[สำหรับตอนที่ 444.07 - 444.12 ขอข้ามไปก่อนนะครับ แต่อ่านต่อได้ไม่งงแน่นอน]
ผ่านไปหลายชั่วยามหลังจากที่เหล่าสหายทั้งสิบได้เข้าไปยังประตูของบริวารแห่งเทพ
แต่ก็มีเพียงเซี่ยวหยู่ที่กลับออกมา ในตอนนี้เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงกับผู้กลับชาติมาเกิดทั้งหก
ร่างกายของทั้งคนส่องแสงประกายขึ้นมา
เนี่ยลี่ที่นั่งบ่มเพาะพลังอยู่ลืมตาขึ้นมาด้วยความประหลาดใจยิ่งนัก
เขาสงสัยมากว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ร่างแยกของจักรพรรดิปราชญ์นั้นเข้าไปในร่างของทั้งหกคน
และผสานกันเป็นหนึ่งเดียว และในห้วงขอบเขตวิญญาณของทั้งหกคนก็มีร่างของพวกเขาปรากฏขึ้นมาสองร่าง
ร่างหนึ่งคือดวงจิตของเขาเอง และอีกร่างหนึ่งคือร่างแยกของจักรพรรดิปราชญ์
ที่มีหน้าตาไม่ผิดเพี้ยนไปจากพวกเขาเลยแม้แต่น้อย
ไม่เพียงแค่รูปร่างหน้าตา ทั้งอาวุธ
หรือแม้แต่ระดับพลังก็เช่นกัน นั่นคือเหตุผลที่ว่า
ทำไมพวกเขาจึงไม่เพิ่มระดับพลังให้สูงขึ้นไปมากกว่านี้
เพราะยิ่งพวกเขาแข็งแกร่งขึ้นมากเท่าใด
ร่างแยกของบริวารแห่งเทพก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นไปเท่านั้น
หากพวกเขาสามารถเอาชนะร่างแยกเหล่านี้ได้
ก็จะสามารถผนึกพวกมันเอาไว้ได้ แต่การที่จะเอาชนะคู่ต่อสู้ที่มีสติปัญญา
และพลังทุกอย่างเหมือนกันหมดนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เป็นเพราะร่างแยกทั้งหกนั้น
ไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดแม้แต่น้อย นั่นคือเหตุผลที่พวกเขาจะต้องใช้กระดูกมนตรา
ทางด้านนอกเนี่ยลี่นั้นไม่ทราบเลยว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้น
นอกจากการที่ได้เห็นร่างของทั้งหกคนเปร่งแสงขึ้นมาเท่านั้น
เซี่ยวหยู่เองก็ลืมตามองทั้งหกคนเช่นเดียวกัน
แต่นางก็ไม่คิดที่จะบอกอะไรแก่เนี่ยลี่
ในห้วงขอบเขตวิญญาณ
พวกเขาทั้งหกไม่คิดที่จะต่อสู้กับร่างแยกของจักรพรรดิปราชญ์
ที่พวกเขาทำนั้นมีเพียงการหลบหลีก ไม่เอาตัวเข้าไปต่อสู้
และพวกเขารวบรวมสมาธิเอาไว้ที่ด้านนอกมากกว่าในห้วงขอบเขตวิญญาณเสียอีก
เดิมที ร่างของพวกเขาทั้งหกนั้น
มีเพียงการนั่งสมาธิอย่างสงบเท่านั้น แต่ในตอนนี้แขนของพวกเขาเริ่มมีการเคลื่อนไหว
ราวกับเป็นการร่ายรำเพลงยุทธ หรือไม่ก็เป็นการวาดลวดลายอาคมขึ้นมากลางอากาศ
หลังจากนั้นไม่นานกระดูกมนตราก็ได้ปรากฏขึ้นมาในมือของทั้งหกคน
ทั้งหกคนจับกระดูกมนตราเอาไว้จนแน่น
เนี่ยลี่เข้าใจในทันทีว่าพวกเขากำลังจะทำสิ่งใด
เขาจึงตัดสินใจที่จะทำลายลวดลายอาคมที่พวกเขากำลังทำอยู่
“อึก! ทำไมข้าถึงขยับไม่ได้” เนี่ยลี่พูดขึ้นมาขณะที่ร่างกายของเขา
นั้นไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ดั่งใจ
“นี่คือหนึ่งในเทคนิคทำนายชะตาสวรรค์
สะกัดจุดวิญญาณ!”
