หลังจาก
ทำการบ่มเพาะพลังอยู่ราวหนึ่งชั่วยาม พวกเขาก็ลืมตาขึ้นมา
“เหตุใดข้าจึงไม่อาจที่จะสัมผัสถึงพลังสวรรค์ได้เลยแม้แต่น้อย
ที่ข้าทำไปก็เป็นแค่การบ่มพาะพลังทั่ว ๆ ไปดั่งตอนที่อยู่โลกใบเล็กเท่านั้น” ฮวาหั่วพูดขึ้นมาด้วยความสงสัย
“เจ้าสัมผัสถึงสายใยพลังอันแผ่วเบาที่อยู่โดยรอบไม่ได้เช่นนั้นหรือ?”
ตู่ซื่อถามกลับไป
แม้ว่าจะเป็นเพียงแค่เล็กน้อยแต่หนึ่งชั่วยามที่ผ่านมาเขาก็สามารถที่จะดูดซับพลังสวรรค์ได้
“เจ้าสามารถสัมผัสได้เช่นนั้นหรือ?”
ฮวาหั่วพูดขึ้นมาด้วยความตกใจ
หลังจากได้ยินคำพูดของตู่ซื่อ
ฮวาหั่วก็รู้สึกเศร้าใจยิ่งนัก เหตุใดนางจึงไม่อาจสัมผัสถึงพลังสวรรค์ได้
‘หยิบศิลาจิตวิญญาณออกมา’ จู่ ๆ ก็มีเสียงดังเข้ามาในหัวของตู่ซื่อ
แม้ว่าจะยังรู้สึกสงสัยแต่เขาก็ทำตามคำพูดนั้นแต่โดยดี และเมื่อนำศิลาจิตวิญญาณออกมาก้อนหนึ่งตู่ซื่อก็มองเห็นพลังสวรรค์ที่แผ่ออกมาอย่างชัดเจน
เขาจึงพูดกับฮวาหั่วว่า
“เจ้ามองเห็นพลังที่แผ่ออกมาจากศิลาจิตวิญญาณหรือไม่
รอบ ๆ พื้นที่นี้ก็มีพลังงานเช่นนี้แค่มันบางเบากว่าเท่านั้น”
“ข้ามองเห็นแล้ว เป็นดั่งที่เจ้าว่าจริง ๆ
ข้าขอบใจเจ้ามาก” ฮวาหั่วพูดขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น หลังจากที่เริ่มสัมผัสถึงพลังสวรรค์ได้
นางก็สามารถดูดซับพลังงานสวรรค์ได้อย่างรวดเร็ว
“ข้าว่าตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว ข้าว่าเราแยกย้ายเข้าห้องพักกันก่อน
เจ้าก็อย่าได้ฝึกจนดึกพรุ่งนี้เราต้องไปยังห้องเรียนแต่เช้า”
ตู่ซื่อพูดขึ้นมาพร้อมกับลุกยืนขึ้น
“ตกลง!” ฮวาหั่วพูดพร้อมกับเดินเข้าห้องพักของนาง
ค่ำคืนนั้น ทั้งสองคนต่างก็พักผ่อน
จนถึงเวลาเช้าของอีกวัน
“พวกเจ้าตื่นหรือยัง!”
มีเสียงดังออกมาจากด้านนอกบ้านพัก เป็นเสียงของนักเรียนชายผู้หนึ่ง
“พวกข้าตื่นนานแล้ว” ตู่ซื่อตอบกลับพร้อมกับเปิดประตูออกไป
“ข้าชื่อว่า อู่หมิง [武明:นักรบผู้สดใส] พวกเจ้าทั้งสองตามข้ามา
ข้าเองก็เป็นศิษย์ในปีแรกเช่นเดียวกับพวกเจ้า
แต่ข้าอาศัยอยู่ในนิกายกำเนิดสวรรค์มาตั้งแต่เกิด
จึงได้รับมอบหมายให้มานำทางให้กับพวกเจ้า”
“อู่หมิงข้าขออภัยด้วย
ระดับพลังของเจ้านั้นอยู่ขั้นใดกัน” ฮวาหั่วถามขึ้นมา
“ข้านั้นได้รับการฝึกฝนมาจากในตระกูลตั้งแต่เด็ก
แต่ข้านั้นโง่เขลายิ่งนักจึงยังอยู่แค่ปากทางเข้าของระดับชะตาสวรรค์เท่านั้น” อู่หมิง
พูดด้วยน้ำเสียงที่เศร้าเล็กน้อย แม้ว่าจะมาจากตระกูลใหญ่
แต่หากไม่มีพรสวรรค์ก็ไม่มีสิทธิพิเศษอันใด และยังต้องมาช่วยงานสถาบันกำเนิดฟ้าไม่ต่างกับกับตระกูลสามัญทั่ว
ๆ ไป
“ระดับชะตาสวรรค์ มันคืออะไรกัน?”
