เซี่ยวหยู่ที่เดินเข้าอีกประตูไป
พบว่าอีกฟากของประตูเป็นเพียงพื้นที่ ที่มืดมิดเละมองแทบไม่เห็นสิ่งใดแม้แต่น้อย
ทำให้นางระมัดระวังตัวเป็นอย่างยิ่ง
การที่มองไม่เห็นศัตรูก็จะทำให้หาทางรับมือได้ลำบากยิ่งนัก
แม้ว่าจะเป็นพื้นที่ที่มืดมิด
แต่พื้นที่นางกำลังเหยียบย่ำอยู่ กลับสัมผัสได้ว่าเป็นพื้นหินที่ขรุขระ
และรู้สึกร้อนอบอ้าวยิ่งนัก
ฟู่วว!
มีเปลวเพลิงอันร้อนแรงพุ่งเข้ามาทางด้านหน้า
เซี่ยวหยู่รีบกระโดดหลบไปด้านหลัง
ด้วยแสงจากเปลวไฟทำให้เซี่ยวหยู่มองเห็นร่างของอสูรที่อยู่เบื้องหน้า
อสูรตนนี้มีลักษณะคล้ายวานร
แต่ร่างกายมีก้อนหินขนาดใหญ่ติดอยู่ตามร่างกาย
และดูเหมือนว่าเปลวไฟที่พ่นออกมานั้น เป็นการพ่นธารลาวาออกมาจากปากของมันนั่นเอง
แม้ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่มีรูปร่างใหญ่โต
แต่เซี่ยวหยู่ก็หาได้มีท่าทีที่หวาดกลัวเลยไม่ นางยังคงดูสงบนิ่งดั่งเช่นเคย
“ข้าบริวารแห่งเทพ
โหวสือหั่ว” โหวสือหั่วประกาศชื่อของตนให้เซี่ยวหยู่ได้ทราบ พร้อมกับคำรามเสียงดังไปทั่ว [猴石火:วานรศิลาเพลิง]
ผิวกายที่เป็นหินของโหวสือหั่วเริ่มลุกไหม้อย่างรุนแรง
ทำให้เซี่ยวหยู่สามารถมองเห็นสภาพโดยรอบได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
“ไม่จำเป็นต้องพูดให้มากความ
เชิญเข้ามาได้ทุกเมื่อ” เซี่ยวหยู่ตอบกลับไป ด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย
“อวดดีนัก
เจ้ามนุษย์โสโครก หมัดศิลาไฟ!” โหวสือหั่วรู้สึกโมโหที่เห็นท่าทางอวดดีของเซี่ยวหยู่
มันจึงใช้หมัดที่มีเปลวไฟลุกโชนต่อยไปยังเซี่ยวหยู่ทันที แต่เซี่ยวหยู่ก็สามารถกระโดดหลบได้ทันที
ตูมม!
เสียงหมัดศิลาไฟต่อยลงไปที่พื้น
ทำให้เกิดระเบิดขึ้นอย่างรุนแรง เศษหินจากพื้นกระจายไปทั่ว
และรุนแรงมากพอที่จะทำให้เซี่ยวหยู่บาดเจ็บได้ หากไม่อาจหลบก้อนหินทั้งหมดได้
แต่นางนั้นกลับหลบได้โดยที่เสื้อผ้าของนางไม่มีรอยเปื้อนเลยแม้แต่น้อย
โหวสือหั่วรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย
หากเทียบกันที่ระดับพลังนั้น เห็นได้ชัดว่าโหวสือหั่วนั้นมีระดับพลังที่เหนือกว่าเซี่ยวหยู่หนึ่งขั้น
แต่เซี่ยวหยู่กลับสามารถรับมือเขาได้ง่ายเกินไป
“ฝนศิลาเพลิง!” เมื่อทำให้พื้นเจิ่งนองไปลาวาแล้ว โหวสือหั่วก็เริ่มใช้พลังควบคุมหินโดยรอบให้ลอยขึ้นไปด้านบน
