“ข้านั้นได้ครอบครองมรดกที่ท่านหลงเหลือไว้ทั้งสิบตัวอักษร
จึงได้มาพบท่านเช่นนั้นหรือ?” เนี่ยลี่ถามออกไป
ในขณะที่กำลังลุกขึ้นยืน
“เจ้าจะคิดเช่นนั้นก็ไม่ผิด
แต่เดิมทีตัวอักษรทั้งสิบนั้นข้าได้เตรียมไว้เพื่อคนผู้หนึ่ง
แต่บัดนี้มันกลายเป็นของเจ้าแล้ว” จักรพรรดิคงหมิงตอบกลับไป
“ท่านหมายความเช่นใดกัน?” เนี่ยลี่ถามกลับไปด้วยความสงสัย
“อักษรทั้งสิบ
ข้าได้เตรียมมันเอาไว้สำหรับให้คนผู้นั้น เพิ่มระดับความแข็งแกร่ง
แต่การที่ต้องแยกไว้เพื่อให้เขาได้ฝึกฝนเท่านั้น เพราะเขานั้นคือผู้สืบทอดที่แท้จริงเพียงคนเดียวของข้า” จักรพรรดิคงหมิงหัวเราะ และตอบกลับไป
“ข้าไม่เข้าใจ
หากผู้สืบทอดผู้หนึ่งที่แท้จริงมิใช่ข้า
แล้วเหตุใดข้าจึงสามารถรวบรวมตัวอักษรทั้งสิบได้ และได้มาพบกับท่าน”
เนี่ยลี่แย้งกลับไป
“ทุกเรื่องล้วนมีที่มาและที่ไป
ข้าจะบอกเพื่อให้เจ้าสบายใจก่อนว่า ผู้ที่สูญเสียตัวอักษรไปแล้ว จะสูญเสียความทรงจำและพลังที่เพิ่มขึ้นมาจากพลังของตัวอักษรไป
ดังนั้น
เหล่าคนที่ถูกแย่งชิงตัวอักษรมาจะไม่มีใครมาแย่งชิงตัวอักษรกลับคืนไปจากเจ้าได้อีก ข้าจะค่อย ๆ เล่าให้เจ้าฟัง”
จักรพรรดิคงหมิงค่อย ๆ อธิบาย
“เจ้าเคยสงสัยหรือไม่
ว่าเหตุใดชะตาวิญญาณของเจ้าในภพนี้จึงได้มีสีที่แตกต่างกัน
และเหตุใดเจ้าจึงเลื่อนระดับการบ่มเพาะพลังได้ยากนัก” จักรพรรดิคงหมิงเอ่ยถาม
เป็นคำถามที่เสียดแทงเข้ามาในใจของเนี่ยลี่
เพราะเขาก็สงสัยและยังหาคำตอบในเรื่องนี้ไม่ได้
“แล้วเป็นเพราะเหตุใดกัน?” เนี่ยลี่ถามกลับไป
“ชะตาวิญญาณทั้งเก้าของเจ้า
เป็นดั่งตัวแทนของเจ้าในเก้าชาติภพ
และชะตาวิญญาณดวงที่เก้าที่เป็นสีทองนั้นเป็นชะตาวิญญาณในชาติภพของข้า
ส่วนชะตาวิญญาณสีแดงคือชะตาวิญญาณของเจ้าในชาติภพที่แล้ว
ข้านั้นได้เวียนว่ายตายเกิดมาถึงเก้าชาติภพ และในทุกชาติภพของข้า
ก็ได้ต่อสู้กับจักรพรรดิปราชญ์และพ่ายแพ้กลับมาทุกครั้ง”
จักรพรรดิคงหมิงพูดพร้อมกับถอนหายใจ
เนี่ยลี่ยืนนิ่งเงียบ
เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่า เขาจะเป็นจักรพรรดิคงหมิงที่กลับชาติมาเกิดในชาติภพนี้เช่นนั้นหรือ
“แต่เจ้าในชาติภพนี้หาใช่
ตัวข้าที่กลับชาติมาเกิดไม่ ด้วยพลังจากตำราจิตอสูรท่องเวลา
ทำให้เจ้ากลับมามีชีวิตในชาติภพนี้ ด้วยการผันแปรของห้วงเวลา ทำให้ชะตาวิญญาณของทั้งเก้าชาติภพสถิตอยู่ในห้วงขอบเขตวิญญาณของเจ้า
ดังนั้นห้วงขอบเขตวิญญาณของเจ้านั้น จึงกว้างใหญ่กว่าคนทั่วไปนับสิบเท่า”
จักรพรรดิคงหมิงพูดออกไป ราวกับว่าเขาอ่านความคิดของเนี่ยลี่ได้
“ข้าไม่เข้าใจ
เมื่อข้าไม่ได้ เป็นท่านที่กลับชาติมาเกิด
แต่เหตุใดชะตาวิญญาณทั้งเก้าชาติภพของท่าน
จึงได้มาสถิตอยู่ในห้วงขอบเขตวิญญาณของข้าได้?”
