“สำหรับเรื่องนี้ ข้าขออภัยที่
ข้าไม่อาจบอกท่านได้” ตู่ซื่อประสานมือและตอบกลับไป
“ถ้าเช่นนั้นคงจะเป็นวรยุทธจากโลกใบเล็กสินะ”
ผู้นำตระกูล อู่เสิ่น พูดพร้อมกับพยักหน้า เขาเองก็ไม่คิดว่าจะได้คำตอบแต่แรกอยู่แล้ว
การที่ถามออกไป เขาต้องการที่จะดูท่าทีของตู่ซื่อเท่านั้น
“ท่านผู้นำตระกูล
ชาวยุทธย่อมไม่เปิดเผยวรยุทธของตนเองให้ผู้อื่นอยู่แล้ว ท่านเองก็ทราบ”
อู่หมิงพูดแทรกขึ้นมา เขาเริ่มที่จะรับรู้ถึงความอึดอัด
“ข้าขออภัย
ถ้าเช่นนั้นเราก็ไปยังห้องอาหารกันเถิด” ผู้นำตระกูล
อู่เสิ่นผายมือเชิญตู่ซื่อและฮวาหั่ว โดยมีอู่หมิงเป็นผู้นำทาง
การทานอาหาร เป็นไปอย่างราบรื่น
ไม่ได้มีการพูดคุยเรื่องที่ทำให้ลำบากใจอีก ทำให้ตู่ซื่อสบายใจไม่น้อย
หลังจากที่ทานอาหารเสร็จ
ตู่ซื่อและฮวาหั่วก็ขอตัวเดินทางกลับ
ผู้นำตระกูล
อู่เสิ่นมองตามหลังทั้งสองคนไป
เดิมทีเขาคิดว่าจะขอให้ทั้งสองคนยอมเข้าร่วมกับตระกูลเทพนักรบ
แต่เขาก็ได้เปลี่ยนใจไม่พูดออกไป เขาจะให้คนคอยจับตาดูทั้งสองคนเอาไว้
เพื่อรอเวลาที่เหมาะสมกว่านี้
บ้านพักของตู่ซื่อและฮวาหั่ว
“ตู่ซื่อ
เจ้าคิดว่าการที่ตระกูลเทพนักรบเชิญเราไปทานอาหารในวันนี้ มีสิ่งใดแอบแฝงหรือไม่?” ฮวาหั่วนั่งลงบนเก้าอี้ในห้องโถง ก่อนที่จะพูดขึ้นมา
“ข้าเองก็ไม่ทราบ แต่อย่างน้อยข้าก็ไม่ได้รับรู้ถึงความเป็นศัตรูจากท่านผู้นำตระกูล”
ตู่ซื่อตอบพร้อมกับนั่งลงข้าง ๆ ฮวาหั่ว
“ถ้าเช่นนั้นก็ลืมมันไปเถิด
ข้ามีเรื่องอื่นที่ต้องคุยกับเจ้า” ฮวาหั่วจ้องมองหน้าตู่ซื่อด้วยใบหน้าอันเขินอาย
“เรื่องอันใดหรือ?”
ตู่ซื่อทำหน้างุนงง และถามกลับไป
“เจ้าจะรับผิดชอบข้าเช่นใดกัน?”
ฮวาหั่วพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“ระ...รับผิดชอบเรื่องอันใด
ข้ามิได้ล่วงเกินอันเจ้าเลยนะ” ตู่ซื่อโบกมือทั้งสองข้างเป็นการปฏิเสธ
“เจ้านั้นได้ทำพันธสัญญากับข้า
และยังได้เห็นร่างกายของข้าในตอนเช้าวันนี้ นี่หรือเจ้าบอกมิได้ล่วงเกินข้า”
ฮวาหั่วพูดพร้อมกับแสร้งทำเป็นก้มหน้าร้องไห้
“แล้วเจ้าจะให้ข้าทำเช่นใดกัน?”