ก่อนที่จะทำให้ร่วงหล่นลงมาราวกับสายฝน
ก้อนหินน้อยใหญ่หลายหมื่นก้อนที่ร่วงลงมานั้น
ไม่ได้เป็นเพียงก้อนหินธรรมดา แต่ถูกอาบไปด้วยธารลาวา
ทำให้มองดูราวกับฝนเพลิงที่ร่วงหล่นลงมาจากฟ้า
แม้ว่าช่องว่างของฝนศิลาเพลิงจะมีเพียงเล็กน้อย
แต่เซี่ยวหยู่กลับหลบเลี่ยงได้ทั้งหมด ราวกับว่ารู้ล่วงหน้าว่า
จะหล่นลงมาตำแหน่งใดบ้าง
“คุกศิลา!” โหวสือหั่วคิดจะสร้างคุกศิลาโดยใช้หินที่พื้น เพื่อกักขังเซี่ยวหยู่
แต่นางกลับกระโดดหลบไปก่อนที่โหวสือหั่วจะเริ่มสร้างคุกศิลาขึ้นมาเสียอีก
บริวารแห่งเทพที่น่าหวาดกลัว
เมื่ออยู่ต่อหน้าเซี่ยวหยู่กลับเป็นเพียงอสูรธรรมดาเท่านั้น
“หากเป็นกระบวนท่านี้
เจ้าไม่มีทางรอดไปได้เป็นแน่!” โหวสือหั่วพูดด้วยความเจ็บแค้น
เซี่ยวหยู่นั้นว่องไวเกินไป ทำให้สามารถหลบการโจมตีของเขาได้ เรื่องนี้ทำให้โหวสือหั่วรู้สึกโมโหยิ่งนัก
โหวสือหั่วใช้ลมปราณควบคุมก้อนหินจำนวนมากให้ลอยขึ้นมาล้อมเซี่ยวหยู่เอาไว้
จากนั้นก็ควบคุมให้ก้อนหินเหล่านั้นพุ่งไปรวมตัวกันที่เซี่ยวหยู่
จนกลายเป็นหินขนาดใหญ่ กระบวนท่านี้เป็นกระบวนท่าที่ต้องใช้พลังสวรรค์จำนวนมาก
ทำให้โหวสือหั่วไม่อาจใช้ได้บ่อยนัก
“นี่คือคุกศิลาดาวตก
ไม่ว่าเจ้าจะดิ้นรนเช่นใดก็ไม่อาจหลุดออกมาได้ ” โหวสือหั่วหัวเราะด้วยความยินดี
สำหรับกระบวนท่านี้แม้เวี่ยวหยู่คิดที่จะหลบก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
เขาไม่คิดเลยว่าเซี่ยวหยู่จะยอมยืนรับกระบวนท่านี้โดยไม่หลบแม้แต่น้อย
“นี่คือผลจากความอวดดีของเจ้า”
โหวสือหั่วกระโดดไปยืนตรงหน้าคุกศิลาดาวตกที่มีเซี่ยวหยู่
ถูกขังด้านในและพูดขึ้นมา แต่ทันใดนั้นคุกศิลาดาวตกนั้นก็ค่อย ๆ มีรอยแตกออกมา
“แปดมังกรพิโรธ!” เซี่ยวหยู่ใช้กระบวนท่าที่ได้รับถ่ายทอดมาจากพ่อบุญธรรม
ชั่วพริบตาก่อนที่จะถูกกักขังนางได้ใช้สิบหกมังกรสวรรค์คำราม โดยที่ปล่อยลมปราณที่มีรูปร่างคล้ายมังกรทั้งแปดตนออกมาจากจุดชีพจรแปดจุดเพื่อใช้ป้องกันตัวของนางเอาไว้
และเมื่อปล่อยให้ลมปราณมังกรทั้งแปดตนพุ่งออกไป
คุกศิลาดาวกตกก็ย่อมแตกออกเป็นผุยผง
เซี่ยวหยู่ไม่ปล่อยให้โอกาสที่โหวสือหั่วกำลังตกใจหลุดรอดไป
นางกระโดดม้วนตัวและใช้ปิ่นหยกปักลงไปที่กลางศีรษะของโหวสือหั่วทันที
“ปิ่นหยกปลิดวิญญาณ!” เซี่ยวหยู่ปักปิ่นหยกลงไป จากนั้น
