test

เมนู นิยาย บน

เมนูมังงะ

18 ก.พ. 2560

God of sword and The Woodman บทที่ 7 การประลอง



          หลังจากจบช่วงเช้าที่เป็น การหัดเขียนและอ่านแล้ว ในช่วยบ่ายจะเป็นการฝึกสอนวิชาการต่อสู้ ทำให้เหล่าเด็ก ๆ รู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก มีเพียงเสี่ยวเยว่ที่ไม่ได้สนใจเรื่องนี้มากนัก


          วานรน้อยกำลังห้อยโหนอยู่บนต้นไม้ พร้อมกับพูดออกไปว่า “เรื่องการปีนต้นไม้ ไม่มีผู้ใดเอาชนะข้าได้ หากเป็นการต่อสู้บนต้นไม้ข้าคงจะได้ผลการเรียนที่ดีเป็นแน่” พูดจบวานรน้อยก็หมุนตัวพร้อมกับกระโดดลงมาที่พื้นอย่างสวยงาม


          “หากเป็นเรื่องกำลังกายข้าก็ไม่ยอมแพ้ผู้ใดเช่นกัน” ช้างน้อยแสดงฝีมือโดยการยกหินก้อนใหญ่ให้คนอื่น ๆ ได้เห็น


          “ที่ข้ามีฉายาว่ากระต่ายน้อย เป็นเพราะข้านั้นหูดียิ่งนัก สามารถได้ยินเสียงได้ไกลกว่าผู้อื่น” กระต่ายน้อยยืดอกด้วยความภูมิใจ


          “หากเป็นเรื่องการดมกลิ่น จมูกของข้านั้นเยี่ยมยอดจนสามารถระบุได้ว่าผู้ใดที่แอบผายลมในชั้นเรียน” จิ้งจอกน้อยพูดด้วยความภาคภูมิใจ ขณะที่คนอื่น ๆ รีบเอามือปิดจมูก


          “ข้าคือเจ้าหนูน้อย เรื่องความเร็วนั้นข้าไม่เคยยอมแพ้ผู้ใด” เจ้าหนูน้อยพูดแทรกขึ้นมา


          “แล้วเจ้ามีความสามารถอันใดบ้าง” วานรน้อยหันไปถามเสี่ยวเยว่   


“ข้าเป็นคนเก็บฟืน ที่ข้าเชี่ยวชาญที่สุดคือการเก็บฟืนเท่านั้น” เสี่ยวเยว่เงยหน้าจากหนังสือและตอบกลับไปอย่างไม่สนใจใยดีเท่านักนัก


“ข้าเห็นว่าเจ้าเองก็พกกระบี่ไม้เช่นเดียวกับข้า คิดว่าเจ้าจะบอกว่ามีความสามารถในการใช้กระบี่เสียอีก” กระต่ายน้อยพูดพร้อมกับหัวเราะขึ้นมา


เทพกระบี่กับเจ้าที่มองดูเหล่าเด็ก ๆ เหล่านั้นด้วยความเอ็นดู แต่เมื่อมองดูเสี่ยวเยว่แล้ว เขาก็ต้องถอนหายใจอีกครั้ง เสี่ยวเยว่ไม่มีความสนใจในเรื่องอื่นใดแม้แต่น้อย ในหัวของเขามีเพียงแต่เรื่องการเก็บฟืนเท่านั้น


“ทุกคนหยุดก่อน ข้าได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง” กระต่ายน้อยรีบบอกให้ทุกคนหยุดคุยกัน นางใช้หูของนางแนบไปที่ก้อนหินก้อนหนึ่งและพูดออกไปว่า


“มีคนกำลังมาที่นี่” นางพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้น


“เหตุใดจึงต้องใช้หูแนบกับก้อนหินเช่นนั้น แค่มองดูก็เห็นแล้ว” เสี่ยวเยว่ชี้ไปยังด้านหลังของกระต่ายน้อย มีชายผู้หนึ่งกำลังเดินเข้ามาหาพวกเขา ที่ด้านหลังของเขามีเด็กชายและเด็กผู้หญิงสองคนเดินตามมา ซึ่งอายุของเด็กสองนั้นก็ดูไม่ต่างไปจากพวกเสี่ยวเยว่เท่าใดนัก