เซี่ยวหยู่ที่นั่งนิ่งเงียบอยู่เป็นเวลานาน ได้พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ
เขาใช้พลังสวรรค์ในการสะกัดจุดเนี่ยลี่ ทำให้เนี่ยลี่ไม่ทันที่จะรู้สึกตัว
แต่การใช้เทคนิคนี้นั้นต้องใช้อายุขัยของตนเองในการหยุดเนี่ยลี่เอาไว้
ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ อายุขัยของเซี่ยวหยู่ก็จะลดลงไปอย่างต่อเนื่อง
หากไม่ใช้วิธีนี้ด้วยระดับพลังที่ต่ำกว่า
เซี่ยวหยู่คงไม่อาจหยุดเนี่ยลี่เอาไว้ได้อย่างแน่นอน
“เซี่ยวหยู่ เจ้าจะทำอันใดกัน
ข้าต้องหยุดพวกเขา
พวกเขาคิดที่จะสละชีวิตเพื่อผนึกร่างแยกทั้งหกของจักรพรรดิปราชญ์”
เนี่ยลี่ตะโกนบอกเซ่ยวหยู่ด้วยความร้อนใจ และไม่พอใจยิ่งนัก
“เรื่องนั้นข้าทราบดีอยู่แล้ว
และพวกเขาทั้งหกก็ตั้งใจที่จะทำเช่นนั้น นี่คือพันธสัญญาที่พวกเขาทั้งหกได้ทำไว้กับเจ้า
หากไม่อาจผนึกร่างแยกทั้งหกเอาไว้ได้
การที่จะเอาชนะจักรพรรดิที่มีพลังในการควบคุมห้วงเวลานั้นย่อมไม่อาจเป็นไปได้”
เซี่ยวหยู่ส่ายศีรษะและพูดออกไป
“ข้าไม่เชื่อ ในชีวิตที่แล้วนั้น
ข้าเกือบที่จะสามารถเอาชนะเขาได้ โดยที่ไม่ต้องทำเช่นนี้เลย” เนี่ยลี่พูดออกไปพร้อมกับพยายามดิ้นรน
แต่ก็ไม่อาจที่จะขยับตัวได้เลย
“นั่นคือสิ่งที่เจ้าคิดไปเอง
ในชีวิตที่แล้วของเจ้า เหล่าผู้กลับชาติมาเกิดทั้งหกก็ได้ สละชีวิตเพื่อผนึกร่างแยกของจักรพรรดิปราชญ์เอาไว้
ทำให้ตอนที่เจ้าต่อสู้กับเขาในที่ใกล้จะจบศึกนั้น เจ้าจึงร็สึกว่าจักรพรรดิปราชญ์นั้นอ่อนแรงลงไป”
เซี่ยวหยู่อธิบาย
ภาพการต่อสู้ในครั้งนั้นกลับเข้ามาในห้วงความคิดของเนี่ยลี่
ในตอนนั้นเขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า จักรพรรดิปราชญ์นั้นอ่อนแรงลง
และไม่อาจสามารถใช้พลังในการควบคุมห้วงเวลาได้
ทำให้เขาเกือบที่จะสังหารจักรพรรดิปราชญ์ได้
ในตอนนี้เบื้องหน้าของเนี่ยลี่และเซี่ยวหยู่
ต้วนเจี้ยนเป็นคนแรงที่ใช้กระดูกมนตราแทงเข้าไปที่กลางหน้าอกของตนเอง
แสงที่ห่อหุ้มร่างกายของเขานั้นค่อย ๆ เคลื่อนย้ายไปยังกระดูกมนตรา
