หลังจากที่ตู่ซื่อและฮวาหั่วลงนามในสัญญาพันธมิตร
อู่หมิงจึงรีบขอตัวกลับไปแจ้งข่าวให้บิดาของเขาทราบ
ก่อนที่จะเดินทางกลับไปนั้นอู่หมิงได้นำสัญญาพันธมิตรไปประกาศด้านหน้าที่พักของตู่ซื่อและฮวาหั่วให้กองกำลังอื่น
ๆ ได้ทราบ เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่มารบกวนตู่ซื่อและฮวาหั่วอีก
ลูกน้องผู้หนึ่งของลิ่วฟงแห่งกองกำลังฟ้าดิน ที่รับหน้าที่เฝ้าสังเกตุอยู่
เขารีบไปแจ้งข่าวแก่ลิ่วฟงที่กำลังนั่งอยู่ในโรงเตี๊ยมในทันที
“หึ! อู่หมิงแห่งตระกูลเทพนักรบ อวดดียิ่งนัก”
ลิ่วฟงใช้มือทุบลงบนโต๊ะด้วยความไม่พอใจ
“มันคงคิดว่าเป็นทายาทของตระกูลใหญ่ จึงได้มาแย่งคนของกองกำลังฟ้าดินเช่นนี้”
ลูกน้องของลิ่วฟงพูดแทรกขึ้นมา
“นับจากนี้ไปหากพบเห็นกองกำลังเทพนักรบไร้นามที่โลกภายนอก จงสังหารพวกมันให้หมด
ให้พวกมันได้รับรู้ว่ากองกำลังฟ้าดินนั้นยิ่งใหญ่เพียงใด”
ลิ่วฟงสั่งการออกไปพร้อมกับยกเหล้าขึ้นมาดื่ม แม้ว่าตระกูลเทพนักรบจะเป็นใหญ่ในนิกายแห่งนี้
แต่สำหรับโลกภายนอกแล้วกองกำลังฟ้าดินนั้นไม่จำเป็นที่จะต้องหวาดหวั่นผู้ใด
การต่อสู้กันที่โลกภายนอกแม้ว่าจะมีการสังหารก็ไม่ได้ผิดกฏของนิกายแต่อย่างใด
ตระกูลเทพนักรบ
อู่เสิ่นบิดาของอู่หมิงหัวเราะด้วยความยินดี
ที่อู่หมิงสามารถทำให้ตูซื่อลงนามในสัญญาพันธมิตรได้
แม้ว่าจะผิดจากที่เขาคาดหวังเอาไว้บ้าง แต่การที่จะสวมปลอกคอให้หมาป่าก็คงจะยากเกินกำลังของอู่หมิง
แต่การที่ต้องขัดแย้งกับกองกำลังฟ้าดินก็เป็นเรื่องที่เขาเองก็ไม่ได้คิดมาก่อน
หากกองกำลังฟ้าดินคิดจะเล่นงานกองกำลังของอู่หมิงย่อมไม่เกิดผลดีเป็นแน่
“อู่หมิง
ข้าจะมอบยอดฝีมือระดับวิถีแห่งมังกรจำนวนสองคนให้เข้าร่วมในกองกำลังของเจ้า พร้อมด้วยยอดฝีมือระดับแก่นแท้แห่งสวรรค์อีกยี่สิบคนและยอดฝีมือระดับดาราสวรรค์อีกแปดสิบคน
สำหรับเงินค่าตอบแทนของพวกเขาทางตระกูลจะเป็นผู้จ่ายให้เอง”
อู่เสิ่นพูดพร้อมหันไปมองยอดฝีมือระดับวิถีแห่งมังกรสองคนที่เขาไว้ใจพวกเขาเป็นชายหญิงวัยกลางคนและมีศักดิ์เป็นลุงและป้าของอู่หมิง
นามว่า อู่มู่ กับ อู่สุ่ย เขาต้องการให้ทั้งสองช่วยดูแลกองกำลังของอู่หมิง
“ขอรับ!” อู่หมิงตอบรับด้วยความยินดี
เมื่อมีสมาชิกในกองกำลังเริ่มต้นถึงร้อยคนและไม่ต้องจ่ายค่าตอบแทนเองอีกด้วย
