test

เมนู นิยาย บน

เมนูมังงะ

24 มิ.ย. 2560

God of sword and The Woodman บทที่ 9 เทพตกสวรรค์



                ในขณะเดียวกัน บนสรวงสวรรค์ก็มีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้น เทพผู้ถือครองบันทึกสวรรค์ได้ขอเข้าพบเง๊กเซียนฮ่องเต้อย่างรีบเร่ง เขาคืออดีตขุนพลสวรรค์หลี่จิ้ง [เทพผู้ครอบครองเจดีย์เจ็ดชั้นที่ใช้คุมขังเทพและอสูรได้]


          “หลี่จิ้ง มีเรื่องอันใดเจ้าจึงรีบร้อนเข้าพบข้าเช่นนี้” เงีกเซียนฮ่องเต้เอ่ยถามด้วยความสงสัย


          “คารวะเง๊กเซียนฮ่องเต้ คารวะเจ้าแม่ซีหวังหมู่” หลี่จิ้งประสานมือคารวะทั้งสองอค์ แม้จะเป็นเรื่องเร่งด่วนแต่ธรรมเนียมสวรรค์ก็ไม่อาจที่จะละเลยได้


          “อย่าได้มากพิธี มีเรื่องอันใดก็จงพูดมา” เง๊กเซียนฮ่องเต้โบกมือไปมา เพื่อให้หลี่จิ้งแจ้งข่าวในทันที


          “ข้านั้นได้ตรวจสอบบันทึกสวรรค์ และพบว่าอีกราวสิบปีหลังจากนี้จะเกิดภัยพิบัติบนโลกมนุษย์ และอาจเป็นเหตุให้เผ่าพันธุ์มนุษญ์สูญสิ้นได้ขอรับ”หลี่จิ้งรีบพูดอย่างรวบรัด


          “ในบันทึกสวรรค์ได้เขียนรายละเอียดเอาไว้หรือไม่?” เจ้าแม่ซีหวังหมู่ถามออกไปด้วยความร้อนใจ


          “เรียนเจ้าแม่ซีหวังหมู่ บันทึกสวรรค์ระบุเอาไว้เพียงแค่ เหล่าอสูรจะฝ่าฝืนกฏสวรรค์รุกล้ำโลกมนุษย์”


          “อสูรตนใดกันที่กล้าฝ่าฝืนกฏสวรรค์ ดินแดนของอสูรคือนรก ดินแดนของเทพคือสรวงสวรรค์ และดินแดนของมนุษย์คือโลก นี่คือความสมดุลแห่งสามภพ ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นนี้ได้มีบันทึกไว้หรือไม่ว่าเทพองค์ใดจะเป็นผู้ปัดเป่าให้มันสลายไป” เง๊กเซียนฮ่องเต้กำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจที่พวกอสูรคิดที่จะฝ่าฝืนกฏสวรรค์


          “เมื่อข้าตรวจสอบบันทึกสวรรค์ในครั้งแรก มีนามของเทพกระบี่สวรรค์ทะลายพิภพสยบปฐพีปรากฏอยู่ หลังจากนั้นนามของเขาก็หายไปขอรับ” หลี่จิ้งตอบกลับไป ปกติแล้วบันทึกสวรรค์จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ เขาเองก็รู้สึกประหลาดใจไม่น้อย


          “หรือเป็นเพราะการลงโทษให้เทพกระบี่ลงไปจุติที่โลกมนุษย์ ทำให้บันทึกสวรรค์มีการเปลี่ยนแปลง” เจ้าแม่ซีหวังหมู่พูดขึ้นมาด้วยความตกใจ


          โดยปกติการลงโทษให้เทพลงไปจุติบนโลกมนุษย์นั้นจะต้องมีการตรวจสอบบันทึกสวรรค์ว่าเทพองค์นั้น ได้ถูกชะตาลิขิตหน้าที่อันใดเอาไว้ก่อน แต่ตอนที่ลงโทษเทพกระบี่นั้นเป็นไปด้วยความรวดเร็ว จึงไม่ทันได้มีการตรวจสอบบันทึกสวรรค์


          การที่ไม่ปฏิบัติตามธรรมเนียมสวรรค์ในครั้งนี้ เง๊กเซียนฮ่องเต้และเจ้าแม่ซีหวังหมู่คงไม่อาจปัดความรับผิดชอบได้


