ในขณะเดียวกัน
บนสรวงสวรรค์ก็มีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้น
เทพผู้ถือครองบันทึกสวรรค์ได้ขอเข้าพบเง๊กเซียนฮ่องเต้อย่างรีบเร่ง
เขาคืออดีตขุนพลสวรรค์หลี่จิ้ง [เทพผู้ครอบครองเจดีย์เจ็ดชั้นที่ใช้คุมขังเทพและอสูรได้]
“หลี่จิ้ง มีเรื่องอันใดเจ้าจึงรีบร้อนเข้าพบข้าเช่นนี้”
เงีกเซียนฮ่องเต้เอ่ยถามด้วยความสงสัย
“คารวะเง๊กเซียนฮ่องเต้
คารวะเจ้าแม่ซีหวังหมู่” หลี่จิ้งประสานมือคารวะทั้งสองอค์
แม้จะเป็นเรื่องเร่งด่วนแต่ธรรมเนียมสวรรค์ก็ไม่อาจที่จะละเลยได้
“อย่าได้มากพิธี
มีเรื่องอันใดก็จงพูดมา” เง๊กเซียนฮ่องเต้โบกมือไปมา
เพื่อให้หลี่จิ้งแจ้งข่าวในทันที
“ข้านั้นได้ตรวจสอบบันทึกสวรรค์
และพบว่าอีกราวสิบปีหลังจากนี้จะเกิดภัยพิบัติบนโลกมนุษย์
และอาจเป็นเหตุให้เผ่าพันธุ์มนุษญ์สูญสิ้นได้ขอรับ”หลี่จิ้งรีบพูดอย่างรวบรัด
“ในบันทึกสวรรค์ได้เขียนรายละเอียดเอาไว้หรือไม่?” เจ้าแม่ซีหวังหมู่ถามออกไปด้วยความร้อนใจ
“เรียนเจ้าแม่ซีหวังหมู่
บันทึกสวรรค์ระบุเอาไว้เพียงแค่ เหล่าอสูรจะฝ่าฝืนกฏสวรรค์รุกล้ำโลกมนุษย์”
“อสูรตนใดกันที่กล้าฝ่าฝืนกฏสวรรค์
ดินแดนของอสูรคือนรก ดินแดนของเทพคือสรวงสวรรค์ และดินแดนของมนุษย์คือโลก
นี่คือความสมดุลแห่งสามภพ
ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นนี้ได้มีบันทึกไว้หรือไม่ว่าเทพองค์ใดจะเป็นผู้ปัดเป่าให้มันสลายไป”
เง๊กเซียนฮ่องเต้กำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจที่พวกอสูรคิดที่จะฝ่าฝืนกฏสวรรค์
“เมื่อข้าตรวจสอบบันทึกสวรรค์ในครั้งแรก
มีนามของเทพกระบี่สวรรค์ทะลายพิภพสยบปฐพีปรากฏอยู่
หลังจากนั้นนามของเขาก็หายไปขอรับ” หลี่จิ้งตอบกลับไป
ปกติแล้วบันทึกสวรรค์จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ เขาเองก็รู้สึกประหลาดใจไม่น้อย
“หรือเป็นเพราะการลงโทษให้เทพกระบี่ลงไปจุติที่โลกมนุษย์
ทำให้บันทึกสวรรค์มีการเปลี่ยนแปลง” เจ้าแม่ซีหวังหมู่พูดขึ้นมาด้วยความตกใจ
โดยปกติการลงโทษให้เทพลงไปจุติบนโลกมนุษย์นั้นจะต้องมีการตรวจสอบบันทึกสวรรค์ว่าเทพองค์นั้น
ได้ถูกชะตาลิขิตหน้าที่อันใดเอาไว้ก่อน
แต่ตอนที่ลงโทษเทพกระบี่นั้นเป็นไปด้วยความรวดเร็ว
จึงไม่ทันได้มีการตรวจสอบบันทึกสวรรค์
การที่ไม่ปฏิบัติตามธรรมเนียมสวรรค์ในครั้งนี้
