หลังจากที่เอียฮั่นจากไป เอียเซิ่งจึงเดินทางกลับกลับไปยัง
ตระกูลวิหคเพลิง และเห็นว่าพวกเขากำลังเก็บข้าวของ สมบัติต่าง ๆ ขึ้นรถม้า เพื่อเตรียมตัวเดินทางไปเมืองกลอรี่
ใบหน้าของพวกเขาต่างก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
เมื่อเห็นเอียเซิ่งกลับมาอย่างปลอดภัย
ตู่ซื่อก็รีบเดินไปหา ด้วยความรู้สึกโล่งใจ
“ท่านเอียเซิ่งไปยังนครใต้พิภพแล้วใด้พบกับสิ่งใดหรือไม่” ตู่ซื่อถามออกไป
พร้อมกับเชิญเอียเซิ่งมานั่งพักและรินน้ำชาให้
“ข้าได้พบกับเอียฮั่น
เจ้านั่นเป็นผู้ที่สังหารเจ้านครใต้พิภพ ข้าได้ยินคำพูดนี้จากปากของเขาเอง”
เอียเซิ่งตอบพร้อมกับถอนหายใจ ก่อนที่จะหยิบชาขึ้นมาดื่ม
“รายละเอียดพวกเราจะคุยกันหลังจากที่กลับถึงเมืองกลอรี่”
เอียเซิ่งพูดพร้อมกับวางถ้วยน้ำชาลงบนโต๊ะ สีหน้าของเอียเซิ่งมีความตรึงเครียดไม่น้อย
“บิดาข้าได้แจ้งให้คนในตระกูลรวบรวบข้าวของ
ที่สำคัญเตรียมขึ้นรถม้าทั้งหมดแล้ว เราสามารถออกเดินได้ได้เร็วกว่าที่คาดเอาไว้”
ฮวาหั่วพูดขณะที่เดินมาหาทั้งสองคน
“ถ้าเช่นนั้นเราก็รีบออกเดินทางกันเถิด
ข้าจะดูแลทางด้านหน้า พวกเจ้าทั้งสองคนคอยระวังทางด้านหลังเอาไว้”
เอียเซิ่งพูดพร้อมกับลุกยืนขึ้น และหันไปมองคนของตระกูลวิหคเพลิง
ดูแล้วมีคนราวหนึ่งพันคน และมียอดฝีมือที่เป็นชาวยุทธอยู่ราวร้อยคน
นับว่าเป็นตระกูลที่ใหญ่โตไม่น้อย
“ข้าจะรีบไปแจ้งแก่บิดาข้า
ท่านเอียเซิ่งโปรดรอสักครู่” ฮวาหั่วพูดกับเอียเซิ่งแล้วรีบ
วิ่งไปบอกแก่บิดาของนาง
หลังจากนั้นพวกเขาก็เริ่มออกเดินทาง
การเดินทางนี้ไม่อาจที่จะเร่งรีบได้มากนัก พวกเขาเดินทางลัดเลาะไปทางเทือกเขาบรรชน
และคอยหลบเลี่ยงพวกสัตว์อสูร เพื่อความปลอดภัย จึงต้องใช้เวลาในการเดินทางหลายวัน
จึงมาถึงหน้าประตูเมืองกลอรี่
สมาชิกของตระกูลวิหคเพลิงรู้สึกตื่นเต้นยิ่งนัก
ที่ได้เห็นกำแพงเมืองอันใหญ่โต หากอาศัยอยู่หลังกำแพงนี้
พวกเขาจะต้องปลอดภัยจากพวกสัตว์อสูรเป็นแน่
หลังจากที่เอียเซิ่งสั่งให้เปิดประตูเมือง
ก็ได้ให้ตู่ซื่อพาคนของตระกูลวิหคเพลิงไปพักผ่อน แม้ว่าที่พักของตระกูลซื่อจะไม่เพียงพอ
แต่ด้วยพื้นที่อันกว้างขวาง คนของตระกูลวิหคเพลิงก็สร้างที่พักชั่วคราวขึ้นมา
แม้จะลำบากไปบ้างเล็กน้อย แต่ก็ยังสะดวกสบายกว่าสถานที่ ที่พวกเขาจากมา
