เมื่อได้ยินคำพูดของบิดา เนี่ยลี่ก็ได้แต่เพียงหัวเราะเท่านั้น
“นี่มิใช่เรื่องน่าขัน
เจ้ากับธิดาของท่านเจ้าเมืองก็หมั้นหมายกันมาเกือบสองปีแล้ว เมื่อมีโอกาสได้กลับมา
ก็ควรจะเข้าพิธีแต่งงานตามประเพณี ไม่เช่นนั้นจะเป็นการเสียมารยาทต่อท่านเจ้าเมืองได้”
เนี่ยหมิงพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง พร้อมกับยกชาขึ้นมาดื่ม
“ท่านพ่อ
ข้านั้นเข้าใจดี ข้าจะนำเรื่องนี้ไปปรึกษาท่านเจ้าเมืองดู” เนี่ยลี่รีบพูดตัดบท พร้อมกับเกาหัว
ดูเหมือนว่าบิดาเขาจะไม่ยอมจบเรื่องนี้ง่าย ๆ เป็นแน่
“นีก็ดึกมากแล้ว เสี่ยวลี่ เจ้าไปพักผ่อนได้แล้ว
แม่ได้เก็บกวาดห้องของเจ้าไว้เป็นอย่างดี” เนี่ยเสี่ยวหยุน ที่กำลังจัดข้าวของอยู่
พูดขึ้นมา
“ขอรับท่านแม่
พรุ่งนี้ข้าจะรอทานอาหารฝีมือท่าน” เนี่ยลี่ยิ้มและตอบกลับไป และเดินไปที่ห้องของเขา
ที่ห้องของเขาได้รับการดูไม่ต่างจากก่อนที่เขาออกเดินทางไป
เนี่ยลี่จับดูสิ่งของต่าง ๆที่เขาได้เหลือทิ้งเอาไว้ ยังคงวางอยู่ที่เดิม
แต่ไม่มีฝุ่นจับเลยแม้แต่น้อย หมายความว่ามารดาของเขาได้เข้ามาทำความสะอาดอยู่เสมอ
เนี่ยลี่ได้แต่ยิ้มและคิดถึงเรื่องราวต่าง
ๆ ที่เกิดขึ้น
“การที่ได้พักผ่อนที่บ้านหลังนี้
ทำให้ข้าสบายใจยิ่งนัก” เนี่ยลี่พูดกับตัวเองก่อนที่จะนอนหลับไป
เช้าวันต่อมา
เนี่ยลี่ตื่นมาสูดอากาศอันสดชื่น
นี่เป็นเช้าวันแรกหลังที่ได้กลับมานอนพักอย่างเต็มอิ่มที่บ้านของเขา ตอนนี้
บิดาและลุงของเขาไม่ต้องลงมือ ปลูกสมุนไพรด้วยตัวเองแล้ว
ด้วยตำแหน่งผู้ดูแลคลัง
และผู้ดูแลคลังสมุนไพร ทำให้พวกเขาไม่ต้องลำบากอย่างในอดีต
ไม่รวมถึงเงินที่เนี่ยลี่ทิ้งไว้ให้ และสมาคมปรุงยาก็ได้นำเงินมามอบให้ทุกเดือน
เนี่ยลี่ได้กำชับเอาไว้ว่าให้นำเงินครึ่งหนึ่งที่ได้รับมา ส่งมอบให้ตระกูล
ซึ่งก็เป็นจำนวนนับร้อยล้านเหรียญจิตมาร
และอีกครึ่งหนึ่งให้ใช้จ่ายในครอบครัวของเขา
ทำให้ครอบครัวของเขาไม่มีความขัดสนแม้แต่น้อย
หลังจากที่ทานอาหารแล้ว
เนี่ยลี่กับเนี่ยหยู่ก็พากันออกไปเดินเล่น ที่ลานฝึกของตระกูลบันทึกสวรรค์
มีเด็กรุ่นใหม่ของตระกูลบันทึกสวรรค์ฝึกซ้อมอยู่ราวร้อยคน เนี่ยไห่ และ เนี่ยเอิน
ลงมาควบคุมการฝึกด้วยตนเอง เมื่อเห็นเนี่ยลี่และเนี่ยหยู่เดินมา
เนี่ยไห่ก็พูดขึ้นมาด้วยความตกใจว่าว่า
“เสี่ยวลี่
เจ้ากลับมาแล้วหรือ?”