คนที่สองคือเหยียนหยาง และกู้หลานตามลำดับ ก่อนที่กู้หลานจะแทงกระดูกมนตราเข้าที่หน้าอกของตน
นางได้บอกกับเนี่ยลี่และเซี่ยวหยู่ว่า
“จงบอกกู้เบ่ยว่า
ข้านั้นไม่ได้สละชีวิตเพื่อผู้ใด
ข้านั้นต้องการที่จะจบการเวียนว่ายตายเกิดที่ไร้จุดจบนี่เสียที
ข้าดีใจที่ได้เกิดมาในตระกูลกู้ และได้เป็นพี่สาวของเจ้า”
เมื่อพูดจบกู้หลานก็แทงกระดูกมนตราเข้าที่กลางอกของตน
“ไม่นะ
แล้วข้าจะไปบอกกับทุกคนได้อย่างไรกัน” เนี่ยลี่ตะโกนพร้อมกับระเบิดลมปราณออกมา ทำให้เซี่ยวหยู่นั้นแทบจะสะกดเขาเอาไว้ไม่ได้
จากนั้นเทพธิดายู่หยานก็แทงกระดูกมนตราเข้าไปที่ร่างของตนเองเช่นกัน
เนี่ยลี่นั้นทำได้เพียงแค่ร้องไห้ ที่ต้องเห็นทุกคนต้องเสียสละเพื่อการต่อสู้ของเขา
“จอมมาร ไม่สิเทพมายา
เหตุใดเจ้าจึงยังไม่ผนึกร่างแยกของจักรพรรดิปราชญ์อีก?” เทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงหันไปเอ่ยถามจอมมาร
“ข้าจะเป็นผู้ผนึกคสุดท้าย
เชื่อใจได้ข้าไม่หักหลังพวกเจ้าเป็นแน่ หากไม่แล้วการเอาชนะจักรพรรดิปราชญ์ก็จะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้”
จอมมารตอบกลับไป
“หึ
นี่คือการเวียนว่ายตายเกิดครั้งสุดท้ายของพวกเรา
คงไม่ได้เจอกันอีกแล้วเหล่าสหายของข้า” เทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงพูดจบก็แทงกระดูกมนตราเข้าที่หน้าอกของจนเองทันที
“ลาก่อน เหล่าสหายของข้า”
จอมมารพูดพร้อมกับเผยรอยยิ้มที่มุมปาก ขณะที่แทงกระดูกมนตราเข้าที่กลางอกของตนเอง
ในตอนนี้แสงที่เคยห่อหุ้มร่างกายของเขาทั้งหก
ล้วนถ่ายทอดไปยังกระดูกมนตรา หลังจากนั้นกระดูกมนตราก็หลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว
โดยที่มีหินก้อนหนึ่งเป็นแกนกลาง จากนั้นร่างของพวกเขาทั้งหกก็ได้สลายไป
เมื่อเห็นเช่นนั้นเซี่ยวหยู่จึงได้คลายการสะกัดจุดวิญญาณที่ใช้อยู่
ในตอนนี้อายุขัยของเขานั้นเหลืออยีราวสิบปีเท่านั้น เซี่ยวหยู่เหนื่อยหอบจนล้มลงไป
“เซี่ยวหยู่ เจ้าเป็นอะไรไป?”