ตำหนักท่านเจ้าเมือง
เอียเซิ่งเรียกเนี่ยลี่และเหล่าสหายของเขามาเข้าพบ
ด้วยใบหน้าที่ตรึงเครียด เขาได้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแก่พวกเนี่ยลี่ฟัง
รวมถึงเรื่องที่เขาปล่อยให้เอียฮั่นหลบหนีไปด้วย
“ท่านพ่อตาอย่าได้กังวล
แม้ว่าท่านจะสังหารเขาไป เขาก็สามารถคืนชีพได้จากชะตาวิญญาณของเขา อย่างน้อย
พวกเราก็รู้ถึงเรื่องราวและเป้าหมายของเขาแล้ว” เนี่ยลี่พูดขึ้นมาพร้อมกับยิ้ม
หลังจากที่เห็นท่าทางที่เป็นกังวลของเอียเซิ่ง
“แล้วเจ้าคิดจะทำเช่นใด?” เอียเซิ่งมองหน้าเนี่ยลี่และถามขึ้นมา
“ไม่จำเป็นต้องทำสิ่งใด
ด้วยความสามารถของเอียฮั่นในเวลานี้ ไม่อาจที่จะเป็นภัยคุกคามเมืองกลอรี่ได้
ตราบเท่าที่พวกข้ายังอยู่ที่นี่ เช่นนั้นแล้ว
เราควรที่จะเตรียมงานมงคลให้ตู่ซื่อและฮวาหั่วก่อน”
เนี่ยลี่พูดพร้อมกับหัวเราะขึ้นมา
“เนื่องจากข้านั้นแต่งงานก่อนพวกเจ้า
จากนี้ไปจงนับถือข้าว่าเป็นพี่ใหญ่” ลู่เพียวลุกยืนขึ้น
และยืดอกพูดออกมาด้วยความภูมิใจ
“เจ้าพูดบ้าอันใดกัน
อย่าได้เสียมารยาทต่อหน้าท่านเอียมัวและท่านเอียเซิ่งเช่นนี้”
เซี่ยวซุ่ยรีบจับหูของลู่เพียวและจับเขานั่งลงตามเดิม
เมื่อเห็นเช่นนั้นทุกคนต่างก็หัวเราะออกมา แม้ว่าจะแต่งงานไปแล้ว
แต่ลู่เพียวกับเซี่ยวซุ่ยก็มิได้ต่างไปจากเดิมแม้แต่น้อย
เมื่อสามารถรับรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้ว
เขาก็มีความกังวลอยู่บ้าง แต่เขาก็ไม่แสดงออกมาให้ผู้ใดเห็น
เขาไม่ต้องการให้เอียเซิ่งกังวลมากนัก
แต่ท่าทีของเนี่ยลี่ก็ไม่อาจหลบพ้นสายตาของเอียจื่ออวิ๋นได้
หลังจากที่ พูดคุยกันจบ
เอียจื่ออวิ๋นดึงแขนของเนี่ยลี่ไปคุยกันเป็นการส่วนตัว
“เจ้าคิดที่จะทำเช่นใดต่อ
ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าไม่มีความกังวลในเรื่องของเอียฮั่น”
เอียจื่ออวิ๋นถามออกมาด้วยสีหน้าที่จริงจัง
“ที่ข้ากังวลในตอนนี้
พี่น้องของข้ากำลังจะแต่งงานกันแล้วทั้งสองคน แล้วเมื่อไหร่กันที่จะถึงพิธีของเรา”
เนี่ยลี่ทำหน้าทะเล้นและตอบกลับไป
“หากเจ้ายังไม่เลิกปิดบังข้า
วันนั้นจะไม่มีวันที่มาถึง” เอียจื่ออวิ๋นพูดขึ้นมาด้วยความไม่พอใจ
ตอนนี้นางนั้นเติบใหญ่แล้ว จึงไม่กระทืบเท้าด้วยความโมโหดั่งเช่นในอดีต
“ข้าก็มิได้ปิดบังอันใดเจ้า
