test

เมนู นิยาย บน

เมนูมังงะ

19 ก.พ. 2560

God of sword and The Woodman บทที่ 8 ลบหลู่






[ลองปรับมาใช้ชื่อจีนหนึ่งตอน ตามที่ได้รับการแนะนำมาครับ]
          หลังจากจบการประลองไปทั้งหมดสี่คู่ อาจารย์ต้าซิงซิงก็พอจะรู้แล้วว่า ใครที่มีพื้นฐานการต่อสู้มาบ้าง แต่เขาก็ต้องการที่จะรู้ว่าเด็กคนไหนจะมีความสามารถมากที่สุด


          เพื่อความยุติธรรม อาจารย์ต้าซิงซิงจึงจับคู่การประลองใหม่โดยการสุ่มเลือก และผลปรากฏว่า เหย่หนิว [กระทิงน้อย] จะประลองกับหูหลาง [จิ้งจอกน้อย] และซงสู่ [กระรอกน้อย] จะประลองกับเสี่ยวเยว่


          ระหว่างที่รอการประลองในรอบต่อไป ซงสู่ได้มองมายังเสี่ยวเยว่ที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ จากนั้นนางก็เดินมาหาเขาและพูดขึ้นว่า


          “หนังสือนั่นสนุกกว่าการประลองเช่นนั้นหรือ?ซงสู่พูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่ ดูถูกเสี่ยวเยว่ยิ่งนัก นั่นเป็นเพราะเสี่ยวเยว่ชนะรอบแรกมาเพราะโชค และดูเหมือนว่าเขานั้นจะไม่มีความตั้งใจที่จะประลองแม้แต่น้อย


          “ข้าไม่สนใจเรื่องการประลอง เมื่อถึงการประลองขอให้เจ้าเดินมาผลักข้าให้ล้มลงได้ทันที และเจ้าจะได้เป็นฝ่ายที่ชนะ” เสี่ยวเยว่เงยหน้าจากหนังสือและพูดออกไปอย่างไม่สนใจใยดีนัก


          “นี่เจ้ากำลังดูถูกข้าอยู่เช่นนั้นหรือ” ซงสู่ดึงหนังสือออกมาจากมือของเสี่ยวเยว่และปาลงไปที่พื้น


          การที่หนังสือที่เขาดูแลรักษาเป็นอย่างดี และเป็นดั่งของสำคัญของเขา ต้องถูกปาลงไปที่พื้นทำให้เสี่ยวเยว่รู้สึกไม่พอใจยิ่งนัก


          “เจ้ากำลังลบหลู่เทพแห่งการเก็บฟืนที่ข้านับถือ” เสี่ยวเยว่พูดพร้อมกับรีบก้มลงไปเก็บหนังสือขึ้นมา


          “หากเจ้านับถือเทพแห่งการเก็บฟืนนัก ก็มาเดิมพันกันด้วยการประลองในรอบถัดไป หากเจ้าเป็นฝ่ายชนะ ข้าจะคุกเข่าขอขมาต่อเทพของเจ้า แต่หากเจ้าเป็นฝ่ายแพ้ข้าจะเผาหนังสือของเจ้าทิ้ง เจ้าจะตกลงหรือไม่?ซงสู่ยืนกอดอกและพูดจาท้าทายออกไป


          “ไม่มีเหตุผลที่ข้าต้องเดิมพันกับเจ้า” เสี่ยวเยว่ปัดฝุ่นบนหนังสือออกและตอบกลับไป


          “เจ้าคนขี้ขลาด เทพที่เจ้านับถือก็คงขี้ขลาดไม่ต่างจากเจ้า” ซงสู่พูดพร้อมกับหันหลังเดินกลับไป


          แม้ว่าเสี่ยวเยว่รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก แต่การโต้เถียงกับเด็กผู้หญิงคงไม่มีประโยชน์เท่าใดนัก เขาจึงหันไปทางเทพกระบี่ที่วางอยู่ข้าง ๆ


          “เทพกระบี่ ท่านได้ชมการประลองของนางหรือไม่?” เสี่ยวเยว่ถามออกไป แม้ว่าเขาจะไม่ชอบการต่อสู้ แต่ผู้หญิงอวดดีที่กล้าลบหลู่เทพแห่งการเก็บฟืนเช่นนางจะต้องถูกลงโทษ


