หลังจากจบช่วงเช้าที่เป็น
การหัดเขียนและอ่านแล้ว ในช่วยบ่ายจะเป็นการฝึกสอนวิชาการต่อสู้ ทำให้เหล่าเด็ก ๆ
รู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก มีเพียงเสี่ยวเยว่ที่ไม่ได้สนใจเรื่องนี้มากนัก
วานรน้อยกำลังห้อยโหนอยู่บนต้นไม้
พร้อมกับพูดออกไปว่า “เรื่องการปีนต้นไม้ ไม่มีผู้ใดเอาชนะข้าได้
หากเป็นการต่อสู้บนต้นไม้ข้าคงจะได้ผลการเรียนที่ดีเป็นแน่”
พูดจบวานรน้อยก็หมุนตัวพร้อมกับกระโดดลงมาที่พื้นอย่างสวยงาม
“หากเป็นเรื่องกำลังกายข้าก็ไม่ยอมแพ้ผู้ใดเช่นกัน”
ช้างน้อยแสดงฝีมือโดยการยกหินก้อนใหญ่ให้คนอื่น ๆ ได้เห็น
“ที่ข้ามีฉายาว่ากระต่ายน้อย
เป็นเพราะข้านั้นหูดียิ่งนัก สามารถได้ยินเสียงได้ไกลกว่าผู้อื่น”
กระต่ายน้อยยืดอกด้วยความภูมิใจ
“หากเป็นเรื่องการดมกลิ่น
จมูกของข้านั้นเยี่ยมยอดจนสามารถระบุได้ว่าผู้ใดที่แอบผายลมในชั้นเรียน”
จิ้งจอกน้อยพูดด้วยความภาคภูมิใจ ขณะที่คนอื่น ๆ รีบเอามือปิดจมูก
“ข้าคือเจ้าหนูน้อย
เรื่องความเร็วนั้นข้าไม่เคยยอมแพ้ผู้ใด” เจ้าหนูน้อยพูดแทรกขึ้นมา
“แล้วเจ้ามีความสามารถอันใดบ้าง”
วานรน้อยหันไปถามเสี่ยวเยว่
“ข้าเป็นคนเก็บฟืน
ที่ข้าเชี่ยวชาญที่สุดคือการเก็บฟืนเท่านั้น” เสี่ยวเยว่เงยหน้าจากหนังสือและตอบกลับไปอย่างไม่สนใจใยดีเท่านักนัก
“ข้าเห็นว่าเจ้าเองก็พกกระบี่ไม้เช่นเดียวกับข้า
คิดว่าเจ้าจะบอกว่ามีความสามารถในการใช้กระบี่เสียอีก”
กระต่ายน้อยพูดพร้อมกับหัวเราะขึ้นมา
เทพกระบี่กับเจ้าที่มองดูเหล่าเด็ก ๆ
เหล่านั้นด้วยความเอ็นดู แต่เมื่อมองดูเสี่ยวเยว่แล้ว เขาก็ต้องถอนหายใจอีกครั้ง
เสี่ยวเยว่ไม่มีความสนใจในเรื่องอื่นใดแม้แต่น้อย
ในหัวของเขามีเพียงแต่เรื่องการเก็บฟืนเท่านั้น
“ทุกคนหยุดก่อน
ข้าได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง” กระต่ายน้อยรีบบอกให้ทุกคนหยุดคุยกัน
นางใช้หูของนางแนบไปที่ก้อนหินก้อนหนึ่งและพูดออกไปว่า
“มีคนกำลังมาที่นี่”
นางพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้น
“เหตุใดจึงต้องใช้หูแนบกับก้อนหินเช่นนั้น
แค่มองดูก็เห็นแล้ว” เสี่ยวเยว่ชี้ไปยังด้านหลังของกระต่ายน้อย
มีชายผู้หนึ่งกำลังเดินเข้ามาหาพวกเขา ที่ด้านหลังของเขามีเด็กชายและเด็กผู้หญิงสองคนเดินตามมา
