หลังจากผ่านพ้นงานแต่งงานของลู่เพียว เนี่ยลี่ได้ไปพูดคุยกับท่านเอียมัว
และ เอียเซิ่ง เรื่องการหาสถานที่เก็บชะตาวิญญาณ
“ในนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์มีการเก็บไว้ที่ห้องโถงวิญญาณ
เจ้าจะให้ข้าทำเช่นนั้นหรือไม่?” เอียเซิ่งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดออกไป
“เมืองกลอรี่
ผู้ที่บรรลุถึงระดับชะตาสวรรค์ คงจะมีเพียงท่านเอียมัว ท่านพ่อตา และ เสี่ยวหยู่ น้องสาวข้าเท่านั้น การสร้างห้องโถงวิญญาณขึ้นมา คงจะใหญ่โตเกินไป
การปกป้องก็จะยากลำบากขึ้นไปอีกด้วย” เนี่ยลี่ส่ายหน้าและตอบกลับไป
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าคิดว่าควรจะทำเช่นใด?” เอียมัวจับเคราของเขาและถามขึ้นมา
“ข้าต้องการให้ท่านพ่อตาสร้างห้องลับขึ้นมา
เพื่อเก็บชะตาวิญญาณเอาไว้ และผู้ที่สามารถบรรลุระดับชะตาสวรรค์
ข้าต้องการให้มีเพียง ท่านเอียมัว ท่านพ่อตา และเสี่ยวหยู่ น้องข้าเท่านั้น”
เนี่ยลี่ตอบกลับไป เพียงแค่สามคนที่เขาไว้ใจ
ก็เพียงพอที่จะปกป้องเมืองกลอรี่จากภัยคุกคามต่าง ๆ ได้แล้ว
“ที่ห้องพักของข้าก็มีห้องลับที่ไม่ผู้ใดล่วงรู้
จะใช้ที่นั่นก็ได้” ท่านเอียมัวพูดขึ้นมาหลังจากที่คิดขึ้นมาได้
“เช่นนั้นก็วิเศษนัก
รบกวนท่านเอียมัวพาข้าไปยังห้องลับจะได้หรือไม่?”
เนี่ยลี่พูดขึ้นด้วยความยินดี หากต้องสร้างห้องลับขึ้นมาใหม่คงต้องใช้เวลาไม่น้อย
และความลับอาจจะรั่วไหลได้
หลังจากนั้นเอียมัวก็พาเนี่ยลี่และเอียเซิ่งไปยังห้องลับ
ที่อยู่ในห้องพักของเขา เมื่อเข้าไปแล้วเป็นห้องที่กว้างพอ ๆ กับห้องพักใหญ่ ๆ
สักห้อง
“ข้าไม่เคยรู้มาก่อนว่าที่ห้องของท่าน
มีที่เช่นนี้อยู่ด้วย ถ้าเช่นนั้นข้าคงต้องขอเอาชะตาวิญญาณมาฝากไว้ที่ห้องนี้แล้ว”
เอียเซิ่งพูดขึ้นมา พร้อมกับเคลื่อนชะตาวิญญาณจากห้วงขอบเขตวิญญาณมาไว้ในมือ ก่อนที่จะนำไปวางไว้บนโต๊ะที่อยู่ในห้องลับ
“ท่านเอียมัวเองก็สามารถสร้างชะตาวิญญาณดวงที่สองได้แล้ว
ลองนำออกมาและเก็บในไว้ที่แห่งนี้ หากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดกับท่าน
ท่านก็สามารถกลับคืนชีพ ที่ห้องแห่งนี้ได้” เนี่ยลี่หันไปพูดกับเอียมัว
“ข้าเข้าใจแล้ว”
เอียมัวพยักหน้าตอบกลับไป ในตอนนี้เขานั้นบรรลุระดับชะตาสวรรค์ขั้นที่สองแล้ว
เขาจึงนำชะตาวิญญาณออกมาไว้บนฝ่ามือดั่งที่เอียเซิ่งทำ และนำไปวางไว้คู่กัน