ตู่ซื่อพูดพร้อมกับคิดภาพที่ได้เห็นในวันนี้
“เจ้าต้องรับผิดชอบด้วยการแต่งงานกับข้า”
ฮวาหั่วยังคงแสร้งก้มหน้าพูดออกไป
“เรื่องนั้นข้าต้องไปบอกกับพ่อแม่ของข้าก่อน
แต่ข้าสัญญาว่า เมื่อกลับไปที่โลกใบเล็กข้าจะแต่งงานกับเจ้า” ตู่ซื่อพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
พร้อมกับจับมือของฮวาหั่ว
“เจ้าสัญญากับข้าแล้วนะ”
ฮวาหั่วเงยหน้าขึ้นพร้อมกับรอยยิ้ม นางรู้ดีว่า หากตู่ซื่อสัญญาไว้แล้ว
เขาจะต้องรักษาคำพูดเป็นแน่ และนางก็พูดขึ้นอีกว่า
“ถ้าเช่นนั้นนับจากวันนี้ไป
ข้าคือคู่หมั้นของเจ้า” หลังจากนั้นฮวาหั่วก็โผกอดตู่ซื่อเอาไว้
“ปะ...ปล่อยข้าก่อน
จนกว่าพวกเราจะแต่งงานกัน เจ้าจงอย่าทำเช่นนี้กับข้า”
ตู่ซื่อพูดออกไปพร้อมกับจับไหล่ของนางเพื่อพลักนางออก เขานั้นเป็นคนหัวโบราณ
จึงไม่ชินกับการที่มีผู้หญิงมาโอบกอดเช่นนี้
“คู่หมั้นของข้าเวลาเขินอาย เจ้าน่ารักยิ่งนัก”
ฮวาหั่วพูดพร้อมหัวเราะ เมื่อได้เห็นท่าทีของตู่ซื่อ
“พอได้แล้ว
ตอนนี้ได้เวลาที่จะดูดซับพลังจากศิลาจิตวิญญาณ หากเจ้าต้องการกลับไปโลกใบเล็ก
พวกเราก็ต้องรีบแข็งแกร่งขึ้นให้เร็วที่สุด”
ตู่ซื่อพูดพร้อมกับนำศิลาจิตวิญญาณออกมา
ในตอนนี้ก็เป็นเวลาเกือบครึ่งเดือนแล้วที่ตู่ซื่อและฮวาหั่ว
มายังนิกายกำเนิดสวรรค์ ด้วยการดูดซับพลังจากศิลาจิตวิญญาณวันละสองก้อน
รวมไปถึงใช้ซื้ออาหาร และเสื้อผ้าทำให้ ทั้งสองคนมีศิลาจิตวิญญาณเหลือใช้ไม่มากนัก
พวกเขาจึงต้องพยายามขึ้นไปตำหนักชะตาสวรรค์
เพื่อที่จะได้รับรางวัลเป็นศิลาจิตวิญญาณ
แต่ดูเหมือนว่าตอนที่เขาผ่านชั้นที่สองและชั้นที่สาม ของตำหนักชะตาสวรรค์ก็มิได้รับรางวัลดั่งที่อู่หมิงเคยบอกไว้แต่อย่างใด
ตำหนักชะตาสวรรค์
เช้าวันต่อมาตู่ซื่อและฮวาหั่ว
ได้เดินทางมายังตำหนักชะตาสวรรค์ และไปสอบถามผู้ดูแลที่อยู่ด้านนอก จึงทราบว่า
ตำหนักชะตาสวรรค์นั้น เมื่อผ่านชั้นที่เก้าไปได้
จึงจะได้รับศิลาจิตวิญญาณจำนวนหนึ่งร้อยก้อน
และจิตอสูรสายเลือดมังกรที่มีระดับการเติบโตในระดับปานกลาง และของวิเศษระดับสามอีกสองชิ้น
แต่หลังจากที่ผ่านชั้นที่เก้าไปแล้ว ต้องหยุดพักเป็นเวลาหนึ่งเดือนจึงจะได้รับอนุญาตให้ขึ้นตำหนักดาราสวรรค์ได้
หลังจากนั้นตู่ซื่อและฮวาหั่วจึงเดินขึ้นไปในตำหนักชะตาสวรรค์ชั้นที่สี่
ในชั้นนี้นั้นมีพยัคฆ์อสูรตัวใหญ่อยู่
รระดับพลังของมันอยู่ที่ระดับชะตาสวรรค์ขั้นที่ห้า
“ตู่ซื่อ ขอข้าเป็นคนจัดการเจ้าพยัคฆ์อสูรตัวนี้เอง”
ฮวาหั่วพูดพร้อมกับนำกระบองเหล็กออกมาจากแหวนห้วงมิติและฟาดไปที่พยัคฆ์อสูรตัวนั้นทีที
ฟุ่บ!
พยัคฆ์อสูรตัวนั้นหลบอย่างรวดเร็ว
และพุ่งเข้าด้านหลังของฮวาหั่วที่กำลังเสียหลักจากการเหวี่ยงกระบองเหล็ก
“ฮวาหั่ว ระวัง!”
