test

เมนู นิยาย บน

เมนูมังงะ

28 พ.ย. 2559

Tales of Demons & Gods Next Legend บทที่ 444.34 เคล็ดวิชาเจ็ดดอกบัว


          “มนุษย์พวกนั้น เป็นคนจากตระกูลแรกเริ่ม ที่บรรพชนเคยครอบครองพลังสัจธรรมแห่งความยุ่งเหยิง” เทพธิดายู่หยานพูดขึ้นมาด้วยความตกใจ เขาจดจำกลิ่นอายลมปราณของคนเหล่านี้ได้


          “เจ้าเข้าใจได้ถูกต้องแล้ว พวกมันคือทายาทของตระกูลแรกเริ่ม ส่วนข้าคืออสูรเทพค่งเจี้ยน ผู้ครอบครองพลังสัจธรรมแห่งการควบคุม พวกโง่นี่ออกมาจากพื้นที่ปลอดภัย ข้าจึงควบคุมให้พวกมันทำลายม่านไผ่ม่วงจากด้านใน จากนั้นข้าก็ควบคุมให้พวกมันกลายเป็นทาส” อสูรเทพค่งเจี้ยน [控件:การควบคุม]พูดพร้อมกับหัวเราะด้วยความสะใจ รูปร่างของเขานั้น มีหัวที่ใหญ่โตกว่าใบหน้าราวสามเท่า ร่างกายของเขานั้นเหมือนกับมนุษย์ตัวเล็ก ๆ ที่มีรูปร่างผอมแห้ง


          “พวกท่านมองเห็น อสูรเทพค่งเจี้ยนหรือไม่?” เนี่ยลี่กระซิบถามเทพธิดายู่หยานและหมิงเฟย


          “จำนวนคนมากถึงเพียงนี้ ข้าไม่อาจแยกแยะตัวเขาได้” หมิงเฟยกระซิบตอบกลับมา


          “พวกเขาแค่ถูกควบคุมเท่านั้น พวกเราต้องหาทางช่วยเหลือพวกเขา” เทพธิดายู่หยาน พูดขึ้นมาด้วยเสียงกระซิบเช่นกัน


          “ข้าคิดว่าจะสามารถ หลอกให้พวกมันมารวมตัวกันได้ทั้งหมด ไม่คิดเลยว่าจะโผล่ออกมาแค่คนเดียว” เนี่ยลี่พูดพร้อมกับส่ายหน้า เรื่องนี้ไม่ได้เป็นไปตามที่เขาคิด


          “พวกเราจะรับมือกับคนจำนวนมากเช่นนี้ได้อย่างไร ถ้าหากคิดแต่จะปกป้องพวกเขา พวกเราเองจะเป็นฝ่ายที่เพลี่ยงพล้ำได้” หมิงเฟยพูดขึ้นมาด้วยความร้อนใจ


          “ข้าให้เวลาพวกเจ้าพูดคุยกันมากพอแล้ว เจ้าพวกทหารของข้า จงไปกำจัดพวกมันซะ!” อสูรเทพค่งเจี้ยนตะโกนสั่งการ กองกำลังนับล้านเริ่มวิ่งเข้ามาหาพวกเขาทั้งสามคน


          “พฤษาพันธนาการ!” เนี่ยลี่ใช้พลังสัจธรรมแห่งพฤกษาควบคุมต้นหญ้าบนพื้น ให้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว และพันขาของพวกเขาเอาไว้


          “ข้าคิดว่าคงจะสามารถหยุดพวกเขาไว้ได้แค่ชั่วครู่เท่านั้น พวกเราหาที่หลบซ่อนตัวกันก่อน” เนี่ยลี่ตะโกนบอกเทพธิดายู่หยานและหมิงเฟย


          “ตกลง!” เทพธิดายู่หยานและหมิงเฟยรีบกระโจนหนีไปทางด้านหลัง หลังจากนั้นเนี่ยลี่ก็รีบกระโจนตามไป


          หลังจากนั้นไม่นาน พวกเขาก็มาหลบซ่อนอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่ง เพื่อหาหนทางในการช่วยเหลือคนเหล่านั้น


          “ไม่คิดเลยว่า พวกเทพจิตวิญญาเผ่าอสูร จะมีพวกที่มีความคิดถึงเพียงนี้ ดูเหมือนว่าข้าจะดูถูกพวกมันเกินไป” เนี่ยลี่พูดพร้อมกับถอนหายใจ


          “อสูรที่อยู่มายาวนานจนสามารถครอบครองพลังสัจธรรมได้ มักจะมีภูมิปัญญาไม่ต่างจากพวกมนุษย์ แม้ว่าระดับพลังของพวกเราจะสูงกว่า แต่หากพวกมันวางแผนร่วมมือกัน พวกเราก็อาจจะเพลี่ยงพล้ำได้” เทพธิดายู่หยานตอบกลับไป ในขณะที่กำลังสำรวจถ้ำโดยรอบ


          “เทพธิดายู่หยาน ท่านกำลังตรวจสอบสิ่งใดอยู่เช่นนั้นหรือ?” หมิงเฟยอดไม่ได้ที่จะถามออกไป


          “ข้าคิดว่าถ้ำนี้ดูแปลก ๆ” เทพธิดายู่หยานตอบกลับไป แต่นาก็ไม่อาจอธิบายได้ว่ามันแปลกเช่นใด

          ครืนน! ครืนน!