เมื่อทุกคนหันหลังกลับไป พบว่ามีชายวัยกลางคน ใบหน้าดุดันรูปร่างสูงใหญ่กำลังเดินมา


“เสี่ยวเยว่ เจ้าทำให้ข้าเสียหน้า ข้าจะไม่ให้อภัยเจ้าเด็ดขาด” กระต่ายน้อยพูดพร้อมกับร้องไห้ด้วยความเจ็บใจ ที่เสี่ยวเยว่ทำให้นางเป็นดังตัวตลกที่น่าขบขันเช่นนี้


“ข้าต้องการที่จะบอกเพียงว่า ข้านั้นเห็นคนเดินมา มันก็เท่านั้น” เสี่ยวเยว่ตอบกลับไปด้วยความงุนงง ว่านางโกรธเพราะเรื่องอันใดกัน


“มารวมตัวกันตรงนี้ ข้ามีชื่อว่า ต้าซิงซิง เป็นอาจารย์สอนศิลปะการต่อสู้ให้กับพวกเจ้า” อาจารย์ต้าซิงซิง พูดขึ้นด้วยเสียงที่ดังก้องไปทั่ว [หมายเหตุ 大猩猩:ต้าซิงซิง:กอลิล่า]


“สองคนนี้ก็เป็นนักเรียนในรุ่นเดียวกับพวกเจ้า พวกเขาเพิ่งจะเดินทางมาถึง นี่คือ เหย่หนิวและซงสู่” อาจารย์ต้าซิงซิงแนะนำเด็กทั้งสองให้ทั้งหกคนได้รู้จัก [หมายเหตุ 野牛:เหย่หนิว:กระทิงน้อย และ 松鼠:ซงสู่: กระรอกน้อย]


เหย่หนิว ฉายา กระทิงน้อย นั้นเป็นเด็กที่มีรูปร่างใหญ่โต แม้ว่าจะตัวเล็กกว่าช้างน้อย แต่ดูเหมือนว่าจะมีกล้ามเนื้อที่ถูกฝึกมาดีกว่า ด้านหลังของเขามีขวานสองเล่มที่ทำจากไม้อยู่


ซงสู่ ฉายา กระรอกน้อย เป็นเด็กผู้หญิงรูปร่างสูงกว่ากระต่ายน้อย ผมของนางยาวจนถึงกลางหลัง มีใบหน้าที่เรียบเฉย และดูไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าใดนัก อาวุธของนางแม้ว่าจะดูเหมือนกระบองที่ทำมาจากไม้ แต่แท้จริงแล้วเป็นหอกที่ถูกตัดปลายออกไป


“พวกเจ้าทุกคนคงจะได้รับอาวุธที่ทำมาจากไม้จากครอบครัวของพวกเจ้ามาแล้ว จงนำมันออกมา” อาจารย์ต้าซิงซิงสั่งพร้อมกับกวาดสายตามองทั้งหกคน


เมื่อเห็นว่าสิ่งที่ทั้งหกคนพกมาประกอบไปด้วย พกกระบี่จำนวนสองคน พกดาบจำนวนสองคน พกกระบองจำนวนสองคน และพกขวานอีกสองคน อาจารย์ต้าซิงซิงก็พยักหน้าด้วยความยินดี เพราะสามารถจับคู่ประลองได้ไม่ยากนัก


อาวุธของเด็กทุกคนจะไม่มีส่วนที่เป็นปลายแหลม ยกตัวอย่างเช่นกระบี่ของเสี่ยวเยว่ แม้ว่าโดยรวมจะมองเห็นว่าเป็นดั่งกระบี่ทั่ว ๆ ไป แต่ส่วนปลายนั้นถูกตัดราบไม่มีส่วนปลายแหลม เพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดกับพวกเด็ก ๆ


“จากนี้ไปจะเป็นการจับคู่ประลองเพื่อดูพื้นฐานการต่อสู้ ผู้ที่ล้มลงกับพื้นจะถูกตัดสินว่าแพ้ในทันที” อาจารย์ต้าซิงซิงกวาดสายตาไปที่ทั้งหกคนอีกครั้ง และพูดออกไป