เง๊กเซียนฮ่องเต้และเจ้าแม่ซีหวังหมู่คงไม่อาจปัดความรับผิดชอบได้
ในปัจจุบันนี้บนสรวงสวรรค์มีเทพอยู่ไม่มากนัก
เพราะมนุษย์ที่สามารถบำเพ็ญตนจนมีบารมีมากพอที่จะได้ขึ้นมาอยู่บนสรวงสวรรค์มีเพียงน้อยนิด
แม้แต่ตำแหน่งขุนพลสวรรค์ที่มีอยู่ร้อยแปดตำแหน่ง
ปัจจุบันก็มีขุนพลสวรรค์ที่อยู่ในตำแหน่งเพียงแค่เก้าคนเท่านั้น
“หลี่จิ้ง
เจ้ากลับไปทำหน้าที่ของเจ้า เรื่องนี้ข้ากับเจ้าแม่ซีหวังหมู่จะทำการหารือกัน
และแก้ไขปัญหาให้เร็วที่สุด” เง๊กเซียนฮ่องเต้โบกมือไล่ให้หลี่จิ้งกลับออกไปก่อน
“ข้าขอลา”
หลี่จิ้งประสานมือพร้อมกล่าวลาและเดินกลับออกไป
“ท่านคิดจะทำเช่นใดกัน
เง๊กเซียนฮ่องเต้” เจ้าแม่ซีหังหมู่เอ่ยถาม
“เดิมทีหน้าที่นี้เป็นของเทพกระบี่
ด็แค่ให้เทพกระบี่รับผิดชอบไปก็เท่านั้น”
เง๊กเซียนฮ่องเต๊พูดขึ้นมาหลังจากที่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง
“เทพกระบี่ในตอนนี้เป็นเพียงกระบี่ไม้เท่านั้น
จะสามารถทำอันใดได้” เจ้าแม่ซีหวังหมู่พูดพร้อมกับถอนหายใจ
“ท่านอย่าลืมสิว่า
เทพกระบี่ยังมีพวกเด็กเหล่านั้น
บางทีพวกเขาอาจจะเป็นเหล่าเด็กที่สวรรค์ได้เลือกเอาไว้” เง๊กเซียนฮ่องเต๊ตอบกลับไป
“ข้าเข้าใจแล้ว คืนนี้ข้าทำให้พวกเขาเห็นนิมิตในความฝัน
และบอกกล่าวถึงหน้าที่อันสำคัญนี้” เจ้าแม่ซีหวังหมู่พูดขึ้นมาด้วยพร้อมกับรอยยิ้ม
“ท่านอย่าลืมว่าพวกเขายังเป็นเด็ก
หากเห็นเพียงนิมิตในความฝัน เมื่อตื่นขึ้นมาพวกเขาก็คงจะไม่สนใจ
และคงคิดว่ามันเป็นเพียงความฝันธรรมดาเท่านั้น ข้าจะลงไปยังโลกมนุษย์ด้วยตัวของข้าเอง”
ทันทีที่พูดจบร่างกายของเง๊กเซียนฮ่องเต้ก็ค่อย
ๆ จางหายไปจากเบื้องหน้าของเจ้าแม่ซีหวังหมู่
“ช้าก่อน! เง๊กเซียนฮ่องเต้” เจ้าแม่ซีหวังหมู่รีบตะโกนเรียก แต่ก็ช้าไปเสียแล้ว
โลกมนุษย์
การประลองระหว่างเหย่หนิวกับเสี่ยวเยว่กำลังจะเริ่มขึ้น
โดยมีอาจารย์ต้าซิงซิงและอาจารย์ซู่จื่อยืนดูอยู่ข้างลานประลองอย่างใกล้ชิด
ก่อนที่การประลองจะเริ่มขึ้น
ได้มีร่างของชายผู้หนึ่งภายใต้ผ้าคลุมมังกรสีทองลอยลงมาจากเบื้องบน รอบกายของเขาเต็มไปด้วยแสงกุศลสีทองห่อหุ้มเอาไว้
“ทะ........ท่านคือ
องค์เง๊กเซียนฮ่องเต้” อาจารย์ซู่จื่อรีบก้มหมอบลงกับพื้น
ตามตำนานที่บันทึกมาแต่โบราณ ผ้าคลุมมังกรทอง มีเพียงเง๊กเซียนฮ่องเต๊เท่านั้นที่สวมใส่ได้