เนี่ยลี่ถามออกไปด้วยความสงสัย
“เดิมทีแล้ว
ในทุกชาติภพที่ข้าเวียนว่ายตายเกิด ต่างก็มีเจตจำนงของตนเองในการใช้ชีวิต
ตัวข้านั้นทำได้เพียงแค่เฝ้ามองตัวข้าในชาติภพอื่น ๆ เท่านั้น
แต่เจตจำนงของเจ้านั้นแข็งกล้ายิ่งกว่าเจตจำนงในชาติภพใด ๆ ของข้า
เมื่อเกิดความผันแปรของห้วงเวลา ทำให้เจตจำนงอื่น ๆ นั้นมาทับซ้อนกันอยู่ที่ตัวเจ้า
และได้กำเนิดเจ้าขึ้นมา การที่เจ้ามีความทรงจำของชาติภพที่แล้ว
ก็คงเป็นเพราะที่ข้าพูดมา” จักรพรรดิคงหมิงค่อย ๆ อธิบาย
สำหรับเรื่องนี้เขาก็ทำได้แค่คาดเดาเท่านั้น
“แล้วตัวอักษรทั้งสิบคือสิ่งใดกันแน่?” เนี่ยลี่เงยหน้าถามออกไปหลังจากที่ก้มหน้าครุ่นคิด
กับเรื่องทีได้ฟัง
“ตัวอักษรทั้งสิบ
เป็นดั่งคำบอกใบ้ที่ใช้ต่อสู้กับจักรรพดิปราชญ์
หากเจ้ารู้ซึ้งอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับพวกมัน
เจ้าก็มีโอกาสที่จะเอาชนะจักรพรรดิปราชญ์ได้” จักรพรรดิคงหมิงตอบกลับไป
“แล้วเหตุใดท่านจึงไม่ชี้แนะให้ข้าเข้าใจ?” เนี่ยลี่ถามกลับไป
หากตัวอักษรเหล่านี้มีพลังถึงเพียงนั้น และจักรพรรดิคงหมิงเองก็เป็นผู้ทิ้งเอาไว้
เขาย่อมรู้ความหมายที่แท้จริงของมัน
“ฮ่าฮ่าฮ่า
ข้าเองก็ไม่อาจที่จะรู้ซึ้งอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับพวกมัน
เดิมทีผู้ที่จะสามารถเข้าใจมันได้ คือตัวข้าในชาติภพที่สิบ ที่จะเกิดขึ้นในอีกสองร้อยปีข้างหน้า
และชะตาวิญญาณทั้งเก้าควรที่จะไปปรากฏอยู่ในห้วงขอบเขตวิญญาณของคนผู้นั้น แต่เพราะตำราจิตอสูรท่องเวลา
ทำให้ห้วงเวลาผันแปรไปจนหมด ข้าเองก็ไม่รู้ว่า
ในชาติภพหน้าข้าจะยังได้กลับมามีชีวิตหรือไม่” จักรพรรดิคงหมิงพูดพร้อมกับหัวเราะ
แต่เป็นเสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยความขมขื่น
“เพราะการย้อนเวลากลับมามีชีวิตของข้า
ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปจนหมดเช่นนั้นหรือ?”