          เสียงปากถ้ำถล่มลงมา ปิดทางเข้าออกจนมิด


          “ถ้ำนี่เป็นกับดัก!” หมิงเฟยพูดขึ้นมาด้วยความตกใจ


          “เจ้าพวกโง่เง่า ข้าคืออสูรเทพซานจี้ ผู้ครอบครองพลังสัจธรรมแห่งขุนเขา” อสูรเทพซานจี้พูดขึ้นมาพร้อมกับหัวเราะลั่น [山忌:ปิศาจแห่งขุนเขา] เขานั้นมีรูปร่างดั่งก้อนหินขนาดใหญ่ที่มาประกอบกันเป็นร่างของสิ่งมีชีวิต พลังของเขานั้นสามารถควบคุมทุกสิ่งที่อยู่ในขุนเขาได้


          “เจ้าคิดว่าถ้ำเพียงเท่านี้จะกักขังพวกข้าได้เช่นนั้นหรือ น่าขันยิ่งนัก” เนี่ยลี่ตะโกนกลับไป ดวงระดับพลังของพวกเขา การทำลายกำแพงถ้ำ หรือภเขาสักลูกก็ไม่ใช่เรื่องที่ลำบากเลยแม้แต่น้อย


          “ข้ารู้ว่าถ้ำเพียงเท่านั้นไม่อาจที่จะกักขังพวกเจ้าเอาไว้ได้” อสูรเทพซานจี้พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอันเย็นชา


          “คลื่นสียงกังวาล!” เสียงของอสูรจนหนึ่งตะโกนขึ้นมา ทันใดนั้นก็เกิดเสียงสะท้อนภายในถ้ำ เป็นเสียงที่ดังสะท้อนไปมา จนทำให้พวกเขาไม่อาจที่จะรวบรวมพลังได้ เสียงนี้บาดลึกไปถึงแก้วหูของพวกเขา


          “ข้าคืออสูรเทพเซิงอิน ผู้ครอบครองพลังสัจธรรมแห่งเสียง ถ้าอยู่ภายนอกพลังของข้าอาจจะไม่รุนแรงนัก แต่ในพื้นที่แคบเช่นนี้ อำนาจของเสียงของข้าจะเพิ่มสูงขึ้นนับสิบเท่า ฮ่าฮ่าฮ่า” อสูรเทพเซิงอินพูดพร้อมกับหัวเราะขึ้นมา เสียงหัวเราะของนางนั้น ราวกับพุ่งตรงเข้าไปยังหูของพวกเขาโดยตรง แม้ว่าจะเอามือปิดไว้แต่เสียงก็มิได้เบาลงแม้แต่น้อย [声音:เสียง]


          รูปร่างของอสูรเทพเซิงอินนั้น มีหัวเล็ก ๆ ราวกับหนู แต่มีปีกอสูรอยู่ด้านหลัง มองผ่าน ๆ อาจจะมองเห็นเป็นเพียงค้างคาวตัวเล็ก ๆ ที่มีสีดำทั้งตัว


          “เนี่ยลี่ เจ้ามีหนทางใดบ้างในเวลานี้” เทพธิดายู่หยานถามออกไปด้วยความร้อนใจ ในขณะที่นางใช้มือทั้งสองข้างปิดหูของนางอยู่


          “กระบี่เทพอัสนีย์ดาวตก!” เนี่ยลี่รีบนำกระบี่ออกมาและฟันไปด้านหน้าทันที คลื่นสายฟ้าปรากฏออกมาตามแรงฟันของเนี่ยลี่ แหวกให้ถ้ำเป็นรูปในคราเดียว ทั้งสามคนรีบทะยานออกไป


          เมื่อออกมาด้านนอก ก็พบว่าอสูรเทพทั้งสองได้หายไปแล้ว


          “พวกมันหายไปที่ไหนกัน?” เนี่ยลี่กวาดสายตามองโดยรอบ แต่ก็ไม่พบกับอสูรแม้เพียงสักตัว ในตอนนี้เนี่ยลี่ยังคงรู้สึกมึนจากเสียงที่ยังคงสะท้อนอยู่ในหัวของเขาอยู่เล็กน้อย เทพธิดายู่หยานเองก็ได้รับผลกระทบจากเสียงสะท้อนไม่ต่างกัน มีเพียงหมิงเฟย ที่ปกติอาศัยอยู่ในถ้ำนครใต้พิภพ ทำให้เคยชินกับเสียงสะท้อนเช่นนี้ จึงได้รับผลกระทบน้อยที่สุด


