จินตานบินมาหาเนี่ยลี่
แต่หาได้อยู่ในรูปร่างอ้วนกลมเช่นเดิมใหม่
บัดนี้รูปร่างของจินตานเป็นดั่งวิหคเพลิงที่มีขนสีทอง เป็นเรื่องที่แปลกยิ่งนัก
ปกติหากคนธรรมดาทานผลไม้แห่งพระเจ้าเข้าไป ร่างกายจะต้องระเบิดเพราะพลังสวรรค์เอ่อล้นทะลักออกมา
คงเป็นเพราะจินตานเป็นสัตว์อสูรวิญญาณ ห้วงขอบเขตวิญญาณของมันจึงกว้างใหญ่กว่ามนุษย์มากนัก
เมื่อจินตานกินผลไม้แห่งพระเจ้าลงไป จินตานจึงเปลี่ยนรูปร่างได้เช่นนี้ ตอนนี้ขนาดตัวของมันใหญ่เพียงหนึ่งเมตรเท่านั้น
เนื่องจากเนี่ยลี่เชื่อมโยงไว้ด้วยห้วงขอบเขตวิญญาณ
มันจึงเชื่อฟังเนี่ยลี่ แต่สัตว์อสูรวิญญาณที่มีพลังระดับขอบเขตแห่งพระเจ้านี่เป็นเรื่องมหัศจรรย์ยิ่งนัก
“เจ้าจงอาศัยอยู่ในภาพจิตรกรรมหมื่นขุนเขาและสายน้ำไปก่อน
เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมข้าจะพาเจ้าออกไป” เนี่ยลี่พูดพร้อมกับลูบหัวจินตานที่มาคลอเคลีย
“คูลล
คูลล” จินตานส่งเสียงตอบกลับมา
“เมื่อมีเวลาข้าจะเข้ามาข้างในนี้
ตอนนี้ข้าขอตัวออกไปด้านนอกก่อน” เนี่ยลี่บอกแก่เซี่ยวหยู่และเทพธิดายู่หยาน
ก่อนที่จะนึกอีกเรื่องขึ้นมาได้
“ตอนนี้เหล่าสหายจากโลกใบเล็กของข้ามารวมตัวกัน
และจะเดินทางกลับไปยังโลกใบเล็กด้วยกัน” เนี่ยลี่พูดพร้อมกับยิ้ม
“บอกพวกเขาว่า
ข้าขออภัยที่ไม่อาจออกไปพบได้” เซี่ยวหยู่ตอบกลับไป เนื่องจากนางนั้น
บรรลุเทคนิคทำนายชะตาสวรรค์
หากออกไปด้านนอกจักรพรรดิปราชญ์ก็จะสามารถสัมผัสถึงนางได้ทันที
“ข้าจะบอกแก่พวกเขาเอง
ท่านพี่ยู่หยานต้องการออกไปพบพวกเขาหรือไม่?”
เนี่ยลี่หันไปทางเทพธิดายู่หยานและเอ่ยถาม
“ข้าจะอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนเซี่ยวหยู่
จงบอกพวกเขาว่ารอเจอกันตอนที่เดินทางกลับถึงโลกใบเล็ก”
เทพธิดายู่หยานยิ้มและตอบกลับมา
“ข้าว่ามีวิธีที่ง่ายกว่านั้น
คือให้พวกเขาเข้ามาในภาพจิตรกรรมหมื่นขุนเขาและสายน้ำพร้อมกับข้าในคราวหน้า”
เนี่ยลี่พูดขึ้นมา เรื่องง่าย ๆ เช่นนี้เขาลืมไปได้เช่นใดกัน
“ถ้าเช่นนั้นก็ตามแต่ใจเจ้า”
เทพธิดายู่หยานยิ้มและตอบกลับมา
“ถ้าเช่นนั้นข้าขอตัวก่อน”
เนี่ยลี่พูดและออกจากภาพจิตรกรรมหมื่นขุนเขาและสายน้ำ
เมื่อกลับออกมาที่ตำหนักเนี่ยลี่ก็พบว่า
เอียจื่ออวิ๋นกับเซี่ยวหนิงเอ๋อนั่งพูดคุยกันอย่างสนิทสนม หัวเราะหยอกล้อกัน
แม้ว่าเขาจะแปลกใจ แต่ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดี ส่วนคนอื่น ๆ
