ตำหนักเจ้าเมือง
เนี่ยลี่ได้นั่งพูดคุยกับเอียเซิ่ง
เอียมัว และเทพธิดายู่หยาน
“ทางสมาคมปรุงยารู้สึกขอบใจเจ้ายิ่งนัก
ที่ได้พาชาวบ้านจากพงไพรพิษมาอยู่ที่เมืองกลอรี่แห่งนี้”
เอียเซิ่งพูดพร้อมกับหัวเราะด้วยความยินดี
“ท่านพ่อตา
ข้ามีเรื่องหนึ่งต้องให้ท่านช่วยเหลือ หนิงเอ๋อได้รับปากกับเทพจื่ออู้
ว่าจะดูแลและปกป้องป่าอสูรทมิฬ เพื่อให้เผ่าเอลฟ์ได้อยู่กันอย่างสงบ
ไม่ทราบว่าท่านพอจะจัดตั้งกองกำลังให้ไปคอยดูแลทางเข้าออกของป่าอสูรทมิฬได้หรือไม่?” เนี่ยลี่หันไปมองเอียเซิ่งและพูดขึ้นมา
“ในตอนนี้เมืองกลอรี่ก็นับว่าปลอดภัยยิ่งนัก
หากเราขยายพื้นที่เมืองไปทางเหนือครอบคลุมพื้นที่ของนครกล้วยไม้ศักดิ์สิทธิ์
ก็นับว่าอยู่ไม่ไกลนักจากป่าอสูรทมิฬ” เอียมัวพูดแทรกขึ้นมา
“หากเป็นเช่นนั้นการวางกองกำลังให้คอยปกป้องที่ป่าอสูรทมิฬ
ก็จะสะดวกยิ่งขึ้น” เอียเซิ่งครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดออกไป
“จากนี้ไป
เจ้าจะทำการเช่นใดต่อ?” เอียมัวถามออกไป
ตอนนี้เนี่ยลี่ก็ได้ครอบครองพลังสัจธรรมทั้งหมดที่อยู่บนโลกนี้ไปแล้ว
“ข้ากับพี่ยู่หยานและ
และท่านหมิงเฟ่ย จะเดินทางไปยังดินแดนเมฆาแห่งความฝัน” เนี่ยลี่ตอบกลับไป
“ดินแดนเมฆาแห่งความฝัน
มันอยู่ที่ใดกัน?” เอียมัวอดที่จะถามออกไปไม่ได้ เขานั้นเดินทางไปแล้วหลายแห่ง
แต่ไม่เคยรู้จักสถานที่แห่งที่ว่ามาก่อน
“เป็นดินแดนที่ทับซ้อนอยู่กับโลกของเรา
อาจจะเรียกได้ว่าสรวงสวรรค์ของโลกใบเล็กของเราก็ว่าได้” เทพธิดายู่หยาน
คิดหาคำอธิบายที่จะให้ทุกคนเข้าใจได้ง่ายที่สุด
“ที่ดินแดนเมฆาแห่งความฝันในตอนนี้มีเทพจิตวิญญาณที่เป็นอสูร
อาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ที่แห่งนั้นสามารถดูดซับพลังสวรรค์ได้
ระดับพลังของเทพจิตวิญญาณเหล่านั้น
จึงอาจจะมีระดับพลังที่สูงกว่าเทพจิตวิญญาณที่อาศัยอยู่บนโลกก็เป็นได้”
เทพธิดายู่หยานอธิบายต่อ
“แต่ถึงอย่างไรก็คงจะไม่สูงไปกว่าพวกเราเป็นแน่”
เนี่ยลี่ยิ้มและพูดออกไป
ปกติเทพเทพจิตวิญญาณจะมีพลังอยู่ในระดับชะตาสวรรค์ขั้นที่หนึ่งถึงสาม
แม้ว่าที่ดินแดนเมฆาแห่งความฝันจะดูดซับพลังสวรรค์ได้ แต่ก็ไม่อาจเทียบได้กับการดูดซับพลังสวรรค์จากศิลาจิตวิญญาณเป็นแน่