นางก็หมุนตัวกลับลงยืนตรงที่เดิม
“ร่างข้าเป็นเพียงหินศิลา
แม้ว่าจะใช้ปิ่นหยกของเจ้าแทงศีรษะข้าได้ ข้าก็ไม่เจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย”โหวสือหั่วที่ถูกปิ่นหยกปักเข้าที่กลางศีรษะพูด
การโจมตีเช่นนี้หาได้สร้างความเจ็บปวดให้เขาเลยแม้แต่น้อย เขาพยายามที่จะใช้มือดึงปิ่นหยกออกมาแต่ปิ่นหยกของเซี่ยวหยู่นั้นถูกปักลงไปลึกมากจนโหวสือหั่วไม่อาจดึงออกมาได้
“เรื่องนั้นข้ารู้ดีอยู่แล้ว”
เซี่ยวหยู่ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบเช่นเดิม
ปิ่นหยกนั้นมีคุณสมบัติพิเศษคือความเย็นอยู่ในตัวอยู่แล้ว
นั่นคือเป้าหมายที่แท้จริงของเซี่ยวหยู่
การที่ศิลาไฟถูกความเย็นจากปิ่นหยก
ทำให้ร่างกายของโหวสือหั่วค่อย ๆ เย็นลงจนเริ่มจับตัวเป็นน้ำแข็ง
“นี่มันบ้าอะไรกัน
คิดจะแช่แข็งร่างของข้าเช่นนั้นรึ?” โหวสือหั่วเริ่มอาบร่างของตนเองด้วยธารลาวา
เพื่อที่จะยับยั้งการถูกแช่แข็ง
และใช้ลมปราณสร้างเปลวไฟขึ้นมาห่อหุ้มร่างกายของเขาเอาไว้
จนมองดูราวกับเป็นอสูรเพลิงที่มีความร้อนแรงยิ่งนัก
“เจ้าจะสร้างเปลวไฟนั้นได้นานสักเท่าใดกัน?” เซี่ยวหยู่พูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
“นานมากพอที่ข้าจะสังหารเจ้าได้เป็นแน่”
โหวสือหั่วพุ่งเข้ามาโจมตีเซี่ยวหยู่ด้วย หมัดศิลาไฟอีกครั้ง
การต่อสู้ในครั้งนี้
เซี่ยวหยู่ใช้เทคนิคทำนายชะตาสวรรค์ในการหลบเลี่ยงการโจมตีของโหวสือหั่ว
ทำให้สามารถทำนายการโจมตีของโหวสือหั่วล่วงหน้าได้ แต่ทุกครั้งที่ใช้พลังทำนาย
จะต้องแลกกับพลังสวรรค์จำนวนมาก และอายุขัยของนาง ยิ่งการต่อสู้ยืดเยื้อมากเท่าใด ก็อาจจะต้องใช้เทคนิคทำนายชะตาสวรรค์มากขึ้น
ชีวิตของนางก็จะยิ่งสั้นลงไป
“ข้าคงไม่อาจที่จะใช้เทคนิคทำนายสวรรค์ในการต่อสู้นี้ได้อีกแล้ว”
เซี่ยวหยู่พูดกับตนเอง ขณะที่ตั้งท่าเตรียมรับมือหมัดศิลาไฟของโหวสือหั่ว
“ฝ่ามือสองมังกรล่องลอย!” เซี่ยวหยู่ปล่อยฝ่ามือมังกรออกไป เพื่อไม่ยอมให้โหวสือหั่วเข้ามาใกล้
ลมปราณมังกรที่พุ่งออกจากฝ่ามือของนางไป ใช้ปากงับมือทั้งสองข้างของโหวสือหั่วเอาไว้
“คิดใช้ปราณมังกรเพียงเท่านั้นหยุดข้าเช่นนั้นหรือ?” โหวสือหั่วใช้มือของตนทุบลงกับพื้น
ด้วยแรงกระแทกนั้นทำให้ปราณมังกรที่งับมือของเขาเอาไว้สลายไป