“ข้ากลับมาเมื่อวานนี้
ขออภัยที่ไม่ได้ไปทักทายท่านผู้นำตระกูล” เนี่ยลี่ยิ้มและตอบกลับไป
ในเวลาเขาคงจะต้องไว้หน้าเนี่ยไห่ ต่อหน้าเด็กรุ่นใหม่
“เจ้าไม่จำเป็นที่จะต้องมาทักทายข้า
เพียงเจ้าให้คนมาแจ้งว่าเจ้ากลับมาแล้ว ข้าก็จะเดินทางไปหาเจ้าด้วยตนเอง”
เนี่ยไห่พูดพร้อมกับหัวเราะ สำหรับเขาแล้ว
เมื่ออยู่ต่อหน้าเนี่ยลี่ตำแหน่งผู้นำตระกูลมิได้มีความหมายอันใด
“ท่านเนี่ยเอิน
เด็กรุ่นใหม่ของตระกูลเราเป็นเช่นใดบ้าง?”
เนี่ยลี่มองไปที่เนี่ยเอินแล้วถามขึ้นมา
“ด้วยยาทิพย์และเทคนิคการบ่มเพาะพลังที่เจ้าได้มอบไว้
เด็กรุ่นใหม่ของตระกูลเราล้วนได้รับการฝึกฝนให้เป็นร่างทรงอสูร”
เนี่ยเอินพูดด้วยความภูมิใจ ตระกูลบันทึกสวรรค์กลายเป็นตระกูลที่ยิ่งใหญ่
ต่างจากในอดีตอย่างเห็นได้ชัด
เดิมทีเนี่ยเอินเป็นเพียงนักสู้
แต่หลังจากที่ฝึกฝนตามคำแนะนำของเนี่ยลี่
บัดนี้เขาก็กลายเป็นร่างทรงอสูรระดับโกลด์แล้ว
ส่วนเนี่ยไห่ในตอนนี้ก็เป็นร่างทรงอสูรระดับแบล็คโกลด์
“ข้าเพียงแค่มาเดินเล่นเท่านั้น
ตอนนี้ข้าคงต้องขอตัวก่อน” เนี่ยลี่พูดขึ้นมา
หลังจากที่ยืนคุยกับเนี่ยไห่และเนี่ยเอินมาระยะเวลาหนึ่ง
“ตระกูลบันทึกสวรรค์คือบ้านของเจ้า
หากมีเวลาเจ้าสามารถมาเยี่ยมได้เสมอ” เนี่ยไห่ตอบกลับไป พร้อมกับหัวเราะขึ้นมา
หลังจากนั้นเนี่ยลี่และเนี่ยหยู่ก็พากันเดินกลับไปบ้าน
“เสี่ยวหยู่
คืนที่ผ่านมาเจ้าได้ดูดซับพลังสวรรค์แล้วใช่หรือไม่?”