ชะตาวิญญาณทั้งสองมีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
ของเอียมัวนั้นเป็นเพียงดวงไฟที่ไร้สีธรรมดาเท่านั้น แต่ของเอียเซิ่งตรงใจกลางของดวงไฟมีผลึกแก้วอยู่ตรงใจกลาง
และมีดวงดาราเป้นประกายอยู่โดยรอบ
ซึ่งสิ่งนี้คือสิ่งที่เรียกว่าแก่นแท้แห่งชะตาวิญญาณ
เทียบได้กับจันทราที่มีดวงดาราทั้งเก้าส่องแสงอยู่โดยรอบ
ผู้ที่บรรลุถึงขั้นแก่นแท้แห่งสวรรค์เท่านั้นจึงจะมีได้
หลังจากนั้น
ทั้งสามคนก็กลับออกมาจากห้องลับ และแยกย้ายกันไป
วันต่อมา เอียเซิ่ง
ตู่ซื่อ และฮวาหั่วก็ได้ออกเดินทางไปยังนครใต้พิภพ
เนื่องจากครอบครัวของฮวาหั่วอาศัยอยู่ไม่ไกลจากนครใต้พิภพมากนัก
เนี่ยลี่นั้นขอให้เอียเซิ่งหยุดการบ่มเพาะพลัง
หลังจากที่บรรลุระดับแก่นแท้แห่งสวรรค์ขั้นที่เก้า เพื่อที่จะสามารถคืนชีพได้
ความแข็งแกร่งเพียงเท่านี้ ก็ไม่มีผู้ใดที่เป็นภัยต่อเอียเซิ่งแล้ว
เนี่ยลี่ได้ให้ทั้งสามคนพกศิลาเร้นเมฆาหลายชิ้น เพื่อปิดกั้นพลังให้อยู่ในระดับตำนานเท่านั้น
หากพบเจอกับศัตรู จะทำให้ศัตรูนั้นเกิดความประมาทและเผยตัวออกมา
หลังจากใช้เวลาเดินทางเกือบหนึ่งวัน
ก็เดินทางมาถึง หมู่บ้านของตระกูลวิหคเพลิงของฮวาหั่ว เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ
ที่มีราวร้อยหลังคาเรือน ถูกปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกและฝุ่นละออง
เพื่อปิดบังไม่ให้สัตว์อสูรพบเจอได้ง่ายนักก
ฮวาหั่วได้เชิญเอียเซิ่งและตู่ซื่อไปพบกับผู้นำตระกูลวิหคเพลิง
ฮวาเหยียนหั่ว [พลุดอกไม้]
ภายในห้องโถงที่กว้างใกญ่ของตระกูลวิหคสวรรค์
แม้ว่าไม่อาจที่จะเทียบได้กับถ้องโถงใหญ่ของตำหนักเจ้าเมือง
แต่ก็นับว่าโอ่โถงไม่น้อย
“คารวะท่านผู้นำตระกูลฮวาเหยียนหั่ว ข้าคือเอียเซิ่ง
เจ้าเมืองกลอรี่ที่อยู่ห่างออกไปจากที่นี่ราวร้อยลี้ วันนี้ข้ามาเป็นเถ้าแก่เพื่อขอหมั้นหมายฮวาหั่วบุตรสาวของท่านให้แก่
ตู่ซื่อหลานชายข้า เขาคือทายาทของหนึ่งในเก้าตระกูลหลักของเมืองกลอรี่” เอียเซิ่งประสานมือ
และโน้มตัวพูดออกไป เขานั้นมาในฐานะเถ้าแก่สู่ขอหญิงสาวให้แก่ตู่ซื่อ
หาได้มาในฐานะท่านเจ้าเมืองไม่ ด้วยท่าทีที่มีมารยาท
ทำให้ฮวาเหยียนหั่วรู้สึกยินดียิ่งนัก
“เชิญท่านเจ้าเมืองทำตัวตามสบาย
ข้าเคยได้ยินว่ามีเมืองใหญ่ที่อยู่ห่างออกไป ไม่คิดว่าผู้เป็นเจ้าเมืองเช่นท่าน