ตู่ซื่อพุ่งเข้าไปขวางพยัคฆ์อสูรเอาไว้ พร้อมกับใช้วรยุทธกิเลนคลุมสวรรค์
ทำให้ไม่ได้รับการเจ็บจากกรงเล็บของพยัคฆ์อสูร
“ข้าคงจะต้องหัดใช้กระบองเหล็กนี้ให้คล่องก่อนที่จะนำมาใช้ต่อสู้จริงสินะ”
ฮวาหั่วลุกขึ้นมาพร้อมกับเก็บกระบองเหล็กเอาไว้ในแหวนห้วงมิติเช่นเดิม
“กรงเล็บกิเลนเพลิง!”
ฮวาหั่วรวบรวมพลังสวรรค์ไว้ที่มือทั้งสองข้างและสร้างกรงเล็บเพลิงขึ้นมา
“ตู่ซื่อข้าขอแก้ตัวอีกครั้ง”
ฮวาหั่วตั้งท่าเตรียมต่อสู้ และขอให้ตู่ซื่อหลบไปก่อน
เมื่อได้ยินเช่นนั้นตู่ซื่อจึงเดินออกไป
พยัคฆ์อสูร เห็นดังนั้นจึงพุ่งเข้าไปขย้ำฮวาหั่ว และเผยให้เห็นคมเขี้ยวอันน่ากลัวเตรียมที่จะงับเข้าที่คอของฮวาหั่วทันที
ฉึก!
ฮวาหั่วใช้กรงเล็บกิเลนเพลิง
แทงเข้าไปที่ใต้คางของพยัคฆ์อสูร ทำให้พยัคฆ์อสูรสลายไปในทันที
และกลายเป็นกลุ่มก้อนพลังสวรรค์
“ดูเหมือนว่า
ไม่เพียงระดับพลังที่สูงขึ้น แต่อสูรในชั้นที่สูงขึ้นก็จะแข็งแกร่งมากขึ้นด้วยเช่นกัน”
ตู่ซื่อพูดขณะที่ยื่นมือไปดูดซับพลังสวรรค์
“พวกข้าจะไม่ช่วยเหลือเจ้าในการต่อสู้ที่ตำหนักชะตาสวรรค์แห่งนี้
แต่จะยอมให้เจ้าดึงพลังส่วนหนึ่งของพวกข้านำไปใช้ต่อสู้เท่านั้น”
กิเลนเพลิงพูดขึ้นมา นี่ก็นับว่าเป็นการฝึกฝนเช่นกัน
เมื่อได้ยินเช่นนั้นตู่ซื่อและฮวาหั่วจึงพยักหน้าเป็นการตอบรับ
จากนั้นก็เดินขึ้นไปยังชั้นที่ห้าของตำหนักชะตาสวรรค์
แค่ได้สัมผัสพลังจากด้านนอกประตู
ก็รับรู้ได้ถึงเปลวไฟอันร้อนแรงออกมาจากชั้นนี้ เมื่อเปิดเข้าไป ตรงด้านในของห้อง
มีกระต่ายเพลิงโลกันตร์ อยู่ตัวของมันมีเปลวไฟอันร้อนแรงอยู่
ทันทีที่ปิดประตูมันก็เริ่มจู่โจมทันที
กระต่ายเพลิงโลกันตร์พ่นลูกบอลเปลวไฟอันร้อนแรงออกมาโจมตีทั้งสองคนอย่างรวดเร็ว
ทั้สองคนจึงกระโดดหลบไปคนละทาง แม้ว่าจะหลบพ้น แต่ความร้อนจากเปลวไฟ
ทำให้ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย
“กิเลนคลุมสวรรค์!”
ตู่ซื่อสร้างกำแพงขวางระหว่างกระต่ายเพลิงโลกันตร์กับเขาเอาไว้
แม้ว่าจะสามารถป้องกันลูกบอลเปลวไฟเอาไว้ แต่ก็สูญเสียพลังสวรรค์ไปไม่น้อย
“ฮวาหั่ว เราต้องโจมตีสองทางพร้อมกัน”
ตู่ซื่อตะโกนออกไป พร้อมกับสลายกิเลนคลุมสวรรค์ และใช้กรงเล็บกิเลนแทน
หลังจากที่ได้ยินเช่นนั้น
ฮวาหั่วจึงใช้กรงเล็บกิเลนเพลิงอีกครั้ง
และพุ่งเข้าโจมตีพร้อมกับตู่ซื่อที่อยู่อีกด้าน
เมื่อเห็นว่าถูกบุกเข้ามาสองทาง
กระต่ายเพลิงโลกันตร์จึงหันไปจู่โจมใส่ตู่ซื่อก่อน ตู่ซื่อหลบหลีกอย่างรวดเร็ว
ส่วนฮวาหั่วนั้นใช้กรงเล็บมังกรเพลิงแทงเข้าใส่กระต่ายเพลิงโลกันตร์
วูบบ!
