เทพกระบี่ครุ่นคิดอยู่ตามลำพัง
ว่าเหตุใดเสี่ยวเยว่จึงได้ยึดติดกับการเป็นคนเก็บฟืนเช่นนี้ เขาจะต้องสืบหาสาเหตุให้ได้
เพราะหากทราบเหตุผล เขาก็จะได้หาวิธีที่จะชี้นำเสี่ยวเยว่
ให้ไปสู่วิถีแห่งเทพกระบี่ได้
ในคืนนั้น เขาจึงได้ชักชวนเสี่ยวเยว่พูดคุยกัน
และหาโอกาสที่จะสอบถามเรื่องนี้ออกไป
“เสี่ยวเยว่ ข้าขอถามได้หรือไม่? เหตุใดเจ้าจึงต้องการเป็นคนเก็บฟืนนัก?”
เทพกระบี่เอ่ยถามไปตามตรง
“ท่านบอกว่าเป็นเทพอยู่บนสวรรค์ แต่เหตุใดจึงได้มาถามเรื่องนี้?”
เสี่ยวเยว่ตอบกลับมาด้วยความไม่พอใจ
“แน่นอนว่าข้านั้นเป็นเทพอยู่บนสวรรค์
แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องอันใดกับสวรรค์ด้วย?”
เทพกระบี่ถามกลับไปด้วยความสงสัยยิ่งขึ้น
“หากเป็นเทพบนสวรรค์ เหตุใดท่านจึงไม่รู้ถึงความยิ่งใหญ่ของเทพแห่งการเก็บฟืน
ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสรวงสวรรค์เล่า” เสี่ยวเยว่ตอบกลับไปด้วยดวงตาที่เป็นประกาย
ทำให้เทพกระบี่รับรู้ได้ว่าเขานั้นนับถือเทพแห่งการเก็บฟืนมากเพียงใด
“ข้าไม่เคยได้ยินว่ามีเทพชื่อเช่นนั้นอยู่บนสรวงสวรรค์”
เทพกระบี่แย้งกลับไป แม้แต่งานชุมนุมลูกท้อ ที่เทพทั้งหมดได้รับเชิญให้มารวมตัวกัน
เขาก็ไม่เคยได้ยินชื่อ เทพแห่งการเก็บฟืนมาก่อนเลย
“เทพชั้นต่ำเช่นท่านคงจะได้อยู่เพียงด้านนอกประตูสวรรค์เป็นแน่
จึงไม่เคยได้ยินเรื่องราวของเทพแห่งการเก็บฟืนผู้ยิ่งใหญ่”
เสี่ยวเยว่พูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจยิ่งนัก
เมื่อถูกพูดจาเหยียดหยามถึงเพียงนี้
เทพกระบี่จึงพูดย้อนกลับไปทันที
“ถ้าเช่นนั้น
เจ้าลองเล่าตำนานของเทพแห่งการเก็บฟืนให้ข้าฟังได้หรือไม่?
ข้าจะได้ทราบว่าเขานั้นเป็นเทพที่มาจากที่ใดกัน?”