จะลดตัวเดินทางมาถึงดินแดนที่ห่างไกลเช่นนี้” ฮวาเหยียนหั่วยื่นมือออกไป และพูดให้การต้อนรับเป็นอย่างดีเช่นกัน
“ขออภัยที่บิดาและมารดาข้าหาใช่ชาวยุทธ
จึงไม่อาจเดินทางมาด้วยตัวเอง
ข้าจึงต้องรบกวนให้ท่านเจ้าเมืองมาเป็นเถ้าแก่ในการสู่ขอ
และนี่ของหมั้นที่ข้าได้เตรียมมาขอรับ”
ตู่ซื่อประสานมือพูดด้วยความนอบน้อมพร้อมกับนำสินสอดทองหมั้นมาจากแหวนห้วงมิติของเขา
ซึ่งประกอบไปด้วยผ้าไหมหลายร้อยพับและสุรามงคลอีกหลายร้อยไห
ซึ่งของเหล่านี้เป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจสำหรับตระกูลวิหคเพลิงยิ่งนัก
“สำหรับข้าแล้ว
ความพึงพอใจของบุตรสาวข้าคือเรื่องที่สำคัญที่สุด
หากนางไม่ปฏิเสธข้าเองก็สามารถยอมรับได้” ฮวาเหยียนหั่วพูดพร้อมกับหันไปมองที่ฮวาหั่ว
“ข้านั้นยินดีค่ะท่านพ่อ”
ฮวาหั่วก้มหน้าพูดด้วยความเขินอาย
“ถ้าเช่นนั้น
ข้าก็มีเรื่องที่ต้องการพูดคุยกับท่านฮวาเหยียนหั่ว เล็กน้อย” เอียเซิ่งพูดขึ้นมาด้วยท่าทีที่จริงจังเล็กน้อย
“ท่านมีเรื่องอันใดอีก
เชิญพูดมาได้” ฮวาเหยียนหั่วผายมือตอบกลับไป
“หากท่านฮวาเหยียนหั่วไม่รังเกียจ
ข้าต้องการที่จะเชิญให้พวกท่าน ไปอยู่ที่เมืองกลอรี่ ยามที่บุตรสาวท่านแต่งงาน
จะได้ไปมาหาสู่กันได้สะดวก เมืองกลอรี่ยังมีพื้นที่ว่างอยู่อีกมาก เพียงพอที่จะให้ทุกคนในหมู่บ้านนี้ไปอยู่ได้อย่างไม่ลำบาก”
“ท่านพูดจริงใช่หรือไม่?” ฮวาเหยียนหั่วถามออกไปด้วยความตกใจ
การที่พวกเขาต้องอยู่ในดินแดนแห่งนี้เนื่องจาก
การหาที่ที่ปลอดภัยจากสัตว์อสูรนั้นหาได้ยากยิ่งนัก
“ข้าเป็นถึงเจ้าเมืองจะพูดจาล้อเล่นในเรื่องพวกนี้ได้อย่างไรกัน
หากพวกท่านยินดีที่จะไปอาศัยอยู่ที่เมืองกลอรี่
ในอีกสองวันก็สามารถออกเดินทางไปกลับไปพร้อมกับพวกข้าได้” เอียเซิ่งยืดอกพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“น้ำใจของท่านเจ้าเมืองข้าคงต้องขอรับไว้ด้วยความยินดี”
ฮวาเหยียนหั่วลุกยืนขึ้นและประสานมือ ก้มหัวพร้อมกับตอบกลับไป
บุตรสาวได้คู่ครองที่เหมาะสม
ตระกูลมีที่พักพิง เพียงเท่านี้ยามที่เขาสิ้นลม
ก็สามารถเผชิญหน้ากับเหล่าบรรพชนได้อย่างภาคภูมิ
“ถ้าเช่นนั้น
ข้าขอฝากหลานชายข้าให้พักอยู่กับท่านไปก่อน ส่วนข้าต้องการที่จะออกไปสำรวจนครใต้พิภพสักเล็กน้อย”
เอียเซิ่งพูดขึ้นมา หลังจากที่คิดอยู่ครู่หนึ่ง จริง ๆ