เมื่อเห็นเช่นนั้นอาจารย์ต้าซิงซิงจึงรีบหมอบกราบลงไปเช่นกัน
“ท่านเป็นใครกัน อย่าได้มาขัดขวางการประลองงี่เง่านี่
เมื่อประลองจบข้าจะได้ไปพักผ่อนเสียที” เสี่ยวเยว่พูดขึ้นมาด้วยความไม่พอใจ
ที่การประลองไม่เริ่มต้นขึ้นเสียที
เขาต้องการที่จะยอมแพ้และกลับไปนั่งอ่านหนังสือของเขาต่อ
“เสี่ยวเยว่
นั่นคือองค์เง๊กเซียนฮ่องเต้” เทพกระบี่ที่อยู่ในมือบอกกับเสี่ยวเยว่
เขาไม่คิดเลยว่าองค์เง๊กเซียนฮ่องเต้จะลงมาบนโลกมนุษย์ด้วยกายเทพเช่นนี้
พวกเด็ก ๆ
ต่างยืนยิ่งด้วยความตกใจที่เห็นอาจารย์ทั้งสองหมอบกราบคนผู้นี้
ในสายตาของพวกเขาคนผู้นี้ก็แค่คนบ้าที่สวมใส่ชุดสีทองเท่านั้น
เพราะคนสติดีที่ไหนกันจะสวมใส่ชุดที่ทำจากทองคำเช่นนี้
“เง๊กเซียนฮ่องเต๊เช่นนั้นหรือ?” เสี่ยวเยว่พูดขึ้นมาด้วยความตกใจ
เมื่อได้ยินคำพูดของเสี่ยวเยว่พวกเด็กคนอื่น
ๆ ก็ยืนอ้าปากค้าง พวกเขาไม่คิดเลย
ชายที่อยู่เบื้องหน้านี้คือเง๊กเซียนฮ่องเต๊เจ้าผู้เป็นใหญ่แห่งสามภพ
“ถูกต้องแล้วข้าคือเง๊กเซียนฮ่องเต้
ที่ข้าลงมายังโลกมนุษย์แห่งนี้เพราะข้ามีภารกิจจะมอบหมายให้แก่พวกเจ้า
เหล่าเด็กที่ถูกเลือกจากสวรรค์” เง๊กเซียนฮ่องเต๊พูดพร้อมกับยิ้ม แม้ว่าพวกเด็ก ๆ
จะไม่ได้หมอบกราบเขาตามธรรมเนียมสวรรค์ แต่เขาก็มิได้ถือสาอันใด
“แล้วข้าจะทราบได้อย่างไรว่าท่านคือเง๊กเซียนฮ่องเต้จริง
ๆ ” โหวจื่อ [วานรน้อย] ถามออกไป
อาจารย์ทั้งสองรีบเงยหน้าขึ้น
แต่เง๊กเซียนฮ่องเต้ก็ส่ายหน้าไม่ให้พวกเขาพูดอะไร
“ถูกต้องแล้ว
เง๊กเซียนฮ่องเต๊ผู้เป็นใหญ่แห่งสามภพ จะต้องทำในสิ่งที่มนุษย์อาจทำได้เป็นแน่
แค่สวมใส่ผ้าคลุมมังกรทอง เศรษฐีที่ไหนก็สามารถทำได้” ทู่จื่อ [กระต่ายน้อย]พูดเสริมออกไป
“พวกเจ้าล้วนเป็นทายาทของคนเก็บฟืน
ดังนั้นข้าจะแสดงปาฏิหาริย์ให้พวกเจ้าดู”
เง๊กเซียนฮ่องเต้รวบรวมกุศลไว้บนฝ่ามือก่อนที่จะปล่อยให้ลอยขึ้นไปบนฟ้า
“องค์เง๊กเซียนฮ่องเต๊
อย่าได้ทำเช่นนั้น” เจ้าที่รีบเอ่ยปากห้าม แต่ก็ช้าเกินไปเช่นกัน
กุศลที่ลอยขึ้นไปเบื้องบนปรากฏเป็นเมฆก้อนใหญ่ที่เปร่งประกายสีทอง
และปล่อยฝนตกลงมา แต่สิ่งที่ร่วงหลนลงมาหาใช่เม็ดฝน แต่กลับเป็นกิ่งไม้ นี่คือปาฏิหาริย์ที่มนุษย์ไม่อาจทำได้อย่างแน่นอน
ดวงตาของเหล่าเด็ก ๆ เป็นประกาย