เดิมทีเนี่ยลี่คิดที่จะมาต่อว่าเซี่ยวหยู่ แต่เมื่อเห็นสภาพของเซี่ยวหยู่
จึงทำให้เขารู้สึกเป็นห่วงนางแทน
“การที่เจ้าต้องสูญเสียเหล่าสหายไปนั้น
ข้าเข้าใจความเจ็บปวดของเจ้าดี แต่นั่นมันคือสิ่งที่ชะตาได้กำหนดเอาไว้
พวกเขาต้องเวียนว่ายตายเกิดมาหลายชาติภพโดยที่ต้องทนทุกข์ทรมานกับความทรงจำในอดีตชาติ
นี่คือการปลดปล่อยพวกเขาจากชะตากรรมอันน่าขมขื่นนั่น สิ่งที่เจ้าต้องทำคือ
ไม่ทำให้พวกเขาต้องผิดหวัง และต้องไม่ทำให้พวกข้าต้องผิดหวังด้วย”
เซี่ยวหยู่รวบรวมกำลังทั้งหมดที่มีพูดออกไป
“ข้าคิดไปเองว่า
จะไม่ยอมให้มีผู้ใดต้องเสียสละในสงครามครั้งนี้ เป็นเพราะว่าข้านั้นโง่ดั่งที่จอมมารได้พูดเอาไว้
ในทุกสงคราม ล้วนต้องมีผู้ที่ต้องสละชีวิต ข้าจะไม่ยอมให้คนเหล่านั้นต้องผิดหวัง”
เนี่ยลี่ตอบกลับไปด้วยความมุ่งมั่น
“เจ้าจงมุ่งหน้าไปหาจักรพรรดิปราชญ์
เรื่องของพวกเขาทั้งหกข้าจะบอกกับทุกคนเอง โดยเฉพาะกู้เบ่ย” เซี่ยวหยู่พูดขึ้นมา
กู้เบ่ยนั้นต้องสูญเสียพี่สาวไปคงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำใจ
นี่เป็นหน้าที่ของผู้ที่เรียนรู้เทคนิคทำนายชะตาสวรรค์
ดังนั้นนางจึงต้องรับผิดชอบหน้าที่นี้เอง
“ข้าเข้าใจแล้ว ฝากเจ้าบอกทุกคนด้วยว่า
ข้าจะไม่ทำให้การต่อสู้ของพวกเขาต้องสูญเปล่า” เนี่ยลี่พูดพร้อมกับทะยานขึ้นไปเบื้องบน
ในตอนนี้เส้นทางสู่ตำหนักของจักรพรรดิปราชญ์ได้เปิดขึ้นแล้ว
หลังจากที่เนี่ยลี่ทะยานขึ้นไปไม่นานนัก
ประตูอีกเก้าบานก็ได้เปิดออกมา
พวกเอาอีกเก้าคนที่ได้ไปต่อสู้กับบริวารแห่งเทพได้กลับมากันแล้ว
นั่นคือเหตุผลที่เส้นทางสู่ตำหนักของจักรพรรดิปราชญ์ได้เปิดขึ้น
“เซี่ยวหยู่ เจ้าเป็นเช่นใดบ้าง
แล้วเนี่ยลี่และคนอื่น ๆ นั้นหายไปที่ไหนกัน?”
หนิงเอ๋อรีบเข้าไปประคองเซี่ยวหยู่ที่นั่งอยู่เพียงลำพัง
และมีท่าทีที่อ่อนแรงยิ่งนัก
“ข้าจะเล่าทุกอย่างให้พวกเจ้าฟังเอง
ขอให้พวกเจ้าทุกคนมารวมกันตรงนี้ก่อน” เซี่ยวหยู่พูดออกไป
ขณะที่ขอให้หนิงเอ๋อปล่อยมือ เพื่อที่เขาจะได้นั่งพิงกำแพงได้สะดวกขึ้น
“เบื้องบนนั่นคงเป็นเส้นทางสู่ตำหนักของจักรพรรดิปราชญ์
เหตุใดพวกเราจึงไม่มาพูดคุยกันหลังจากที่ขึ้นไปข้างบนนั้น”
ตู่ซื่อพูดขึ้นมาขณะที่เงยหน้ามองไปด้านบน
“ด้านบนนั้น พวกเราไม่อาจที่จะขึ้นไปได้
แม้ว่าจะผ่านขึ้นไปได้ แต่พวกเราล้วนแต่จะเป็นตัวถ่วงของเนี่ยลี่เท่านั้น”
เซี่ยวหยู่พูดออกไปด้วยความยากลำบาก
“ข้าจะตอบคำถามของพวกเจ้าหลังจากที่เล่าเรื่องทุกอย่างให้พวกเจ้าฟัง”
เซี่ยวหยู่พูดต่อ