ซึ่งอายุของเด็กสองนั้นก็ดูไม่ต่างไปจากพวกเสี่ยวเยว่เท่าใดนัก
เมื่อทุกคนหันหลังกลับไป
พบว่ามีชายวัยกลางคน ใบหน้าดุดันรูปร่างสูงใหญ่กำลังเดินมา
“เสี่ยวเยว่ เจ้าทำให้ข้าเสียหน้า
ข้าจะไม่ให้อภัยเจ้าเด็ดขาด” กระต่ายน้อยพูดพร้อมกับร้องไห้ด้วยความเจ็บใจ
ที่เสี่ยวเยว่ทำให้นางเป็นดังตัวตลกที่น่าขบขันเช่นนี้
“ข้าต้องการที่จะบอกเพียงว่า ข้านั้นเห็นคนเดินมา มันก็เท่านั้น” เสี่ยวเยว่ตอบกลับไปด้วยความงุนงง ว่านางโกรธเพราะเรื่องอันใดกัน
“มารวมตัวกันตรงนี้ ข้ามีชื่อว่า
ต้าซิงซิง เป็นอาจารย์สอนศิลปะการต่อสู้ให้กับพวกเจ้า” อาจารย์ต้าซิงซิง
พูดขึ้นด้วยเสียงที่ดังก้องไปทั่ว [หมายเหตุ 大猩猩:ต้าซิงซิง:กอลิล่า]
“สองคนนี้ก็เป็นนักเรียนในรุ่นเดียวกับพวกเจ้า
พวกเขาเพิ่งจะเดินทางมาถึง นี่คือ เหย่หนิวและซงสู่”
อาจารย์ต้าซิงซิงแนะนำเด็กทั้งสองให้ทั้งหกคนได้รู้จัก [หมายเหตุ 野牛:เหย่หนิว:กระทิงน้อย
และ 松鼠:ซงสู่: กระรอกน้อย]
เหย่หนิว ฉายา กระทิงน้อย
นั้นเป็นเด็กที่มีรูปร่างใหญ่โต แม้ว่าจะตัวเล็กกว่าช้างน้อย
แต่ดูเหมือนว่าจะมีกล้ามเนื้อที่ถูกฝึกมาดีกว่า ด้านหลังของเขามีขวานสองเล่มที่ทำจากไม้อยู่
ซงสู่ ฉายา กระรอกน้อย
เป็นเด็กผู้หญิงรูปร่างสูงกว่ากระต่ายน้อย ผมของนางยาวจนถึงกลางหลัง มีใบหน้าที่เรียบเฉย
และดูไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าใดนัก อาวุธของนางแม้ว่าจะดูเหมือนกระบองที่ทำมาจากไม้
แต่แท้จริงแล้วเป็นหอกที่ถูกตัดปลายออกไป
“พวกเจ้าทุกคนคงจะได้รับอาวุธที่ทำมาจากไม้จากครอบครัวของพวกเจ้ามาแล้ว
จงนำมันออกมา” อาจารย์ต้าซิงซิงสั่งพร้อมกับกวาดสายตามองทั้งหกคน
เมื่อเห็นว่าสิ่งที่ทั้งหกคนพกมาประกอบไปด้วย
พกกระบี่จำนวนสองคน พกดาบจำนวนสองคน พกกระบองจำนวนสองคน และพกขวานอีกสองคน
อาจารย์ต้าซิงซิงก็พยักหน้าด้วยความยินดี เพราะสามารถจับคู่ประลองได้ไม่ยากนัก
อาวุธของเด็กทุกคนจะไม่มีส่วนที่เป็นปลายแหลม
ยกตัวอย่างเช่นกระบี่ของเสี่ยวเยว่ แม้ว่าโดยรวมจะมองเห็นว่าเป็นดั่งกระบี่ทั่ว ๆ ไป
แต่ส่วนปลายนั้นถูกตัดราบไม่มีส่วนปลายแหลม เพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดกับพวกเด็ก ๆ
“จากนี้ไปจะเป็นการจับคู่ประลองเพื่อดูพื้นฐานการต่อสู้ ผู้ที่ล้มลงกับพื้นจะถูกตัดสินว่าแพ้ในทันที”