เนี่ยลี่พูดขึ้นด้วยความตกใจ เขาไม่คิดเลยว่า
การที่ห้วงเวลาผันแปรจะทำให้เกิดเรื่องเช่นนี้
“เมื่อเป็นเช่นนี้
ก็คงเป็นเพราะชะตาลิขิต และเจ้ามีเวลาอีกเพียงไม่นาน หาไม่แล้วโลกเบื้องนอก
คงจะถูกจักรพรรดิปราชญ์ทำลายจนสูญสิ้น”
จักรพรรดิคงหมิงพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“มีเวลาอีกราวสองร้อยปีมิใช่หรือ
ที่จักรพรรดิปราชญ์จะฟื้นคืนพลัง”
ดวงตาของเนี่ยลี่เบิกโพลงด้วยความตกใจและถามกลับไป
“เดิมทีก็เป็นเช่นนั้น
แต่เป็นเพราะเจ้า ทำให้จักรพรรดิปราชญ์ได้ครอบครองตำราจิตอสูรท่องเวลา
ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไป และหากเจ้าพ่ายแพ้ในศึกคราวนี้
จักรปราชญ์ก็จะได้ครอบครองตำราจิตอสูรท่องเวลาครบทุกหน้า
เมื่อนั้นจักพรรดิปราชญ์ก็จะกลายเป็น เทพแห่งกาลเวลา ที่เจ้าไม่อาจเอื้อมมือไปถึงได้อีกตลอดกาล”
จักรพรรดิคงหมิงพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“เดิมที จักรพรรดิปราชญ์สามารถย้อนเวลากลับไปได้เพียงหนึ่งวัน
และหลังจากที่ได้ตำราจิตอสูรท่องเวลาไป อาจจะสามารถย้อนเวลาไปได้นับหมื่น นับแสนปี
แต่นั่นก็ต้องแลกกับพลังวิญญาณจำนวนมาก ข้าคิดว่ามันจะใช้พลังนี้หลังจากที่ได้เศษหน้าตำราจิตอสูรท่องเวลาจากเจ้า”
“ถ้าหากย้อนกลับเวลาไปยังจุดเริ่มต้นของโลกได้
สิ่งมีชีวิตทั้งมวลก็คงจะสูญสิ้น แล้วจักรปราชญ์จะทำไปเพื่อเหตุใดกัน?” เนี่ยลี่ถามด้วยความสงสัย
“ไม่มีผู้ใดรู้
เจ้าคงต้องไปถามจากตัวจักรพรรดิปราชญ์เอง” จักรพรรดิคงหมิงตอบกลับไป
“ข้าจะอาศัยอยู่ในต้นเถาวัลย์ของเจ้า
หากมีเรื่องที่สงสัยก็สามารถมาสอบถามข้าได้ในภายหลัง
ที่ด้านนอกเจ้านั้นสลบไปราวเจ็ดวันแล้ว หากนานกว่านี้คนเหล่านั้นคงจะกังวล
ข้าจะส่งเจ้ากลับไปก่อน” จักรพรรดิคงหมิงพูดขึ้นมาพร้อมกับมีสายลมพัดพามาที่เนี่ยตัวเนี่ยลี่
สติของเนี่ยลี่ราวกับถูกพัดให้ล่องลอยล่องลอยออกมา
ตำหนักเจ้าเมือง
“ผู้อำนวยการหยาง เนี่ยลี่เป็นเช่นใดบ้าง?”