แล้วเขาตั้งใจที่จะมาสำรวจนครใต้พิภพแต่แรกอยู่แล้ว
“ท่านต้องการให้ข้าเดินทางไปด้วยหรือไม่?” ตู่ซื่อหันมาพูดกับเอียเซิ่งด้วยความกังวล
“เจ้ากับฮวาหั่วจะต้องคอยดูแลผู้คนจำนวนมาก
และเตรียมการเคลื่อนย้ายคนทั้งหมู่บ้าน ข้าต้องการแค่ไปสำรวจเล็กน้อยเท่านั้น
ด้วยระดับพลังของข้า เจ้าไม่จำเป็นที่จะต้องกังวล” เอียเซิ่งโบกมือปฏิเสธ
“ถ้าเช่นนั้นโปรดระวังตัวด้วย”
ตู่ซื่อพูดพร้อมกับถอนหายใจ
หลังจากนั้นเอียเซิ่งก็เดินทางไปยังนครใต้พิภพ
และไปที่หุบเหวตามคำบอกกล่าวของเนี่ยลี่
“ข้าไม่คิดเลยว่าจะได้เจอท่านพ่อบุญธรรมที่นี่”
มีเสียงดังขึ้นมาจากใต้หุบเหว และมีคนผู้หนึ่งทะยานขึ้นมา
“เอียฮั่น! เป็นเจ้าจริง ๆ สินะที่สังหารเจ้านครใต้พิภพ?” เอียเซิ่งพูดออกไปด้วยความตกใจ เมื่อได้เจอกับเอียฮั่น ณ ที่แห่งนี้
“ถ้าหากเป็นข้าแล้วจะเป็นเช่นใด
บัดนี้ข้าคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดบนโลกใบนี้
ข้าสามารถทำทุกอย่างได้อย่างที่ใจข้าคิด เดิมทีข้าเองก็คิดที่จะไปสังหารท่าน
เพื่อยึดครองเมืองกลอรี่ เมื่อท่านมารนหาที่ตายถึงนี่ ก็นับว่าสะดวกยิ่งขึ้น”
เอียฮั่นยืนกอดอกพูดขึ้นมาพร้อมกับหัวเราะ
“เหตุใดเจ้าจึงยังหลงผิด และยึดติดกับเรื่องนี้นัก”
เอียเซิ่งพูดพร้อมกับถอนหายใจ
“เจ้าไม่มีสิทธิ์ที่จะมาพูดเช่นนี้กับข้า
เจ้าลืมไปแล้วเช่นนั้นหรือ เจ้านั้นเลี้ยงดูข้าเพื่อให้สืบทอดตำแหน่งเจ้าเมือง
แต่หลังจากที่เจ้าเนี่ยลี่ปรากฏตัวขึ้นมา ท่านก็ไม่เคยสนใจข้าอีกเลย” เอียฮั่นชี้ที่หน้าเอียเซิ่งและพูดขึ้นมาด้วยความเจ็บแค้น
“เรื่องนี้ข้ายอมรับผิด แต่ตำแหน่งเจ้าเมืองนั้น
สมควรที่จะมอบให้ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด และคนผู้นั้นก็ไม่ใช่เจ้า” เอียเซิ่งตอบกลับไป
หลังจากที่ยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งด้วยคำพูดของเอียฮั่น
“ถ้าเมื่อสองปีก่อนก็คงเป็นเช่นนั้น
เจ้าสัมผัสถึงกลิ่นอายลมปราณจากตัวข้าได้หรือไม่
มันก้าวล้ำเกินกว่าระดับตำนานยิ่งนัก นี่คือระดับที่เรียกว่าชะตาสวรรค์ขั้นสูงสุด
อีกแค่ก้าวเดียวข้าก็จะบรรลุระดับดาราสวรรค์แล้ว” เอียฮั่นผายมือสองข้างออกมา
พร้อมกับปลดปล่อยลมปราณของเขาออกมา พร้อมกับหัวเราะ
คลื่นลมปราณอันรุนแรงเข้าปะทะกับร่างกายของเอียเซิ่ง
และพัดฝุ่นบนพื้นให้กระจายออกมา
“ข้าขอถามเจ้าได้หรือไม่