บิดาข้าเองก็พูดว่าต้องการที่จะอุ้มหลาน ข้ากังวลเพียงเรื่องนี้เท่านั้น”
เนี่ยลี่แกล้งไขสือ และแสร้งทำว่าเป็นกังวล
“เนี่ยลี่
ข้านั้นเป็นคู่หมั้นเจ้า เหตุใดข้าจะไม่รู้ว่าเจ้ามีเรื่องปิดบัง
หากเจ้าไม่ยอมพูดความจริงกับข้า ข้าจะขอให้ท่านพ่อยกเลิกการหมั้นหมายกับเจ้า”
เอียจื่ออวิ๋นพูดขึ้นมาและเดินหันหลังกลับไป
“ช้าก่อน จื่ออวิ๋น!” เนี่ยลี่รีบจับแขนนางเอาไว้ เขาจะไม่ยอมให้นางทำเช่นนั้นเป็นแน่
“ข้าเองก็เป็นหนึ่งในผู้สืบทอดของจักรพรรดิคงหมิง
หากเอียฮั่นคิดที่จะรวบรวมมรดกของจักรพรรดิคงหมิง สักวันเขาต้องเดินทางมาหาข้าเอง”
เนี่ยลี่พูดพร้อมกับถอนหายใจ
“เหตุใดเจ้าจึงไม่บอกเรื่องนี้แก่คนอื่น?” เอียจื่ออวิ๋นพูดขึ้นมาด้วยความกังวล
“ไม่มีความจำเป็นที่ต้องบอกเรื่องนี้
เอียฮั่นนั้นรู้ถึงความแข็งแกร่งของท่านพ่อตาแล้ว
จนกว่าเขาจะมีระดับพลังที่ก้าวล้ำเกินกว่าท่านพ่อตา
เขาจะไม่เดินทางมาที่เมืองกลอรี่เป็นแน่” เนี่ยลี่ส่ายหน้าและพูดออกไป
หากเอียฮั่นจะบุกมา
เขาต้องมีความแข็งแกร่งไม่น้อยกว่าระดับวิถีแห่งมังกร
เมื่อชะตาวิญญาณทั้งเก้าของเอียฮั่นรวมเป็นหนึ่ง
นั่นจะเป็นเวลาที่เหมาะสมในการกำจัดเขา
“ข้าเข้าใจแล้ว
เช่นนั้นก็จงปล่อยมือข้าได้แล้ว” เอียจื่ออวิ๋นพูดขึ้นมาพร้อมกับถอนหายใจ
“แล้วเรื่องงานมงคลของเราเล่า”
เนี่ยลี่จับมือของเอียจื่ออวิ๋นอย่างอ่อนโยนและพูดออดอ้อน
“อยากจัดเมื่อไหร่ก็จงแล้วแต่เจ้า”
เอียจื่ออวิ๋นสะบัดมือออกแล้วรีบวิ่งออกไป
ใบหน้าของนางนั้นแดงระเรื่อด้วยความเขินอายยิ่งนัก
เมื่อเห็นเช่นนั้นเนี่ยลี่จึงยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
“หากข้าจัดการเรื่องทั้งหมดจบแล้ว
ข้าจะจัดงานให้สมเกียรติของเจ้า” เนี่ยลี่พูดขึ้นมาเบา ๆ
ทางด้านหลังของหุบเขาบรรพชน ที่อยู่ห่างจาก
นครใต้พิภพไม่ไกลนัก
เอียฮั่นหลบรักษาอาการบาดเจ็บในถ้ำเล็ก ๆ ที่นี่
เขารับรู้แล้วว่าความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ยังไม่พอที่จะเอาชนะเอียเซิ่งได้
หากเอียเซิ่งยังแข็งแกร่งถึงเพียงนี้
ก็เป็นไปได้ว่าอาจจะมีคนที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเอียเซิ่งอยู่ที่เมืองกลอรี่เป็นแน่
ทันใดนั้น
เอียฮั่นก็สัมผัสได้ถึงพลังระดับชะตาสวรรค์ขั้นที่ห้าขึ้นมาที่หน้าถ้ำ