เอียเซิ่งเอ่ยถามด้วยความกังวล หลังจากที่เชิญผู้อำนวยการหยางมาดูอาการของเนี่ยลี่
“ข้าไม่ทราบ
ร่างกายของเนี่ยลี่นั้นหาได้มีบาดแผลอันใด ชีพจรก็เต้นอย่างปกติ”
หยางซิ่นส่ายหน้าและตอบกลับไป
“เนี่ยลี่เองก็เคยเป็นเช่นนี้มาแล้วหลายครั้ง
ข้าคิดว่าเขาจะต้องฟื้นคืนกลับมาอย่างแน่นอน” ลู่เพียวพูดขึ้นมา
“ใบหน้าของเขาเอง
ก็ดูราวกับว่านอนหลับอย่างสงบ ไม่ได้มีท่าทีเจ็บปวดอันใด”
เอียมัวจ้องมองดูเนี่ยลี่และพูดออกไป
“ถ้าเช่นนั้นเราควรที่จะให้เขาพักผ่อน
ข้าจะให้คนมาคอยดูแลเขาเอง” เอียเซิ่งพูดขึ้นมาพร้อมกับหันไปมองหาคนรับไช้
“ท่านพ่อ
ข้ากับหนิงเอ๋อจะดูแลเนี่ยลี่เอง” เอียจื่ออวิ๋นพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“ถ้าเช่นนั้นก็แล้วแต่พวกเจ้า
พวกเราออกไปพูดคุยกันข้างนอกเถิด” เอียเซิ่งพูดพร้อมกับถอนหายใจ และชักชวนคนอื่น ๆ
ให้ออกจากห้องไป
ในตอนนี้
ในห้องพักมีเพียงเนี่ยลี่ที่นอนอยู่ กับเอียจื่ออวิ๋นและเซี่ยวหนิงเอ๋อที่คอยดูแล
“จื่ออวิ๋น
ข้าขอบใจเจ้ามาก สำหรับทุกเรื่องที่ผ่านมา” หนิงเอ๋อพูดขึ้นมา
ขณะที่นางกำลังนั่งก้มหน้า เมื่อก่อนนางนั้นคิดแต่จะเอาชนะเอียจื่ออวิ๋น
แต่เอียจื่ออวิ๋นไม่เคยคิดเช่นนั้นและยังคงมองนางเป็นดั่งสหาย
มิน่าเล่าเนี่ยลี่จึงได้หลงรักนาง
“หนิงเอ๋อ
หากเจ้าคิดว่าข้าเป็นสหายก็จงอย่าได้พูดเช่นนั้น ข้ารู้ว่าเจ้ารักเนี่ยลี่มากเพียงใด
แม้ว่าข้าจะรักเนี่ยลี่ แต่กับเจ้า
ข้าก็คิดว่าเจ้าเป็นดั่งสหายรักที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าเขา”
เอียจื่ออวิ๋นพูดขึ้นมาพร้อมกับยื่นมือไปจับมือของหนิงเอ๋อ
“ขอบใจเจ้ามากจริง
ๆ” หนิงเอ๋อพูดพร้อมกับร้องไห้ออกมา จากนี้ไปนางจะทำตัวให้สมกับเป็นสหายรักของจื่ออวิ๋น
ดั่งเช่นเมื่อครั้งยังเยาว์
“เรามาช่วยกันดูแลจนกว่า
เจ้าคนบ้าผู้นี้จะฟื้นขึ้นมา ชอบทำให้ผู้อื่นเป็นห่วงเสียจริง”
เอียจื่ออวิ๋นพูดพร้อมกับตบไปที่ใบหน้าของเนี่ยลี่เบา ๆ
“เจ้าอย่าได้ทำร้ายเขาสิ”
หนิงเอ๋อพูดขึ้นมา เมื่อเห็นจื่ออวิ๋นทำเช่นนั้น
“ดูเจ้าทำหน้าสิ
ข้าแค่ตบเขาเบา ๆ เท่านั้น เจ้าอ่อนโยนกับเขาถึงเพียงนี้ ระวังเอาไว้เถิด
เจ้าจะถูกเนี่ยลี่แกล้งเอาได้ เมื่อแต่งงานกับเขา” จื่ออวิ๋นพูดพร้อมกับหัวเราะ
“ถ้าเป็นเช่นนั้น
เจ้าในฐานะภรรยาเอกก็ช่วยเหลือข้าสิ” หนิงเอ๋อพูดขึ้นมา พร้อมกับใบหน้าที่แดงก่ำ