ทำให้กองกำลังเทพนักรบไร้นามนั้นมีความมั่นคงขึ้นเป็นอย่างมาก แต่เมื่อเทียบกับกองกำลังฟ้าดินที่มีสมาชิกนับหมื่นก็ยังคงแตกต่างกันยิ่งนัก
วันต่อมาอู่หมิงและกองกำลังของเขาได้ไปชักชวนให้คนมาเข้าร่วมในกองกำลังของเขา
เมื่อมียอดฝีมือระดับวิถีแห่งมังกรถึงสองคนยืนอยู่ข้างกายของอู่หมิง
ก็ทำให้มีผู้ที่สนใจไม่น้อย
แต่เพราะข่าวลืมที่ว่ากองกำลังฟ้าดินประกาศว่าหากพบเจอกับกองกำลังเทพนักรบไร้นามที่โลกภายนอกก็จะสังหารไม่ให้เหลือ
ทำให้ยังไม่มีใครกล้าที่จะสมัครเข้ากองกำลัง
“ความน่าเชื่อถือของกองกำลังนั้นมีความสำคัญยิ่งนัก หากว่าเจ้ามิได้ครอบครองทะเลสาบแห่งเทพสักแห่ง
คงจะเป็นการยากที่จะให้ผู้คนเชื่อในตัวเจ้า” อู่สุ่ยหันไปมองอู่หมิงพร้อมกับแนะนำ สำหรับนางแล้วอู่หมิงก็เป็นหลานชายที่น่ารักคนหนึ่ง
“ท่านป้าเรื่องที่ท่านพูดมาข้าก็เข้าใจดี สมาชิกในกองกำลังขณะนี้ท่านพ่อเป็นผู้จ่ายค่าตอบแทนให้
แต่หากมีผู้เข้าร่วมกองกำลังมากขึ้นข้าจะต้องเป็นผู้จ่ายค่าตอบแทนให้พวกเขา
หากกองกำลังของข้าไม่ได้ครอบครองทะเลสาบแห่งเทพ
ข้าก็ต้องนำเงินส่วนตัวที่ได้รับจากตระกูลไปจ่ายเป็นค่าตอบแทน” อู่หมิงตอบกลับไป
ศิลาจิตวิญญาญที่เขาได้รับจากตระกูลในแต่ละเดือนนั้นอยู่ที่ห้าพันก้อนเท่านั้น
หากจ่ายค่าตอบแทนให้สมาชิกคนละห้าสิบศิลาจิตวิญญาณต่อเดือน
เขาก็สามารถรับคนเพิ่มได้อีกแค่ร้อยคนเท่านั้น
ทะเลสาบแห่งเทพนั้นจะปรากฏอยู่ที่โลกภายนอก
และไม่นับว่าตระกูลใดเป็นเจ้าของ เนื่องจากทางนิกายต้องการให้กองกำลังต่าง ๆ
ได้ฝึกฝนการเอาชีวิตรอบในการต่อสู้จริง ความขัดแย้งใด ๆ ที่โลกภายนอก
ทางนิกายจะไม่เข้าไปแทรกแซงโดยเด็ดขาด
“ทะเลสาบแห่งเทพที่อยู่ไม่ไกลจากนิกายล้วนถูกครอบครองจากกองกำลังอื่น
ๆ ไปจนหมดแล้ว
เมื่อใดที่เริ่มการบุกโจมตีก็เท่ากับว่ากองกำลังของเราได้ประกาศสงครามกับกองกำลังที่เป็นเจ้าของทะเลสาบแห่งเทพนั้น
ๆ” อู่มู่พูดแทรกขึ้นมา
การตัดสินใจที่จะยึดครองทะเลสาบแห่งเทพนั้นต้องมีการเตรียมใจไม่น้อย
“แต่กองกำลังของเรามีสมาชิกน้อยเกินไป”
อู่หมิงพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่เป็นกังวล เมื่อยึดครองทะเลสาบแห่งเทพได้แล้ว จำเป็นที่จะต้องให้สมาชิกในกองกำลังคอยเฝ้าเอาไว้
การป้องกันทะเลสาบแห่งเทพนั้นยากยิ่งกว่าการบุกโจมตีเพื่อยึดครองหลายเท่านัก
“อู่หมิง” มีเสียงดังขึ้นมาจากทางด้านหน้า เป็นเสียงของมี่เฝิ่นหงคู่หมั้นของเขานั่นเอง