          ในปัจจุบันนี้บนสรวงสวรรค์มีเทพอยู่ไม่มากนัก เพราะมนุษย์ที่สามารถบำเพ็ญตนจนมีบารมีมากพอที่จะได้ขึ้นมาอยู่บนสรวงสวรรค์มีเพียงน้อยนิด แม้แต่ตำแหน่งขุนพลสวรรค์ที่มีอยู่ร้อยแปดตำแหน่ง ปัจจุบันก็มีขุนพลสวรรค์ที่อยู่ในตำแหน่งเพียงแค่เก้าคนเท่านั้น


          “หลี่จิ้ง เจ้ากลับไปทำหน้าที่ของเจ้า เรื่องนี้ข้ากับเจ้าแม่ซีหวังหมู่จะทำการหารือกัน และแก้ไขปัญหาให้เร็วที่สุด” เง๊กเซียนฮ่องเต้โบกมือไล่ให้หลี่จิ้งกลับออกไปก่อน


          “ข้าขอลา” หลี่จิ้งประสานมือพร้อมกล่าวลาและเดินกลับออกไป


          “ท่านคิดจะทำเช่นใดกัน เง๊กเซียนฮ่องเต้” เจ้าแม่ซีหังหมู่เอ่ยถาม


          “เดิมทีหน้าที่นี้เป็นของเทพกระบี่ ด็แค่ให้เทพกระบี่รับผิดชอบไปก็เท่านั้น” เง๊กเซียนฮ่องเต๊พูดขึ้นมาหลังจากที่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง


          “เทพกระบี่ในตอนนี้เป็นเพียงกระบี่ไม้เท่านั้น จะสามารถทำอันใดได้” เจ้าแม่ซีหวังหมู่พูดพร้อมกับถอนหายใจ


          “ท่านอย่าลืมสิว่า เทพกระบี่ยังมีพวกเด็กเหล่านั้น บางทีพวกเขาอาจจะเป็นเหล่าเด็กที่สวรรค์ได้เลือกเอาไว้” เง๊กเซียนฮ่องเต๊ตอบกลับไป


          “ข้าเข้าใจแล้ว คืนนี้ข้าทำให้พวกเขาเห็นนิมิตในความฝัน และบอกกล่าวถึงหน้าที่อันสำคัญนี้” เจ้าแม่ซีหวังหมู่พูดขึ้นมาด้วยพร้อมกับรอยยิ้ม


          “ท่านอย่าลืมว่าพวกเขายังเป็นเด็ก หากเห็นเพียงนิมิตในความฝัน เมื่อตื่นขึ้นมาพวกเขาก็คงจะไม่สนใจ และคงคิดว่ามันเป็นเพียงความฝันธรรมดาเท่านั้น ข้าจะลงไปยังโลกมนุษย์ด้วยตัวของข้าเอง”


          ทันทีที่พูดจบร่างกายของเง๊กเซียนฮ่องเต้ก็ค่อย ๆ จางหายไปจากเบื้องหน้าของเจ้าแม่ซีหวังหมู่


          “ช้าก่อน! เง๊กเซียนฮ่องเต้” เจ้าแม่ซีหวังหมู่รีบตะโกนเรียก แต่ก็ช้าไปเสียแล้ว


โลกมนุษย์


การประลองระหว่างเหย่หนิวกับเสี่ยวเยว่กำลังจะเริ่มขึ้น โดยมีอาจารย์ต้าซิงซิงและอาจารย์ซู่จื่อยืนดูอยู่ข้างลานประลองอย่างใกล้ชิด


ก่อนที่การประลองจะเริ่มขึ้น ได้มีร่างของชายผู้หนึ่งภายใต้ผ้าคลุมมังกรสีทองลอยลงมาจากเบื้องบน รอบกายของเขาเต็มไปด้วยแสงกุศลสีทองห่อหุ้มเอาไว้


“ทะ........ท่านคือ องค์เง๊กเซียนฮ่องเต้” อาจารย์ซู่จื่อรีบก้มหมอบลงกับพื้น ตามตำนานที่บันทึกมาแต่โบราณ ผ้าคลุมมังกรทอง มีเพียงเง๊กเซียนฮ่องเต๊เท่านั้นที่สวมใส่ได้