ฮวาหั่วอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา
“พวกเจ้าไม่จำเป็นที่จะต้องรีบร้อน
ในชั่วโมงเรียนจะมีการสอนเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้” อู่หมิง ส่ายหน้าและตอบกลับไป
หลังจากนั้นไม่นาน ฮวาหั่วก็พาพวกตู่ซื่อมาถึงอาคารเรียนหลัก
เป็นอาคารขนาดใหญ่ที่จุคนได้นับหมื่นคน เขาพาไปจนถึงทางเข้าและพูดขึ้นมาว่า
“พวกเจ้าตรงไปจะเจอห้องแรกทางซ้ายมือ
ด้านหน้าห้องจะเขียนไว้ว่า ห้องลงทะเบียนสำหรับนักเรียนใหม่ ข้าต้องขอตัวก่อน
แล้วเจอกันในชั้นเรียน”
“ขอบใจเจ้ามากอู่หมิง” ตู่ซื่อ และ ฮวาฮัว
พูดขึ้นมาพร้อมกัน และเดินเข้าไปยังห้องลงทะเบียน
ภายในห้องลงทะเบียน มีโต๊ะอยู่หนึ่งตัวและมีชายวัยกลางคนนั่งอยู่
เขาเอ่ยถามขึ้นมาว่า
“พวกเจ้าทั้งสองเป็นนักเรียนใหม่ใช่หรือไม่
พวกเจ้ามาจากที่ใดกัน?”
“พวกข้าทั้งสองมาจากโลกใบเล็ก” ทั้งสองคนประสานมือทำความเคารพและตอบกลับไปพร้อมกัน
“โอ้
ถ้าเช่นนั้นหนึ่งในพวกเจ้าคือผู้มีพรสวรรค์เป็นเลิศที่มีรากวิญญาณฟ้าขั้นที่หกสินะ
ข้ามีนามว่า อาจารย์เอี่ยนเก๋อ [严格:เข้มงวด]
มีหน้าที่รับลงทะเบียนและเป็นอาจารย์สอนพวกเจ้าในชั้นเรียน”
“ข้าตู่ซื่อ ฮวาหั่ว คารวะท่านอาจารย์” ทั้งสองคนประสานมือทำความเคารพและพูดขึ้นมาพร้อมกัน
“ถ้าเช่นนั้นจงรับป้ายชื่อของพวกเจ้าไป และเข้าไปนั่งรอที่ห้องที่อยู่ตรงข้าม
อีกครึ่งชั่วยามข้าจะตามเข้าไป ที่นี่มีกฏสำคัญอยู่ข้อหนึ่ง
ห้ามมีการทำร้ายกันจนถึงแก่ชีวิตภายในสถาบันแห่งนี้ ผู้ทำผิดมีโทษถึงตาย” อาจารย์เอี่ยนเก๋อพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“ขอรับ” ทั้งสองคนตอบกลับไปและเดินออกจากห้องลงทะเบียน
และเดินเข้าไปยังห้องฝึกตนที่อยู่ตรงข้าม
ภายในห้องฝึกตน
เป็นห้องขนาดใหญ่มีนักเรียนอยู่ทั้งหมดหนึ่งร้อยคน ทันทีที่เดินเข้าไป
ทุกสายตาต่างจับจ้องมาที่พวกเขา แต่ตู่ซื่อหาได้สนใจสายตาพวกนั้นไม่และเดินไปยัง
พื้นที่ว่าง
หลังจากนั้นไม่นาน อาจารย์เอี่ยนเก๋อ ก็เดินเข้าไปและไปยืนตรงหน้าชั้นเรียน
และพูดขึ้นว่า
“นี่คือห้องเรียนพื้นฐานของ สถาบันกำเนิดฟ้า ในเจ็ดวันแรกพวกเจ้าจะต้องเข้ามาเรียนทุกวัน
เพื่อที่จะเข้าใจพื้นฐานของพลังสวรรค์ และพลังในระดับชะตาสวรรค์ รวบถึงการก่อรูปชะตาวิญญาณ”
เหล่านักเรียนที่มาจากโลกภายนอก ต่างรู้สึกสงสัย
พวกเขาไม่เคยได้ยินเรื่องเหล่านี้มาก่อนจากดินแดนเดิมของพวกเขา
“สิ่งที่พวกเจ้าต้องเรียนรู้ให้ได้ในหนึ่งปี
คือการก่อรูปชะตาวิญญาณ เพื่อให้บรรลุระดับพลังขั้นชะตาสวรรค์
ขั้นแรกพวกเจ้าจงดูที่มือของข้า” อาจารย์เอี่ยนเก๋อพูดพร้อมกับยื่นมือขวาออกไปด้านหน้า
พรึ่บบ!