“ท่านอาจารย์ข้าขอจับคู่กับเสี่ยวเยว่ได้หรือไม่?” กระต่ายน้อยรีบยกมือขึ้นและพูดออกไปทันที กระต่ายน้อยต้องการจะล้างแค้นที่เสี่ยวเยว่ทำให้นางต้องเสียหน้า


“เจ้าทั้งสองต่างก็ใช้กระบี่เหมือนกัน ถ้าเช่นนั้นเสี่ยวเยว่และกระต่ายน้อยจะได้จับคู่ประลองกัน” อาจารย์ต้าซิงซิงพยักหน้าเห็นด้วย


“สำหรับคนที่เหลือ ให้จับคู่กับผู้ที่ใช้อาวุธประเภทเดียวกัน เมื่อได้ผู้ชนะแล้วข้าจะให้ต่อสู้กันต่อจนเหลือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มของพวกเจ้า” อาจารย์ต้าซิงซิงพูดออกไป และเริ่มจัดเตรียมพื้นที่ให้ได้ประลองกัน


คู่แรกเป็นการประลองกันของผู้ใช้กระบอง วานรน้อยและกระรอกน้อย วานรน้อยรู้สึกดีใจที่ได้ต่อสู้กับหญิงสาวหน้าตาน่ารัก จึงกระโดดโลดเต้นในลานประลอง


ทางด้านเสี่ยวเยว่นั้นไม่ได้สนใจการประลองแม้แต่น้อย เขานั่งอยู่ด้วยความเบื่อหน่ายและอยากจะให้การเรียนวิชาป้องกันตัวนี้จบลงเสียที


“เสี่ยวเยว่ เจ้าไม่ชมการประลองสักหน่อยหรือ เจ้าอาจจะต้องสู้กับพวกเขาก็เป็นได้” เทพกระบี่พูดขึ้นเมื่อเห็นว่าเสี่ยวเยว่ไม่สนใจการประลองแม้แต่น้อย


“ไม่จำเป็น เพราะถึงอย่างไรข้าก็ต้องพ่ายแพ้ในการประลองอยู่แล้ว และท่านอย่าได้มาควบคุมมือและแขนของข้าเป็นอันขาด ไม่ใช่เช่นนั้น ข้าจะหักท่านให้เป็นท่อน ๆ แล้วโยนทิ้งไปซะ” เสี่ยวเยว่พูดขึ้นมาด้วยความเบื่อหน่าย วรยุทธ การป้องกันตัว ล้วนเป็นวิชานอกรีต แม้ว่าพ่อของเขาจะบอกว่าวิชาการป้องกันตัวนั้นมีความจำเป็น แต่สำหรับเขาแล้วเป็นเรื่องที่น่าเบื่อยิ่งนัก


เทพกระบี่ได้แต่ถอนหายใจ ดูเหมือนว่าการที่จะทำให้เสี่ยวเยว่มาสนใจเรื่องการฝึกยุทธคงจะลำบากไม่น้อย


วานรน้อยปล่อยให้กระรอกน้อยเข้ามาโจมตี แม้ว่าจะดูเหมือนเขากำลังเล่นสนุก แต่วานรน้อยก็เชี่ยวชาญการใช้กระบองไม่น้อย เขาสามารถใช้กระบองของเขารับการโจมตีของกระรอกน้อยได้ทั้งหมด


เมื่อเห็นว่าการโจมตีของตนเองไม่ได้ผล กระรอกน้อยจึงถือปลายกระบองไว้ด้วยมือขวาและแทงออกไปด้านหน้าอย่างรุนแรง แม้ว่าวานรน้อยจะใช้กระบองของตนรับเอาไว้ได้ แต่ด้วยแรงกระแทกก็ทำให้เขาล้มลง และเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไป


“เด็กผู้นั้นเป็นผู้ใช้เพลงยุทธ” เทพกระบี่พูดด้วยความตกใจ เด็กอายุแค่เจ็ดขวบกลับใช้วรยุทธได้ดีถึงเพียงนี้ ย่อมได้รับการถ่ายทอดมาจากยอดฝีมือเป็นแน่ หากอาวุธในมือที่นางถืออยู่เป็นหอกของจริง วานรน้อยอาจจะถึงแก่ชีวิตก็เป็นได้


“กระรอกน้อยเป็นฝ่ายชนะ เจ้าไปพักได้ เมื่อถึงการต่อสู้ในรอบถัดไปข้าจะเรียกเจ้ามาอีกครั้ง” อาจารย์ต้าซิงซิงพูดด้วยความยินดี กระรอกน้อยผู้นี้แม้ว่าจะเป็นเด็กผู้หญิงแต่ก็มีฝีมือดีไม่น้อย


คู่ต่อไปเป็นการประลองกันของผู้ใช้ดาบ จิ้งจอกน้อยและเจ้าหนูน้อย แม้ว่าทั้งสองคนจะใช้ดาบไม้เป็นอาวุธ แต่ขนาดดาบของจิ้งจอกน้อยนั้นใหญ่กว่าอย่างเห็นได้ชัด เป็นเพราะทั้งสองยังไม่ได้ฝึกฝนการใช้ดาบที่ถูกต้องจึงดูเหมือนว่าทั้งสองนั้น เล่นสนุกโดยการใช้ดาบไม้ฟาดตีกันเท่านั้น ทำให้จิ้งจอกน้อยที่ตัวใหญ่กว่าและใช้ดาบที่มีขนาดใหญ่กว่าเป็นฝ่ายชนะ


คู่ที่สามช้างน้อยต้องประลองกับกระทิงน้อย เป็นการต่อสู้ระหว่างผู้ที่ใช้ขวานไม้ ช้างน้อยนั้นได้ใช้ขวานในการผ่าฝืนมาแล้วตั้งแต่อยู่กับครอบครัว เนื่องจากเขาเป็นเด็กที่มีรูปร่างใหญ่โต และมีกำลังมากกว่าเด็กในวัยเดียวกัน เขาจึงมั่นใจในฝีมือการใช้ขวานของตนเอง


ช้างน้อยเริ่มต่อสู้โดยการใช้ขวานฟันจากด้านบนเพื่อเพิ่มความแรง แต่กระทิงน้อยกลับใช้ขวานในมือขวาของเขาปัดขวานของช้างน้อยจนหลุดมือไป และใช้ขวานอีกเล่มที่อยู่ในมือซ้ายแตะไปที่คอของช้างน้อยเพื่อประกาศชัยชนะ


“มะ...ไม่จริง” ช้างน้อยพูดขึ้นมาเพราะไม่เชื่อกับสิ่งที่เกิดขึ้น


“เจ้าคงคิดว่าตนเองนั้นแข็งแกร่งมากสินะ” กระทิงน้อยพูดพร้อมกับผลักไปที่ร่างของช้างน้อย แรงผลักทำให้ช้างน้อยที่ตัวใหญ่กว่าล้มลงไปอย่างง่ายดาย นั่นแสดงให้เห็นได้ชัดว่ากระทิงน้อยนั้นมีพลังมากกว่าช้างน้อยเสียอีก


คู่สุดท้ายเป็นการประลองระหว่างเสี่ยวเยว่และกระต่ายน้อย เสี่ยวเยว่เดินเข้าไปในลานประลองด้วยความเบื่อหน่าย และเป็นเพราะเสี่ยวเยว่ได้พูดขู่เอาไว้ ทำให้เทพกระบี่ไม่กล้าที่จะใช้พู่ที่ปลายประบี่ควบคุมมือและแขนของเสี่ยวเยว่


ดวงตาของกระต่ายน้อยเต็มไปด้วยความเจ็บแค้น การที่หญิงสาวเช่นนางต้องมาขายหน้าต่อทุกคนเพราะคำพูดของเสี่ยวเยว่ ทำให้นางตั้งใจที่จะชำระแค้นด้วยการประลองในครั้งนี้และจะต้องทำให้เสี่ยวเยว่ขายหน้าต่อหน้าทุกคนให้ได้