โดยเฉพาะเสี่ยวเยว่ เขารีบคุกเข่าลงไปในทันที
“เทพแห่งการเก็บคืนคือเง๊กเซียนฮ่องเต๊จริง
ๆ ด้วย” เสี่ยวเยว่พูดด้วยความตื่นเต้น
“จริงดั่งที่เสี่ยวเยว่ได้พูดเอาไว้
เทพแห่งการเก็บฟืนกับเง๊กเซียนฮ่องเต๊คือเทพองค์เดียวกัน”ซงสู่ [กระรอกน้อย] พูดขึ้นมาพร้อมกับคุกเข่าลงข้าง ๆ
เสี่ยวเยว่ และเด็กคนอื่น ๆ ต่างก็คุกเข่าลงกับพื้นด้วยกันทั้งหมด
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเง๊กเซียนฮ่องเต้ก็รู้สึกตกใจ
เขาไม่คิดที่จะทำให้พวกเด็ก ๆ คิดเช่นนั้น กลายเป็นว่าพวกเด็ก
ๆยิ่งเชื่อมั่นในตำนานของเทพแห่งการเก็บฟืนมากยิ่งขึ้นไปอีก
หากเง๊กเซียนฮ่องเต้คิดจะพูดปฏิเสธในตอนนี้ก็คงจะสายเกินไปแล้ว
เง๊กเซียนฮ่องเต้ได้แต่ถอนหายใจและพูดออกไปว่า
“อีกสิบปีหลังจากนี้
จะเกิดภัยพิบัติบนโลกมนุษย์ และอาจเป็นเหตุให้เผ่าพันธุ์มนุษญ์สูญสิ้นได้
ข้าต้องการให้พวกเจ้าฝึกฝนเพื่อต่อสู้รับมือกับภัยพิบัติที่จะมาถึง”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเหล่าเด็ก ๆ
ต่างกันมาสบตากัน พวกเขาไม่เข้าใจสิ่งที่เง๊กเซียนฮ่องเต้พูดมาแม้แต่น้อย
“ท่านเองก็เป็นถึงเง๊กเซียนฮ่องเต้
ผู้เป็นใหญ่ในสามภพ เหตุใดท่านจึงไม่ลงมือจัดการกับภัยพิบัติด้วยตนเองเล่า”
ต้าเซี่ยง [ช้างน้อย] ถามด้วยความสงสัย
“ภัยพิบัติเกิดขึ้นภพใด ผู้ที่อาศัยอยู่บนภพนั้นจะต้องเผชิญหน้ากับมัน”
เง๊กเซียนฮ่องเต้ตอบไปด้วยความอึดอัดใจ
เขาพูดออกไปไม่ได้เต็มปากนักเช่นกันสำหรับเรื่องนี้
“หากเทพไม่ช่วยปกป้องมนุษย์
แล้วพวกเราจะกราบไหว้เทพไปเพื่ออะไรกัน?” หูหลาง [จิ้งจอกน้อย]แย้งกลับไป
เง๊กเซียนฮ่องเต้กลืนน้ำลายลงไปอึกใหญ่
เขาไม่รู้ว่าจะตอบคำถามนี้ได้เช่นใดเหมือนกัน
“ข้าเคยอ่านเจอในตำราว่าว่า
ในอดีตเหล่าทวยเทพก็เคยลงมาช่วยเหลือพวกเราชาวมนุษย์
เหตุใดในครั้งนี้ท่านจึงไม่ส่งทวยเทพลงมาช่วยพวกเรา” เหย่หนิว [กระทิงน้อย] พูดแทรกขึ้นมาอีกคน
เง๊กเซียนฮ่องเต้นิ่งเงียบไป เขาจะพูดได้อย่างไรว่า
เพราะเขานั้นลงโทษเทพกระบี่โดยที่ไม่ยอมตรวจสอบบันทึกสวรรค์
ทำให้ไม่มีเทพที่จะลงมาช่วยเหลือมนุษย์จากภัยพิบัติในครั้งนี้
“พวกเจ้าไม่ต้องการเป็นเทพเช่นข้าหรอกหรือ
แน่นอนว่าหากพวกเจ้าปฏิบัติตามวิถีแห่งคนเก็บฟืน พวกเจ้าก็จะได้เป็นสาวกของข้าบนสรวงสวรรค์
แต่หากพวกเจ้าสามารถทำงานที่ข้ามอบหมายให้