มีดวงไฟปรากฏบนฝ่ามือของอาจารย์เอี่ยนเก๋อ ขนาดประมาณหัวแม่มือ
“สิ่งนี้คือดวงไฟแห่งชะตา
พวกเจ้าจักต้องรวบรวมพลังสวรรค์มาไว้บนฝ่ามือ และจุดดวงไฟแห่งชะตาให้ได้
เมื่อพวกเจ้าสามารถทำได้ ต่อไปพวกเจ้าก็จะสามารถสร้างชะตาวิญญาณในห้วงขอบเขตวิญญาณของเจ้าได้
ไหนพวกเจ้าลองทำกันดู”
จากนั้นนั้นเรียนในชั้นเรียนต่างก็
ยืนมือไปข้างหน้าและพยายามรวบรวมพลังสวรรค์
แน่นอนว่าเหล่าคนที่มาจากดินแดนภายนอกที่ไม่อาจสัมผัสถึงพลังสวรรค์ก็ไม่อาจที่จะทำได้อย่างแน่นอน
มีเพียงเหล่าทายาทตระกูลใหญ่ที่อยู่ในนิกายกำเนิดสวรรค์แต่แรกที่ได้เรียนรู้มาจากตระกูลของพวกเขาสิบคนที่มาจากห้าตระกูลใหญ่
สามารถจุด ดวงไฟแห่งชะตาขึ้นมาได้
ตู่ซื่อ และฮวาหั่ว
ที่สัมผัสได้ถึงพลังสวรรค์แล้ว แต่การจุดดวงไฟแห่งชะตา
ก็เป็นเรื่องที่ทำได้ยากยิ่งนัก ผ่านไปราวหนึ่งชั่วยาม มีคนที่จุดดวงไฟแห่งชะตาได้เพียงแค่สิบคนเท่านั้น
‘โง่เง่ายิ่งนัก
เรื่องเพียงเท่านี้เจ้าก็ไม่อาจทำได้เช่นนั้นหรือ?’ มีเสียงที่ดังเข้ามาในหัวของตู่ซื่ออีกครั้ง
ตอนนี้เขารู้แล้ว มันเป็นเสียงของกิเลนฟ้าที่อยู่ในตัวเขานั่นเอง
‘เจ้ารู้วิธีการจุดดวงไฟแห่งชะตาเช่นนั้นหรือ?’
ตู่ซื่อถามกลับไปโดยใช้แค่เพียงความคิดเท่านั้น
‘ข้านั้นเป็นอสูรผู้สืบสายเลือดโบราณ
มีภูมิความรู้จากบรรพชนแห่งข้ามากมาย เหตุใดเรื่องเพียงเท่านี้ข้าจึงจะไม่รู้ เจ้าจงนำคำพูดของข้าไปบอกแก่หญิงผู้นั้น
จากนั้นพวกเจ้าทั้งสองก็จุดดวงไฟแห่งชะตาให้คนเหล่านั้นได้เห็นพร้อมกันไปเลย
ฮ่าฮ่าฮ่า’
‘เจ้าจะให้ข้าบอกพวกเขาว่าเช่นใดกัน?’
ตู่ซื่อถามกลับไป
‘จงบอกเคล็ดลับง่าย ๆ นี้ไป
ใช้เพียงเศษเสี้ยวพลังสวรรค์สองจุด ทำการเสียดสีหมุนวนตรงฝ่ามือ
เพียงเท่านี้ประกายจากการเสียดสีกันก็จะสามารถจุดดวงไฟแห่งชะตาได้โดยง่าย’ กิเลนฟ้าบอกแก่ตู่ซื่อ
“ฮวาหั่ว ฟังข้าให้ดี
จงรวบรวมพลังสวรรค์ไว้บนฝ่ามือและทำการหมุนวนให้เกิดการเสียดสีกัน
จะสามารถจุดดวงไฟแห่งชะตาได้โดยง่าย
หลังจากนี้พวกเราจะทำการจุดดวงไฟแห่งชะตาพร้อมกัน”
ตู่ซื่อใช้เทคนิคการส่งเสียงผ่านลมปราณไปที่ฮวาหั่ว
ฮวาหั่วหันมามองด้วยความสงสัย
วิธีนี้ต่างจากวิธีที่อาจารย์เอี่ยนเก๋อได้บอกไว้
แต่พวกเขาก็ทำตามที่ตู่ซื่อบอกทันที
พรึ่บบ! พรึ่บบ!
