เซี่ยวหนิงเอ๋อได้เรียกคนอื่น ๆ เข้ามาห้องที่เนี่ยลี่นอนพักอยู่
เนี่ยลี่รู้สึกแปลกใจยิ่งนักที่ได้เห็นเทพธิดายู่หยานอยู่ในร่างของผู้ใหญ่เต็มตัว
นางยังคงสวมชุดสีแดงเพลิงเช่นเดิม แต่ดูแล้วราวกับหญิงสาวอายุราวยี่สิบปีเท่านั้น
“ท่านพี่ยู่หยาน
ท่านได้กายาเทพกลับคืนมาอย่างสมบูรณ์แล้ว” เนี่ยลี่พูดพร้อมกับยิ้ม
“เรื่องของข้าเอาไว้พูดคุยกันในภายหลัง
เจ้าเรียกพวกเราเข้ามาด้วยเหตุใดกัน?”
เทพธิดายู่หยานโบกมือ เพื่อขอให้เปลี่ยนเรื่องพูด
“ข้าได้พบกับจักรพรรดิคงหมิง
เขาได้บอกว่า การเผชิญหน้ากับจักรพรรดิปราชญ์อาจจะมาถึงเร็วกว่าที่ข้าคาดคิดไว้”
เนี่ยลี่พูดพร้อมกับถอนหายใจ
“เจ้าสามารถเล่าให้ละเอียดกว่านี้ได้หรือไม่?” เทพธิดายู่หยานมองเนี่ยลี่และพูดออกมา
“เดิมทีจักรพรรดิปราชญ์จะฟื้นพลังกลับมาได้
ต้องใช้เวลาราวสองร้อยปี แต่ด้วยตำราจิตอสูรท่องเวลา ทำให้ห้วงเวลาผันแปรไป”
เนี่ยลี่ค่อย ๆ อธิบาย
“เป็นตำราที่เจ้าพาพวกเราไปตามหาที่ทะเลทรายไร้ที่สิ้นสุดใช่หรือไม่?” ตู่ซื่อที่ยืนอยู่ถามออกไปบ้าง
“มันเป็นตำราที่สามารถผันแปรห้วงเวลาได้
ปรมาจารย์เต๋าฉางเคยบอกแก่ข้าว่า มีคนผู้หนึ่งนำมันมา
และพยายามสังหารพวกเขาทั้งเจ็ด
เจ็ดคนนั้นก็คือหกคนที่กลับชาติมาเกิดเหมือนต้วนเจี้ยน
และอีกคนนั้นคือจักรพรรดิปราชญ์” เนี่ยลี่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะตอบกลับไป
“ข้ามีความทรงจำในเรื่องนี้
ในตอนนั้นดูเหมือนว่าเขาฉีกตำราเล่มนั้นออกแปดหน้าและโยนทิ้งไป
แต่ข้ารู้สึกแปลกอยู่บ้าง
การต่อสู้ในคราวนั้นแม้ว่าจะเป็นการต่อสู้กับพวกเราทั้งเจ็ด
แต่ชายผู้นั้นมุ่งเน้นที่จะสังหารจักรพรรดปราชญ์เสียมากกว่า”
ต้วนเจี้ยนพูดแทรกขึ้นมา
“ดูเหมือนว่าข้าจะรู้จักคนผู้นั้น”
เทพธิดายู่หยานพูดขึ้นมาและนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดต่ออีกว่า
“เนี่ยลี่เจ้ายังจดจำที่ข้าเคยบอกไว้ได้หรือไม่
เทพวิญญาณที่เป็นมนุษย์ผู้หนึ่ง ที่เป็นผู้ครอบครองสัจธรรมแห่งกาลเวลา เขามีนามว่า
ซื่อคง [时空:เวลา] ก่อนที่เทพวิญญาณเผ่ามนุษย์จะถูกสังหารจนหมดสิ้นเขาใช้พลังควบคุมกาลเวลาเพื่อเข้าไปในสายธารแห่งเวลา