เนี่ยลี่ถามออกไปพร้อมกับลูบหัวเนี่ยหยู่
“ข้าได้ดูดซับมันเข้าไปแล้ว
ดูเหมือนว่าในห้วงขอบเขตวิญญาณของข้าจะมีลูกไฟบางอย่างปรากฏอยู่ด้วย
หลังจากนั้นดูเหมือนว่าลมปราณของข้าจะแข็งแกร่งขึ้นหลายเท่า” เนี่ยหยู่ตอบกลับไป
แม้จะยังสงสัยอยู่บ้าง แต่นางก็พยายามที่จะอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้น
เมื่อได้ยินคำตอบจากเนี่ยหยู่
เนี่ยลี่ก็อดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ เนี่ยหยู่เป็นอัจฉริยะอย่างแท้จริง
แม้ว่าจะยังไม่มีผู้ใดสอนก็สามารถก่อรูปชะตาวิญญาณขึ้นมาได้เอง
“สิ่งนั้นเรียกว่าชะตาวิญญาณ
ตอนนี้เจ้านั้นได้บรรลุระดับที่เหนือกว่าระดับตำนานแล้ว
นั่นคือระดับชะตาสวรรค์ขั้นที่หนึ่ง เมื่อเจ้าบรรลุถึงขั้นที่สองได้
หากนำชะตาวิญญาณไปเก็บรักษาไว้ยังที่ ที่ปลอดภัย เสี่ยวหยู่ก็จะสามารถคืนชีพได้”
เนี่ยลี่ค่อย ๆ อธิบาย เนื่องจากเนี่ยหยู่ยังเด็กนัก
“มหัศจรรย์ยิ่งนัก”
เนี่ยหยู่อ้าปากค้างด้วยความตกใจ
“จากนี้ไปเจ้าต้องทำการดื่มยาทิพย์นี้
และดูดซับพลังจากศิลาจิตวิญญาณ จะทำให้เจ้าก้าวหน้ารวดเร็วยิ่งขึ้น”
เนี่ยลี่พูดพร้อมกับนำยาทิพย์ขวดหนึ่งและศิลาจิตวิญญาณออกมาอีกจำนวนหนึ่ง
มอบให้กับเนี่ยหยู่
“เสี่ยวหยู่จะรีบดื่มและไปบ่มเพาะพลัง
แต่ท่านพี่เนี่ยลี่จะต้องมาสอนข้าอีกนะ”
เนี่ยหยู่เก็บยาทิพย์และศิลาจิตวิญญาณเอาไว้ในแหวนห้วงมิติของนางและวิ่งเข้ามากอดเนี่ยลี่พร้อมกับออดอ้อน
“พี่ชายเนี่ยลี่จะฝึกฝนให้เจ้าเมื่อสามารถบรรลุขั้นต่อไป
จากนี้ข้าต้องไปที่ตำหนักเจ้าเมือง เพื่อทำธุระ แล้วข้าจะรีบกลับมา”
เนี่ยลี่ลูบหัวเนี่ยหยู่ด้วยความเอ็นดูและตอบกลับไป
หลังจากที่เนี่ยหยู่กลับไปดื่มยาทิพย์ที่ห้องของนางแล้ว
เนี่ยลี่จึกชักชวนต้วนเจี้ยนให้เดินทางไปยังตำหนักเจ้าเมืองเพื่อพูดคุยกับ
ท่านเอียมัว และเอียเซิ่ง
ตำหนักเจ้าเมือง
ดูเหมือนว่าเหล่าสหายของเขาก็เดินทางมายังตำหนักเจ้าเมืองด้วยเช่นกัน
เมื่อมานั่งพร้อมหน้ากันลู่เพียวยกมือขึ้น
และพูดขึ้นมาว่า
“เนี่ยลี่เจ้าบอกว่า
เราจะอยู่กันที่โลกใบเล็กราวหนึ่งปี
บิดาข้าและบิดาของเซี่ยวซุ่ยได้ปรึกษากันเรื่องการแต่งงานของข้ากับเซี่ยวซุ่ย
เจ้าคิดว่าเป็นเรื่องที่เหมาะสมหรือไม่”
“งานมงคลเหตุใดจึงจะไม่เหมาะสมกันเล่า”
เนี่ยลี่ตบไปที่ไหล่ของลู่เพียวและพูดขึ้นมาด้วยความยินดี