พวกเขาทั้งสองสามารถจุดดวงไฟแห่งชะตาได้ขึ้นมาพร้อมกัน
แม้แต่อาจารย์เอี่ยนเก๋อที่ยืนอยู่ด้านหน้าเมื่อได้เห็นก็รู้สึกแปลกใจไม่น้อย
คนที่มาจากโลกใบเล็กแต่กลับเรียนรู้การใช้งานพลังสวรรค์ได้รวดเร็วถึงเพียงนี้
ช่างมีพรสวรรค์ยิ่งนัก ซางหมิงที่อยู่มุมห้องอีกด้านมองดูพวกเขาด้วยความอิจฉา
“ดูเหมือนว่าจะมีผู้ที่สามารถจุดดวงไฟแห่งชะตาสำเร็จในวันนี้เพียงแค่สิบสี่คนเท่านั้น
พวกเจ้าสิบสี่คนจะได้รับศิลาจิตวิญญาณคนละสิบก้อนเป็นรางวัล
ส่วนผู้ที่ยังไม่สามารถทำได้ ให้กลับไปฝึกฝน
และวันพรุ่งนี้ข้าจะทำการทดสอบอีกครั้ง”
อาจารย์เอี่ยนเก๋อพูดขึ้นมาและเดินออกไปจากห้องเรียน
“ฮวาหั่ว ข้าต้องการรู้เกี่ยวกับนิกายแห่งนี้
เจ้าว่าที่นี่มีหอตำราหรือไม่?” ตู่ซื่อหันไปคุยกับฮวาหั่ว
“ข้าคิดว่า หอตำราควรจะมีอยู่ที่ด้านในนะ
เหตุใดเจ้าจึงไม่ลองถามอู่หมิงดู” ฮวาหั่วพูดหลังจากที่เห็นอู่หมิง ยืนอยู่ไม่ไกล
“พวกเจ้าต้องการไปหอตำราเช่นนั้นหรือ
แต่ถ้าหากพวกเจ้าต้องการรู้เรื่องราวเกี่ยวกับนิกายกำเนิดสวรรค์
ข้าสามารถชี้แนะให้พวกเจ้าได้
แต่พวกเจ้าต้องชี้แนะข้าเกี่ยวกับการจุดดวงไฟแห่งชะตาด้วยเช่นกัน”
อู่หมิงยิ้มและพูดออกมา
หลังจากที่ได้ฟังข้อตกลงของอู่หมิง
ตู่ซื่อก็เอ่ยถามกิเลนฟ้า
‘ข้าสามารถบอกวิธีที่เจ้าสอนให้แก่เขาได้หรือไม่?’
‘นับว่าเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่ไม่เลว
ข้าเองก็ต้องการรู้เกี่ยวกับนิกายกำเนิดสวรรค์เช่นกัน
เจ้าสามารถบอกแก่คนผู้นั้นได้ แต่อย่าได้บอกว่ารู้มาจากข้า’ กิเลนฟ้าตอบกลับไป
“ตกลง ถ้าเช่นนั้นเราไปคุยกันที่บ้านพักของข้า
ข้าไม่ต้องการให้ผู้ใดรู้เรื่องที่เราคุยกัน” ตู่ซื่อหันไปบอกกับอู่หมิง
ในบ้านพักของตู่ซื่อ ที่ห้องรับแขก
“ข้าจะสอนเจ้า เรื่องวิธีจุดดวงไฟแห่งชะตา หลังจากนั้นเจ้าก็เล่าเรื่องราวของนิกายกำเนิดสวรรค์ให้พวกข้าฟัง”
ตู่ซื่อยื่นข้อเสนอให้กับอู่หมิง
“ถ้าเช่นนั้นข้าก็ยินดียิ่งนัก” อู่หมิงตอบกลับไป
อู่หมิงรู้สึกตื่นเต้นมาก
เขาฝึกการจุดดวงไฟแห่งชะตา มาตั้งแต่อยู่ในตระกูล แต่ก็ไม่เคยสำเร็จ
แต่ด้วยการชี้แนะจากตู่ซื่อเพียงเล็กน้อย เขาก็สามารถทำได้อย่างง่ายดาย
“พวกเจ้าต้องการรู้เกี่ยวกับเรื่องใดก่อน?”
อู่หมิงมองไปที่ทั้งสองคนและพูดขึ้นมา...............จบตอน