นั้นพวกเขาไปเดินเยี่ยมชมนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ นับว่าเป็นช่วงเวลาที่สงบสุขยิ่งนัก
ในยามที่สงบสุขเช่นนี้
เนี่ยลี่ก็ต้องการที่จะมอบหมายงานต่าง ๆ เอาไว้ล่วงหน้า
จึงได้ขอให้กู้เบ่ยเชิญกู้หลานมาที่ตำหนักผู้นำนิกาย
“กู้เบ่ยบอกแก่ข้าว่า
ประมุขเนี่ยเรียกหาข้า” กู้หลานประสานมือคารวะอย่างมีมารยาท
ในยามนี้นางไม่จำเป็นที่จะต้องนั่งรถเข็นเพื่อแสร้งทำว่าเจ็บป่วยอีกต่อไป
เดิมทีนางก็เป็นหญิงสาวที่งดงามอยู่แล้ว หลังจากที่หายป่วย
หน้าตาของนางจึงสดใสชวนให้หลงไหลยิ่งนัก
“ท่านพี่กู้หลานอย่าได้มากพิธี
ท่านเป็นพี่สาวของสหายข้า ก็นับว่าเป็นพี่สาวคนหนึ่งของข้าเช่นกัน”
เนี่ยลี่พูดขึ้นมาพร้อมกับเชิญให้กู้หลานนั่งลง
“ถ้าเช่นนั้น
ข้าคงต้องเสียมารยาทแล้ว มีเรื่องอันใด เจ้าถึงเรียกข้ามาพบ”
กู้หลานยิ้มและเอ่ยถาม
“อีกไม่นานข้าและสหายจะกลับไปยังโลกใบเล็ก
และคิดว่าจะต้องใช้เวลาไม่น้อย ณ ที่แห่งนั้น” เนี่ยลี่พูดออกไป แล้วหยุดนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดต่อไปอีกว่า
“ยามที่ข้าไม่อยู่
ข้าต้องการให้พี่กู้หลานเป็นผู้ดูแลนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ในตำแหน่งรักษาการผู้นำนิกาย”
เนี่ยลี่พูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“เหตุใดจึงต้องเป็นข้า?” กู้หลานถามด้วยความสงสัย
“ท่านพี่หลี่ชิงอวิ๋น
กู้เบ่ย และหลงยู่อิน ต่างต้องทำหน้าที่ผู้นำตระกูล คนที่ข้าเชื่อใจได้ที่สุด
ก็เหลือเพียงแค่ท่านพี่กู้หลานเท่านั้น” เนี่ยลี่พูดพร้อมกับหัวเราะ
“ถ้าหากเจ้าเชื่อใจข้าเช่นนั้น
ข้าก็จะไม่ทำให้เจ้าผิดหวัง” กู้หลานตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
บุญคุณของเนี่ยลี่นั้นมากล้นฟ้า การที่จะได้ช่วยเหลือตอบแทนกลับไปบ้าง นางย่อมรู้สึกยินดี
แต่นางก็เป็นกังวลอยู่บ้างเพราะนับว่าเป็นงานใหญ่ไม่น้อย
“ท่านอย่าได้กังวล
ข้าจะให้ท่านปรมาจารย์ทั้งห้าช่วยเหลือท่านด้วย”
เนี่ยลี่ยิ้มและพูดออกไปเมื่อเห็นท่าทีที่เป็นกังวลของกู้หลาน ปรมาจารย์เทียนอู่เองก็เป็นอดีตผู้นำนนิกาย
จะต้องช่วยเหลือกู้หลานในการดูแลนิกาย ยามที่เขาไม่อยู่ได้อย่างแน่นอน
“ถ้าเช่นนั้นข้าก็เบาใจ”
กู้หลานตอบกลับมาพร้อมกับยิ้ม
“น่าเสียดายยิ่งนักที่สหายจากโลกใบเล็กของข้า
มิได้อยู่พร้อมหน้ากันที่นี่ ไม่เช่นนั้นข้าคงจะได้แนะนำพวกเขาให้ท่านพี่กู้หลานได้รู้จัก”