โดยมีคนกลุ่มหนึ่งเดินตามหลังนางมา
“เฝิ่นหง เจ้ามาทำอะไรที่นี่?” อู่หมิงถามด้วยความสงสัย
“ทางตระกูลของข้าได้ส่งคนมาเข้าร่วมกองกำลังของเจ้าจำนวนห้าสิบคน
ซึ่งค่าตอบแทนของทั้งห้าสิบคนนี้ตระกูลของข้าจะเป็นผู้รับผิดชอบเอง”
เมื่อได้สมาชิกเพิ่มขึ้นอีกห้าสิบคนก็ทำให้อู่หมิงมีความมั่นใจเพิ่มขึ้นไม่น้อย
เขาจึงได้ตัดสินใจที่จะชักชวนให้มี่เฝิ่นหง
พร้อมกับท่านลุงและท่านป้าของเขาไปหารือกับตู่ซื่อ
ที่พักของตู่ซื่อและฮวาหั่ว
“คารวะท่านผู้อาวุโสทั้งสอง ไม่คิดเลยว่าข้าจะมีโอกาสได้พบกับยอดฝีมือระดับวิถีมังกรที่นี่”
ตู่ซื่อและฮวาหั่วประสานมือพร้อมกับโน้มตัวเพื่อทำความเคารพท่านลุงและท่านป้าของอู่หมิง
แม้ว่าทั้งสองจะพยายามปิดกั้นพลังที่แท้จริงเอาไว้
แต่ก็ไม่อาจปิดบังประสาทสัมผัสของกิเลนฟ้าและกิเลนเพลิงได้
“มิน่าเล่า อู่เสิ่นจึงได้สนใจในตัวพวกเจ้านัก
ที่พวกเรามาพบเจ้าในวันนี้เพื่อที่จะหารือเกี่ยวกับการยึดครองทะเลสาบแห่งเทพ”
อู่สุ่ยพูดออกไปด้วยความแปลกใจที่ตู่ซื่อสามารถรับรู้ถึงระดับพลังที่แท้จริงของนางและสามีได้
“เรื่องนั้นข้าทราบดี และข้าก็มีทะเลสาบแห่งเทพแห่งหนึ่งที่อยากจะแนะนำ”
ตู่ซื่อตอบกลับไป ตู่ซื่อและฮวาหั่วนั้นรู้ถึงความสำคัญของทะเลสาบแห่งเทพ
แต่ด้วยกำลังของพวกเขาสองคน การยึดครองทะเลสาบแห่งเทพนั้นไม่ใช่เรื่องยาก
แต่พวกเขาแค่สองคนไม่อาจที่จะปกป้องทะเลสาบแห่งเทพเอาไว้ได้เป็นแน่
ดังนั้นการให้ความร่วมมือกับอู่หมิงจึงมีความจำเป็นยิ่งนัก
“ทะเลสาบแห่งเทพแห่งใดกัน?” อู่มู่ถามด้วยความสงสัย
“ทะเลสาบแห่งเทพนั้นอยู่ระหว่างทางไปยังหุบเขาแห่งเทพ
ข้าและฮวาหั่วเคยไปที่นั่นมาแล้ว
และพบว่ามีเพียงยอดฝีมือระดับแก่นแท้แห่งสวรรค์จำนวนหนึ่งคอยปกป้องอยู่”
ตู่ซื่อตอบกลับไป
“ข้าไม่รู้มาก่อนเลยว่า มีทะเลสาบแห่งเทพอยู่ที่นั่นด้วย”
อู่สุ่ยพูดขึ้นมาด้วยควมประหลาดใจ
“หากพวกข้านำทางไป
ศิลาจิตวิญญาณที่ได้รับจากทะเลสาบแห่งเทพนั้นจะต้องเป็นของพวกข้าหนึ่งในสิบส่วน”
ฮวาหั่วพูดแทรกขึ้นมา
โดยปกติแล้วทะเลสาบแห่งเทพแห่งหนึ่งจะสามารถผลิตศิลาจิตวิญญาณได้ปีละ
ห้าถึงหกพันก้อน แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าเป็นทะเลสาบแห่งเทพที่เสื่อมโทรมหรือไม่
“แน่ นอ....” อู่หมิงรีบตอบรับไปแต่ก็ถูกอู่มู่ห้ามเอาไว้