ทำให้มนุษย์รอดพ้นจากการถูกอสูรสังหารมาได้
เขาคือผู้ที่สร้างตำราจิตอสูรท่องเวลาขึ้นมา”
“พี่ยู่หยานหมายความ
เขานั้นย้อนเวลากลับไปเพื่อที่จะสังหารจักรพรรดิปราชญ์
ก่อนที่จะมีพลังในการควบคุมเวลา แต่กลับพลาดท่า
และกลายเป็นผู้มอบพลังในการควบคุมเวลาให้แก่จักรพรรดิปราชญ์ไป”
เนี่ยลี่พูดพร้อมกับลุกขึ้นมานั่ง
“ถ้าหากเขาไม่ย้อนเวลากลับไป
จักรพรรดิปราชญ์ก็จะไม่มีพลังในการย้อนเวลา
และก็อาจจะไม่ทำเรื่องเลวร้ายขึ้นมาก็เป็นได้ นี่เจ้าซื่อคง เป็นเทพจริงหรือนี่
เหตุใดจึงได้โง่เง่าถึงเพียงนี้” ลู่เพียวพูดขึ้นมาด้วยความโมโห หากเป็นเขาคงไม่ทำเรื่องโง่เง่าเช่นนี้เป็นแน่
“จักรพรรดิคงหมิงได้บอกแก่ข้าอีกว่า
หากจักรพรรดิปราชญ์ได้รับหน้าตำราที่เหลือไปทั้งหมด เขาจะกลายเป็นเทพแห่งกาลเวลา
ข้าไม่มั่นใจว่า เทพแห่งกาลเวลานี้แตกต่างกับ
เทพวิญญาณที่ครอบครองพลังสัจธรรมแห่งเวลาอย่างไร พี่ยู่หยานสามารถอธิบายในเรื่องนี้ได้หรือไม่?” เนี่ยลี่หันไปทางเทพธิดายู่หยานก่อนที่จะถามออกไป
“แตกต่างกันแน่นอน
เทพแห่งจิตวิญญาณ ผู้ที่ครอบพลังสัจธรรมทั้งสามสิบหกชนิด
เป็นเพียงเทพที่มีหน้าที่ดูแลโลกใบเล็กเท่านั้น ส่วนเทพที่อยู่ภาพนอก
อาจจะเรียกได้ว่าเป็นมหาเทพอย่างแท้จริง เป็นเทพที่ไร้กายาเทพ
แต่มีชีวิตอยู่อย่างเป็นนิรันดิ์” ยู่หยานพูดพร้อมกับถอนหายใจ
“เมื่อกลายเป็นมหาเทพ
ก็ไม่มีมนุษย์ผู้ใดที่สังหารเขาได้อีกต่อไป” เนี่ยลี่พูดขึ้นมาพร้อมกับกำหมัดแน่น
“แต่เจ้าอย่าลืมสิว่า
จักพรรดิปราชญ์มีเพียงพลังสัจธรรมแห่งกาลเวลา แต่เจ้ามีพลังสัจธรรมถึงสามชนิด
หากรวมกับพี่สาวเทพธิดาก็มีถึงสี่ชนิด
ยังไม่เพียงพอที่จะรับมือกับจักรพรรดิปราชญ์ได้อีกหรือ?” ลู่เพียวพูดหลังจากที่คิดได้
“พลังสัจธรรมแห่งกาลเวลานั้นเหนือล้ำกว่าพลังสัจธรรมอื่น ๆ
หากคิดจะรับมือกับพลังสัจธรรมแห่งกาลเวลา ข้าคิดว่าเจ้าต้องรวบรวมพลังสัจธรรมที่เหลือทั้งหมดจึงจะพอรับมือได้”
เทพธิดายู่หยานพูดพร้อมกับส่ายหน้า
“ข้าจะสามารถรวบรวมพลังแห่งสัจธรรมทั้งหมดได้ด้วยวิธีใดกัน?” เนี่ยลี่ถามออกไป