เมื่อเห็นเช่นนั้นอาจารย์ต้าซิงซิงจึงรีบหมอบกราบลงไปเช่นกัน


“ท่านเป็นใครกัน อย่าได้มาขัดขวางการประลองงี่เง่านี่ เมื่อประลองจบข้าจะได้ไปพักผ่อนเสียที” เสี่ยวเยว่พูดขึ้นมาด้วยความไม่พอใจ ที่การประลองไม่เริ่มต้นขึ้นเสียที เขาต้องการที่จะยอมแพ้และกลับไปนั่งอ่านหนังสือของเขาต่อ


“เสี่ยวเยว่ นั่นคือองค์เง๊กเซียนฮ่องเต้” เทพกระบี่ที่อยู่ในมือบอกกับเสี่ยวเยว่ เขาไม่คิดเลยว่าองค์เง๊กเซียนฮ่องเต้จะลงมาบนโลกมนุษย์ด้วยกายเทพเช่นนี้


พวกเด็ก ๆ ต่างยืนยิ่งด้วยความตกใจที่เห็นอาจารย์ทั้งสองหมอบกราบคนผู้นี้ ในสายตาของพวกเขาคนผู้นี้ก็แค่คนบ้าที่สวมใส่ชุดสีทองเท่านั้น เพราะคนสติดีที่ไหนกันจะสวมใส่ชุดที่ทำจากทองคำเช่นนี้


“เง๊กเซียนฮ่องเต๊เช่นนั้นหรือ?” เสี่ยวเยว่พูดขึ้นมาด้วยความตกใจ


เมื่อได้ยินคำพูดของเสี่ยวเยว่พวกเด็กคนอื่น ๆ ก็ยืนอ้าปากค้าง พวกเขาไม่คิดเลย ชายที่อยู่เบื้องหน้านี้คือเง๊กเซียนฮ่องเต๊เจ้าผู้เป็นใหญ่แห่งสามภพ


“ถูกต้องแล้วข้าคือเง๊กเซียนฮ่องเต้ ที่ข้าลงมายังโลกมนุษย์แห่งนี้เพราะข้ามีภารกิจจะมอบหมายให้แก่พวกเจ้า เหล่าเด็กที่ถูกเลือกจากสวรรค์” เง๊กเซียนฮ่องเต๊พูดพร้อมกับยิ้ม แม้ว่าพวกเด็ก ๆ จะไม่ได้หมอบกราบเขาตามธรรมเนียมสวรรค์ แต่เขาก็มิได้ถือสาอันใด


“แล้วข้าจะทราบได้อย่างไรว่าท่านคือเง๊กเซียนฮ่องเต้จริง ๆ ” โหวจื่อ [วานรน้อย] ถามออกไป

อาจารย์ทั้งสองรีบเงยหน้าขึ้น แต่เง๊กเซียนฮ่องเต้ก็ส่ายหน้าไม่ให้พวกเขาพูดอะไร


“ถูกต้องแล้ว เง๊กเซียนฮ่องเต๊ผู้เป็นใหญ่แห่งสามภพ จะต้องทำในสิ่งที่มนุษย์อาจทำได้เป็นแน่ แค่สวมใส่ผ้าคลุมมังกรทอง เศรษฐีที่ไหนก็สามารถทำได้” ทู่จื่อ [กระต่ายน้อย]พูดเสริมออกไป


 “พวกเจ้าล้วนเป็นทายาทของคนเก็บฟืน ดังนั้นข้าจะแสดงปาฏิหาริย์ให้พวกเจ้าดู” เง๊กเซียนฮ่องเต้รวบรวมกุศลไว้บนฝ่ามือก่อนที่จะปล่อยให้ลอยขึ้นไปบนฟ้า


“องค์เง๊กเซียนฮ่องเต๊ อย่าได้ทำเช่นนั้น” เจ้าที่รีบเอ่ยปากห้าม แต่ก็ช้าเกินไปเช่นกัน


กุศลที่ลอยขึ้นไปเบื้องบนปรากฏเป็นเมฆก้อนใหญ่ที่เปร่งประกายสีทอง และปล่อยฝนตกลงมา แต่สิ่งที่ร่วงหลนลงมาหาใช่เม็ดฝน แต่กลับเป็นกิ่งไม้ นี่คือปาฏิหาริย์ที่มนุษย์ไม่อาจทำได้อย่างแน่นอน