“สำหรับการเดินทางไปยังดินแดนเมฆาแห่งความฝัน
จะต้องใช้ศิลาเมฆาฝัน ซึ่งคงจะต้องไปหามาจากแหวนห้วงมิติของข้า”
เทพธิดายู่หยานพูดออกไป
นางได้ซ่อนแหวนห้วงมิติสำหรับเก็บของเอาไว้ก่อนที่จะถูกทำลายกายาเทพไป
“ข้าจำได้ว่า
พี่ยู่หยานเคยบอกเอาไว้ว่าซุกซ่อนยังที่แห่งหนึ่งที่ไกลออกไปนับหมื่นลี้”
เนี่ยลี่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดออกไป
“ด้วยระดับพลังของข้าในตอนนี้
การเดินทางแค่ไม่กี่หมื่นลี้ ใช้เวลาไม่นานนัก ข้าจะเดินทางไปเพียงลำพัง
ขอให้พวกเจ้าจงเตรียมพร้อมที่จะรับมือสำหรับศึกที่จะมาถึงนี้”
เทพธิดายู่หยานพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“ถ้าเช่นนั้นข้าจะรอพี่ยู่หยานอยู่ที่เมืองกลอรี่นี้”
เนี่ยลี่มองไปที่เทพธิดายู่หยานก่อนที่จะพูดออกไป
หลังจากนั้นเทพธิดายู่หยานก็ได้บินออกไปทางบ่อน้ำพุทมิฬ
และไกลออกไปอีก หลังจากนั้นไม่กี่วันนางก็เดินทางกลับมา และก็ได้กลับมานั่งคุยกันอีกครั้ง
“ดินแดนเมฆาแห่งความฝัน
เป็นดินแดนที่มีมนุษย์อาศัยอยู่ แม้ว่าเทพจิตวิญญาณเผ่าอสูรจะพยายามบุกทำลาย
แต่ก็ไม่อาจที่จะผ่านกำแพงป้องกันเข้าไปได้
ในตอนนี้มีเทพจิตวิญญาณจากเผ่าอสูรราวยี่สิบตน ที่อยู่ที่นั่น
หากเจ้าสามารถกำจัดพวกมันได้ ก็สามารพาผู้คนไปอยู่ที่ดินแดนแห่งนั้นได้”
เทพธิดายู่หยานพูดออกไป พร้อมกับยิ้ม
นางเคยอยู่ที่ดินแดนแห่งนั้นเป็นดินแดนที่งดงาม และมีดอกไม้บานตลอดทั้งปี
“หากเป็นในอดีตข้าก็คงคิดที่จะย้ายผู้คนไปยังที่แห่งนั้น
แต่ในตอนนี้โลกใบนี้ก็เรียกได้ว่าปลอดภัยยิ่งนักแล้ว
สักวันมันจะต้องกลายเป็นสรวงสวรรค์ที่ไม่ต่างจากดินแดนเมฆาแห่งความฝัน”
เนี่ยลี่ยิ้มและพูดออกไปด้วยความมั่นใจ
“พวกเจ้าจะออกเดินทางกันเมื่อใด?” เอียเซิ่งถามออกไป
“ในวันนี้
พวกเราจะเดินทางไปหาท่านหมิงเฟย และออกเดินทางกันในทันที”
เนี่ยลี่พูดพร้อมกับลุกยืนขึ้น
“เราไม่ได้มีเวลามากมายอีกแล้ว”
เทพธิดายู่หยานพูดพร้อมกับถอนหายใจ
หลังจากนั้นเนี่ยลี่และเทพธิดายู่หยานก็เดินทางไปหาจ้าวนครใต้พิภพ
ดูเหมือนว่าระดับพลังของเขานั้นจะก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว
เพราะยาทิพย์ที่เนี่ยลี่ได้มอบให้ไว้ ทำให้เขาบรรลุระดับดาราสวรรค์แล้ว