“กู้เบ่ย พี่สาวของเจ้าที่เป็นหนึ่งในผู้กลับชาติมาเกิด
นางได้สละชีวิตพร้อมกับผู้กลับชาติมาเกิดคนอื่น ๆ
เพื่อผนึกร่างแยกของจักรพรรดิปราชญืเอาไว้” เซี่ยวหยู่หันไปพูดกับกู้เบ่ยเป็นคนแรก
“ทำไมกัน
ทำไมจึงต้องเป็นนางที่ต้องสละชีวิต” กู้เบ่ยพูดขึ้นมาด้วยความไม่พอใจ
พี่สาวของเขานั้นเคราะห์ร้าย ที่ต้องถูกคนชั่ววางยาพิษตั้งแต่อายุยังน้อย
นั่นก็ทำให้นางต้องทุกข์ทรมานมาหลายปี เหตุใดนางจึงต้องมาสละชีวิตตนเองเช่นนี้อีก
“เรื่องนี้เป็นชะตาของนาง
ซึ่งนางก็ทราบดี และที่นางปิดบังทุกคนเอาไว้ เพราะรู้ดีว่าหากทุกคนรู้
ทุกคนจะต้องขัดขวางนางเป็นแน่” เซี่ยวหยู่พูดพร้อมกับถอนหายใจ
“หมายความว่า ต้วนเจี้ยน
พี่สาวเทพธิดายู่หยาน ก็สละชีวิตไปเช่นกันหรือ” ลู่เพียวพูดขึ้นมาด้วยความตกใจ
“มันเป็นชะตาของผู้กลับชาติมาเกิดทั้งหก
พวกเขาล้วนยินดีที่จะหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดอันไม่รู้จบนี้เสียที
กู้หลานบอกว่าดีใจที่ได้เกิดมาในตระกูลกู้และได้เป็นพี่สาวของเจ้า
นี่คือคำพูดของกู้หลานที่ได้ฝากเอาไว้” เซี่ยวหยู่พูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย
ไม่ใช่ว่าเซี่ยวหยู่จะไม่เสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
แต่เป็นเพราะเทคนิคทำนายชะตาสวรรค์ทำให้นางรับรู้เรื่องราวทั้งหมดก่อนหน้านี้แล้ว
ความเจ็บปวด ความเศร้าใจเหล่านี้ นางต้องเผชิญมาก่อนหน้าทุกคน
“เนี่ยลี่ยังฝากบอกเอาไว้อีกด้วยว่า
เขาจะไม่ทำให้การเสียสละของทุกคนต้องสูญเปล่า”
เซี่ยวหยู่พูดพร้อมกับมองขึ้นไปยังเบื้องบน
“พวกเราทำได้เพียงเฝ้ารออยู่ตรงนี้เพียงเท่านั้นหรือ?” เอียจื่ออวิ๋นพูดขึ้นมาพร้อมกับร้องไห้
สงครามในครั้งนี้มีผู้ต้องสละชีวิต แต่พวกนางกลับทำได้เพียงแค่เฝ้ารอเท่านั้น
ในขณะที่ทุกคนยืนเศร้าอยู่นั้น
กระดูกมนตราที่ผสานกันเป็นหนึ่งเดียวก็ได้พุ่งขึ้นไปด้านบน
ตามเส้นทางสู่ตำหนักของจักรพรรดิปราชญ์อย่างรวดเร็ว
“นั่นมันคือสิ่งใดกัน?” หลี่ชิงอวิ๋นชี้ไปยังกระดูกมนตราที่กำลังพุ่งขึ้นไป
“นั่นคือกระดูกมนตรา
ที่พวกเขาทั้งหกได้ผนึกร่างแยกของจักรพรรดิปราชญ์เอาไว้
แต่มันไม่ควรที่จะเคลื่อนไหวได้อีกแล้ว” เซี่ยวหยู่ตอบ
นางเองก็ไม่รู้ว่าเหตุใดมันจึงยังขยับได้อีก
“ถ้าเป็นเช่นนั้น
พวกเราควรที่จะขัดขวางไม่ให้มันขึ้นไปได้” หลงยู่อินรีบทะยานตามกระดูกมนตราไปทันที
ตูมม!
ร่างของหลงยู่อินชนเข้ากับม่านพลังขณะที่กำลังจะเอื้อมมือไปหยิบกระดูกมนตรา
ดูเหมือนว่านางจะไม่อาจผ่านเส้นทางนี้ไปได้ดั่งที่เซี่ยวหยู่บอกไว้...................จบตอน