ กองกำลังเทพนักรบไร้นามเช่นนั้นหรือ?”
ฮวาหั่วถามด้วยความประหลาดใจ
“ฮ่าฮ่าฮ่า เฝิ่นหงเป็นผู้ตั้งชื่อกองกำลังนี้ให้ข้าเอง
นางบอกว่าคำว่าไร้นามออกเสียงคล้ายกับชื่อของข้า” อู่หมิงตอบกลับไปพร้อมกับหัวเราะเสียงดังลั่นเสียงดังลั่น……..จบตอน
[อธิบาย กองกำลังเทพนักรบไร้นาม คำว่า
เทพนักรบมาจากชื่อตระกูลของเขา ส่วนคำว่าไร้นาม ภาษาจีนใช้คำว่า 无名 อู๋หมิง
ส่วนชื่อของอู่หมิงคือ 武明 นักรบผู้สดใสร่าเริง]