          “แน่นอนว่าข้าได้ชมการประลองของนาง และข้าพูดได้อย่างมั่นใจว่า เจ้าไม่อาจที่จะเอาชนะนางได้เป็นแน่ แต่หากเจ้าให้ข้าเป็นคนควบคุมแขนของเจ้านั่นก็เป็นเรื่องที่ง่ายดายนัก” เทพกระบี่ตอบกลับไป


“หากไม่ต่อสู้ด้วยกำลังของตนเอง เทพแห่งการเก็บฟืนคงไม่ให้อภัยข้าเป็นแน่ ท่านพอจะมีหนทางที่จะทำให้ข้าไม่พ่ายแพ้ได้หรือไม่ ข้ามิได้ต้องการชนะ ข้าขอแค่ไม่แพ้นางเท่านั้น” เสี่ยวเยว่ตอบกลับไป


คำพูดของเสี่ยวเยว่แตกต่างจากก่อนหน้าอย่างเห็นได้ชัด ทำให้เทพกระบี่รู้สึกประหลาดใจ ก่อนหน้านี้เขายังไม่สนใจการประลองแม้แต่น้อย แต่ในตอนนี้เสี่ยวเยว่กลับขอให้เขาช่วยหาหนทางที่จะไม่แพ้ในการต่อสู้ อาจเป็นเพราะเทพแห่งการเก็บฟืนที่เขานับถือถูกลบหลู่ก็เป็นได้


“ข้าจะบอกพื้นฐานของการต่อสู้ด้วยกระบี่ให้แก่เจ้า ขอให้ข้าควบคุมแขนของเจ้าสักครู่หนึ่งก่อนนะ” เทพกระบี่พูดแล้วกับสะบัดพู่ที่ปลายกระบี่ไปที่พันที่ข้อมือของเสี่ยวเยว่ทันที


“นี่คือพื้นฐานในการจับกระบี่ เจ้าจะต้องจับให้มั่นคงเช่นนี้” เทพกระบี่พูดพร้อมกับใช้มือกำกระบี่อย่างมั่นคง จากนั้นเขาก็นำหยุดการควบคุมแขนของเส่ยวเยว่


“เช่นนี้หรือ?” เสี่ยวเยว่ลองกำกระบี่ในมือดั่งที่เทพกระบี่ทำให้ดู และก็สามารถทำได้อย่างถูกต้อง


          โดยปกติแล้ว แค่การถือกระบี่ให้ถูกต้องต้องใช้เวลาฝึกฝนหลายวันแต่เสี่ยวเยว่ กลับสามารถทำได้ถูกต้องตั้งแต่ครั้งแรก ทำให้เทพกระบี่รู้สึกแปลกใจไม่น้อย หรือเป็นเพราะพรสวรรค์ของเสี่ยวเยว่กันแน่


          “ขั้นต่อไป ข้าจะบอกระหว่างการประลองคู่ก่อนหน้าของเจ้า” เทพกระบี่พูดพร้อมกับให้เสี่ยวเยว่ดูการประลองที่เบื้องหน้า


          เหย่หนิว [กระทิงน้อย] และหูหลาง [จิ้งจอกน้อย]เข้าไปในลานประลอง และถืออาวุธไว้ในมือ


          “อาวุธของหูหลางคือดาบ หากมองดูโดยผิวเผิน ดาบและกระบี่นั้นดูไม่ต่างกันนัก แต่แท้จริงแล้วแตกต่างกันเป็นอย่างมาก” เทพกระบี่พูด


          หูหลางเป็นฝ่ายบุกเข้าไปโจมตีโดยการฟันดาบจากด้านบนลงมาอย่างรุนแรง แต่ เหย่หนิวก็ใช้ขวานรับอย่างง่ายดาย


          “ดาบคือการโจมตีด้วยกำลัง และเป็นการโจมตีด้วยการฟัน แต่การโจมตีที่รุนแรงที่สุดของกระบี่คือการแทง” เทพกระบี่อธิบายต่อ