“ฤกษ์ยามงานมงคลของข้าคือในอีกสามวันข้างหน้า
หวังว่าพี่น้องของข้าทุกคนจะอยู่พร้อมหน้ากันใช่หรือไม่?” ลู่เพียวพูดพร้อมกับเอามือลูบที่ไหล่
เนื่องจากเนี่ยลี่แกล้งตบลงมาแรงไม่น้อย
“แน่นอน! งานมงคลของเจ้า พวกข้าจะต้องอยู่ฉลองอย่างแน่นอน”
เนี่ยลี่และคนอื่น ๆตอบกลับไปพร้อมกับหัวเราะและเอามือขยี้ไปที่หัวลู่เพียว
ในที่สุดลู่เพียวก็จะได้มีความสุขเสียที
“ฮวาหั่ว
การเดินทางไปยังบ้านของเจ้า ขอให้หลังจากงานมงคลของลู่เพียวได้หรือไม่?” ตู่ซื่อหันไปถามฮวาหั่ว
“ข้าจะปฏิเสธไปด้วยเหตุใดกัน
แต่เจ้ารับปากข้าแล้วนะว่า เมื่อกลับไปยังครอบครัวของข้า
เจ้าจะไปพูดเรื่องงานหมั้นหมายของเรา” ฮวาหั่วจับแขนตู่ซื่อ และก้มหน้าด้วยความเขินอาย
“แน่นอน
แต่น่าเสียดายที่บิดาข้าหาใช่ผู้ฝึกวรยุทธ
การที่ต้องเดินทางไปยังนครใต้พิภพคงเป็นเรื่องที่ลำบาก
ข้าเกรงว่าครอบครัวของเจ้าไม่เห็นว่ามีผู้ใหญ่ไปสู่ขอ
จะกล่าวว่าข้านั้นเสียมารยาท” ตู่ซื่อพูดด้วยความกังวล เขานั้นก็ต้องการที่จะทำให้ถูกต้องตามธรรมเนียม
แต่การที่จะพาบิดาของเขาเดินทางไปนั้นเป็นเรื่องที่ลำบากไม่น้อย
“แน่นอนว่าเสียมารยาทยิ่งนัก!” เอียเซิ่งตบมือลงบนโต๊ะและพูดแทรกขึ้นมา
“ท่านเจ้าเมือง”
ตู่ซื่อรู้สึกตกใจกับคำพูดของเอียเซิ่ง ทำให้เขาหน้าเสียไม่น้อย
“การสู่ขอบุตรสาว
จำต้องมีผู้ใหญ่เดินทางไปด้วย หาไม่แล้วจะเป็นการเสียมารยาทเป็นอย่างยิ่ง
เจ้าเองก็เป็นสหายของหลานเขยของข้า ก็นับว่าเป็นหลายชายคนหนึ่งของข้า
ข้าจะเดินทางไปเป็นเถ้าแก่ให้เจ้าเอง ฮ่าฮ่าฮ่า ”
เอียเซิ่งพูดพร้อมกับหัวเราะด้วยความยินดี การที่มีงานมงคลต่อเนื่อง
ยิ่งทำให้เห็นว่าเมืองกลอรี่นี้มีความสงบสุขยิ้งนัก
“ขอบคุณท่านเจ้าเมือง!” ตู่ซื่อรีบประสานมือขอบคุณเอียเซิ่งในทันที
“เจ้าชื่อว่าฮวาหั่วสินะ
ข้าขอเสียมารยาทเล็กน้อย ดินแดนที่ครอบครัวเจ้าอาศัยอยู่เป็นเช่นใดบ้าง?” เอียเซิ่งถามออกไปด้วยความสงสัย
“เป็นดินแดนเล็ก
ๆ ใกล้กับนครใต้พิภพ อากาศเต็มไปด้วยเถ้าถ่านและฝุ่นละออง และหาได้สงบสุขเช่นเมืองกลอรี่”
ฮวาหั่วตอบไปตามความเป็นจริง เมื่อเทียบกับที่ที่นางอาศัยอยู่
เมืองกลอรี่เป็นดั่งสวรรค์เลยทีเดียว
“ถ้าเช่นนั้น
เหตุใดเจ้าจึงไม่ให้ครอบครัวของเจ้ามาอยู่ยังเมืองกลอรี่แห่งนี้