เทพธิดายู่หยานได้นำศิลาเมฆาฝัน
มาจัดเรียงเป็นรูปแบบลายอาคมเคลื่อนจักรวาลเพื่อเปิดประตูไปสู่ดินแดนเมฆาแห่งความฝัน
ทันทีที่วางเสร็จก็เกิดลำแสงเปร่งประกายขึ้นมา เป็นดั่งประตูแห่งแสง
ที่สามารถเดินข้ามผ่านไปได้
หลังจากนั้นทั้งสามคนก็เดินข้ามไป
ดินแดนเมฆาแห่งความฝัน
หลังจากที่ก้าวข้ามมายังดินแดนเมฆาแห่งความฝันแล้ว
รอบกายของพวกเขามีแต่ความมืดมิด พืชพรรณบนพื้นก็มีเพียงวัชพืชสีดำ
บรรยากาศมีแต่ความมืดมัว นี่มันต่างจากที่เทพธิดาพูดเอาไว้ยิ่งนัก
“พี่ยู่หยาน
ที่แห่งนี้มิได้คล้ายกับสรวงสวรรค์เลยแม้แต่น้อย แม้แต่ดินแดนใต้พิภพยังดูงดงามเสียยิ่งกว่าที่แห่งนี้อีก”
เนี่ยลี่พูดขึ้นมาหลังจากที่มองดูภาพโดยรอบ
“ในอดีตไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน
ที่ด้านหน้านั่นจะต้องมีม่านกำแพงป้องกัน และหมู่บ้านที่มนุษย์อาศัยอยู่” เทพธิดายู่หยานชี้ไปด้านหน้า
มีเพียงซากปรักหักพัง และวัชพืชเต็มไปหมด
ทันใดนั้นก็มีลมปราณแผ่พุ่งเข้ามากดดันทั้งสามคน
แม้ว่าจะเป็นพลังในระดับดาราสวรรค์ แต่ก็ทำให้ทั้งสามคนรู้สึกอึดอัดยิ่งนัก
“ไม่คิดเลยว่าจะได้พบกันในที่แห่งนี้
หมิงเฟย!” เสียงเผ่าอสูรผู้หนึ่งพูดทักทายขึ้นมา
“จะ...จูล่ง!” หมิงเฟยตอบกลับไป เขาไม่คิดเลยว่าจะได้มาพบกับคู่ปรับของเขาในที่แห่งนี้
“ดินแดนเมฆาแห่งความฝัน
เป็นของเทพวิญญาณจากเผ่าอสูร พวกเจ้ากล้าดีอย่างไร จึงกล้าบุกมาเช่นนี้” จูล่ง
ผู้ครอบครองพลังสัจธรรมแห่งน้ำแข็งพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอันเย็นชา
“จูล่ง
เจ้าจะถามทำไมให้มากความ สังหารพวกมันให้หมดก็พอแล้ว” เฮยเซวี่ย [黑血:โลหิตสีดำ] ผู้ครอบครองพลังสัจธรรมแห่งโลหิตพูดขึ้นมา
พร้อมกับเผยให้เห็นจิตสังหารอย่างชัดเจน ร่างกายของเขานั้นผอมแห้ง
มีรูปลักษณ์เป็นดั่งค้างคาว ตัวของเขานั้นเป็นสีแดงดั่งโลหิต
“วิญญาณของเจ้ามนุษย์สามตัวนี้น่ากินยิ่งนัก”
โยวหลิง [幽灵:ภูตผี]ผู้ครอบครองพลังสัจธรรมแห่งวิญญาณพูดขึ้นมาพร้อมกับแลบลิ้นออกมายาวมาก
รูปร่างของเขานั้นผอมแห้ง หน้าตาคล้ายกบ แต่มีกระดองเต่าอยู่ข้างหลัง จมูกแหลม
ศีรษะแบน ไม่มีผมที่กลางกระหม่อม
“พวกมันคือสามเทพอสูรแห่งความตาย
