“เจ้ามีความรู้เกี่ยวกับพลังสวรรค์มากน้อยเพียงไหน?”
ตู่ซื่อเอ่ยถามเป็นคนแรก
“พลังสวรรค์สามารถดูดซับได้จากทุกแห่งหนในอาณาจักรซากมังกรแห่งนี้
แต่ด้วยที่ว่ามันมีน้อยเบาบางเป็นยิ่งนัก เหล่าผู้ฝึกตนจึงต้องดูดซับจากศิลาจิตวิญญาณแทน
ซึ่งศิลาจิตวิญญาณแต่ละก้อนจะมีพลังสวรรค์บรรจุอยู่เป็นจำนวนมาก
ในแต่ละก้อนสามารถดูดซับได้ราวหนึ่งวัน” อู่หมิงอธิบาย
“วันละหนึ่งก้อนเช่นนั้นหรือ
ถ้าเช่นนั้นพวกเราจะหาศิลาจิตวิญญาณด้วยวิธีใดกัน?” ฮวาหั่วถามด้วยความกังวล เพราะในแต่ละเดือนนางจะได้รับศิลาจิตวิญญาณเพียงแค่สิบก้อนเท่านั้น
แม้ว่าจะได้รับจากตู่ซื่อมาสิบก้อน และได้รางวัลจากการจุดดวงไฟแห่งชะตามาอีกสิบก้อน
ในเดือนแรกอาจจะเพียงพอ แต่รางวัลจากชั้นเรียนคงจะไม่ได้ทุกเดือนเป็นแน่
“อืม..ก็มีทั้งการซื้อขายแลกเปลี่ยน ของวิเศษต่าง
ๆ หรือไม่ก็รับจ้างทำภารกิจ และอีกวิธีที่คือการออกไปค้นหาที่โลกภายนอก
แต่ผู้ที่ไม่บรรลุระดับชะตาสวรรค์ขั้นที่สองก็จะไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไป”
“เหตุใดต้องบรรลุระดับชะตาสวรรค์ขั้นที่สองด้วย?”
ตู่ซื่อถามด้วยความสงสัย
“เมื่อบรรลุระดับชะตาสวรรค์ขั้นที่สอง
เจ้าสามารถที่จะนำชะตาวิญญาณไปฝากไว้ยังตำหนักชะตาสวรรค์ เมื่อเจ้าตายไป
ชะตาวิญญาณของเจ้าก็จะสร้างตัวตนของเจ้าให้กลับคืนมาใหม่ได้”
“แปลว่าจะคืนชีพได้เช่นนั้นหรือ?”
ฮวาหั่วอดไม่ได้ที่จะถามออกไป
“ถูกต้องแล้ว
ตราบเท่าที่ชะตาวิญญาณไม่ถูกทำลายเจ้าก็สามารถคืนชีพได้
แต่การคืนชีพแต่ละครั้งเจ้าจะสูญเสียชะตาวิญญาณไปหนึ่งดวง”อู่หมิงอธิบาย
“ถ้าเช่นนั้น
ชะตาวิญญาณจะสามารถสร้างได้เช่นใดกัน?” ตู่ซื่อมองไปที่อู่หมิงแล้วถามขึ้นมา
“เรื่องนั้น
ข้ารู้เพียงว่าจะต้องก่อรูปชะตาวิญญาณขึ้นมาในห้วงขอบเขตวิญญาณ คล้ายกับการสร้างดวงไฟแห่งชะตาในชั้นเรียนเมื่อครู่
แต่ข้าเองก็ยังไม่อาจที่จะทำได้” อู่หมิงพูดพร้อมกับก้มหน้า เดิมทีการสร้างดวงไฟแห่งชะตา