บัดนี้เมืองกลอรี่นั้นแข็งแกร่งยิ่งนัก ตระกูลตู่เองก็เป็นตระกูลหลักของเมือง
มีพื้นที่ทำกินหลายร้อยไร่ ถ้าหากเจ้าไม่รังเกียจ ตอนที่เดินทางไปสู่ขอเจ้า
ข้าจะเชิญให้ครอบครัวของเจ้าให้โยกย้ายมาอาศัยอยู่ที่เมืองกลอรี่แห่งนี้”
เอียเซิ่งเสนอออกไป
“หากเป็นเช่นนั้นฮวาหั่ว
ต้องขอขอบคุณท่านเจ้าเมืองยิ่งนัก” ฮวาหั่วรีบคุกเข่าขอบคุณเอียเซิ่ง
หากครอบครัวของนางมาอาศัยอยู่ที่นี่ นางคงจะสบายใจ ในยามที่ต้องกลับไปยังอาณาจักรซากมังกร
“อย่าได้มากพิธี
อีกไม่นานข้าจะสั่งการให้มีการย้ายประตูเมืองด้านหน้าออกไปราวสองลี้ เมืองกลอรี่ก็จะมีพื้นที่เพิ่มขึ้นอีกไม่น้อย
และเมื่อสร้างกำแพงเมืองใหม่เสร็จ เราก็จะค่อย ๆ ขยายเมืองออกไปอีก” เอียเซิ่งพูดถึงความตั้งใจของเขาออกไป
ในเวลานี้สัตว์อสูรไม่อาจที่จะนับได้ว่าเป็นภัยสำหรับเมืองกลอรี่ได้อีกต่อไปแล้ว
“ถ้าเช่นนั้น
ลู่เพียวเจ้าจงใช้เวลาในช่วงนี้จัดเตรียมงานมงคล
ตู่ซื่อเจ้าก็คงจะต้องวุ่นวายกับการเตรียมสินสอดทองหมั้น คนอื่น
ๆก็ขอให้พักผ่อนอยู่กับครอบครัวไปก่อน ข้าจะขอไปตรวจสอบนครใต้พิภพ
เพื่อหาข้อมูลของคนร้ายสักเล็กน้อย” เนี่ยลี่ยืนคิดอยู่ครู่หนึ่ง
ก่อนที่จะพูดออกไป
“นายท่าน
ให้ข้าเดินทางไปด้วยได้หรือไม่?”
ต้วนเจี้ยนลุกยืนขึ้นพร้อมกับพูดออกมา
“ข้าจะเดินทางไปกับ
พี่ยู่หยานและจินตาน เจ้านั้นจงคอยปกป้องที่นี่เอาไว้ยามที่ข้าไม่อยู่”
เนี่ยลี่ส่ายหน้า และตอบกลับไป
“ที่นั่นคือนครของข้า
ข้าจะเดินทางไปด้วย” จ้าวนครใต้พิภพพูดขึ้นมา พร้อมกับกำหมัดแน่น
เขาจะต้องแก้แค้นในเรื่องทีเกิดขึ้น เซี่ยวหยู่ที่ยืนอยู่ข้างหลังเองก็รู้สึกไม่ต่างจากบิดาบุญธรรมของนาง
“ท่านอาจารย์
ท่านพักผ่อนอยู่กับเซี่ยวหยู่ที่นี่ไปก่อน แม้ว่าท่านจะมีฐานะเป็นอาจารย์ของข้า
แต่ข้าขอสั่งท่านในฐานะผู้นำนิกาย หวังว่าท่านคงจะเข้าใจข้า
เนื่องจากข้าเดินทางเองจะสะดวกกว่า” เนี่ยลี่โบกมือปฏิเสธ
“ข้าเข้าใจแล้ว”
จ้าวนครใต้พิภพพูดพร้อมกับถอนหายใจ
หลังจากนั้นเนี่ยลี่และเทพธิดายู่หยานจึงรีบออกเดินทางไป
พร้อมกับจินตาน
ณ นครใต้พิภพ
เนี่ยลี่ให้จินตาน
บินสำรวจอยู่ด้านนอก หากมีใครปรากฏตัวให้จินตานส่งเสียงร้องเรียก
จากนั้นเนี่ยลี่และเทพธิดายู่หยานเดินทางเข้าไปจนถึงเหวลึกที่อยู่ในถ้ำ
“ตรงจุดนี้
ที่ข้าได้ใช้ระเบิดหยินหยางสิบเท่า ทำให้เอียฮั่นตกลงไป” เนี่ยลี่ชี้ไปยังตำแหน่งที่เขาจดจำได้และพูดขึ้นมา