เนี่ยลี่พูดออกไปด้วยความเสียดาย
ตอนนี้ในตำหนักมีเพียงเอียจื่อวิ๋นและเซี่ยวหนิงเอ๋อ
ที่นั่งคุยกันอยู่ในห้องรับรอง เนี่ยลี่จึงไม่ต้องการที่จะไปรบกวนพวกนาง
“หากมีโอกาสคงได้พบเจอกัน
หากเจ้าไม่มีธุระอื่นใด ข้าคงต้องขอกลับกลับก่อน”
กู้หลานลุกขึ้นยืนและพูดอย่างสุภาพ แม้ว่านางจะมิได้เป็นผู้นำตระกูล
แต่นางก็ช่วยเหลือกู้เบ่ยในการดูแลด้านการค้าของตระกูล จึงมิได้มีเวลามากนัก
เมื่อถึงเวลาที่ต้องรักษาการในตำแหน่งประมุขนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์นางคงต้อง
แบ่งงานด้านการค้าในตระกูลให้ผู้อื่นช่วยดูแล
“ข้าจะไปส่ง
ท่านพี่กู้หลานเอง” เนี่ยลี่เดินไปส่งกู้หลานที่ประตู
การกระทำเช่นนี้ของเนี่ยลี่ทำให้กู้หลานรู้สึกชื่นชมเขามากยิ่งขึ้น
[การเดินไปส่งที่หน้าประตูถือเป็นมารยาทของเจ้าบ้าน
แต่โดยปกติแล้วผู้มีตำแหน่งใหญ่ มักจะไม่ทำกับผู้น้อย]
นิกายเทพอสูร
“ในวันนี้พวกเราต้องพูดกันให้ชัดเจนแล้ว
ว่าจะทำสงครามครั้งใหญ่กับพวกมนุษย์หรือไม่” ปรมาจารย์เทพเสวียนหมิง [เต่าดำ] พูดขึ้นมา
ในวันนี้เห็นใบหน้าอันโกรธเกรี้ยวของเขาอย่างชัดเจน ใบหน้าของเขานั้นเป็นเต่า แต่ร่างขายของเขาก็เป็นดั่งมนุษย์เพียงแค่ตัวใหญ่กว่ามาก
และมีกระดองสีดำและมีหนามแหลมอยู่ด้านหลัง ส่วนหางของเขานั้นเป็นงู
“เหตุใดจึงต้องทำเช่นนั้นด้วย
หากเป็นเรื่องของ นิกายห้าอสูรสายฟ้า และ นิกายจันทราโลหิตข้าเองก็ทราบมาว่า
พวกเขาเป็นฝ่ายบุกไปที่นิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์และถูกสังหารจนหมด หากคิดดูแล้วพวกเขาเป็นฝ่ายที่เริ่มสงครามกับมนุษย์เอง”
ปรมาจารย์เทพชิงหลง [มังกรคราม]
พูดขึ้นมา ส่วนหัวของเขานั้นเป็นมังกร มีหนวดตรงหน้าผาก แต่มีร่างกายเป็นดั่งมนุษย์เช่นกัน
ทั่วทั้งตัวของเขามีเกล็ดสีครามอยู่โดยรอบ และมีหางของมังกรอยู่ทางด้านหลังเช่นกัน
“ไม่เกี่ยวว่าผู้ใดเป็นฝ่ายเริ่ม
แต่การที่พวกมันทำเช่นนี้เป็นการหยามเผ่าอสูรของพวกเรา” ปรมาจารย์เทพเสวียนหมิงทุบมือลงบนโต๊ะหินอย่างรุนแรง
“เรื่องนี้ข้าเองก็เห็นว่าเจ้ามนุษย์นั้นก็ทำเกินไป”
ปรมาจารย์เทพไป๋หู่
[พยัคฆ์ขาว] พูดขึ้นมาบ้าง ใบหน้าของเขาเป็นดั่งพยัคฆ์ขาว
แต่ก็ยืนได้ด้วยสองขาไม่ต่างจากมนุษย์ ทั่วตัวของเขานั้นเป็นไปด้วยขนสีขาว
มีลายสีดำคาดเล็กน้อย ลำตัวของเขานั้นสวมเกราะสีเงิน
“หากมีการทำสงครามครั้งใหญ่
มันจะไม่จบลงง่าย ๆ เป็นแน่” ปรมาจารย์เทพจูเชวี่ย [วิหคสีชาด]