เมื่อได้ยินคำพูดของหนิงเอ๋อใบหน้าของเอียจื่ออวิ๋นก็แดงไม่แพ้กัน
“พวกเจ้าพูดอันใดกัน
ใครภรรยาเอก ใครภรรยารอง เหตุใดข้าจึงไม่ทราบเรื่องนี้?” เนี่ยลี่ลืมตาขึ้นมาพร้อมกับทำหน้าทะเล้น
เขานั้นแอบฟังนางทั้งสองคุยกันมาพักหนึ่งแล้ว
“นี่เจ้าฟื้นตั้งแต่เมื่อใดกัน?” เอียจื่ออวิ๋น และเซี่ยวหนิงเอ๋อพูดขึ้นด้วยความตกใจ
ทั้งสองคนรีบลุกขึ้น จากเดิมที่นั่งอยู่บนที่นอนของเนี่ยลี่คนละฝั่ง
เมื่อเห็นเช่นนั้น
เนี่ยลี่ก็รีบจับมือทั้งสองคนเอาไว้ และดึงมาโอบกอด
“ฟื้นตั้งแต่ที่ได้ยินเรื่องภรรยาเอก
ภรรยารอง ข้ายังไม่ได้เข้าพิธีแต่งงาน
แต่ไม่นึกเลยว่าจะมีภรรยารออยู่ถึงสองคนแล้ว” เนี่ยลี่พูดพร้อมกับหัวเราะ
ขณะที่เอียจื่ออวิ๋นดิ้นรนที่จะออกจากอ้อมกอดของเนี่ยลี่
แต่เซี่ยวหนิงเอ๋อนั้นยอมให้เนี่ยลี่กอดแต่โดยดี
หลังจากที่ดิ้นรนจนหลุดจากอ้อมแขนมาได้
เอียจื่ออวิ๋นก็ลุกขึ้นแล้วพูดว่า “อย่าได้ทำเช่นนี้กับข้าอีก
จากนี้ไปห้ามเจ้าแตะต้องตัวข้าก่อนที่จะได้เข้าพิธีแต่งงานกัน”
“ถ้าเช่นนั้นข้าทำกับหนิงเอ๋อคนเดียวก็ได้”
เนี่ยลี่แกล้งทำเป็นโอบกอบหนิงเอ๋อด้วยมือทั้งสองข้าง
หนิงเอ๋อทำได้เพียงปล่อยให้เนี่ยลี่กอด และมีใบหน้าที่แดงก่ำเท่านั้น
“หนิงเอ๋อ
เจ้าอย่าได้ยอมให้เขาทำเช่นนี้” เอียจื่ออวิ๋น
เข้าไปดึงตัวหนิงเอ๋อออกมาจากอ้อมกอดของเนี่ยลี่
“จากนี้ไปไม่ว่ากับข้าหรือหนิงเอ๋อ
เจ้าก็ห้ามทำเช่นนี้ เช่นนั้นการหมั้นหมายของเราเป็นอันยกเลิก”
เอียจื่ออวิ๋นพูดด้วยน้ำเสียที่จริงจัง ดูเหมือนว่านางจะต้องทำตัวให้ดุมากกว่านี้
ไม่เช่นนั้นแล้ว คงต้องตกเป็นเบี้ยล่างของเนี่ยลี่เป็นแน่
และนางจะต้องคอยปกป้องหนิงเอ๋ออีกด้วย
“ตกลง
ข้าก็แค่ล้อเล่นกับพวกเจ้าเท่านั้น หนิงเอ๋อ เจ้าช่วยไปตามทุกคนมาที
ข้ามีเรื่องสำคัญที่จะต้องบอกกับทุกคน” เนี่ยลี่หันไปทางหนิงเอ๋อและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“ข้าเข้าใจแล้ว”
หนิงเอ๋อพยักหน้า และพยายามทำสีหน้าให้เป็นปกติและออกไปตามคนอื่น ๆ
หลังจากที่หนิงเอ๋อเดินออกไป
เอียจื่ออวิ๋นเดินไปข้าง ๆ เนี่ยลี่ที่นอนอยู่ และพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“หลังจากที่เจ้ากับข้าแต่งงานกัน เจ้าจะต้องแต่งกับหนิงเอ๋อด้วย
หากเจ้าไม่ยอมรับในข้อตกลงนี้ ข้าก็จะไม่แต่งงานกับเจ้า”
“เจ้าคิดหรือว่าข้าจะปฏิเสธในเรื่องนี้”
เนี่ยลี่หัวเราะพร้อมกับทำหน้าทะเล้นและตอบกลับไป.........จบตอน