“ข้าเองก็จดจำเรื่องราวทั้งหมดไม่ได้
แต่ก็จะพยายามเล่าให้ท่านฟัง” เสี่ยวเยว่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดออกไป
“เจ้าจำได้แค่ไหนก็เล่ามาเพียงเท่านั้น”
เทพกระบี่พูดออกไป หากมีตำนานของเทพแห่งการเก็บฟืนจริง
เขาก็อยากจะลองฟังดูสักครั้ง
“นับแต่บรรพกาล สรวงสวรรค์ที่ยิ่งใหญ่ในยามค่ำคืนนั้นมืดมิดไปหมด
เนื่องจากไม่มีแสงตะวันสาดส่อง พวกเทพจึงไม่อาจช่วยเหลือเหล่ามนุษย์ได้ในยามค่ำคืน
จนวันหนึ่งเทพแห่งการเก็บฟืนได้บอกกล่าวกับเทพจันทราว่า ให้มารับฟืนจากพระองค์ ไปเพื่อจุดไฟให้ความสว่างแก่สรวงสวรรค์
นับแต่นั้นมาสรวงสวรรค์ในยามค่ำคืน จึงได้มีแสงสว่างขึ้นมา
ด้วยคุณความดีของเทพแห่งการเก็บฟืน พระองค์จึงได้ขึ้นครองตำแหน่ง เง๊กเซียนฮ่องเต้ในกาลต่อมา”
เสี่ยวเยว่เล่าตำนานเทพแห่งการเก็บฟืนให้เทพกระบี่ฟังด้วยความชื่นชม
“ไม่เพียงเทพจันทราเท่านั้น
เหล่าเทพองค์อื่น ๆ ต่างก็ต้องมาขอฟืนจาก เทพแห่งการเก็บฟืน
เพื่อนำไปก่อกองไฟให้ความสว่างที่ตำหนักของตน ซึ่งเทพแห่งการเก็บฟืนนั้น ก็ไม่เคยปฏิเสธคำขอของผู้ใด
ในบางครั้งจึงทำให้ไม่มีฟืนมากพอที่จะมอบให้เทพจันทรา นั่นคือเหตุผลที่ว่า
เหตุใดในบางครั้งดวงจันทร์ยามค่ำคืนจึงมืดมิด” เสี่ยวเยว่หยุดครู่หนึ่งก่อนที่จะเล่าเรื่องราวต่อ
เมื่อได้ยินเรื่องราวทั้งหมดจากเสี่ยวเยว่
เทพกระบี่ได้แต่นั่งอึ้ง
‘นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน
บนสวรรค์นั้นไม่เคยมืดมิด เพราะบารมีของเง๊กเซียนฮ่องเต้ และหากต้องการเศษไม้
เหล่าเทพสามารถเนรมิตขึ้นมาได้โดยที่ไม่ต้องไปขอแก่ผู้ใด
ตำนานบ้าบอที่เสี่ยวเยว่เล่าให้เขาฟัง มันมาจากที่ใดกัน นี่มันเรื่องบ้าบอชัด ๆ’
เทพกระบี่พูดกับตนเอง เขาไม่กล้าที่จะโต้แย้งออกไป เมื่อได้เห็นสายตาของเสี่ยวเยว่
มันเป็นสายตาที่แสดงถึงความนับถือเทพแห่งการเก็บฟืน
หากเขาบอกว่าเทพองค์นี้ไม่มีอยู่จริง
เขาคิดว่าเสี่ยวเยว่ คงจะนำกระบี่ไม้ที่เป็นร่างของเขาโยนเข้ากองไฟเป็นแน่
“ท่านคือเทพแห่งการเก็บฟืนเช่นนั้นหรือ?”
เจ้าแม่ซีหวังหมู่หันไปถามเง๊กเซียนฮ่องเต้ ที่ยืนอยู่ด้านข้าง
“ข้าต้องบำเพ็ญตนถึง 1750 กรับ [1
กรับ = 165,600 ปี] จึงจะมีบารมีมากพอที่จะเป็น เง๊กเซียนฮ่องเต้ได้
เช่นนั้นแล้วข้าจะเป็นเทพแห่งการเก็บฟืนได้อย่างไรกัน?”
เง๊กเซียนฮ่องเต้พูดด้วยความไม่พอใจที่ถูก เจ้าแม่ซีหวังหมู่หยอกเย้าเช่นนั้น
“ข้าก็แค่หยอกเย้าท่านเล่นเท่านั้น เรื่องเล่าของเจ้าเด็กผู้นั้นก็น่าสนุกไม่น้อยนะ”
เจ้าแม่ซีหวังหมู่
พูดพร้อมกับหัวเราะขึ้นมา หากเหล่าเทพได้ฟังเรื่องนี้คงต้องเป็นเรื่องขบขัน ที่เล่าขานกันไปอีกนับพันปีเป็นแน่
“การที่ท่านไม่โต้แย้งข้าในเรื่องนี้
หมายความว่ามันเป็นเรื่องจริงใช่หรือไม่?” เสี่ยวเยว่เอ่ยถาม
เมื่อเห็นว่าเทพกระบี่นั้นนิ่งเงียบไป
“อึก!”