ว่าเจ้านั้นเรียนรู้ระดับพลังขั้นนี้มาจากผู้ใด” เอียเซิ่งถามออกไป
ในตอนนี้เขานั้นใช้ศิราเร้นเมษาปิดกั้นพลังเหลือเพียงระดับตำนาน
เอียฮั่นจึงไม่อาจที่จะสัมผัสพลังที่แท้จริงของเขาได้
“ข้าจะบอกให้เป็นของขวัญก่อนที่จะส่งเจ้าลงนรก”
เอียฮั่นพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเย้ยหยัน
“ราวสองปีก่อน
ข้าพลาดท่าเจ้าเนี่ยลี่ ทำให้ตกลงไปในเหวลึกนี้ ข้านั้นได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่สวรรค์ยังมีตา
ให้ข้าได้พบกับยอดฝีมือผู้หนึ่งที่อยู่ใต้เหวลึกนี้
เขานั้นรักษาข้าและบอกเล่าเรื่องให้ข้าฟังมากมาย” เอียฮั่นค่อย ๆ เล่าอย่างช้า ๆ
“คนผู้นั้นเรียกตัวเองว่า
ทายาทแห่งจักรพรรดิคงหมิง เขานั้นมีความแข็งแกร่งระดับชะตาสวรรค์ขั้นที่หนึ่ง
แต่ขาของเขานั้นพิการจึงไม่อาจขึ้นจากเหวลึกนี้ได้ เขาได้มอบศิลาจิตวิญญาณหลายพันก้อนให้แก่ข้า
และสอนให้ข้าดูดซับพลังสวรรค์ โดยแลกเปลี่ยนกับการที่ให้ข้าพาเขาออกไปจากหุบเหวลึกนี้”
เอียฮั่นพูดขึ้นมาพร้อมกับหัวเราะ
“แล้วตอนนี้ทายาทแห่งจักรพรรดิคงหมิงนั้นอยู่ที่ใดกัน? ” เอียเซิ่งอดไม่ได้ที่จะถามออกไป
“ข้ายังเล่าไม่จบ
หลังจากที่ข้าบรรลุระดับชะตาสวรรค์ เจ้าแก่นั่นก็บอกความลับสำคัญแก่ข้า
มันได้สลักมรดกที่จักรพรรดิคงหมิงทิ้งเอาไว้ และเขียนเรื่องราวอื่น ๆ อีกมากมาย ไว้บนผนังด้วยอักษรของอาณาจักรกล้วยไม้ศักดิ์สิทธิ์โบราณ และได้สอนภาษาของนครกล้วยไม้ศักดิ์สิทธิ์แก่ข้า
หลังจากที่ข้าสามารถอ่านอักษรเหล่านั้นได้ ข้าจึงทราบว่าเมื่อทายาทแห่งจักรพรรดิคงหมิงนั้นสามารถเข้าใจมรดกที่จักรพรรดิคงหมิงทิ้งเอาไว้
ก็จะสามารถบรรลุระดับพลังที่เกินกว่าจะจินตนาการได้
ผู้สืบทอดแต่ละคนจะเข้าใจได้คนละส่วน แต่หากสามารถสังหารผู้สืบทอดคนอื่น ๆ ได้
ก็จะได้รับสืบทอดมรดกที่ว่าจากคนที่ถูกสังหารได้
เมื่อข้าได้ยินเช่นนั้นจึงไช้มีดปักเข้าที่หัวใจของเจ้าแก่นั่น
และได้กลายเป็นทายาทแห่งจักรพรรดิคงหมิง
หลังจากนั้นข้าก็ใช้เวลาถึงสองปีในการการฝึกฝนจนบรรลุระดับชะตาสวรรค์ขั้นที่เก้า
ฮ่าฮ่าฮ่า” เอียฮั่นพูดพร้อมกับหัวเราะด้วยความยินดี
“แม้แต่ผู้ที่ช่วยชีวิตเจ้า
เจ้าก็สามารถสังหารได้โดยที่ไม่มีความละอายใจแม้แต่น้อย
ข้าไม่เคยสั่งสอนเจ้าเช่นนี้ เหตุใดจึงหลงผิดได้ถึงเพียงนี้” เอียเซิ่งมองไปที่ใบหน้าของเอียฮั่น
และพูดพร้อมกับถอนหายใจ