           เหย่หนิวใช้ขวานโจมตีกลับไป แต่หูหลางก็รวดเร็วพอที่จะใช้ดาบป้องกันเอาไว้ได้


          “การป้องกันก็เช่นกัน หากเจ้าใช้กระบี่ตั้งรับด้วยวิธีเดียวกับดาบ เจ้าก็จะได้รับบาดเจ็บ เพราะกระบี่นั้นมิได้แข็งแกร่งเท่ากับดาบ การตั้งรับเจ้าจะต้องรับในแนวเฉียงเพื่อกระจายพลังโจมตีของอีกฝ่าย จงจำไว้ว่าไม่ใช่การต้านรับแต่เป็นการใช้กระบี่เปลี่ยนทิศทางการโจมตีของศัตรู” เทพกระบี่พยายามอธิบายให้เสี่ยวเยว่เข้าใจได้ง่ายที่สุด โดยการควบคุมแขนของเสี่ยวเยว่และทำให้ดูเป็นตัวอย่างไปพร้อม ๆ กัน


          “ข้าเข้าใจแล้ว” เสี่ยวตอบกลับไปพร้อมกับพยักหน้า


          “หากเจ้าเรียนรู้พื้นฐานที่ข้าบอกไป นางก็ไม่อาจที่จะเอาชนะเจ้าได้” เทพกระบี่สรุป


          “ท่านเทพกระบี่การสอนของท่านนั้นเข้าใจได้ง่ายยิ่งนัก แม้แต่เด็กอย่างเสี่ยวเยว่ ก็สามารถเข้าใจได้ไม่ยาก” เจ้าที่พูดแทรกขึ้นมา เมื่อเห็นว่าเทพกระบี่สอนวรยุทธให้แก่เสี่ยวเยว่ ทำให้เจ้าที่อดที่จะมาฟังด้วยไม่ได้


          “ข้าเป็นถึงเทพกระบี่ หากไม่อาจถ่ายทอดให้ผู้อื่นเข้าใจได้ ข้าคงมิได้นามนี้เป็นแน่” เทพกระบี่ตอบกลับไป


          “เพลงกระบี่ของเขา เหนือกว่าผู้ใดบนสรวงสวรรค์แห่งนี้” เง๊กเซียนฮ่องเต๊เอ่ยปากชื่นชม


          “หากเขาใช้เพียงกระบี่ในมือ ข้าคงไม่ต้องลงโทษเขาเช่นนี้” เจ้าแม่ซีหวังหมู่พูดพร้อมกับส่ายหน้า เพราะเขาใช้กระบี่ในตัวทำให้นางฟ้าทั้งเจ็ดต้องสูญเสียพรหมจรรย์นั่นนับว่าเป็นความผิดร้ายแรง ทำให้เขาต้องถูกลงโทษเช่นนี้


          หลังจากนั้นการประลองก็จบลง หูหลางเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ แม้ว่าจะมีความเร็วที่เหนือกว่า แต่การเอาชนะ เหย่หนิวที่เรียนรู้วรยุทธมานั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเขา


          “คู่ประลองต่อไปเข้ามาในลานประลองได้” อาจารย์ต้าซิงซิงตะโกนเรียกทั้งสองคน


          เสี่ยวเยว่และกระรอกน้อยเข้าไปในลานประลอง ในตอนนี้เสี่ยวเยว่แตกต่างจากการประลองในรอบก่อนหน้าอย่างเห็นได้ชัด เขาถือกระบี่อย่างมั่นคง และไม่คิดที่จะยอมแพ้เลยแม้แต่น้อย


          “ข้าจะจบการประลองให้เร็วที่สุดดั่งที่เจ้าต้องการ” ซงสู่ใช้กระบอกในมือฟาดลงไปที่หัวของเสี่ยวเยว่อย่างรวดเร็ว


          “ไม่ใช่การต้านรับแต่เป็นการปัดทิ้ง” เสี่ยวเยว่ใช้กระบี่ด้านข้างต้านรับพร้อมกับหมุนกระบี่เพื่อเปลี่ยนทิศทางการโจมตีของกระบองให้ไปทางอื่นแทน ทำให้กระบองของซงสู่นั้นฟาดลงไปที่พื้นแทนที่จะเป็นตัวเขา