เขาเองก็ไม่อาจที่จะทำได้ แล้วเขาจะสร้างชะตาวิญญาณได้อย่างไรกัน
‘น่าเบื่อยิ่งนักเรื่องพวกนี้เหตุใดเจ้าจึงไม่เอ่ยถามจากข้ากันเล่า’
กิเลนฟ้าพูดขึ้นมาด้วยความรู้สึกเบื่อ
‘หากเจ้ารู้แล้วเหตุใดจึงไม่บอกข้า’
ตู่ซื่อถามกลับไป
‘ก็เจ้ามิได้ถาม
แต่ในเวลานี้พวกเจ้านั้นยังไม่อาจที่จะทำได้
เนื่องจากพลังสวรรค์ที่พวกเจ้าดูดซับยังมีปริมาณที่น้อยจนเกินไป จงทำการดูดซับจากศิลาจิตวิญญาณกันก่อน’
กิเลนฟ้าแนะนำ
“พลังงานสวรรค์ที่พวกเราดูดซับมีปริมาณน้อยเกินไป
ถ้าเช่นนั้นวันนี้เราแยกย้ายกันไปก่อน และไปดูดซับพลังงานสวรรค์จากศิลาจิตวิญญาณ
จากนั้นพรุ่งนี้เช้าพวกเราค่อยมาเจอกันก่อนไปเข้าชั้นเรียน” ตู่ซื่อพูดขึ้นมา
เขายังไม่บอกผู้อื่นว่าเป็นคำแนะนำจากกิเลนฟ้า เพราะกิเลนฟ้าเองก็ไม่ต้องการให้ใครรู้เช่นกัน
“ช้าก่อน
ข้ายังไม่ได้บอกเรื่องสำคัญคัญเกี่ยวกับนิกายกำเนิดสวรรค์เลยนะ” อู่หมิงรีบพูดขึ้นมา
“เรื่องอันใดอีก?”
ฮวาหั่วถามด้วยความสงสัย
“นิกายกำเนิดสวรรค์ผู้ที่จะบรรลุระดับสูงได้จำเป็นที่จะต้องมีสหายคู่ใจ”
อู่หมิงพูดพร้อมกับหน้าแดงเล็กน้อย
“ข้าไม่เข้าใจ” ตู่ซื่อพูดขึ้นมา
“สหายรู้ใจจะต้องเป็นการจับคู่ชายหญิง
เพื่อถ่ายทอดพลังหยินและหยาง
เมื่อสร้างความสมดุลแห่งหยินหยางได้การบรรลุระดับขั้นสูงก็จะทำได้อย่างรวดเร็ว” อู่หมิงพูดพร้อมกับส่ายหน้า
“และเมื่อทำพันธสัญญากับสหายต่างเพศแล้ว
ก็ไม่อาจที่จะไปจับคู่กับผู้ใดได้อีก แม้แต่ท่านผู้นำนิกายของเราก็มีสองคนชายหญิง”
อู่หมิงอธิบายต่อ
“ถ้าหากไม่ทำพันธสัญญาจะไม่สามารถฝึกฝนได้เช่นนั้นหรือ?”
ตู่ซื่อถามออกไป
“สามารถฝึกฝนได้
แต่ไม่อาจที่จะเข้าตำหนักทั้งห้าเพื่อฝึกตนและรับศิลาจิตวิญญาณที่เป็นรางวัลได้
แต่การหาสหายรู้ใจนั้นเจ้ายังไม่ต้องรีบตัดสินใจ
เพราะจะสามารถทำพันธสัญญาได้ก็ต่อเมื่อบรรลุระดับชะตาสวรรค์
หรือก่อรูปชะตาวิญญาณได้แล้วเท่านั้น” อู่หมิงอธิบายต่อ
“ถ้าเช่นนั้นเมื่อบรรลุระดับชะตาสวรรค์เจ้ามาทำพันธสัญญากับข้าได้หรือไม่?”