สิ่งที่ฮวาหั่วเรียกร้องนั้นมากเกินไป
“กองกำลังเทพนักรบไร้นามนั้นมีสมาชิกกว่าร้อยคน
หากเจ้าเรียกร้องมากถึงเพียงนั้นสมาชิกในกองกำลังจะต้องไม่พอใจเป็นแน่”
อู่มู่ตอบกลับไปด้วยความไม่พอใจกับข้อเรียกร้องของฮวาหั่ว
อู่หมิงและมี่เฝิ่นหงถูกห้ามไม่ให้พูดอะไรออกไป
ทั้งสองจึงทำได้เพียงนิ่งเงียบไปเท่านั้น
“หากท่านไม่ยอมรับข้อตกลง
พวกข้าก็คงไม่สามารถพาพวกท่านไปยังทะเลสาบแห่งเทพแห่งนั้นได้” ฮวาหั่วพูดพร้อมกับส่ายหน้า
“นี่เจ้า!” อู่มู่พูดขึ้นมาด้วยความไม่พอใจ
ที่เด็กน้อยระดับชะตาสวรรค์สองคนกล้าที่จะอวดดีต่อหน้าเขาถึงเพียงนี้
ด้วยความแข็งแกร่งของเขาสามารถบดขยี้ตู่ซื่อและฮวาหั่วโดยการใช้นิ้วแค่นิ้วเดียวเสียด้วยซ้ำ
“พอได้แล้ว” อู่สุ่ยพูดแทรกขึ้นมา เพื่อตัดบทการสนทนาที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจของทั้งสองฝ่าย
“การที่พวกเจ้าเรียกร้องค่าตอบแทนนั้นข้าก็เข้าใจ
แต่ว่ามันจะเหมาะสมหรือไม่ข้าเองก็ไม่แน่ใจนัก เพื่อที่จะระงับข้อขัดแย้งในตอนนี้
ค่าตอบแทนของพวกเจ้าเราจะตัดสินใจหลังจากที่ยึดครองทะเลสาบแห่งเทพได้แล้ว”
อู่สุ่ยพยายามที่จะไกล่เกลี่ยทั้งสองฝ่าย
“หมายความว่าจะให้ค่าตอบแทนแก่พวกเรามากแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับว่า
พวกข้าทำงานได้คุ้มค่าเพียงใดสินะ ข้าตกลง” ตู่ซื่อตอบกลับไป
เรื่องราวทั้งหมดจบลงดั่งที่กิเลนฟ้าได้บอกเอาไว้จริง ๆ
หากเป็นไปตามที่กิเลนฟ้าคิดไว้ค่าตอบแทนที่พวกเขาได้รับอาจจะมากกว่าหนึ่งส่วนก็เป็นได้
“เมื่อได้ข้อสรุปกันแล้ว พรุ่งนี้พวกเราก็ออกเดินทางกันได้”
อู่หมิงพูดด้วยความดีใจที่สามารถได้ข้อสรุปกันแล้ว หลังจากพูดคุยกันมาหลายชั่วยาม
“นี่ก็ดึกมากแล้ว พวกเราควรที่จะกลับกันได้แล้ว”
มี่เฝิ่นหงพูดแทรกขึ้นมาหลังจากที่เห็นว่าดึกมากแล้ว
“ถ้าเช่นนั้นพวกข้าจะกลับไปก่อน
พรุ่งนี้เช้าข้าจะนำกองกำลังมารอที่หน้าที่พักของเจ้า” อู่มู่พูดพร้อมกับลุกขึ้นยืนและเดินออกไปด้านนอก
โดยมีอู่สุ่ย อู่หมิงและมี่เฝิ่นหงเดินตามไป
“ช้าก่อนอู่หมิง เฝิ่นหงคืนนี้พวกเจ้าทั้งสองพักอยู่ที่นี่
พวกข้ามีเรื่องที่จะพูดคุยกับพวกเจ้า” ฮวาหั่วรีบพูดขึ้นมา
เมื่อได้ยินเช่นนั้นอู่มู่และอู่สุ่ย จึงทะยานออกไปในทันที
ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเป็นส่วนเกินในเรื่องนี้
“เจ้ามีธุระอันใดกับข้า?”