          “ไม่เลว” อาจารย์ต้าซิงซิงเอ่ยชื่นชมทั้งสองฝ่าย การโจมตีของซงสู่ก็รุนแรง การต้านรับของเสี่ยวเยว่ก็งดงามยิ่งนัก


          “ทั้งที่มีความสามารถถึงเพียงนี้แต่กลับมาดูถูกข้า” ซงสู่ดึงกระบองกลับมาและแทงออกไปราวกับหอก เป็นกระบวนท่าที่นางใช้ปิดฉากการประลองกับโหวจื่อ [วานรน้อย] นั่นเอง 


          “เสี่ยวเยว่ ระวัง!” เทพกระบี่รีบเตือนเสี่ยวเยว่แต่ก็ดูเหมือนว่าจะช้าเกินไป


          เสี่ยวเยว่หมุนตัวกลับมา พร้อมกับแทงกระบี่สวนกลับไปทันที นี่เป็นกระบวนท่าเดียวกับที่เทพกระบี่เคยใช้ที่ศาลเจ้าของเจ้าที่มาก่อน


          ทันทีที่ปลายกระบี่และกระบองปะทะกัน กระบองของซงสู่ก็แตกออกเป็นสองส่วน ทำให้ทุกคนที่ชมการประลองอยู่รู้สึกตกใจยิ่งนัก กระบี่ที่ไม่มีปลายแหลม เหตุใดจึงสามารถแยกกระบองออกเป็นสองส่วนได้


          “นี่มันกระบี่ทะลวงสวรรค์!” เทพกระบี่พูดขึ้นมาความความตกใจ
          “เทพกระบี่ นี่ฝีมือท่านหรือไม่?” เสี่ยวเยว่พูดขึ้นมาด้วยความตกใจ แต่เมื่อมองดูพู่ที่ปลายกระบี่ก็ไม่ได้พันที่แขนของเขา หมายความว่าเทพกระบี่ไม่ได้ทำสิ่งใด เรื่องนี้เสี่ยวเยว่เองก็ประลาดใจไม่น้อย
         
          “ร่างกายของเสี่ยวเยว่สามารถจดจำในสิ่งที่ข้าใช้ ในยามที่ข้าควบคุมแขนของเขา” เทพกระบี่พูดกับตนเอง นั่นคือเหตุผลว่าเหตุใดเสี่ยวเยว่จึงสามารถจดจำตัวอักษรที่เขาเขียนได้อย่างรวดเร็ว และสามารถเข้าใจพื้นฐานของเพลงกระบี่ได้อีกด้วย


          “เมื่ออาวุธของซงสู่ถูกทำลาย เสี่ยวเยว่เป็นฝ่ายชนะ” อาจารย์ต้าซิงซิงประกาศออกไป


          ซงสู่นั่งลงกับพื้นพร้อมกับกระบองที่แตกเป็นสองส่วนพร้อมกับร้องไห้ออกมา เสี่ยวเยว่เห็นเช่นนั้นจึงหันหลังเดินออกไปโดยไม่พูดอะไร


          “ช้าก่อน เจ้าเป็นฝ่ายชนะ ดังนั้นข้าจะขอขมาเทพแห่งการเก็บฟืนตามที่ได้เดิมพันเอาไว้” ซงสู่พูดขึ้นมาพร้อมน้ำตา


          “ข้าไม่ได้ตกลงที่จะเดิมพันอะไรกับเจ้า” เสี่ยวเยว่พูดโดยที่ไม่หันกลับไปมอง


          “การประลองในรอบสุดท้าย จะต่อสู้กันในวันพรุ่งนี้” อาจารย์ต้าซิงซิงพูดพร้อมกับให้ทุกคนไปพักผ่อน


          ทุกคนเดินไปยังที่พัก มีเพียงซงสู่ที่ยังคงนั่งอยู่ในลานประลองกับกระบองในมือของนาง


          เสี่ยวเยว่เองก็รู้สึกผิดไม่น้อย จึงแอบดูอยู่ที่หลังต้นไม้ใกล้ ๆ กับลานประลอง การที่กระบองของนางต้องมีสภาพเช่นนั้นก็เป็นเพราะเขา หากกระบี่ไม้ของเขาอยู่ในสภาพนั้น เขาก็คงจะอยู่ในสภาพที่ไม่ต่างไปจากนาง