ฮวาหั่วหันไปพูดกับตู่ซื่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง
อู่หมิงอดที่จะหัวเราะไม่ได้และพูดออกไปว่า
“การขอทำพันธสัญญา ในนิกายกำเนิดสวรรค์ไม่ต่างจากการขอแต่งงาน
ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะเป็นผู้ที่เอ่ยขอออกมา”
ฮวาหั่วอดที่จะเขินอายไม่ได้ ใบหน้าของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ
ตู่ซื่อนิ่งเงียบและตอบกลับไปว่า
“เราจะคุยกันเรื่องนี้หลังจากที่ก่อรูปชะตาวิญญาณได้สำเร็จ”
“แม้ว่าจะบรรลุระดับชะตาสวรรค์
นักเรียนใหม่ทั้งหมดจะยังไม่สามารถเข้า ไปยังตำหนักได้
จนกว่าจะเรียนรู้พื้นฐานทั้งหมด ดังนั้นในชั้นเรียนของเราจึงยังไม่มีผู้ใดที่ได้ทำพันธสัญญา”
“ตำหนักทั้งห้าประกอบไปด้วย
ตำหนักชะตาสวรรค์ ตำหนักดาราสวรรค์ ตำหนักแก่นแท้แห่งสวรรค์ ตำหนักวิถีแห่งมังกร
และตำหนักเทพสงคราม
ผู้ที่บรรลุถึงขั้นตามชื่อของตำหนักเท่านั้นจึงจะสามารถเข้าไปในตำหนักได้ ตำหนักแต่ละแห่งจะมีทั้งหมดเก้าชั้น
เมื่อผ่านในแต่ละชั้นจะได้รับศิลาจิตวิญญาณ
และเมื่อผ่านชั้นบนสุดของแต่ละตำหนักจะได้รับของวิเศษและจิตอสูรที่มีสายเลือดมังกร”
“ด้านในตำหนักเป็นเช่นใดบ้าง?”
ตู่ซื่อถามด้วยความสงสัย
“ข้าเองก็ไม่เคยเข้าไป
แต่ที่ข้าได้ยินมาในตำหนักชะตาสวรรค์ชั้นแรก จะเป็นการนั่งประสานวิญญาณ
เมื่อสามารถผสานจิตเป็นหนึ่งเดียวกันกับสหายต่างเพศก็จะสามารถขึ้นไปยังชั้นต่อไปได้
และตั้งแต่ชั้นที่สองขึ้นไป จะเป็นการร่วมใจต่อสู้กับอสูรที่อยู่ในแต่ละชั้น
ที่ข้ารู้ก็มีเพียงเท่านี้ และการฝึกตนในตำหนักเป็นหนทางหนึ่งที่จะหาศิลาจิตวิญญาณได้ไม่ยากนัก
แต่ว่าในแต่ละชั้นสามารถที่จะรับรางวัลได้แค่เพียงครั้งเดียว
ว่ากันว่าถ้าหากสามารถผ่านตำหนักเทพสงครามขั้นที่เก้าจะได้รับจิตอสูรสายเลือดมังกรที่มีระดับการเติบโตระดับพระเจ้า
แต่ในนิกายของเรามีเพียงผู้นำตระกูลหลักทั้งห้าเท่านั้นที่บรรลุถึงระดับเทพสงคราม [รวมสิบคน]
แต่มีแปดคนที่อยู่ในระดับเทพสงครามขั้นที่ห้าเท่านั้น
มีเพียงท่านประมุขทั้งสองที่บรรลุถึงระดับเทพสงครามขั้นที่เจ็ด” อู่หมิงอธิบาย
“ภายในตำหนักเมื่อเข้าไปแล้วจะเป็นห้วงมิติที่แตกต่างกัน