ดูเหมือนว่าจะมีคนผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นมา
“ไม่มี, ปลายทาง, เมื่อ, ไม่มี, จุดเริ่มต้น , ไม่มี, จุดเริ่มต้น, ก็, ไม่มี, จุดสิ้นสุด” เสียงของคนผู้นั้นพูดขึ้นมา ทำให้เอียฮั่นรู้สึกตกใจไม่น้อย
“จะ...เจ้าเป็นผู้ใดกัน?” เอียฮั่นตะโกนออกไป จากพลังที่สัมผสได้
คนผู้นี้มีระดับพลังที่ต่ำกว่าเขา แต่ด้วยอาการบาดเจ็บของเขา
การที่จะรับมือคนผู้นี้อาจจะไม่ใช่เรื่องที่ง่ายนัก
“ข้าก็เป็นเช่นเจ้า
ผู้สืบทอดมรดกของจักรพรรดิคงหมิง ส่วนชื่อของข้าคือ โหวไป่” [猴白:วานรขาว] คนผู้นั้นตอบกลับมา
พร้อมกับค่อย ๆ เดินเข้ามาข้างในถ้ำที่เอียฮั่นหลบซ่อนอยู่
“เจ้ามาหาข้าด้วยเรื่องอันใดกัน?” เอียฮั่นพูดออกไป แม้ว่าเขาจะรู้อยู่แก่ใจ แต่ก็ถามออกไป
“หึหึหึ
เจ้าเองก็เป็นผู้สืบทอดมรดกของจักรพรรดิคงหมิง
ข้าไม่จำเป็นที่จะต้องตอบเจ้าก็คงจะรู้คำตอบอยู่แล้ว” โหวไป๋เดินเข้ามาจนเห็นใบหน้าอย่างชัดเจน
เขาเป็นชายชราตัวเล็ก ๆ เขามีผมสีขาวเต็มทั้งหัว
แต่ฟูฟ่องราวกับไม่เคยได้รับการหวี และร่างกายที่เปลือยเปล่า หากไม่สังเกตุให้ดี
คงจะมองเห็นเขาเป็นเพียงลิงที่มีขนสีขาวเท่านั้น
การที่โหวไป่ได้เป็นผู้สืบทอด เนื่องจากเขาได้ไปพบกับอักษรทั้งสิบที่แกะสลักไว้โดยบังเอิญ ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากที่ เทพธิดายู่หยานได้สังหารกงหยาน (ผู้สืบทอดที่เป็นแค่ดวงวิญญาณ) แต่เนื่องจากเทพธิดายู่หยานเป็นเทพวิญญาณ จึงไม่อาจที่จะเป็นผู้สืบทอดมรดกของจักรพรรดิคงหมิงได้ ทำให้ตัวอักษรกลับไปหาผู้สืบทอดคนใหม่แทน
การที่โหวไป่ได้เป็นผู้สืบทอด เนื่องจากเขาได้ไปพบกับอักษรทั้งสิบที่แกะสลักไว้โดยบังเอิญ ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากที่ เทพธิดายู่หยานได้สังหารกงหยาน (ผู้สืบทอดที่เป็นแค่ดวงวิญญาณ) แต่เนื่องจากเทพธิดายู่หยานเป็นเทพวิญญาณ จึงไม่อาจที่จะเป็นผู้สืบทอดมรดกของจักรพรรดิคงหมิงได้ ทำให้ตัวอักษรกลับไปหาผู้สืบทอดคนใหม่แทน
“อย่าใด้โกรธแค้นข้าเลย
เจ้าเด็กหนุ่ม นี่คือชะตากรรมของผู้สืบทอดมรดกของจักรพรรดิคงหมิงที่อ่อนแอ” โหวไป๋พูดพร้อมกับสวมถุงมือที่ดูราวกับกรงเล็บของมังกร
และพุ่งเข้าหาเอียฮั่นที่บาดเจ็บอยู่