เทพกระบี่ทำได้เพียงกลืนความคิดที่จะโต้เถียงลงไป ไม่ว่าเขาจะอธิบายสิ่งใดไปก็คงไม่เป็นผล นั่นเพราะเสี่ยวเยว่คงจะไม่ยอมเชื่อคำพูดของเขาเป็นแน่
“หากมนุษย์ที่มุ่งสู่วิถีแห่งคนเก็บฟืนด้วยความมุ่งมั่นและตั้งใจจริง
เมื่อตายไปก็จะได้ขึ้นไปบนสรวงสวรรค์และได้เป็นบริวารของเทพแห่งการเก็บฟืน
แม้จะเรียกว่าเป็นบริวาร แต่ตำแหน่งนั้นเหนือกว่าเทพอื่นใดบนสรวงสวรรค์เสียอีก
ข้าเองก็ต้องการที่จะเป็นบริวารของเทพแห่งการเก็บฟืน”
เสี่ยวเยว่พูดด้วยดวงตาที่เป็นประกาย และเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
เมื่อได้ยินเช่นนี้
เทพกระบี่รู้สึกอยากจะบ้าตาย ความฝัน ความมุ่งมั่นของเสี่ยวเยว่ นั้นเป็นของจริง
หากเสี่ยวเยว่ยังมุ่งสู่วิถีแห่งคนเก็บฟืนเช่นนี้ เขาก็คงจะไม่มีโอกาสได้กลับขึ้นไป บนสรวงสวรรค์เป็นแน่
“แต่การที่จะไปถึงขั้นนั้นได้
ข้าจะต้องกลายเป็นคนเก็บฟืนที่ยิ่งใหญ่ดั่งพ่อของข้าก่อน” เสี่ยวเยว่พูดต่อ
“ก็แค่คนเก็บฟืน
มีคนเก็บฟืนที่ต่ำต้อย และคนเก็บฟืนที่ยิ่งใหญ่ด้วยเช่นนั้นหรือ?”
เทพกระบี่ถามออกไป อย่างไม่สนใจนัก
“แน่นอน พ่อของข้าเคยเป็นคนเก็บฟืนแห่งวังหลวง
กิ่งไม้ของพ่อข้าคือสิ่งที่ ให้ความสว่างแก่วังหลวง
ก่อนที่ท่านพ่อของข้าจะขอลาออกมาอยู่กับแม่ข้าที่นี่”
เสี่ยวเยว่พูดด้วยสายตาที่ชื่นชมพ่อของเขา
เมื่อได้ยินเช่นนั้น
เทพกระบี่ก็ได้แต่นั่งตกตะลึงอีกเป็นครั้งที่สอง ‘คนเก็บฟืนแห่งวังหลวง
นี่มันตำแหน่งบ้าอะไรกัน คนในวังหลวงปกติก็มาหาซื้อไม้ฟืนจากในตลาด เพื่อนำไปใช้ ไม่ต่างจากชาวเมืองทั่ว
ๆ ไป เหตุใดจึงต้องมีตำแหน่งบ้าบอเช่นนั้นด้วย เจ้าเด็กผู้นี้ถูกล้างสมองไปจนหมดแล้ว’
เทพกระบี่คิด
“การที่ได้ก้าวไปถึงจุดสูงสุดของคนเก็บฟืน
และยอมละทิ้งทุกอย่างเพื่อครอบครัว
ดังนั้นเทพแห่งการเก็บฟืนจะต้องมองเห็นการเสียสละที่ยิ่งใหญ่ของพ่อข้า เมื่อท่านพ่อตายไป ท่านพ่อจะต้องได้กลายเป็นบริวารของเทพแห่งการเก็บฟืนอย่างแน่นอน” เสี่ยวเยว่พูดถึงพ่อของเขา
ด้วยความนับถือเป็นอย่างยิ่ง
“ข้าคิดว่าพ่อของเจ้าคงต้องตกนรกหมกไหม้เป็นแน่
เพราะเล่าเรื่องโกหกเหล่านี้ จนเจ้าหลงเชื่อถึงเพียงนี้”
เทพกระบี่พูดขึ้นมาด้วยเสียงที่ไม่ดังมากนัก
“ท่านพูดอันใดกัน?”