ทางด้านเสี่ยวเยว่นั้นถือกระบี่ไว้ในมือแต่ก็ปล่อยแขนแขว่งไปมา โดยที่ไม่ได้สนใจที่จะประลองกับนางแม้แต่น้อย เขาหวังให้นางเอาชนะให้เร็วที่สุด เพื่อเขาจะได้ไปนั่งอ่านหนังสือเช่นเดิม


การถือกระบี่ของนางนั้น เทพกระบี่รู้สึกได้เลยว่านางต้องได้รับการฝึกฝนมา เพราะนางสามารถกำกระบี่ได้อย่างถูกต้อง และกำกระบี่ได้อย่างกระชับ ต่างกับการถือกระบี่ของเสี่ยวเยว่ที่เป็นการถือกระบี่ไว้อย่างหลวม ๆ เท่านั้น


“เป็นการประลองที่น่าสนใจ หากเสี่ยวเยว่มีความคิดคิดที่จะต่อสู้กับนางคงจะสนุกไม่น้อย แต่ก็ไม่รู้ว่าเทพกระบี่จะยื่นมือเข้ามาแทรกในการประลองนี้หรือไม่” เง๊กเซียนฮ่องเต๊พูดขึ้นมาเมื่อเห็นทั้งสองคนอยู่ในลานประลอง


“หากเทพกระบี่ยื่นมือเข้าไปในการประลองของพวกเด็ก ๆ แม้ว่าเขาจะไม่มีกุศลที่สะสมเอาไว้ ข้าก็คงจะต้องลงโทษเขาโดยการลดทอนกุศลของเขาล่วงหน้าเป็นแน่” เจ้าแม่ซีหวังหมู่พูดขึ้นมาเมื่อได้ยินคำพูดของเง๊กเซียนฮ่องเต๊


หากว่าต้องพ่ายแพ้แก่เด็กสาวในการประลอง แม้ว่าในตอนนี้เสี่ยวเยว่จะไม่รู้สึกอันใด แต่ถ้าหากเขาต้องถูกเด็กคนอื่นหัวเราะเยาะในภายหลัง อาจจะทำให้เขารู้สึกอับอาย และความอับอายจะเป็นแรงกระตุ้นให้เสี่ยวเยว่หันมาฝึกวรยุทธกับเขาก็เป็นได้ เทพกระบี่แอบคิดเข้าข้างตัวเอง


“เสี่ยวเยว่ เจ้าจะต้องได้รับความอับอาย” กระต่ายน้อยพูดพร้อมกับถือกระบี่พุ่งเข้าไปฟันเสี่ยวเยว่ทันที


แต่เป็นเพราะกระต่ายน้อยนั้นโมโหมากเกินไป จึงทำให้นางเหยียบชายเสื้อของตนเอง และล้มลงไปใบหน้าทิ่มพื้น นางรู้สึกอับอายจนไม่กล้าที่จะลุกขึ้นมา พร้อมกับร้องไห้ออกมาเสียงดัง การประลองในครั้งนี้จบลงด้วยชัยชนะของเสี่ยวเยว่ และเป็นการสร้างความเจ็บแค้นให้แก่กระต่ายน้อยเป็นครั้งที่สอง


“ทำไมข้าต้องเป็นฝ่ายชนะเข้ารอบด้วย” เสี่ยวเยว่พูดพร้อมกับถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่าย เขาต้องการเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ เพื่อที่จะไม่ต้องต่อสู้ในรอบต่อ ๆ ไป แต่ผลกลับเป็นเช่นนี้


เทพกระบี่เองก็ได้แต่นิ่งเงียบ เขาไม่คิดเลยว่าเสี่ยวเยว่จะเป็นฝ่ายชนะ เรื่องราวมันเป็นเช่นได้อย่างไรกัน ด้านเจ้าที่ที่ยืนชมการประลองอยู่ไม่ไกลนัก ก็ได้แต่หัวเราะกับสิ่งที่เกิดขึ้น...................จบเหอะ

แต่งโดย นายมะพร้าว


<< Back                  Next >>

               

เมนู นิยาย ล่าง

เมนู มังงะ ล่าง