เมื่อเข้าไปแล้วจะมีเพียงแค่ตนเองกับสหายคู่ใจเท่านั้น” อู่หมิงอธิบายต่อ
“วันนี้พวกเราก็พูดคุยนานมากแล้ว ข้าคงต้องขอตัวก่อน”
อู่หมิงรีบลุกขึ้นและเดินออกไป
“ถ้าเช่นนั้นพวกเราควรทำการดูดซับพลังจากศิลาจิตวิญญาณก่อน
เจ้าจงก็ทำด้วยเช่นกัน” ตู่ซื่อหันไปบอกกับฮวาหั่ว
“ข้าเข้าใจแล้ว” ฮวาหั่วเริ่มนั่งทำการดูดซับพลังสวรรค์
จากศิลาจิตวิญญาณ
“เรื่องอื่นยังไม่จำเป็นที่จะต้องคิด
รอจนกว่าข้าจะสามารถก่อรูปชะตาวิญญาณได้ก่อน” เมื่อคิดเช่นนั้นได้นางก็เริ่มทำการดูดซับพลังสวรรค์ทันที
พลังสวรรค์จากศิลาจิตวิญญาณนั้นมีความเข้มข้นเป็นอย่างมาก
ตู่ซื่อและฮวาหั่วรับรู้ถึงพลังวิญญาณที่ดูดซับเข้าไปในห้วงขอบเขตวิญญาณอย่างรวดเร็ว
ในห้วงวิญญาณของตู่ซื่อพลังวิญญาณค่อย ๆ ทำการรวมตัวกันก่อรูปชะตาวิญญาณขึ้นมาอย่างช้า
ๆ ด้วยคำชี้แนะจากกิเลนฟ้า ทำให้เขานั้นก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว
และเทคนิคการบ่มเพาะพลังกิเลนฟ้าก็มีความเหมาะสมกับห้วงขอบเขตวิญญาณของตู่ซื่อยิ่งนัก
ส่วนเทคนิคการบ่มเพาะพลังของฮวาหั่วนั้น
แม้ว่าจะไม่ใช่เทคนิคการบ่มเพาะพลังที่เทียบได้กับของตู่ซื่อ
แต่ก็นับว่าเป็นเทคนิคการบ่มเพาะพลังที่ไม่เลวนักสำหรับผู้ที่มาจากโลกใบเล็ก
‘เจ้าหนู
ข้ามีเรื่องที่ต้องคุยกับเจ้า’
เสียงของกิเลนฟ้าดังขึ้นมาในหัวของตู่ซื่อ
‘มีเรื่องอันใดกัน?’ ตู่ซื่อถามกับไป
‘เมื่อกฏของนิกายแห่งนี้คือการต้องหาสหายรู้ใจ
เหตุใดเจ้าจึงไม่ยอมรับคำขอของเด็กสาวผู้นี้กันเล่า ข้าอยู่ในตัวเจ้า ข้าย่อมรู้ว่าเจ้ารู้สึกเช่นใดกับนาง’
กิเลนฟ้ารู้สึกท้อใจกับท่าที ที่ตู่ซื่อแสดงออกมากับฮวาหั่ว
‘ข้าไม่รู้ว่าต้องทำเช่นใด
ข้านั้นเกิดมาในตระกูลที่ต่ำต้อย
ชีวิตข้ามีเพียงการฝึกฝนเพื่อที่จะยกระดับฐานะของตระกูล
สหายที่เป็นหญิงข้าเองก็มิได้มีมากนัก’ ตู่ซื่อตอบกลับไปอย่างตรงไปตรงมา
จริง ๆ แล้ว
ตู่ซื่อเองก็หลงเสน่ห์ฮวาหั่วตั้งแต่ก่อนจะเข้ามายังนิกายกำเนิดสวรรค์แล้ว
แต่เขาเป็นคนหัวโบราณและไม่เคยคบหากับหญิงสาวมาก่อน
‘เจ้าเด็กน้อย
ข้าจะเป็นอาจารย์ให้เจ้าเอง ฮ่าฮ่าฮ่า’ กิเลนฟ้าพูดพร้อมกับหัวเราะ…….จบตอน