          “ท่านพ่อข้าพ่ายแพ้ และทำให้ท่านต้องอยู่ในสภาพเช่นนี้” ซงสู่พูดพร้อมกับร้องไห้ กระบองไม้นี้เป็นของดูต่างหน้าพ่อของนาง ที่พ่อของนางทำไว้ให้ในวันที่นางเกิด เมื่อหนึ่งปีก่อนนางต้องสูญเสียพ่อของนางไปตลอดกาล นางจึงรักและหวงแหนกระบองไม้นี้ยิ่งนัก และในวันนี้มันกลับต้องมาอยู่ในสภาพเช่นนี้


          เมื่อได้ยินเช่นนั้นเสี่ยวเยว่จึงตัดสินใจที่จะเดินเข้าไปหานาง เขาเอื้อมมือไปหยิบกระบองไม้มาอย่างแผ่วเบาและใช้เชือกมัดให้ติดกัน แม้ว่าจะไม่เหมือนเดิมนักแต่เขาก็สามารถทำได้เพียงเท่านี้


          “เจ้าที่ เจ้าสามารถทำให้กระบองของนางกลับมาเป็นเช่นเดิมได้หรือไม่?” เทพกระบี่หันไปถามเจ้าที่ ที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ


          “หากท่านต้องการเช่นนั้นข้าก็จะช่วยเหลือสักครั้ง” เจ้าที่รวบรวมกุศลมาไว้ในมือและปล่อยไปที่กระบองนั้น


          การสร้างปาฏิหาริย์ให้เกิดแก่มนุษย์นั้น เทพจะต้องยอมใช้กุศลส่วนหนึ่งสร้างขึ้นมา ในครั้งนี้เจ้าที่ยอมสละกุศลเพราะเทพกระบี่นั้นร้องขอ และเขาเองก็รู้สึกเห้นใจซงสู่ไม่น้อย


          กระบองไม้ของซงสู่เปร่งแสงขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนที่เชือกที่เสี่ยวเยว่มัดไว้จะหายไป ทันใดนั้นกระบองไม้ของนางก็กลับมาอยู่ในสภาพเดิมอีกครั้ง


          “ทะ...ท่านพ่อกลับมาเป็นเช่นเดิมแล้ว” ซงสู่กอดกระบองไม้เอาไว้และพูดออกไปพร้อมกับน้ำตาแห่งความดีใจ


          “คงเป็นเพราะเทพแห่งการเก็บฟืนนั้นยอมให้อภัยเจ้าแล้ว” เสี่ยวเยว่พูดพร้อมกับยิ้ม


          “ขอบคุณเทพแห่งการเก็บฟืน” ซงสู่เช็ดน้ำตาพร้อมกับเอ่ยคำขอบคุณ


          “ทำไมกัน ข้าสละกุศลเพื่อทำให้กระบองไม้ของนางกลับสู่สภาพเดิม แต่นางกลับขอบคุณเทพแห่งการเก็บฟืน เช่นนี้ข้าจะได้กุศลหรือไม่?” เจ้าที่พูดขึ้นมาด้วยความไม่พอใจ ปกติแล้วหากมนุษย์เอ่ยคำขอบคุณต่อเทพองค์ใด เทพองค์นั้นก็จะได้รับกุศลเป็นการตอบแทน แต่การที่นางขอบคุณเทพแห่งการเก็บฟืนที่ไม่มีอยู่จริง ทำให้เจ้าที่ไม่ได้รับกุศล ทั้ง ๆ ที่เขาเป็นผู้สละกุศลเพื่อสร้างปาฏิหาริย์ในครั้งนี้


          ด้วยเหตุนี้ ทำให้เจ้าที่ถึงกับร้องไห้เพราะความเศร้าใจ โดยมีเทพกระบี่เป็นฝ่ายปลอบใจแทน..........จบเหอะ

แต่งโดย นายมะพร้าว


<< Back                  Next >>


เมนู นิยาย ล่าง

เมนู มังงะ ล่าง