มี่เฝิ่นหงถามด้วยความสงสัยหลังจากที่เดินกลับเข้ามาในที่พักอีกครั้ง
“ความแข็งแกร่งของพวกเจ้านั้นยังไม่มากพอ
พวกข้าจึงคิดที่จะถ่ายทอดเทคนิคการบ่มเพาะพลังให้แก่พวกเจ้า” ฮวาหั่วพูดพร้อมกับยิ้มอย่างเป็นมิตร
เทคนิคการบ่มเพาะพลังนี้แท้จริงแล้วเป็นเทคนิคการบ่มเพาะพลังลับของพวกอสูรที่สูญหายไปในอดีต
กิเลนฟ้าและกิเลนเพลิงได้เลือกเทคนิคการบ่มเพาะพลังที่เหมาะสมกับพวกเขาทั้งสอง
“อู่หมิง นี่คือเทคนิคการบ่มเพาะพลังระฆังทอง เมื่อฝึกฝนจะสามารถทำให้ร่างกายของเจ้าแข็งแกร่งดั่งเหล็กกล้า”
ตู่ซื่อมอบม้วนตำราของเทคนิคการบ่มเพาะพลังที่เขาได้คัดลอกเอาไว้ให้กับอู่หมิง
อู่หมิงเปิดม้วนตำราและจดจำเนื้อหาเอาไว้ ก่อนที่จะนั่งลงและเริ่มทำการอ่านถ้อยคำในบทแรก
เพียงแค่ชั่วครู่พลังสวรรค์ที่อยู่โดยรอบก็ค่อย ๆ
เปลี่ยนสภาพกลายเป็นระฆังใบใหญ่ห่อหุ้มร่างกายของอู่หมิงเอาไว้ราวกับเป็นม่านพลังที่แข็งแกร่ง
อู่หมิงรับรู้ถึงพลังที่เพิ่มสูงขึ้นได้ในทันที เขาลืมตาขึ้นมาและหันไปพูดกับตู่ซื่อว่า
“ขอบใจเจ้ายิ่งนัก
หากท่านลุงและท่านป้ารู้ว่าเจ้าได้มอบเทคนิคการบ่มเพาะพลังที่วิเศาเช่นให้นี้แก่ข้า
พวกเขาคงไม่พูดเช่นนั้นแน่”
“เจ้าจักต้องเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ อย่าให้ผู้ใดล่วงรู้เรื่องนี้เป็นอันขาด”
ตู่ซื่อรีบทักท้วงเอาไว้
“ข้าเข้าใจแล้ว ข้าขอสาบานว่าจะไม่บอกเรื่องนี้กับผู้ใด”
แม้จะรู้สึกสงสัย
แต่หากเป็นความต้องการของตู่ซื่อเขาก็ยินดีที่จะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ
“เฝื่นหงของเจ้าคือเทคนิคการบ่มเพาะพลังเพลิงศักดิ์สิทธิ์
สามารถเปลี่ยนพลังสวรรค์ให้กลายเป็นเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ในการรักษาอาการบาดเจ็บรวมไปถึงฟื้นพลังให้แก่ผู้อื่นได้”
ฮวาหั่วหันไปพูดกับมี่เฝิ่นหง
พร้อมกับมอบม้วนตำราอีกม้วนหนึ่งให้แก่มี่เฝิ่นหงและให้นางเริ่มฝึกทันที
พลังสวรรค์ที่อยู่โดยรอบแปรเปลี่ยนไปเป็นเพลิงสีขาวห่อหุ้มร่างกายของมี่เฝิ่นหงเอาไว้
นี่คือเพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่มีพลังในการฟื้นฟูนั่นเอง
เนื่องจากอู่หมิงและมี่เฝิ่นหงนั้นอ่อนแอเกินไป และยังไม่มีวรยุทธที่จะใช้โจมตีได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การที่ให้ทั้งสองฝึกฝนวรยุทธที่สามารถใช้ป้องกันตัวและสนับสนุนการต่อสู้จะทำให้ทั้งสองสามารถเอาตัวรอดที่โลกภายนอกได้.................จบตอน