“บนโลกนี้ผู้ที่มีระดับพลังขั้นสูงสุดมีเพียง
จ้าวนครใต้พิภพ ซึ่งข้าก็ก้าวล้ำเกินกว่าเขาไปแล้ว
จากนี้ไปข้าจะเป็นผู้ปกครองโลกนี้” เอียฮั่นพูดขึ้นมาพร้อมกับหัวเราะ
“ข้าเคยสั่งสอนเจ้าเอาไว้แล้วไม่ใช่หรือ
เหนือฟ้ายังมีฟ้า จงอย่าได้ทะนงตน” เอียเซิ่งเก็บศิลาเร้นเมฆาเอาไว้ในแหวนห้วงมิติและปลดปล่อยลมปราณที่แท้จริงของเขาออกมา
เอียฮั่นที่สัมผัสได้ถึงพลังนั้น
ก็รู้สึกตกใจยิ่งนัก พลังนี้เหนือกว่าเขานับร้อยเท่า
“นี่คือพลังในระดับแก่นแท้แห่งสวรรค์! วันนี้ข้าจะสั่งสอนเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย” เอียเซิ่งพูดจบ ก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วไปยืนอยู่ตรงหน้าเอียฮั่นและใช้หลังมือตบเข้าที่ใบหน้าของเอียฮั่นอย่างรุนแรง
จนเลือดไหลออกมาจากริมฝีปากของเอียฮั่น
“ข้าไม่คิดเลยว่าคนแก่เช่นเจ้าจะแข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้
” เอียฮั่นเช็ดเลือดที่ริมฝีปากพร้อมกับพูดขึ้นมา
หลังจากนั้นเขาก็เรียกจิตอสูรมังกรพสุธาเขาทองคำออกมาผสานในทันที
“ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะยังใช้จิตอสูรที่ได้รับไปจากข้า”
เอียเซิ่งส่ายหน้าและพูดออกไป
จิตอสูรตนนี้เขาได้เป็นผู้มอบให้แก่เอียฮั่นเมื่อหลายปีก่อน
“ทะลายปฐพี!” เอียฮั่นที่ผสานเข้ากับจิตอสูรมังกรพสุธาเขาทองคำใช้มือขนาดใหญ่ทุบลงไปที่พื้นดินอย่างรุนแรง
ทำให้พื้นดินแตกออกและมีฝุ่นควันขึ้นมาปกคลุมจนทำให้เอียเซิ่งมองไม่เห็น
“แม้จะมองไม่เห็นข้าก็สามารถที่จะสังหารเจ้าได้”
เอียเซิ่งปลดปล่อยลมปราณพุ่งกระแทกเข้าไปในฝุ่นควันที่บดบังอยู่นั้น
เขาสามารถสัมผัสถึงตำแหน่งที่เอียฮั่นยื่นอยู่ได้อย่างชัดเจน
จากกลิ่นอายลมปราณที่แผ่ออกมา
พลังลมปราณที่พุ่งออกไปจากจากมือเอียเซิ่งกระแทกเข้ากับหน้าอกของเอียฮั่นอย่างจัง
ทำให้เขานั้นคลายการผสานร่าง พร้อมกับกระอักเลือดออกมา
“ข้าจะเห็นแก่ความสัมพันธ์ในอดีตจะปล่อยเจ้าไปสักครั้ง
จงออกไปจากหุบเขาบรรพชน และอย่าได้กลับมาอีก” เอียเซิ่งพูดพร้อมกับถอนหายใจ
เขายังคงห่วงใยเอียฮั่น จึงไม่อาจที่จะทำใจสังหารเอียฮั่นได้
“เมื่อข้าได้ครอบครองมรดกที่จักรพรรดิคงหมิง
มากกว่านี้ ข้าจะกลับมาชำระแค้นทั้งหมดคืน” เอียฮั่นค่อย ๆลุกขึ้น
และพูดออกมาด้วยความเจ็บแค้นขณะที่เดินจากไป................จบตอน