เสี่ยวเยว่เอ่ยถาม เพราะเขาได้ยินเสียงของเทพกระบี่ไม่ชัดเจน
“ข้าพูดว่า
หากเจ้าต้องการเป็นคนเก็บฟืนที่ยิ่งใหญ่ เจ้าก็จะต้องเป็น คนเก็บฟืนแห่งวังหลวงก่อนเช่นนั้นหรือ?”
เทพกระบี่พูดกลบเกลื่อนกลับไป
“ตำแหน่งนั้นไม่มีอีกต่อไปแล้ว
เมื่อพ่อของข้าลาออก องค์ฮ่องเต้ก็ไม่คิดว่า จะผู้ที่มีความสามารถในการเก็บฟืนที่เยี่ยมยอดเช่นท่านพ่อข้าอีก
พระองค์จึงไม่แต่งตั้งผู้ใดให้รับตำแหน่งนี้อีกต่อไป ในทางกลับกัน เพื่อเป็นการยกย่องท่านพ่อของข้า
ที่เป็นคนเก็บฟืนแห่งวังหลวงคนสุดท้าย” เสี่ยวเยว่ส่ายศีรษะปฏิเสธ
แต่ก็พูดด้วยความภาคภูมิใจ พ่อของเขาเป็นคนเก็บฟืนที่ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง
“พูดจากลบเกลื่อนถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”
เทพกระบี่รำพึงรำพัน พ่อของเสี่ยวเยว่นั้นเป็นคนที่รอบคอบไม่น้อย การบอกกล่าวเสี่ยวเยว่เช่นนี้
จะทำให้เสี่ยวเยว่ไม่เข้าไปในวังหลวงเพื่อสมัครตำแหน่งที่ว่ามานี้เมื่อเขาเติบใหญ่ขึ้น
“ในตอนนี้ หากต้องการเป็นคนเก็บฟืนที่ยิ่งใหญ่
ข้าจะต้องมุ่งสู่วิถีแห่งคนเก็บฟืน และนำฟืนไปขายทั่วแผ่นดินเท่านั้น”
เสี่ยวเยว่พูดพร้อมกับกำหมัดแน่น เพื่อแสดงให้เห็นความมุ่งมั่นของขา
เทพกระบี่นิ่งเงียบไป
เขาพยายามคิดหาวิธีที่จะบอกกล่าวความจริงให้เสี่ยวเยว่ได้รู้ แต่เด็กอายุหกขวบและมีความมุ่งมั่นถึงเพียงนี้
ย่อมเชื่อในคำพูดของพ่อมากกว่ากระบี่ไม้เช่นเขาเป็นแน่
‘ที่ข้าต้องทำ คือรอให้เขาเติบใหญ่จนรับรู้ความจริงของโลกใบนี้
ว่าไม่มีคนเก็บฟืนที่ยิ่งใหญ่อะไรนั่น และไม่มีเทพแห่งการเก็บฟืนบ้าบอนั่นด้วย จนกว่าจะถึงวันนั้น
เขาจะต้องไม่ยอมให้เสี่ยวเยว่นำเขาไปทิ้ง หรือโยนเข้ากองไฟไปก่อน
จะมีหนทางใดที่ข้าจะทำได้บ้างนะ’ เทพกระบี่คิด
“ถ้าเช่นนั้นข้าจะให้การสนับสนุนเจ้า
ให้ก้าวเดินในวิถีแห่งคนเก็บฟืน ข้านั้นมีวรยุทธแห่งคนเก็บฟืนอยู่ หากเจ้าได้ฝึกฝน
การที่จะเป็นคนเก็บฟืนที่ยิ่งใหญ่ นั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากอันใด
และก็ถือว่าข้าได้ทำความดีสร้างกุศลอีกด้วย” เทพกระบี่พูดออกไป เพราะเขานั้นคิดแผนอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“เหตุใดคนเก็บฟืนต้องฝึกวรยุทธด้วย?”