“เจ้าลิงโง่!” เอียฮั่นใช้มือดึงเชือกที่ซ่อนอยู่ด้านหลังเขา
ทันใดนั้นก็มีหอกและธนูพุ่งออกมาจากด้านข้าง เอียฮั่นนั้นได้แอบทำกับดักเอาไว้ก่อนแล้ว
ซึ่งหอกและลูกธนูเหล่านี้ถูกอาบไปด้วยลมปราณระดับชะตาสวรรค์ขั้นที่เก้าของเอียฮั่นเอาไว้
ฟุ่บ
ฟุ่บ ฟุ่บ
“อ๊ากกก”
หอกและธนูดันแหลมคมพุ่งปัก
โหวไป่อย่างรวดเร็ว แม้จะไม่ถึงแก่ชีวิตแต่ก็ทำให้เขาบาดเจ็บไม่น้อย เอียฮั่นค่อย
ๆ ลุกเดินไปหาโหวไป่ พร้อมกับหยิบหอกออกขึ้นมา
“ยะ...อย่าสังหารข้า” โหวไป๋ยกมือร้องของชีวิต
“ลงไปอ้อนวอนกับนรกซะ!” เอียฮั่นแทงหอกไปที่หน้าอกของโหวไป๋ จนทะลุ
ทันใดนั้น
ร่างกายของโหวไป๋ก็เปร่งแสงและตักอักษรสองตัวก็ลอยขึ้นมาและลอยเข้าหาตัวเอียฮั่น
ดูเหมือนว่า เมื่อผู้สืบทอดมรดกของจักรพรรดิคงหมิงสังหารกันเอง จะได้รับตัวอักษรมา
แม้ว่าผู้ที่ถูกสังหารจะเก็บชะตาวิญญาณของตนเองซ่อนไว้
แม้จะคืนชีพได้แต่ก็ตัวอักษรก็ถูกแย่งชิงไปแล้ว
เอียฮั่นรีบนั่งสมาธิแล้วทำความเข้าใจกับตัวอักษรที่ได้รับมา
โดยการนั่งท่องถ้อยคำทั้งสิบ
ราวกับว่าห้วงขอบเขตวิญญาณของเขาจะระเบิดออกมันขยายขึ้นไปอีกหลายเท่า
และมีดวงดาราปรากฏขึ้นที่ชะตาวิญญาณของเขา ถึงเก้าดวง
การได้รับตัวอักษรอีกสองตัวทำให้เอียฮั่นบรรลุถึงขั้นดาราสวรรค์ขั้นที่เก้าในทันที
พลังจากตัวอักษรนี้ชั่งเหลือล้นยิ่งนัก สามารถทำให้ผู้ที่ครอบครองเพิ่มขึ้นได้ถึงสิบขั้น
เนื่องจากเอียฮั่นใช้เวลาเกือบสองปีในการท่องและทำความเข้าใจ
ในตัวอักษรทั้งสิบ พลังที่ได้รับจากตัวอักษรจึงเหนือล้ำกว่าเนี่ยลี่ยิ่งนัก
และหากสามารถรวบรวมตัวอักษรทั้งสิบได้
ก็จะสามารถบรรลุถึงระดับเทพสงครามขั้นสูงสุดได้ และจะได้พบกับจักรพรรดิคงหมิง
หลังจากที่ได้รับพลังจากตัวอักษรอีกสองตัว
อาหารบาดเจ็บของเอียฮั่นก็หายสนิท เอียฮั่นหัวเราะด้วยความชอบใจ เขาจะต้องไปตามล่า
ผู้สืบทอดมรดกของจักรพรรดิคงหมิงคนที่เหลือ เมื่อเขาได้ครอบครองตัวอักษรถึงสี่ตัว
เขาจึงสามารถรับรู้ถึงที่อยู่ของอีกสามคนที่เหลือได้
และหนึ่งในนั้นอยู่ที่เมืองกลอรี่
“แม้ข้าจะไม่รู้ว่ามันเป็นผู้ใด
แต่เมื่อข้ารวบรวมตัวอักษรได้ครบแปดตัว เมืองกลอรี่จะที่ ที่สุดท้ายที่ข้าจะบุกไป”
เอียฮั่นพูดขึ้นมาด้วยความโกรธแค้น
ก่อนที่จะมุ่งหน้าไปยังอีกสองจุดที่เหลือ................จบตอน