อาจารย์ต้าซิงซิงกวาดสายตาไปที่ทั้งหกคนอีกครั้ง และพูดออกไป
“ท่านอาจารย์ข้าขอจับคู่กับเสี่ยวเยว่ได้หรือไม่?” กระต่ายน้อยรีบยกมือขึ้นและพูดออกไปทันที กระต่ายน้อยต้องการจะล้างแค้นที่เสี่ยวเยว่ทำให้นางต้องเสียหน้า
“เจ้าทั้งสองต่างก็ใช้กระบี่เหมือนกัน
ถ้าเช่นนั้นเสี่ยวเยว่และกระต่ายน้อยจะได้จับคู่ประลองกัน”
อาจารย์ต้าซิงซิงพยักหน้าเห็นด้วย
“สำหรับคนที่เหลือ ให้จับคู่กับผู้ที่ใช้อาวุธประเภทเดียวกัน
เมื่อได้ผู้ชนะแล้วข้าจะให้ต่อสู้กันต่อจนเหลือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มของพวกเจ้า”
อาจารย์ต้าซิงซิงพูดออกไป และเริ่มจัดเตรียมพื้นที่ให้ได้ประลองกัน
คู่แรกเป็นการประลองกันของผู้ใช้กระบอง
วานรน้อยและกระรอกน้อย วานรน้อยรู้สึกดีใจที่ได้ต่อสู้กับหญิงสาวหน้าตาน่ารัก จึงกระโดดโลดเต้นในลานประลอง
ทางด้านเสี่ยวเยว่นั้นไม่ได้สนใจการประลองแม้แต่น้อย
เขานั่งอยู่ด้วยความเบื่อหน่ายและอยากจะให้การเรียนวิชาป้องกันตัวนี้จบลงเสียที
“เสี่ยวเยว่
เจ้าไม่ชมการประลองสักหน่อยหรือ เจ้าอาจจะต้องสู้กับพวกเขาก็เป็นได้”
เทพกระบี่พูดขึ้นเมื่อเห็นว่าเสี่ยวเยว่ไม่สนใจการประลองแม้แต่น้อย
“ไม่จำเป็น
เพราะถึงอย่างไรข้าก็ต้องพ่ายแพ้ในการประลองอยู่แล้ว
และท่านอย่าได้มาควบคุมมือและแขนของข้าเป็นอันขาด ไม่ใช่เช่นนั้น
ข้าจะหักท่านให้เป็นท่อน ๆ แล้วโยนทิ้งไปซะ”
เสี่ยวเยว่พูดขึ้นมาด้วยความเบื่อหน่าย วรยุทธ การป้องกันตัว ล้วนเป็นวิชานอกรีต
แม้ว่าพ่อของเขาจะบอกว่าวิชาการป้องกันตัวนั้นมีความจำเป็น แต่สำหรับเขาแล้วเป็นเรื่องที่น่าเบื่อยิ่งนัก
เทพกระบี่ได้แต่ถอนหายใจ ดูเหมือนว่าการที่จะทำให้เสี่ยวเยว่มาสนใจเรื่องการฝึกยุทธคงจะลำบากไม่น้อย
วานรน้อยปล่อยให้กระรอกน้อยเข้ามาโจมตี
แม้ว่าจะดูเหมือนเขากำลังเล่นสนุก แต่วานรน้อยก็เชี่ยวชาญการใช้กระบองไม่น้อย
เขาสามารถใช้กระบองของเขารับการโจมตีของกระรอกน้อยได้ทั้งหมด
เมื่อเห็นว่าการโจมตีของตนเองไม่ได้ผล
กระรอกน้อยจึงถือปลายกระบองไว้ด้วยมือขวาและแทงออกไปด้านหน้าอย่างรุนแรง
แม้ว่าวานรน้อยจะใช้กระบองของตนรับเอาไว้ได้ แต่ด้วยแรงกระแทกก็ทำให้เขาล้มลง
และเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไป
“เด็กผู้นั้นเป็นผู้ใช้เพลงยุทธ”
เทพกระบี่พูดด้วยความตกใจ เด็กอายุแค่เจ็ดขวบกลับใช้วรยุทธได้ดีถึงเพียงนี้
ย่อมได้รับการถ่ายทอดมาจากยอดฝีมือเป็นแน่
หากอาวุธในมือที่นางถืออยู่เป็นหอกของจริง วานรน้อยอาจจะถึงแก่ชีวิตก็เป็นได้
“กระรอกน้อยเป็นฝ่ายชนะ เจ้าไปพักได้
เมื่อถึงการต่อสู้ในรอบถัดไปข้าจะเรียกเจ้ามาอีกครั้ง”
อาจารย์ต้าซิงซิงพูดด้วยความยินดี กระรอกน้อยผู้นี้แม้ว่าจะเป็นเด็กผู้หญิงแต่ก็มีฝีมือดีไม่น้อย
คู่ต่อไปเป็นการประลองกันของผู้ใช้ดาบ
จิ้งจอกน้อยและเจ้าหนูน้อย แม้ว่าทั้งสองคนจะใช้ดาบไม้เป็นอาวุธ
แต่ขนาดดาบของจิ้งจอกน้อยนั้นใหญ่กว่าอย่างเห็นได้ชัด
เป็นเพราะทั้งสองยังไม่ได้ฝึกฝนการใช้ดาบที่ถูกต้องจึงดูเหมือนว่าทั้งสองนั้น
เล่นสนุกโดยการใช้ดาบไม้ฟาดตีกันเท่านั้น ทำให้จิ้งจอกน้อยที่ตัวใหญ่กว่าและใช้ดาบที่มีขนาดใหญ่กว่าเป็นฝ่ายชนะ
คู่ที่สามช้างน้อยต้องประลองกับกระทิงน้อย
เป็นการต่อสู้ระหว่างผู้ที่ใช้ขวานไม้
ช้างน้อยนั้นได้ใช้ขวานในการผ่าฝืนมาแล้วตั้งแต่อยู่กับครอบครัว
เนื่องจากเขาเป็นเด็กที่มีรูปร่างใหญ่โต และมีกำลังมากกว่าเด็กในวัยเดียวกัน เขาจึงมั่นใจในฝีมือการใช้ขวานของตนเอง
ช้างน้อยเริ่มต่อสู้โดยการใช้ขวานฟันจากด้านบนเพื่อเพิ่มความแรง
แต่กระทิงน้อยกลับใช้ขวานในมือขวาของเขาปัดขวานของช้างน้อยจนหลุดมือไป
และใช้ขวานอีกเล่มที่อยู่ในมือซ้ายแตะไปที่คอของช้างน้อยเพื่อประกาศชัยชนะ
“มะ...ไม่จริง”
ช้างน้อยพูดขึ้นมาเพราะไม่เชื่อกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“เจ้าคงคิดว่าตนเองนั้นแข็งแกร่งมากสินะ”
กระทิงน้อยพูดพร้อมกับผลักไปที่ร่างของช้างน้อย
แรงผลักทำให้ช้างน้อยที่ตัวใหญ่กว่าล้มลงไปอย่างง่ายดาย
นั่นแสดงให้เห็นได้ชัดว่ากระทิงน้อยนั้นมีพลังมากกว่าช้างน้อยเสียอีก
คู่สุดท้ายเป็นการประลองระหว่างเสี่ยวเยว่และกระต่ายน้อย
เสี่ยวเยว่เดินเข้าไปในลานประลองด้วยความเบื่อหน่าย และเป็นเพราะเสี่ยวเยว่ได้พูดขู่เอาไว้
ทำให้เทพกระบี่ไม่กล้าที่จะใช้พู่ที่ปลายประบี่ควบคุมมือและแขนของเสี่ยวเยว่
ดวงตาของกระต่ายน้อยเต็มไปด้วยความเจ็บแค้น
การที่หญิงสาวเช่นนางต้องมาขายหน้าต่อทุกคนเพราะคำพูดของเสี่ยวเยว่ ทำให้นางตั้งใจที่จะชำระแค้นด้วยการประลองในครั้งนี้และจะต้องทำให้เสี่ยวเยว่ขายหน้าต่อหน้าทุกคนให้ได้