          หลังจากนั้นทั้งสามคนก็บินลงไปที่พื้น ทันใดนั้นเนี่ยลี่และเทพธิดายู่หยานทั้งสองคนได้หมดสติไป หมิงเฟยจึงรีบพาทั้งสองคนไปหาที่หลบซ่อนตัวและให้นอนพักผ่อน


          “ข้าจะปกป้องพวกเจ้าทั้งสองเอง!” หมิงเฟยพูดขึ้นมา ขณะที่มองเนี่ยลี่และเทพธิดายู่หยานที่กำลังหมดสติ


          “หมิงเฟย ข้ารู้ว่าเจ้าอยู่ที่นี่!” เสียงของจูล่งดังขึ้น ไม่ไกลจากที่พวกเขาหลบซ่อนตัวอยู่ พร้อมกับแผ่ลมปราณที่เย็นยะเยือกจากพลังสัจธรรมแห่งน้ำแข็งออกมา


          หมิงเฟยรีบทะยานออกไปหาจูล่งทันที เขาไม่ต้องการให้จูล่งเห็นว่าเนี่ยลี่และเทพธิดายู่หยานหมดสติอยู่


          “เจ้ามีธุระอันใดกับข้าอีก?” หมิงเฟยที่บินอยู่ห่างจากจูงล่งแค่เพียงเอื้อมมือพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา


          “เจ้ากับข้าพวกเราเป็นทั้งมิตรและศัตรู พวกเราต่อสู้กันมาก็หลายครั้ง ข้าต้องการทราบเหตุผลที่พวกเจ้าเข้ามายังดินแดนเมฆาแห่งความฝัน” จู่ล่งอดไม่ได้ที่จะถามออกไป แม้ว่าเขาจะเป็นอสูรแต่เขาก็มีเหตุผลมากพอ


          “พวกข้าต้องการรวบรวมพลังสัจธรรมและกระดูกมนตรา เพื่อที่จะนำไปต่อสู้กับจักรพรรดิปราชญ์” หมิงเฟยจ้องไปที่จูล่งก่อนที่จะพูดออกไป


          “จักรพรรดิปราชญ์นับว่าเป็นบรรพชนเทพแห่งอสูร นี่พวกเจ้าคิดที่จะล่วงเกินเขาเช่นนั้นหรือ?” จูล่งพูดขึ้นมาด้วยความตกใจ


          “เจ้าอาจจะนับถือว่าเขาเป็นบรรพชนแห่งเทพ แต่เขานั้นมองเจ้ากับมนุษย์ไม่ได้แตกต่างกันเลยแม้แต่น้อย เป็นแค่ขยะที่รอวันกำจัด” หมิงเฟยพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา


          “เจ้ามีหลักฐานใดถึงกล้ามากล่าวหาบรรพชนเทพแห่งเผ่าอสูร” จูล่งมองหมิงเฟยด้วยสายตาที่แดงก่ำราวจะกัดกินเลือดเนื้อของหมิงเฟย


          “แน่นอนว่าข้าไม่มีหลักฐานที่จะมาแสดงให้เจ้าเห็น กว่าที่พวกเจ้าจะรับรู้ ในตอนนี้ทุกสรรพสิ่งคงจะสูญสลายไปจนหมดแล้ว” หมิงเฟยชี้ไปที่จู่ล่งและพูดออกไปด้วยน้ำเสียงอันโกรธเกรี้ยว


          “แค่คำพูดของเจ้า มันไม่อาจที่จะพิสูจน์อันใดได้!” จูล่งตะโกนกลับไปพร้อมกับปลดปล่อยลมปราณของเขาออกมา พลังที่แผ่พุ่งออกมานี้อยู่ในระดับดาราสวรรค์ขั้นที่ห้าแล้ว


          “จูล่งจงมาเดิมพันกับข้า ให้นี่เป็นศึกสุดท้ายระหว่างเราสองคน หากเจ้าพ่ายแพ้จงสละกายาเทพของเจ้า ให้แปรเปลี่ยนเป็นกระดูกมนตรา และมอบผลึกแห่งสัจธรรม ที่มีพลังแห่งน้ำแข็งมาให้กับข้า” หมิงเฟยจ้องหน้าจูล่งก่อนที่จะพูดออกไปอย่างช้า ๆ