พูดขึ้นมาหลังจากนิ่งเงียบเป็นเวลานาน
ร่างกายของเขานั้นเป็นมนุษย์แต่มีหัวเป็นนกและมีปีกสีแดงเพลิงอยู่ด้านหลัง
มือและเท้าของเขาเป็นดั่งกรงเล็บของวิหคเช่นกัน
“พวกเจ้าลองคิดดูให้ดี
เมื่อพวกมันทำลายนิกายอสูรไปแล้วถึงสองนิกาย มีหรือว่า พวกมันจะไม่มาบุกนิกายเทพอสูรของเรา”
ปรมาจารย์เทพเสวียนหมิง พูดด้วยน้ำเสียงอันเกรี้ยวกราด
“ถ้าหากพวกมนุษย์บุกมา
ข้าก็ยินดีที่จะเข้าร่วมต่อสู้ด้วย แต่หากจะให้พวกเราเป็นฝ่ายบุกไป
ข้านั้นก็ขอปฏิเสธ” ปรมาจารย์เทพจูเชวี่ยพูดพร้อมกับส่ายหน้า
“ก่อนหน้านี้เจ้าเคยบอกว่า
สามารถหาข่าวจากนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ได้ ไม่ทราบเป็นเช่นใดบ้าง” ปรมาจารย์เทพไป๋หู่หันไปถามปรมาจารย์เทพเสวียนหมิง
“ลืมเรื่องนั้นไปซะ!” ปรมาจารย์เทพเสวียนหมิงพูดขึ้นมาด้วยความไม่พอใจ
เพราะเขานั้นเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเหตุใดหลงเทียนหมิงจึงไม่ติดต่อกลับมาเลยแม้แต่น้อย
“ข้านั้นสืบทราบมาว่า ยามที่ต้าเหลย และ เซวี่ยซินเยวี่ย
บุกไปยังนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์นั้น
ผู้นำนิกายศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดไปรวมตัวกันที่นิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์” ปรมาจารย์เทพชิงหลงพูดขึ้นมา
“เจ้าจะบอกว่าการที่ ที่ต้าเหลย และ เซวี่ยซินเยวี่ยเป็นเพราะผู้นำนิกายศักดิ์สิทธิ์ทั้งหกเช่นนั้นหรือ? ถ้าเช่นนั้นที่ต้าเหลย และ เซวี่ยซินเยวี่ยก็โง่เง่ายิ่งนัก
ที่บุกไปไม่ดูตาม้าตาเรือเช่นนั้น” ปรมาจารย์เทพจูเชวี่ยพูดขึ้นมาพร้อมกับถอนหายใจ
“หาเป็นเช่นนั้นไม่
เหล่าลูกศิษย์ที่คืนชีวิตกลับมา และมาขอเข้าร่วมกับนิกายเทพอสูรของเราบอกว่าผู้ที่ซินเยวี่ยต่อสู้จนพ่ายแพ้เป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุราวยี่สิบปีใช้นามว่าเทพดาบเมฆา
ส่วนต้าเหลยนั้นประลองกับเด็กหนุ่มที่ใช้นามว่าเทพกระบี่
แต่ไม่มีผู้ใดได้เห็นผลลัพธ์ของการต่อสู้ด้วยตา เนื่องจากถูกสังหารกันไปก่อน” ปรมาจารย์เทพชิงหลงพูด
[เนื่องจากยังไม่บรรลุระดับวิถีแห่งมังกรเมื่อตายไปจึงกลับไปคืนชีพที่ห้องโถงวิญญาณของพวกเขา]
“เทพดาบ เทพกระบี่
อวดอ้างตัวเองถึงเพียงนั้น ข้าต้องการที่จะสู้กับพวกมันดูสักครา” ปรมาจารย์เทพเสวียนหมิงพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูถูก
“อย่าได้ทะนงตนนักเสวียนหมิง
เดิมทีเจ้านั้นมีพลังในระดับเทพสงครามขั้นที่เก้า
แต่บัดนี้พลังเจ้าเหลือเพียงระดับเทพสงครามขั้นที่ห้าเท่านั้น
อย่าคิดว่าพวกข้านั้นดูไม่ออก” ปรมาจารย์เทพชิงหลงพูดออกไป
แม้จะสงสัยว่าปรมาจารย์เทพเสวียนหมิงไปทำอันมาระดับพลังจึงได้ถดถอยถึงเพียงนี้
แต่ถึงจะเอ่ยถามออกไปก็คงไม่ได้คำตอบเป็นแน่ เขาจึงได้เงียบไป
“เจ้าจะให้ข้านั่งรอพวกมนุษย์บุกเข้ามาที่นิกายเทพอสูรหรืออย่างไรกัน!” ปรมาจารย์เทพเสวียนหมิงพูดด้วยความไม่พอใจ
“หากเจ้าต้องการทำสงครามกับพวกมนุษย์
ก็จงไปขออนุญาตต่อบริวารแห่งเทพ ของท่านจักรพรรดิปราชญ์ก่อน ถ้าไม่เช่นนั้นข้าคงต้องปฏิเสธ”
ปรมาจารย์เทพจูเชวี่ยพูดขึ้นมา
บริวารแห่งเทพเป็นเหล่าผู้รับใช้คนสนิทของจักรพรรดิปราชญ์
เล่าขานกันว่าระดับพลังของพวกเขานั้นสูงส่งกว่าระดับเทพสงคราม
แต่ก็ไม่มีผู้ใดเคยพบเห็นพวกเขามาก่อน ในการติดต่อกับพวกเขานั้น
จะต้องไปยังตำหนักเทพอสูร ซึ่งจะทำได้เพียงแค่พูดคุยกับเหล่าบริวารแห่งเทพเท่านั้น
“ถ้าหากบริวารแห่งเทพ
ประสงค์เช่นนั้นข้าก็จะไม่ปฏิเสธเช่นกัน” ปรมาจารย์เทพชิงหลงพูดขึ้นมาบ้าง
“ตกลง ข้าจะเดินทางไปยังตำหนักเทพอสูร
เพื่อขอความเห็นชอบจากบริวารแห่งเทพ” ปรมาจารย์เทพเสวียนหมิงพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
การเดินทางไปยังตำหนักเทพอสูรนั้นแม้จะอยู่ไม่ไกลนัก
แต่ต้องยอมรับการทดสอบจากค่ายกลลวงตาของเหล่าบริวารแห่งเทพ เพื่อแสดงความมุ่งมั่น
ซึ่งนั่นต้องใช้เวลาหลายวัน
ณ ตำหนักเทพอสูร
“ผู้ใดกันที่มารบกวนข้า”
มีเสียงดังก้องกังวาลมาจากด้านบนตำหนัก เมื่อมองขึ้นไปจะมองเห็นเพียงท้องฟ้า
ราวกับเป็นเสียงที่ดังลงมาจากสวรรค์
“ข้าคือเสวียนหมิง หนึ่งในสี่ประมาจารย์เทพแห่งนิกายเทพอสูร
ข้าต้องการขอความเห็นชอบจากพวกท่านเหล่าบริวารแห่งเทพขอรับ” ปรมาจารย์เทพเสวียนหมิง
ประสานมือและพูดออกไปด้วยความเคารพ แม้แต่คนระดับเขาก็ไม่อาจที่จะกล้าอวดดีกับบริวารแห่งเทพ
“จงพูดมา!” เสียงพูดดังลงมาอีกครั้ง
“บัดนี้เหล่ามนุษย์กำแหงยิ่งนัก
ได้ทำลายนิกายอสูรไปถึงสองแห่ง
ข้าจึงมาขอความเห็นชอบในการเปิดสงครามครั้งใหญ่กับพวกมนุษย์!” ปรมาจารย์เทพเสวียนหมิงพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“บังอาจ!”เสียงดังลงมา กึกก้องยิ่งกว่าในคราวแรก
ดังเสียจนปรมาจารย์เทพเสวียนหมิงรู้สึกหวาดกลัว
...................................จบตอน