เขาไม่คิดเลยว่าจะมีวิธีเช่นนี้อยู่ด้วย
“เรื่องนี้ข้าเองก็ไม่รู้
แต่ข้าสามารถพาเจ้าไปหาผู้ที่ให้คำตอบแก่เจ้าได้” เทพธิดายู่หยานตอบกลับไป
“เขาอยู่ที่ใดกัน?” เนี่ยลี่ถามกลับไปด้วยความรู้สึกที่ยินดี
“เขาอยู่บนเทือกเขาบรรชน
และมีอสูรวายุเหมันต์ระดับตำนานสามตนคอยเฝ้าอยู่” เทพธิดายู่หยานตอบกลับไป
ในเวลานี้อสูรวายุเหมันต์ระดับตำนาน ไม่อาจที่จะรับมือพวกเขาได้อีกต่อไป
“ท่านหมายถึงอสูรวายุเหมันต์ระดับตำนานทั้งสามตนที่จำศีลอยู่เช่นนั้นหรือ?” เอียมัวอดไม่ได้ที่จะถามออกไป
“พวกมันไม่เคยจำศีล
พวกมันมีหน้าที่ป้องกันไม่ให้ เทพธิดาจื่อฮุ้ย [智慧:ฉลาด]เทพธิดาแห่งปัญญา
หลบหนีไปเท่านั้น” เทพธิดายู่หยานส่ายหน้าและตอบกลับไป
เทพธิดาจื่อฮุ้ยก็เป็นดั่งนางที่ต้องทำการก่อรูปกายาเทพขึ้นมาใหม่
“ถ้าเช่นนั้น
ข้าต้องการให้ท่านเอียมัว เอียเซิ่งและเสี่ยวหยู่เดินทางไปด้วย
ทั้งสองคนจะเป็นผู้ที่ต่อสู้กับอสูรวายุเหมันต์ ส่วนข้ากับพี่ยู่หยานจะเข้าไปหาเทพธิดาจื่อฮุ้ย”
เนี่ยลี่พูดขึ้นมาหลังจากที่ครุ่นคิด เขาต้องการให้ท่านเอียมัว เอียเซิ่งและเนี่ยหยู่ได้ทดสอบฝีมือกับอสูรวายุเหมันต์ระดับตำนาน
“ในครั้งนี้เป็นการเดินทางไปเพื่อพบเจอกับเทพจิตวิญญาณ
ดังนั้นข้าก็ควรที่จะเดินทางไปด้วย” จ้าวนครใต้พิภพพูดขึ้นมา
เขานั้นก็เป็นเทพผู้ครอบครองพลังสัจธรรมแห่งใต้พิภพ
“หากพ่อบุญธรรมไป
ข้าเองก็ขอไปด้วย!” เซี่ยวหยู่ที่ยืนอยู่ด้านหลังพูดขึ้นมาบ้าง
“ไม่จำเป็น
ข้าต้องการให้เจ้ากลับไปยังดินแดนใต้พิภพ
และช่วยฟื้นฟูที่แห่งนั้นให้กลับมาเป็นเช่นเดิม” หมิงเฟย [จากนี้ไปจะเรียกจ้าวนครใต้พิภพว่าหมิงเฟยแทน] หันไปมองเซี่ยวหยู่และพูดขึ้นมา
“ข้าเข้าใจแล้ว”
เซี่ยวหยู่พูดพร้อมกับถอนหายใจ แต่งานที่บิดาบุญธรรมนางขอให้ช่วย
ก็นับว่าเป็นเรื่องสำคัญไม่น้อย
“แล้วเจ้าจะให้พวกข้าทำอันใดกัน”
ตู่ซื่ออดไม่ได้ที่จะถามออกไป
“เมื่อศึกใหญ่มาถึงเร็วกว่าที่ข้าคาดเอาไว้
คงต้องขอให้พวกเจ้าทำการบ่มเพาะพลัง เพื่อรอให้ข้ากลับมา
ข้าต้องการให้ระดับพลังของทุกคนไม่ต่ำกว่าระดับขอบเขตแห่งพระเจ้า”