“ถ้าเช่นนั้น
พวกเราก็ลงไปสำรวจกันเถิด” เทพธิดายู่หยานพูดพร้อมกับบินลงไป
เหวนี้มีความลึกมาก
หากมิใช่ยอดฝีมือที่เหนือกว่าระดับตำนานคงไม่อาจที่จะปีนขึ้นมาได้ เนี่ยลี่และเทพธิดายู่หยานลงไปจนถึงด้านล่างสุดของเหวลึกนี้
“นี่มันอะไรกัน?” เทพธิดายู่หยานพูดขึ้นด้วยความสงสัย ที่ใต้เหวลึกนี้มีอักษรจารึกอยู่เต็มไปหมด
และมีโครงกระดูกของคนผู้หนึ่งอยู่ ดูเหมือนว่าเขานั้นจะถูกสังหารนานมาแล้ว ลักษณะของกระดูกพิงอยู่ตรงมุมหนึ่ง
ราวกับว่าเขาเคยนั่งอยู่ตรงนั้น
“นี่มันอักษรของนครกล้วยไม้ศักดิ์สิทธิ์”
เนี่ยลี่พูดขึ้นมา หลังจากมองดูโดยรอบ ทันใดนั้นสายตาของเขาได้ไปเห็นตัวอักษรสิบตัวที่อยู่ตรงมุมด้านหนึ่ง
“หวู จี เติ่ง หวู ฉี่
หวู ฉี่ ฟาง หวู จิน” [无极本无始 无始方无尽 :ไม่มี,
ปลายทาง, เมื่อ, ไม่มี, จุดเริ่มต้น , ไม่มี,
จุดเริ่มต้น, ก็, ไม่มี, จุดสิ้นสุด] เนี่ยลี่พูดขึ้นมาด้วยความตกใจ
“มันคือถ้อยคำอันใดกัน”
เทพธิดายู่หยานถามด้วยความสงสัย นางนั้นไม่เข้าใจถ้อยคำพวกนี้เลยแม้แต่น้อย
“อักษรเหล่านี้คือมรดกที่จักรพรรดิคงหมิงได้เหลือทิ้งไว้
มีเพียงผู้ที่มีชะตาต้องกับมันเท่านั้นจึงจะเข้าใจได้” เนี่ยลี่พยายามอธิบายให้เทพธิดายู่หยานฟัง
“ดูเหมือนว่าคนผู้นี้จะเป็นหนึ่งในผู้ที่มีชะตาต้องกันกับมัน
จากที่ข้าตรวจสอบ เขานั้นอยู่ในระดับชะตาสวรรค์ขั้นที่หนึ่งและขาของเขาได้รับบาดเจ็บจนไม่อาจที่จะรักษาได้”
เนี่ยลี่พูดขณะที่ตรวจสอบกระดูกของคนผู้นั้น
“ตรงด้านนี้มีซากของศิลาจิตวิญญาณอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย”
เทพธิดายู่หยานพูดขึ้นมาหลังจากที่บินไปสำรวจพื้นที่โดยรอบ
“แม้ว่าข้าจะไม่อาจเข้าใจเรื่องทั้งหมด
แต่ก็พอที่จะคาดเดาได้ว่า ชายผู้นี้คงเป็นหนึ่งในผู้สืบทอดของจักรพรรดิคงหมิง
และเขาได้ถูกคนผู้หนึ่งสังหารและได้กลายเป็นผู้สืบทอดแทน
คนผู้นั้นได้ศึกษาตัวอักษรจนรู้ซึ้งและได้ดูดซับพลังสวรรค์จากศิลาจิตวิญญาณเหล่านี้
จนบรรลุระดับชะตาสวรรค์ได้ แต่ข้าก็ยังไม่มีหลักฐานว่าเขาเป็นผู้ใด”
เนี่ยลี่พูดขึ้นมา แม้ว่าเขาจะคิดว่ามีโอกาสไปได้ที่จะเป็นเอียฮั่น
แต่เขาก็ต้องการหลักฐานที่มากกว่านี้
“พวกเรากลับกันเถิด
พี่ยู่หยาน” เนี่ยลี่คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดขึ้นมาและบินออกไป หาจินตาน จากนั้นพวกเขาก็เดินทางกลับไปที่เมืองกลอรี่