เจ้าก็จะได้ขึ้นไปสรวงสวรรค์ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น”
เงีกเซียนฮ่องเต้ตัดสินใจที่จะรับบทเป็นเทพแห่งการเก็บฟืน
เพื่อที่จะโน้มน้าวใจพวกเด็ก ๆ
“เง๊กเซียนฮ่องเต้
ท่านได้ทำผิดพลาดไปแล้ว” เจ้าแม่ซีหวังหมู่ที่มองดูจากบนสรวงสวรรค์ทำได้เพียงแค่ถอนหายใจ
ประกายแสงสีทองจากกุศลที่อยู่รอบกายของเง๊กเซียนฮ่องเต้ค่อย
ๆ จางหายไป การพูดโกหกนั้นมีโทษร้ายแรงยิ่งนัก
ส่งผลให้กุศลที่เง๊กเซียนฮ่องเต้เคยบำเพ็ญเพียรมาสลายไปแทบหมดสิ้น
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” เง๊กเซียนฮ่องเต้ถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ
ทุกสิ่งที่อยู่รอบกายของเง๊กเซียนฮ่องเต้หยุดนิ่งลงไป
เจ้าแม่ซีหวังหมู่ทำให้กาลไหลเวียนของเวลาหยุดนิ่งไปชั่วครู่
และส่งเสียงลงมาจากสวรรค์ว่า
“เง๊กเซียนฮ่องเต้
ท่านนั้นได้ทำผิดกฏสวรรค์หลายข้อนัก ข้อแรกคือการลงไปยังโลกมนุษย์ด้วยกายเทพ
ตามกฏแล้วเทพจะลงไปจุติลงไปเกิดในร่างของมนุษย์ สัตว์ สิ่งของเท่านั้น
ข้อที่สองห้ามมิให้เทพแสดงปาฏิหาริย์ต่อหน้ามนุษย์
และข้อสามห้ามมิให้เทพกล่าวคำโกหก
ด้วยความผิดทั้งสามข้อส่งผลให้กุศลที่ท่านสะสมมาสลายไปจนหมดสิ้น”
“แต่ข้าคือเง๊กเซียนฮ่องเต้ผู้เป็นใหญ่ในสามภพ
กฏเหล่านั้นน่าจะมีข้อยกเว้นสำหรับข้า” เงีกเซียนฮ่องเต้แย้งกลับไป
“แม้จะถูกเรียกว่าผู้ยิ่งใหญ่แห่งสามภพ
แต่ในความเป็นจริงท่านมีอำนาจสูงสุดบนสรวงสวรรค์เท่านั้น
โลกมนุษย์ก็ย่อมมีกฏของโลกมนุษย์ โลกของอสูรก็เช่นกัน ท่านทราบหรือไม่ว่าเมื่อครู่นี้
หลี่จิ้งได้มาแจ้งกับข้าว่า บันทึกสวรรรค์มีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง
เพราะท่านฝ่าฝืนกฏการลงไปยังโลกมนุษย์
ทำให้พวกอสูรอ้างสิทธิ์ในการเข้าไปยังโลกมนุษย์เช่นกัน
ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นกับโลกมนุษย์แท้จริงแล้วท่านเป็นผู้ที่ทำให้มันเกิดขึ้น หากท่านต้องการที่จะกลับขึ้นมาบนสวรรค์อีกครั้ง
ท่านต้องทำการบำเพ็ญเพียรและสร้างกุศลขึ้นมาใหม่อีกครั้งเท่านั้น”
เจ้าแม่ซีหวังหมู่ตอบกลับไปพร้อมกับถอนหายใจ
“ไม่จริง”
เง๊กเซียนฮ่องเต้ตะโกนออกไปเสียงดัง เรื่องบ้า ๆ
เช่นนี้ไม่ควรที่จะเกิดขึ้นกับเง๊กเซียนฮ่องเต้อย่างเขา................จบเหอะ