เนี่ยลี่มองไปที่เหล่าสหายของเขาและพูดออกไป
เวลาในการที่จะเตรียมตัวต่อสู้กับจักรพรรดิปราชญ์
นั้นเริ่มที่จะกระชั้นชิดเข้ามา เดิมทีเนี่ยลี่คิดว่า ในช่วงเวลาสองร้อยปี
จะสามารถเตรียมการให้ทุกอย่างเอาไว้ ให้พร้อมที่จะรับมือจักรพรรดิปราชญ์ได้
หากจักรพรรดิปราชญ์บุกมาในตอนนี้ เขาก็ไม่อาจที่จะรับมือได้เป็นแน่
หนทางที่จะใช้รับมือจักรพรรดิปราชญ์ก็แคบลงไปเรื่อย ๆ
ตำราจิตอสูรท่องเวลาที่นับว่าเป็นไพ่ตาย ก็ไม่มีอีกแล้ว
การที่จะค้นหาอีกสี่คนที่กลับชาติมาเกิด ก็ไม่มีเบาะแสเลยแม้แต่น้อย แต่หากได้พบเจอกับผู้ครอบครองพลังสัจธรรมแห่งปัญญา
อาจจะมีหนทางใหม่ ๆ อีกก็เป็นได้ เนี่ยลี่ก็ได้แต่คาดหวังให้เป็นเช่นนั้น
หลังจากที่พูดคุยกันเสร็จ
ทุกคนก็แยกย้ายกันกลับไป เซี่ยวหยู่ก็เตรียมตัวออกเดินทางกลับไปยังนครใต้พิภพ
ที่บ้านของเนี่ยลี่
“ท่านพ่อ ท่านแม่ พรุ่งนี้ข้าจะต้องออกเดินทาง อาจจะต้องใช้เวลาราวหนึ่งสัปดาห์”
เนี่ยลี่พูดออกไปขณะที่นั่งทานอาหารอยู่กับครอบครัว
“เจ้าบอกว่าจะพักอยู่ที่นี่หนึ่งปีมิใช่หรือ?” เนี่ยเสี่ยวหยุนพูดขึ้นมาด้วยด้วยน้ำเสียงไม่สบายใจเล็กน้อย
“ท่านแม่ข้าเดินทางไปยังเทือกเขาบรรพชนกับท่านเอียมัวและท่านเอียเซิ่ง
ยังไม่ได้กลับไปยังอาณาจักรซากมังกร” เนี่ยลี่ยิ้มและพูดออกไป
“ท่านพี่เนี่ยลี่
ข้าไปกับท่านได้หรือไม่?” เนี่ยหยุ่จับแขนเนี่ยลี่พร้อมกับเขย่า
“ท่านลุงเนี่ยไค่
ท่านน้าเหมียวหลิง ข้าต้องการพาเสี่ยวหยู่ไปด้วย พวกท่านจะว่าเช่นใด?” เนี่ยลี่หันไปพูดกับเนี่ยไค่และ เหมียวหลิง
“เสี่ยวหยู่ยังเด็กนัก
เจ้าจะพาไปด้วยเหตุใดกัน?” เหมียวหลิงพูดขึ้นมาด้วยความกังวล
“ข้าเพียงต้องการจะพาเสี่ยวหยู่ไปท่องเที่ยว
น้าเหมียวหลิงอย่าได้กังวล” เนี่ยลี่ยิ้มและตอบกลับไป ในขณะที่ลูบหัวเนี่ยหยู่
“ท่านเนี่ยไห่เองก็บอกว่า
เสี่ยวหยู่นั้นบรรลุระดับตำนานแล้ว หากเจ้าเป็นผู้ดูแลนางข้าก็เบาใจ”
เนี่ยไค่พูดขึ้นมา
“พรุ่งนี้ข้าจะได้ไปเที่ยวกับท่านพี่เนี่ยลี่
คืนนี้ข้าก็จะอยู่กับท่านพี่เนี่ยลี่” เนี่ยหยู่พูดขึ้นมาอย่างอารมณ์ดี