ดวงตาของเหล่าเด็ก ๆ เป็นประกาย โดยเฉพาะเสี่ยวเยว่ เขารีบคุกเข่าลงไปในทันที


“เทพแห่งการเก็บคืนคือเง๊กเซียนฮ่องเต๊จริง ๆ ด้วย” เสี่ยวเยว่พูดด้วยความตื่นเต้น


“จริงดั่งที่เสี่ยวเยว่ได้พูดเอาไว้ เทพแห่งการเก็บฟืนกับเง๊กเซียนฮ่องเต๊คือเทพองค์เดียวกัน”ซงสู่ [กระรอกน้อย] พูดขึ้นมาพร้อมกับคุกเข่าลงข้าง ๆ เสี่ยวเยว่ และเด็กคนอื่น ๆ ต่างก็คุกเข่าลงกับพื้นด้วยกันทั้งหมด


เมื่อได้ยินเช่นนั้นเง๊กเซียนฮ่องเต้ก็รู้สึกตกใจ เขาไม่คิดที่จะทำให้พวกเด็ก ๆ คิดเช่นนั้น กลายเป็นว่าพวกเด็ก ๆยิ่งเชื่อมั่นในตำนานของเทพแห่งการเก็บฟืนมากยิ่งขึ้นไปอีก หากเง๊กเซียนฮ่องเต้คิดจะพูดปฏิเสธในตอนนี้ก็คงจะสายเกินไปแล้ว


เง๊กเซียนฮ่องเต้ได้แต่ถอนหายใจและพูดออกไปว่า


“อีกสิบปีหลังจากนี้ จะเกิดภัยพิบัติบนโลกมนุษย์ และอาจเป็นเหตุให้เผ่าพันธุ์มนุษญ์สูญสิ้นได้ ข้าต้องการให้พวกเจ้าฝึกฝนเพื่อต่อสู้รับมือกับภัยพิบัติที่จะมาถึง”


เมื่อได้ยินเช่นนั้นเหล่าเด็ก ๆ ต่างกันมาสบตากัน พวกเขาไม่เข้าใจสิ่งที่เง๊กเซียนฮ่องเต้พูดมาแม้แต่น้อย


“ท่านเองก็เป็นถึงเง๊กเซียนฮ่องเต้ ผู้เป็นใหญ่ในสามภพ เหตุใดท่านจึงไม่ลงมือจัดการกับภัยพิบัติด้วยตนเองเล่า” ต้าเซี่ยง [ช้างน้อย] ถามด้วยความสงสัย


“ภัยพิบัติเกิดขึ้นภพใด ผู้ที่อาศัยอยู่บนภพนั้นจะต้องเผชิญหน้ากับมัน” เง๊กเซียนฮ่องเต้ตอบไปด้วยความอึดอัดใจ เขาพูดออกไปไม่ได้เต็มปากนักเช่นกันสำหรับเรื่องนี้


“หากเทพไม่ช่วยปกป้องมนุษย์ แล้วพวกเราจะกราบไหว้เทพไปเพื่ออะไรกัน?” หูหลาง [จิ้งจอกน้อย]แย้งกลับไป


เง๊กเซียนฮ่องเต้กลืนน้ำลายลงไปอึกใหญ่ เขาไม่รู้ว่าจะตอบคำถามนี้ได้เช่นใดเหมือนกัน


“ข้าเคยอ่านเจอในตำราว่าว่า ในอดีตเหล่าทวยเทพก็เคยลงมาช่วยเหลือพวกเราชาวมนุษย์ เหตุใดในครั้งนี้ท่านจึงไม่ส่งทวยเทพลงมาช่วยพวกเรา” เหย่หนิว [กระทิงน้อย] พูดแทรกขึ้นมาอีกคน


เง๊กเซียนฮ่องเต้นิ่งเงียบไป เขาจะพูดได้อย่างไรว่า เพราะเขานั้นลงโทษเทพกระบี่โดยที่ไม่ยอมตรวจสอบบันทึกสวรรค์ ทำให้ไม่มีเทพที่จะลงมาช่วยเหลือมนุษย์จากภัยพิบัติในครั้งนี้