ราวกับว่ากรงเล็บกิเลนเพลิงทะลุผ่านร่างกายของกระต่ายเพลิงโลกันตร์ไป
“กรงเล็บกิเลนเพลิงโจมตีมันไม่ได้!”
ฮวาหั่วพูดด้วยความตกใจ
จากนั้นก็รีบนำกระบองเหล็กออกมาจากแหวนห้วงมิติแล้วหมุนตัวฟาดเข้าที่หัวของกระต่ายเพลิงโลกันตร์
ในคราวนี้ร่างของกระต่ายเพลิงโลกันตร์ก็กระจายออกเป็นกลุ่มก้อนพลังสวรรค์ในทันที
“หากเป็นสัตว์อสูรที่ธาตุเดียวกัน ที่ระดับพลังสูงกว่า
ในบางครั้งอาจจะเจอประเภทที่สามารถหักล้างการโจมตีด้วยธาตุเดียวกันได้”
กิเลนฟ้าพูดขึ้นมาหลังจากการต่อสู้จบลง
“เรื่องเช่นนี้ควรที่จะบอกกันก่อนมิใช่หรือ”
ฮวาหั่วบ่นออกมา
“ถ้าเช่นนั้นก็ไม่เรียกว่าการฝึกสิ”
กิเลนเพลิงพูดขึ้นมาพร้อมกับหัวเราะ
หลักจากการดูดซับพลังสวรรค์ในชั้นที่ห้านี้
ทำให้ตู่ซื่อและฮวาหั่วบรรลุระดับชะตาสวรรค์ขั้นที่ห้าแล้ว
“หากพวกเราขึ้นไปยังชั้นที่หก
คงจะต้องเจอกับอสูรในระดับชะตาสวรรค์ขั้นที่เจ็ด ดูเหมือนว่า
พวกเราจะยังผ่านไปได้ลำบาก ดังนั้นวันนี้เราควรที่จะพอเพียงเท่านี้ไปก่อน”
ตู่ซื่อพูดขึ้นมาพร้อมกับถอนหายใจ การต่อสู้ในชั้นที่ห้าทำให้สูญเสียพลังสวรรค์ไปไม่น้อย
“ข้าเห็นด้วย” ฮวาหั่วพยักหน้าตอบรับ
พร้อบเช็ดเหงื่อของนาง
หลังจากนนั้นทั้งสองคนก็เดินลงมาจากตำหนักชะตาสวรรค์ และกลับไปยังบ้านพัก เพื่ออาบน้ำ และพักผ่อน
หลังจากนั้นจึงมานั่งดูดซับพลังจากศิลาจิตวิญญาณ
ก่อนที่จะเข้านอน ดูเหมือนว่ายิ่งระดับพลังของทั้งสองขึ้นสูงขึ้นเท่าใด
ก็สามารถดูดซับพลังจากศิลาจิตวิญญาณได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ศิลาจิตวิญญาณหนึ่งก้อนนั้น
ทั้งสองคนใช้เวลาดูดซับราวสามชั่วยามเท่านั้น [หกชั่วโมง]
เช้าวันต่อมา
ตู่ซื่อและฮวาหั่วนำศิลาจิตวิญญาณออกมานับ
ดูเหมือนว่าทั้งสองคนจะเหลือศิลาจิตวิญญาณคนละยี่สิบก้อนเท่านั้น
และอีกเกือบครึ่งเดือนจึงจะได้รับศิลาจิตวิญญาณจากสถาบันกำเนิดฟ้า หากดูดซับด้วยความเร็วในตอนนี้
คงสามารถใช้ได้อีกไม่ถึงสิบวัน และในเดือนต่อไป
ตู่ซื่อจะได้รับศิลาจิตวิญญาณสามสิบก้อน ส่วนฮวาหั่วจะได้รับเพียงสิบก้อน
ซึ่งคงจะไม่เพียงพออย่างแน่นอน
“พวกเราต้องหาหนทางในการหาศิลาจิตวิญญาณให้ได้มากกว่านี้”
ตู่ซื่อพูดขึ้นมาขณะที่เก็บศิลาจิตวิญญาณกลับเข้าไปในแหวนห้วงมิติ
“เรื่องเพียงเท่านี้เหตุใด
พวกเจ้าจึงไม่ถามข้า” กิเลนเพลิงพูดขึ้นมา................จบตอน