          “หากข้าชนะ ข้าจะได้สิ่งใดนอกจากชีวิตเน่า ๆ ของเจ้า” จูล่งชี้ไปที่หน้าของจูงล่งพร้อมกับตะโกนออกไป


          “นอกเหนือไปจากชีวิตของข้า และผลึกแห่งสัจธรรมของข้า ข้าจะบอกที่ซ่อนของสองคนนั้นให้แก่เจ้า” หมิงเฟยพูดพร้อมกับระเบิดลมปราณของเขาออกมา ระดับพลังของเขาในตอนนี้ อยู่ในระดับดาราสวรรค์ขั้นที่เก้า


          “ตกลง ข้าจะยอมรับข้อเสนอของเจ้า นี่คือศึกสุดท้ายของพวกเรา” จูงล่งตอบกลับไปพร้อมกับเตรียมตั้งท่าต่อสู้


          “รากฐานแห่งดอกบัว!” จูล่งนั่งสมาธิและปลดปล่อยพลังขั้นที่หนึ่งของเคล็ดวิชาเจ็ดออกบัวออกไป เป็นการปลดปล่อยจุดพลังที่อยู่ด้านล่างสุดของกระดูกสันหลัง ทันที่ที่เปิดจุดพลังนี้ระดับพลังของจูล่งก็สูงขึ้นหนึ่งระดับ แต่เป็นการเพิ่มสูงขึ้นเพียงชั่วคราวท่านั้น


ดอกบัวที่มีสี่กลีบและมีสีแดงพุ่งออกไปหาหมิงเฟยในทันที หมิงเฟยปล่อยลมปราณจากฝ่ามือกระแทกกลับไปอย่างรวดเร็ว


“ฝ่ามือมังกรคำราม!” นี่เป็นหนึ่งในเคล็ดวิชา ที่ใช้กับเทคนิคการบ่มเพาะพลัง มังกรคำรามคณานับ เพียงฝ่ามือเดียวก็ทำให้ดอกบัวสีแดงระเบิดออกไปในทันที


“ดอกบัวศักดิ์สิทธิ์!” จูล่งปลดปล่อยดอกบัวดอกที่สองออกมา จากจุดพลังที่อยู่บริเวณอวัยวะเพศ เป็นดอกบัวสีส้ม เมื่อใช้ท่านี้ความรุนแรงจะเหนือกว่าระดับพลังปกติของจูงล่งสองระดับ


เคล็ดวิชาเจ็ดดอกบัว เป็นการปลดปล่อยพลังออกมาจากทั้งเจ็ดจุดในร่างกาย และต้องทำไปทีละจุดเท่านั้น


“คิดว่าข้าจะรอให้เจ้าปลดปล่อยพลังออกมาเรื่อย ๆ เช่นนั้นหรือ?” หมิงเฟยกระโจนออกไปพร้อมกับซัดฝ่ามือไปที่ตัวของจูล่งอย่างจัง


ตูมม!


เสียงฝ่ามือของหมิงเฟยปะทะเข้ากับดอกบัวสีส้มที่มีหกกลีบที่ห่อหุ้มปกป้องร่างของจูงล่งเอาไว้ ด้วยระดับพลังที่เหนือกว่า จึงทำให้ดอกบัวสีส้มแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ แต่จูล่งก็ไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย


“ดอกบัวสุริยัน!” จูล่งปลดปล่อยพลังจากดอกบัวจุดที่สาม เป็นดอกบัวสีเหลืองจุดพลังนี้อยู่เหนือสะดือเล็กน้อย คราวนี้มีลมปราณสีเหลืองที่มีถึงแปดกลีบห่อหุ้มร่างกายของจูล่ง ระดับพลังของเขาในตอนนี้อยู่ที่ขั้นดาราสวรรค์ขั้นที่แปด


ความร้อนจากดอกบัวสุริยันค่อย  ๆ ลุกโชนขึ้นทำให้หมิงเฟยรู้สึกร้อนขึ้นมา เขาจึงรวบรวมลมปราณปล่อยกระบวนท่าใหม่จากฝ่ามือออกไปด้านบน


“ฝ่ามือมังกรพิรุณร่ำร้อง!” ทันที่ที่มังกรพิรุณพุ่งขึ้นไปบนฟ้า ก็มีฝนที่ร่วงหล่นลงมา ทำให้เปลวไฟของดอกบัวสีเหลืองค่อย ๆ มอดลง


“แก่นแท้แห่งดอกบัว!” จูล่งลืมตาขึ้นพร้อมกับปลดปล่อยพลังจากดอกบัวสีเขียวที่มีสิบสองกลีบออกมา ระดับพลังของเขาในตอนนี้เทียบเท่ากับหมิงเฟยแล้ว.......จบตอน

แต่งโดย นายมะพร้าว




เมนู นิยาย ล่าง

เมนู มังงะ ล่าง