test

เมนู นิยาย บน

เมนูมังงะ

13 ก.ค. 2560

The Road of Du Ze บทที่ 15 有力的诀 เทคนิคการบ่มเพาะพลังที่แข็งแกร่ง







หลังจากที่ตู่ซื่อและฮวาหั่วลงนามในสัญญาพันธมิตร อู่หมิงจึงรีบขอตัวกลับไปแจ้งข่าวให้บิดาของเขาทราบ ก่อนที่จะเดินทางกลับไปนั้นอู่หมิงได้นำสัญญาพันธมิตรไปประกาศด้านหน้าที่พักของตู่ซื่อและฮวาหั่วให้กองกำลังอื่น ๆ ได้ทราบ เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่มารบกวนตู่ซื่อและฮวาหั่วอีก


ลูกน้องผู้หนึ่งของลิ่วฟงแห่งกองกำลังฟ้าดิน ที่รับหน้าที่เฝ้าสังเกตุอยู่ เขารีบไปแจ้งข่าวแก่ลิ่วฟงที่กำลังนั่งอยู่ในโรงเตี๊ยมในทันที


“หึ! อู่หมิงแห่งตระกูลเทพนักรบ อวดดียิ่งนัก” ลิ่วฟงใช้มือทุบลงบนโต๊ะด้วยความไม่พอใจ


“มันคงคิดว่าเป็นทายาทของตระกูลใหญ่ จึงได้มาแย่งคนของกองกำลังฟ้าดินเช่นนี้” ลูกน้องของลิ่วฟงพูดแทรกขึ้นมา


“นับจากนี้ไปหากพบเห็นกองกำลังเทพนักรบไร้นามที่โลกภายนอก จงสังหารพวกมันให้หมด ให้พวกมันได้รับรู้ว่ากองกำลังฟ้าดินนั้นยิ่งใหญ่เพียงใด” ลิ่วฟงสั่งการออกไปพร้อมกับยกเหล้าขึ้นมาดื่ม แม้ว่าตระกูลเทพนักรบจะเป็นใหญ่ในนิกายแห่งนี้ แต่สำหรับโลกภายนอกแล้วกองกำลังฟ้าดินนั้นไม่จำเป็นที่จะต้องหวาดหวั่นผู้ใด การต่อสู้กันที่โลกภายนอกแม้ว่าจะมีการสังหารก็ไม่ได้ผิดกฏของนิกายแต่อย่างใด


ตระกูลเทพนักรบ


อู่เสิ่นบิดาของอู่หมิงหัวเราะด้วยความยินดี ที่อู่หมิงสามารถทำให้ตูซื่อลงนามในสัญญาพันธมิตรได้ แม้ว่าจะผิดจากที่เขาคาดหวังเอาไว้บ้าง แต่การที่จะสวมปลอกคอให้หมาป่าก็คงจะยากเกินกำลังของอู่หมิง แต่การที่ต้องขัดแย้งกับกองกำลังฟ้าดินก็เป็นเรื่องที่เขาเองก็ไม่ได้คิดมาก่อน หากกองกำลังฟ้าดินคิดจะเล่นงานกองกำลังของอู่หมิงย่อมไม่เกิดผลดีเป็นแน่


“อู่หมิง ข้าจะมอบยอดฝีมือระดับวิถีแห่งมังกรจำนวนสองคนให้เข้าร่วมในกองกำลังของเจ้า พร้อมด้วยยอดฝีมือระดับแก่นแท้แห่งสวรรค์อีกยี่สิบคนและยอดฝีมือระดับดาราสวรรค์อีกแปดสิบคน สำหรับเงินค่าตอบแทนของพวกเขาทางตระกูลจะเป็นผู้จ่ายให้เอง” อู่เสิ่นพูดพร้อมหันไปมองยอดฝีมือระดับวิถีแห่งมังกรสองคนที่เขาไว้ใจพวกเขาเป็นชายหญิงวัยกลางคนและมีศักดิ์เป็นลุงและป้าของอู่หมิง นามว่า อู่มู่ กับ อู่สุ่ย เขาต้องการให้ทั้งสองช่วยดูแลกองกำลังของอู่หมิง