แรงระเบิดจากจากที่โหวสือหั่วทุบพื้นทำให้เศษหินกระเด็นไปรอบทิศทางอีกครั้ง
ซึ่งในครั้งนี้เซี่ยวหยู่ไม่อาจที่จะหลบได้ ทำให้ก้อนหินกระแทกเข้าร่างของนางอย่างจัง
เศษหินที่แตกกระจายออกไปไร้ทิศทาง
การที่จะหลบเลี่ยงนั้นย่อมเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนัก
เซี่ยวหยู่ถูกก้อนหินเหล่านั้นกระแทกเข้าร่างกาย จนได้รับบาดแผลเต็มไปหมด
ในตอนนี้ร่างกายของนางเริ่มเต็มไปด้วยเลือด
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่อาจหลบเลี่ยงการโจมตีข้าได้แล้ว!” โหวสือหั่วเห็นว่าเซี่ยวหยู่นั้นไม่อาจหลบเศษหินได้
ดั่งเช่นในตอนแรกจึงรีบพุ่งเข้าไปโจมตีซ้ำทันที
“ฝ่ามือมังกรคำราม!” เซี่ยวหยู่ใช้ฝ่ามือต้านรับหมัดขวาของโหวสือหั่วเอาไว้ ทำให้หมัดขวาของโหวสือหั่วระเบิดออกไปในทันที
หากวัดที่ความแรงของกระบวนท่าของนางยังนับว่าเหนือกว่าหมัดของโหวสือหั่วอย่างเห็นได้ชัด
“ข้ายังเหลือหมัดศิลาไฟอีกข้าง”
โหวสือหั่วใช้หมัดซ้ายที่เหลืออยู่ต่อยเข้าที่ลำตัวของเซี่ยวหยู่อย่างจัง
ทำให้ร่างของเซี่ยวหยู่ลอยกระเด็นออกไปหลายเมตร
เซี่ยวหยู่รีบลุกขึ้นมา
นางกระอักเลือดเพราะได้รับบาดเจ็บภายใน แต่มือขวาของโหวสือหั่วนั้นก็ยังไม่อาจคืนสภาพได้
เนื่องจากปิ่นหยกที่ฝังอยู่ในศีรษะทำให้การคืนสภาพของโหวสื่อหั่วนั้นเป็นไปอย่างเชื่องช้า
“หมัดนี้จะจบชีวิตของเจ้า”
โหวสือหั่วรวบรวมพลังไว้ที่มือซ้ายอีกครั้ง ก่อนที่จะพุ่งเข้ามาโจมตีโดยใช้หมัดศิลาไฟอีกครั้ง
แม้ว่าจะหลบหมัดนี้ได้
แต่เศษหินที่ระเบิดจากแรงของหมัดนั้น เซี่ยวหยู่ไม่อาจที่จะหลบได้เป็นแน่
นางจึงตัดสินใจใช้เทคนิคทำนายชะตาสวรรค์อีกครั้ง
ในตอนที่ใช้เทคนิคทำนายชะตาสวรรค์
เวลารอบกายของเซี่ยวหยู่จะหยุดนิ่งลง และจะมองเห็นเพียงเงาร่างของโหวสือหั่วเคลื่อนไหว
รวมถึงทิศทางของหินที่จะกระจายออก ทำให้เซี่ยวหยู่รู้ว่าจะต้องหลบหรือโจมตีสวนกลับเช่นใด
ในการใช้ทำนายการโจมตีแต่ละครั้งอายุขัยของเซี่ยวหยู่จะลดลงไปห้าปี
ซึ่งในการต่อสู้นี้เซี่ยวหยู่ก็ใช้ไปกว่าสิบครั้งแล้ว
เมื่อเวลาเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง
เซี่ยวหยู่หลบหมัดของโหวสือหั่วพร้อมกับเข้าไปประชิดตัวและซัดฝ่ามือเข้าไปที่กลางลำตัวของโหวสือหั่ว
ที่ห้านหลังของโหวสือหั่วมีมังกรพุ่งออกไปสิบหกตน นี่คือกระบวนท่า