“พวกเจ้าไม่ต้องการเป็นเทพเช่นข้าหรอกหรือ แน่นอนว่าหากพวกเจ้าปฏิบัติตามวิถีแห่งคนเก็บฟืน พวกเจ้าก็จะได้เป็นสาวกของข้าบนสรวงสวรรค์ แต่หากพวกเจ้าสามารถทำงานที่ข้ามอบหมายให้ เจ้าก็จะได้ขึ้นไปสรวงสวรรค์ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น” เงีกเซียนฮ่องเต้ตัดสินใจที่จะรับบทเป็นเทพแห่งการเก็บฟืน เพื่อที่จะโน้มน้าวใจพวกเด็ก ๆ


“เง๊กเซียนฮ่องเต้ ท่านได้ทำผิดพลาดไปแล้ว” เจ้าแม่ซีหวังหมู่ที่มองดูจากบนสรวงสวรรค์ทำได้เพียงแค่ถอนหายใจ


ประกายแสงสีทองจากกุศลที่อยู่รอบกายของเง๊กเซียนฮ่องเต้ค่อย ๆ จางหายไป การพูดโกหกนั้นมีโทษร้ายแรงยิ่งนัก ส่งผลให้กุศลที่เง๊กเซียนฮ่องเต้เคยบำเพ็ญเพียรมาสลายไปแทบหมดสิ้น


“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” เง๊กเซียนฮ่องเต้ถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ


ทุกสิ่งที่อยู่รอบกายของเง๊กเซียนฮ่องเต้หยุดนิ่งลงไป เจ้าแม่ซีหวังหมู่ทำให้กาลไหลเวียนของเวลาหยุดนิ่งไปชั่วครู่ และส่งเสียงลงมาจากสวรรค์ว่า


“เง๊กเซียนฮ่องเต้ ท่านนั้นได้ทำผิดกฏสวรรค์หลายข้อนัก ข้อแรกคือการลงไปยังโลกมนุษย์ด้วยกายเทพ ตามกฏแล้วเทพจะลงไปจุติลงไปเกิดในร่างของมนุษย์ สัตว์ สิ่งของเท่านั้น ข้อที่สองห้ามมิให้เทพแสดงปาฏิหาริย์ต่อหน้ามนุษย์ และข้อสามห้ามมิให้เทพกล่าวคำโกหก ด้วยความผิดทั้งสามข้อส่งผลให้กุศลที่ท่านสะสมมาสลายไปจนหมดสิ้น”


“แต่ข้าคือเง๊กเซียนฮ่องเต้ผู้เป็นใหญ่ในสามภพ กฏเหล่านั้นน่าจะมีข้อยกเว้นสำหรับข้า” เงีกเซียนฮ่องเต้แย้งกลับไป


“แม้จะถูกเรียกว่าผู้ยิ่งใหญ่แห่งสามภพ แต่ในความเป็นจริงท่านมีอำนาจสูงสุดบนสรวงสวรรค์เท่านั้น โลกมนุษย์ก็ย่อมมีกฏของโลกมนุษย์ โลกของอสูรก็เช่นกัน ท่านทราบหรือไม่ว่าเมื่อครู่นี้ หลี่จิ้งได้มาแจ้งกับข้าว่า บันทึกสวรรรค์มีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง เพราะท่านฝ่าฝืนกฏการลงไปยังโลกมนุษย์ ทำให้พวกอสูรอ้างสิทธิ์ในการเข้าไปยังโลกมนุษย์เช่นกัน ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นกับโลกมนุษย์แท้จริงแล้วท่านเป็นผู้ที่ทำให้มันเกิดขึ้น หากท่านต้องการที่จะกลับขึ้นมาบนสวรรค์อีกครั้ง ท่านต้องทำการบำเพ็ญเพียรและสร้างกุศลขึ้นมาใหม่อีกครั้งเท่านั้น” เจ้าแม่ซีหวังหมู่ตอบกลับไปพร้อมกับถอนหายใจ


“ไม่จริง” เง๊กเซียนฮ่องเต้ตะโกนออกไปเสียงดัง เรื่องบ้า ๆ เช่นนี้ไม่ควรที่จะเกิดขึ้นกับเง๊กเซียนฮ่องเต้อย่างเขา................จบเหอะ

แต่งโดย นายมะพร้าว


<< Back                  Next >>




 





เมนู นิยาย ล่าง

เมนู มังงะ ล่าง