ของเทพวิญญาณเผ่าอสูร” หมิงเฟยหันไปบอกกับเนี่ยลี่และเทพธิดายู่หยาน
“ท่านสามารถเจรจากับพวกเขาได้หรือไม่?” เนี่ยลี่กระซิบถามหมิงเฟย
“คงเป็นไปได้ยาก”
หมิงเฟยตอบกลับไป
“ถ้าเช่นนั้นก็คงต้องกำจัดพวกมันแล้ว”
เนี่ยลี่พูดพร้อมกับเผยรอยยิ้มที่ริมฝีปาก
“หากเป็นไปได้ขอข้าเป็นผู้ต่อสู้กับจูล่งเอง”
หมิงเฟยตอบกลับไปด้วยเสียงที่แผ่วเบา
“ข้าจะจัดการกับผู้ครอบครองพลังสัจธรรมแห่งวิญญาณ
พี่ยู่หยานฝากจัดการกับผู้ครอบครองพลังสัจธรรมแห่งโลหิตด้วย”
เนี่ยลี่หันไปบอกกับเทพธิดายู่หยาน
“แอบพูดคุยอันใดกัน
ฝนโลหิต!” เฮยเซวี่ยตะโกนออกไปพร้อมกับ
ปล่อยเลือดขึ้นไปด้านบนและหล่นลงมาราวกับน้ำฝน
“เลือดของเจ้า
สกปรกยิ่งนัก” เทพธิดายู่หยานพูดออกไปพร้อมกับโบกมือขวาของนาง
ทำให้ฝนโลหิตเหล่านั้นลุกไหม้จนละเหยไปทั้งหมด
“เจ้าคือเทพธิดาแห่งอัคคียู่หยานเช่นนั้นหรือ?” เฮยเซวี่ยพูดออกไปด้วยความตกใจ
“ข้าไม่จำเป็นที่จะต้องตอบเจ้า”
เทพธิดายู่หยานสะบัดมือขวาออกไปอีกครั้ง ร่างของเฮยเซวี่ยก็ลุกไหม้ขึ้นมาในทันที
หลักจากนั้นก็ถูกเผาจนตายโดยที่ไม่อาจจะทำอันใดได้
“โยวหลิง
ถอยก่อน พวกมันมีฝีมือเกินกว่าที่คาดเอาไว้” จูล่งตะโกนออกไปด้วยความร้อนใจ
“ช้าไปแล้ว!” เนี่ยลี่ได้ใช้พลังสัจธรรมแห่งพิษ ปลดปล่อยละลองพิษไปที่โยวหลิง ทำให้เขาติดพิษก่อนที่จะใช้ความสามารถในการถอดวิญญาณ
ผู้ครอบครองพลังสัจธรรมแห่งวิญญาณ
จะสามาถถอดวิญญาณของตนเอง และควบคุมวิญญาณของผู้ที่ตายไปแล้วได้
แต่ด้วยพิษของเนี่ยลี่ ทำให้ โยวหลิงไม่อาจที่จะขยับตัวได้แม้แต่น้อย
จึงไม่อาจใช้พลังสัจธรรมแห่งวิญญาณได้
ร่างกายของโยวหลิงค่อย
ๆ เน่าเปื่อยลงไป พิษที่เนี่ยลี่ใช้ มีฤทธ์ในการหลอมละลาย สูงยิ่งนัก
แม้แต่กายาเทพก็ถูกหลอมละลายได้ แต่ก็แลกมาด้วยกับการใช้พลังวิญญาณ
จำนวนมากในการสร้างพิษชนิดนี้ขึ้นมา
“เหลือเจ้าเพียงคนเดียวแล้ว”
หมิงเฟยพูดออกไปพร้อมกับหัวเราะ
“ท่านหมิงเฟย
การต่อสู้ของท่านคงต้องเป็นโอกาสหน้า ข้าต้องการที่จะให้ท่านปล่อยเขาไป และให้เขาพาตัวเหล่าเทพวิญญาณคนที่เหลือมาหาพวกเรา”
เนี่ยลี่ลอบส่งเสียงผ่านลมปราณไปที่หมิงเฟย
“ข้าเข้าใจแล้ว”
หมิงเฟยตอบกลับไป แผนของเนี่ยลี่นับว่ายอดเยี่ยมยิ่งนัก ไม่จำเป็นที่จะต้องเสียเวลาในการตามหา