เสี่ยวเยว่ถามด้วยความสงสัย
“หากเจ้ามีวิชาตัวเบา
เจ้าก็จะสามารถเก็บฟืนได้อย่างรวดเร็ว และหากฝึกกำลังกาย เจ้าก็จะสามารถแบกฟืนได้มากขึ้น
และหากฝึกเพลงกระบี่เจ้าก็จะสามารถผ่าฟืนได้
เห็นไหมเล่านี่ล้วนเป็นวรยุทธแห่งคนเก็บฟืนของข้า” เทพกระบี่รีบอธิบาย
“การโกหกเช่นนี้
จะทำให้บุญกุศลของเขาลดลงหรือไม่?” เง๊กเซียนฮ่องเต้หันไปถาม เจ้าแม่ซีหวังหมู่
การลงโทษเทพกระบี่ในครั้งนี้ เง๊กเซียนฮ่องเต้ได้ให้เจ้าแม่ซีหวังหมู่ เป็นผู้กำหนดวิธีการลงโทษเอง
ดังนั้นกฏเกณฑ์ทั้งหมดจึงขึ้นอยู่กับนาง
“ครั้งนี้ข้าจะละเว้นให้เขา
เพราะตั้งแต่ที่จุติลงไป เขานั้นยังมิได้สร้างกุศลเลยสักครั้ง
แม้ว่าข้าต้องการจะลงโทษเขาโดยการลดทอนกุศลของเขา ก็คงไม่อาจทำได้” เจ้าแม่ซีหวังหมู่
ส่ายศีรษะและตอบกลับไป
“นับว่าเป็นเรื่องโชคดีในความโชคร้ายของเขา”
เง๊กเซียนฮ่องเต้พูด พร้อมกับลูบเคราด้วยความยินดี
หากเสี่ยวเยว่หลงกล เขาก็จะสามารถถ่ายทอดวรยุทธของเทพกระบี่ให้แก่เสี่ยวเยว่ได้
เมื่อบรรลุวิชาขั้นสุดยอด เมื่อมีคนเดือดร้อนและเสี่ยวเยว่เข้าไปช่วยเหลือ
นั่นก็จะทำให้เขาได้กุศลไปด้วย นับว่าเป็นแผนที่ล้ำลึกยิ่งนัก
“คิดจะล่อลวงให้ข้าออกนอกลู่นอกทางวิถีแห่งคนเก็บฟืน
โดยการใช้วรยุทธมาหลอกล่อข้าสินะ ข้าไม่หลงกลท่านเป็นแน่”
เสี่ยวเยว่พูดขึ้นมาด้วยความไม่พอใจ ที่ได้ยินเทพกระบี่พูดเช่นนั้น
“วิถีแห่งการเก็บฟืน เพื่อเป็นคนเก็บฟืนที่ยิ่งใหญ่
คือการเก็บกิ่งไม้ด้วยมือของตนเอง แบกกิ่งไม้ด้วยกำลังของตนเอง
และผ่าฟืนด้วยกำลังของตนเอง วิธีอื่นล้วนเป็นวิถีที่นอกรีต
อย่าได้คิดล่อลวงให้ข้าเดินไปในทางที่ผิดอีก
ไม่เช่นนั้นข้าจะให้ท่านแม่โยนท่านเข้ากองไฟซะ”
เสี่ยวเยว่พูดกับเทพกระบี่ด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“ขะ…..ข้าจะไม่พูดเรื่องนี้อีกแล้ว”
เทพกระบี่พูดออกไปด้วยความตกใจ หากเสี่ยวเยว่ไม่พอใจ และทำเช่นนั้นจริง
ชีวิตของเขาก็จะจบลงทันที
“ข้าจะนอนแล้ว
อย่าได้มารบกวนข้าอีก” เสี่ยวเยว่พูดตัดบทและนอนหลับไป
“นี่ข้าต้องทำเช่นใด
ถึงจะให้เจ้าเด็กบ้านี่ออกจากวิถีแห่งการเก็บฟืนที่บ้าบอนี้ได้เสียที”
เทพกระบี่ตะโกนอยู่ในใจ พร้อมกับน้ำตาที่ไหลริน……….จบเหอะ