ฝ่ามือสิบหกมังกรสวรรค์คำราม เป็นกระบวนท่าที่รุนแรงที่สุดของวรยุทธนี้นั่นเอง
ร่างกายของโหวสือหั่วทะลุเป็นรู
ทำให้พลังของเขาลดน้อยลงไปเป็นอย่างมาก เปลิวเพลิงที่เคยลุกโชติช่วงก็ค่อย ๆ มอดลง
ทำให้ความเย็นจากปิ่นหยกของเวี่ยวหยู่สำแดงพลังออกมาได้มากขึ้น ร่างของโหวสือหั่วค่อย
ๆ ถูกแช่แข็ง สุดท้ายก็แตกกระจายออกไป
เหลือเพียงปิ่นหยกที่ลอยอยู่กลางอากาศท่านั้น
เซี่ยวหยู่จึงเอื้อมมือไปหยิบปิ่นหยกกลับคืนมา
นางนั้นได้รับบาดเจ็บไม่น้อยจากการต่อสู้ในครั้งนี้
และเสื้อผ้าที่นางสวมใส่อยู่ก็ฉีกขาดไปเช่นกัน
หลังจากนั้น
เซี่ยวหยู่ก็นำเสื้อผ้าชุดใหม่ออกมาจากแหวนห้วงมิติ
และเปลี่ยนแทนชุดที่ขาดรุ่ยที่สวมใส่อยู่
แม้ว่าจะมีรอยแผลบนร่างกายที่ขาวนวลของนา
สำหรับนางแล้วการต่อสู้ในครั้งนี้
การที่ต้องแลกกับการลดทอนชีวิตไปหลายครั้งนั้นเป็นเรื่องที่สูญเสียมากเกินไป
นางนั้นยังมีเรื่องสำคัญที่ต้องทำอีกหลังจากนี้
นางจึงไม่อาจให้การต่อสู้ยืดเยื้อไปมากกว่านี้
หลังจากที่เปลี่ยนชุดเสร็จแล้วนางจึงรีบเดินไปยังทางออกทันที
ในขณะที่ สภาพแวดล้อมโดยรอบค่อย ๆ สลายไป
เมื่อเซี่ยวหยู่เปิดประตูออกมาด้านนอก
ทำให้เนี่ยลี่รู้สึกดีใจยิ่งนัก
เพราะนางเป็นคนแรกที่กลับมาหลังจากที่ทุกคนเข้าไปในประตูทั้งสิบบาน
“เซี่ยวหยู่ เจ้าเป็นเช่นใดบ้าง?” เนี่ยลี่เอ่ยถาม
“ข้าไม่เป็นอันใด บริวารแห่งเทพไม่ได้ร้ายกาจเท่าใดนัก”
นางตอบกลับไปอย่างไม่สนใจนัก พร้อมกับนั่งลงเพื่อฟื้นพลังที่สูญเสียไปกลับมา หลังจากนี้นางจะต้องใช้พลังไม่น้อย
ดังนั้นนางจะต้องฟื้นพลังให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้
หาไม่แล้วสิ่งที่นางจะต้องทำอาจจะผิดพลาดได้ ซึ่งจะมีผลต่อชัยชนะในศึกครั้งนี้เป็นอย่างมาก
เมื่อเห็นเช่นนั้นเนี่ยลี่จึงไม่รบกวนนางอีก
และทำการบ่มเพาะพลังต่อไป
เหล่าผู้กลับชาติมาเกิดทั้งหกมองดูเซี่ยวหยู่ที่นั่งฟื้นพลังอยู่
การที่นางเป็นผู้ได้รับถ่ายเทคเทคนิคทำนายชะตาสวรรค์ นางย่อมรู้ดีว่าพวกเขาจะทำสิ่งใด
และดูเหมือนว่านางก็ไม่คิดจะบอกเรื่องนั้นแก่เนี่ยลี่ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่พูดอะไรออกไป
ในตอนนี้ดูเหมือนว่าร่างแยกทั้งหกของจักรพรรดิปราชญ์เองก็ใกล้ที่จะมาถึงแล้ว
พวกเขาจึงหลับตาลงและทำสมาธิต่อไป............จบตอน