แต่ให้อสูรพวกนั้นเป้นฝ่ายมาหาเขาเอง
“จูล่ง
หากเจ้ารักชีวิตก็จงรีบหนีไปซะ ข้าไม่ต้องการสังหารคนที่อ่อนแอเช่นเจ้า”
หมิงเฟยพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่ดูหมิ่น
ระดับพลังของพวกเขานั้นเรียกได้ว่าทัดเทียมกัน
แต่จูล่งนั้นบรรลุเทคนิคขั้นสูงของวิชาเจ็ดดอกบัวแล้ว จึงเหนือกว่าหมิงเฟย
แต่การต่อสู้สามต่อหนึ่งก็นับว่าหนักเกินไปสำหรับเขาในเวลานี้
“จดจำคำพูดของเจ้าไว้ให้ดี
อีกไม่นานเทพจิตวิญญาณจากชนเผ่าอสูรทั้งหมดจะมาจัดการกับพวกเจ้า”
จูล่งพูดขึ้นมาพร้อมกับทะยานหนีไป
หลังจากนั้นเขาก็ยื่นมือไปหยิบผลึกแห่งสัจธรรมแห่งโลหิตและผลึกแห่งสัจธรรมแห่งวิญญาณมาไว้ในดวงจิตแห่งความว่างเปล่า
นับว่าสามารถรวบรวมได้รวดเร็วยิ่งนัก แต่กระดูกมนตรานั้น
เป็นสิ่งที่หาได้ยากกว่าหลายเท่า
“ท่านหมิงเฟย
หากท่านคิดจะเอาชนะคนผู้นั้น จำเป็นต้องเร่งการบ่มเพาะพลังให้สูงขึ้นไปอีก ข้าใช้เข็มเงินในการฝังเข็มให้ท่าน
เนื่องจากเทคนิคการบ่มเพาะพลังที่ท่านใช้ นั้นมีข้อบกพร่องเช่นเดียวกับเซี่ยวหยู่”
เนี่ยลี่พูดพร้อมกับหยิบเข็มเงินออกมา
“เซี่ยวหยู่ได้บอกเรื่องนี้กับข้าแล้ว
ขอบใจเจ้ามากที่จะช่วยฝังเข็มให้ข้า” หมิงเฟยตอบกลับไป
พร้อมกับถอดเสื้อที่เขาสวมอยู่ออก และนั่งลงกับพื้น
“การฝังเข็มที่จุดเจียนจิ่งและจุดฟ่งเหม็นนี้ใช้เวลาไม่มากนัก
ท่านจงทำตัวให้ผ่อนคลาย” เนี่ยลี่พุดออกไปพร้อมกับใช้เข็มแทงลงไปยังจุดเจียนจิ่ง
ร่างกายของหมิงเฟยเริ่มสั่นสะท้าน
เขาสัมผผัสได้ถึงพลังวิญญาณที่เริ่มโคจรไปทั่วร่างและพลังวิญญาณของเขาก็ราวกับพุ่งปะทุขึ้นมา
ระดับพลังของเขานั้นเพิ่มสูงขึ้นอีกหลายขั้น
สามวันต่อมา
กองกำลังนับล้านตัวก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าของพวกเนี่ยลี่
ทำให้พวกเขานั้นรู้สึกตกใจยิ่งนัก
และในกองกำลังเหล่านี้ดูเหมือนว่าจะมีมนุษย์อยู่ด้วยเป็นจำนวนมาก
“เทพจิตวิญญาณเผ่าอสูรไม่น่าจะมีจำนวนมากถึงเพียงนี้”
หมิงเฟยพูดด้วยความตกใจ
แม้ว่าสามวันที่ผ่านมาเขาจะเลื่อนระดับพลังได้จนถึงระดับดาราสวรรค์ขั้นที่เก้าแล้ว
แต่การที่ต้องเผชิญหน้ากับกองกำลังอสูรที่มากถึงเพียงนี้
เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อน........จบตอน