“ตอนนี้ดูเหมือนว่าเจ้าจะบรรลุระดับชะตาสวรรค์ขั้นที่สามแล้ว
คืนนี้ข้าจะให้ยาทิพย์กับเจ้าอีกขวดหนึ่ง เรามานั่งทำการบ่มเพาะพลังด้วยกัน”
เนี่ยลี่พูดขึ้นมาหลังจากที่ตรวจสอบพลังวิญญาณของเนี่ยหยู่
หลังจากนั้นเนี่ยลี่ก็พาเนี่ยหยู่ไปนั่งบ่มเพาะพลังที่ห้องของเขา
ตำหนักเจ้าเมือง
เช้าวันต่อมา
เนี่ยลี่พาเนี่ยหยู่ไปฝากชะตาวิญญาณเอาไว้ในห้องลับของท่านเอียมัวและเตรียมที่จะออกเดินทาง
“ด้วยระดับพลังของพวกเราในตอนนี้ การเดินทางคงไม่ลำบากเท่าใดนัก”
เนี่ยลี่หันมาพูดกับทุกคน
“หากการเดินทางในคราวนี้
สามารถสังหารอสูรวายุเหมันต์ระดับตำนานได้
เมืองกลอรี่ของเราก็จะมีความปลอดภัยมากขึ้นไปอีก
ก็นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีไม่น้อย” เอียมัวพูดขึ้นมา
“บางทีระดับพลังของพวกมันอาจจะสูงกว่าระดับตำนานแล้วก็เป็นได้
ในเรื่องนี้ขอให้พวกท่านระวังตัวด้วย” เทพธิดายู่หยานพูดขึ้นมา
เดิมทีระดับพลังที่สูงสุดในโลกใบเล็กนี้คือ
ระดับตำนานและเซียน
ส่วนเทพวิญญาณส่วนใหญ่จะอยู่ในระดับชะตาสวรรค์ขั้นที่หนึ่งถึงสาม
แต่ใครจะรู้เล่าว่า ในตอนนี้พลังของมันจะสูงขึ้นไปถึงเพียงไหนแล้ว
“ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็ควรที่จะออกเดินทางได้แล้ว”
เนี่ยลี่หันมาพูดกับทุกคน และทะยานออกไป
ที่ด้านหลังของพวกเขา
เอียจื่ออวิ๋น และเซี่ยวหนิงเอ๋อ ยืนมองพวกเขาอยู่ไกล ๆ
พวกนางเองก็ต้องการที่จะเดินทางไปด้วย แต่ในตอนนี้
การบ่มเพาะพลังของพวกนางทั้งสองมีความสำคัญยิ่งกว่า
เพื่อที่ทั้งสองจะสามารถเป็นกำลังให้เนี่ยลี่ได้ในอนาคต
เอียจื่อวิ๋นและเซี่ยวหนิงเอ๋อนั้นระดับพลังของพวกนางนั้นใกล้ที่จะบรรลุระดับขอบเขตแห่งพระเจ้าแล้ว
หลังจากที่พวกเขาลับตาไป
เอียจื่ออวิ๋นและเซี่ยวหนิงเอ๋อก็แยกกันกลับไปบ่มเพาะพลัง ดูเหมือนว่าความทรงจำในชีวิตที่แล้วของพวกนางเริ่มที่จะชัดเจนขึ้น
แต่พวกนางก็หาได้สนใจไม่ ในชีวิตนี้พวกนางนั้นมีพลังที่เกินกว่าชีวิตที่แล้ว
เส้นทางชีวิตของพวกนางเองก็แตกต่างไปจากเดิม
พวกนางต่างมุ่งที่จะใช้ชีวิตในชาติภพนี้ให้ดีที่สุดก็เท่านั้น...........จบตอน