ทางด้านเสี่ยวเยว่นั้นถือกระบี่ไว้ในมือแต่ก็ปล่อยแขนแขว่งไปมา
โดยที่ไม่ได้สนใจที่จะประลองกับนางแม้แต่น้อย เขาหวังให้นางเอาชนะให้เร็วที่สุด
เพื่อเขาจะได้ไปนั่งอ่านหนังสือเช่นเดิม
การถือกระบี่ของนางนั้น
เทพกระบี่รู้สึกได้เลยว่านางต้องได้รับการฝึกฝนมา
เพราะนางสามารถกำกระบี่ได้อย่างถูกต้อง และกำกระบี่ได้อย่างกระชับ
ต่างกับการถือกระบี่ของเสี่ยวเยว่ที่เป็นการถือกระบี่ไว้อย่างหลวม ๆ เท่านั้น
“เป็นการประลองที่น่าสนใจ
หากเสี่ยวเยว่มีความคิดคิดที่จะต่อสู้กับนางคงจะสนุกไม่น้อย
แต่ก็ไม่รู้ว่าเทพกระบี่จะยื่นมือเข้ามาแทรกในการประลองนี้หรือไม่”
เง๊กเซียนฮ่องเต๊พูดขึ้นมาเมื่อเห็นทั้งสองคนอยู่ในลานประลอง
“หากเทพกระบี่ยื่นมือเข้าไปในการประลองของพวกเด็ก
ๆ แม้ว่าเขาจะไม่มีกุศลที่สะสมเอาไว้
ข้าก็คงจะต้องลงโทษเขาโดยการลดทอนกุศลของเขาล่วงหน้าเป็นแน่”
เจ้าแม่ซีหวังหมู่พูดขึ้นมาเมื่อได้ยินคำพูดของเง๊กเซียนฮ่องเต๊
‘หากว่าต้องพ่ายแพ้แก่เด็กสาวในการประลอง
แม้ว่าในตอนนี้เสี่ยวเยว่จะไม่รู้สึกอันใด แต่ถ้าหากเขาต้องถูกเด็กคนอื่นหัวเราะเยาะในภายหลัง
อาจจะทำให้เขารู้สึกอับอาย
และความอับอายจะเป็นแรงกระตุ้นให้เสี่ยวเยว่หันมาฝึกวรยุทธกับเขาก็เป็นได้’ เทพกระบี่แอบคิดเข้าข้างตัวเอง
“เสี่ยวเยว่
เจ้าจะต้องได้รับความอับอาย”
กระต่ายน้อยพูดพร้อมกับถือกระบี่พุ่งเข้าไปฟันเสี่ยวเยว่ทันที
แต่เป็นเพราะกระต่ายน้อยนั้นโมโหมากเกินไป
จึงทำให้นางเหยียบชายเสื้อของตนเอง และล้มลงไปใบหน้าทิ่มพื้น
นางรู้สึกอับอายจนไม่กล้าที่จะลุกขึ้นมา พร้อมกับร้องไห้ออกมาเสียงดัง
การประลองในครั้งนี้จบลงด้วยชัยชนะของเสี่ยวเยว่ และเป็นการสร้างความเจ็บแค้นให้แก่กระต่ายน้อยเป็นครั้งที่สอง
“ทำไมข้าต้องเป็นฝ่ายชนะเข้ารอบด้วย”
เสี่ยวเยว่พูดพร้อมกับถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่าย เขาต้องการเป็นฝ่ายพ่ายแพ้
เพื่อที่จะไม่ต้องต่อสู้ในรอบต่อ ๆ ไป แต่ผลกลับเป็นเช่นนี้
เทพกระบี่เองก็ได้แต่นิ่งเงียบ
เขาไม่คิดเลยว่าเสี่ยวเยว่จะเป็นฝ่ายชนะ เรื่องราวมันเป็นเช่นได้อย่างไรกัน
ด้านเจ้าที่ที่ยืนชมการประลองอยู่ไม่ไกลนัก ก็ได้แต่หัวเราะกับสิ่งที่เกิดขึ้น...................จบเหอะ