เมืองกลอรี่
สามวันต่อมา มีงานมงคลใหญ่ของเมือง เนื่องจากทายาทของตระกูลลู่ และตระกูลเซี่ยวที่เป็นสองในเก้าตระกูลหลัก
ได้มีงานมงคลสมรส
ลู่เพียวและเซี่ยวซุ่ยอยู่ในชุดแต่งงานสีแดงที่ทำจากผ้าไหม
ที่ดูงดงามยิ่งนัก ที่มีผ้าคลุมสีแดงคลุมหัวของเซี่ยวซุ่ย
ส่วนลู่เพียวสวมหมวกที่มีปีกเช่นเดียวกับหมวกของขุนนาง
ในวันนี้ลู่เพียวมีท่าทีที่จริงจัง ต่างจากปกติ
แม้ว่ามองภายนอกจะดูสงบนิ่ง
แต่ในใจของลู่เพียวเต้นโครมครามจนหัวใจแทบจะหลุดออกมาจากหน้าอก
หลังจากที่เข้าพิธีไหว้ฟ้าดินแล้ว
เซี่ยวซุ่ยก็จัดเตรียมน้ำชาเพื่อยกไปให้แก่บิดามารดาของลู่เพียว
เนี่ยลี่และคนอื่น
ๆ ต่างก็เข้าร่วมฉลองกับงานมงคลของลู่เพียวอย่างพร้อมหน้า ทำให้ลู่เพียวรู้สึกดีเป็นอย่างมาก
“การที่ได้เห็นพี่น้องของข้ามีความสุขเช่นนี้ ข้ามีความสุขยิ่งนัก
ข้ารองานของเจ้าอยู่นะตู่ซื่อ” เนี่ยลี่ตบไปที่ไหล่ของตู่ซื่อ
พร้อมกับยิ้มและพูดขึ้นมา
“หลังจากที่เดินทางกลับมา
ข้าจะหารือเรื่องนี้กับฮวาหั่ว” ตู่ซื่อพูดขึ้นมาพร้อมกับจับมือของฮวาหั่วที่ยืนอยู่ข้าง
ๆ นางก้มหน้าด้วยความเขินอาย
“ข้าต้องการที่จะได้เห็น
งานแต่งของเจ้าเสียยิ่งกว่าของลู่เพียวเสียอีก
เนื่องจากข้านั้นไม่เคยเห็นมาก่อน” เนี่ยลี่พูดพร้อมกับหัวเราะ ในชีวิตที่แล้วตู่ซื่อมิได้แต่งงานและเสียชีวิตก่อนที่จะได้คบหากับหญิงสาวผู้ใด
เมื่อถึงเวลาเข้าห้องหอลู่เพียวก็อดที่จะตื่นเต้นไม่ได้
ทั่วทั้งห้องประดับไปด้วยสีแดง มีตะเกียงตั้งอยู่บนโต๊ะ พร้อมกับถ้วยน้ำชา
แต่ในเวลานี้ลู่เพียวหาได้สนใจที่จะดื่มชาไม่
เขาค่อย ๆ เปิดผ้าคลุมหน้าของเซี่ยวซุ่ยที่นั่งอยู่บนที่นอนออก
ในตอนนี้เซี่ยวซุ่ยดูงดงามยิ่งนัก ทำให้ลู่เพียวถึงกับตกตะลึง
“จากวันนี้ไป
ข้าจะเป็นผู้ชายที่เจ้าสามารถพึ่งพิงได้ไปตลอดชีวิต” ลู่เพียวพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
ขณะที่ถอดผ้าคลุมหน้าของเซี่ยวซุ่ยออกจนหมด
“ถ้าเช่นนั้นข้าคงจะเป็นหญิงสาวที่มีความสุขที่สุดในโลกนี้”
เซี่ยวซุ่ยตอบกลับไปพร้อมกับก้มหน้า ด้วยความเอียงอาย
ลู่เพียวเข้าไปโอบกอดเซี่ยวซุ่ยเอาไว้ด้วยมือขวา
หลังจากนั้นลู่เพียวก็สบัดมือซ้ายของเขา ใช้ลมปราณพัดให้ตะเกียงในห้องดับมืดลงไป.....................จบตอน