“ขอรับ!” อู่หมิงตอบรับด้วยความยินดี เมื่อมีสมาชิกในกองกำลังเริ่มต้นถึงร้อยคนและไม่ต้องจ่ายค่าตอบแทนเองอีกด้วย ทำให้กองกำลังเทพนักรบไร้นามนั้นมีความมั่นคงขึ้นเป็นอย่างมาก แต่เมื่อเทียบกับกองกำลังฟ้าดินที่มีสมาชิกนับหมื่นก็ยังคงแตกต่างกันยิ่งนัก


วันต่อมาอู่หมิงและกองกำลังของเขาได้ไปชักชวนให้คนมาเข้าร่วมในกองกำลังของเขา เมื่อมียอดฝีมือระดับวิถีแห่งมังกรถึงสองคนยืนอยู่ข้างกายของอู่หมิง ก็ทำให้มีผู้ที่สนใจไม่น้อย แต่เพราะข่าวลืมที่ว่ากองกำลังฟ้าดินประกาศว่าหากพบเจอกับกองกำลังเทพนักรบไร้นามที่โลกภายนอกก็จะสังหารไม่ให้เหลือ ทำให้ยังไม่มีใครกล้าที่จะสมัครเข้ากองกำลัง


“ความน่าเชื่อถือของกองกำลังนั้นมีความสำคัญยิ่งนัก หากว่าเจ้ามิได้ครอบครองทะเลสาบแห่งเทพสักแห่ง คงจะเป็นการยากที่จะให้ผู้คนเชื่อในตัวเจ้า” อู่สุ่ยหันไปมองอู่หมิงพร้อมกับแนะนำ สำหรับนางแล้วอู่หมิงก็เป็นหลานชายที่น่ารักคนหนึ่ง


“ท่านป้าเรื่องที่ท่านพูดมาข้าก็เข้าใจดี สมาชิกในกองกำลังขณะนี้ท่านพ่อเป็นผู้จ่ายค่าตอบแทนให้ แต่หากมีผู้เข้าร่วมกองกำลังมากขึ้นข้าจะต้องเป็นผู้จ่ายค่าตอบแทนให้พวกเขา หากกองกำลังของข้าไม่ได้ครอบครองทะเลสาบแห่งเทพ ข้าก็ต้องนำเงินส่วนตัวที่ได้รับจากตระกูลไปจ่ายเป็นค่าตอบแทน” อู่หมิงตอบกลับไป ศิลาจิตวิญญาญที่เขาได้รับจากตระกูลในแต่ละเดือนนั้นอยู่ที่ห้าพันก้อนเท่านั้น หากจ่ายค่าตอบแทนให้สมาชิกคนละห้าสิบศิลาจิตวิญญาณต่อเดือน เขาก็สามารถรับคนเพิ่มได้อีกแค่ร้อยคนเท่านั้น


ทะเลสาบแห่งเทพนั้นจะปรากฏอยู่ที่โลกภายนอก และไม่นับว่าตระกูลใดเป็นเจ้าของ เนื่องจากทางนิกายต้องการให้กองกำลังต่าง ๆ ได้ฝึกฝนการเอาชีวิตรอบในการต่อสู้จริง ความขัดแย้งใด ๆ ที่โลกภายนอก ทางนิกายจะไม่เข้าไปแทรกแซงโดยเด็ดขาด


“ทะเลสาบแห่งเทพที่อยู่ไม่ไกลจากนิกายล้วนถูกครอบครองจากกองกำลังอื่น ๆ ไปจนหมดแล้ว เมื่อใดที่เริ่มการบุกโจมตีก็เท่ากับว่ากองกำลังของเราได้ประกาศสงครามกับกองกำลังที่เป็นเจ้าของทะเลสาบแห่งเทพนั้น ๆ” อู่มู่พูดแทรกขึ้นมา การตัดสินใจที่จะยึดครองทะเลสาบแห่งเทพนั้นต้องมีการเตรียมใจไม่น้อย


“แต่กองกำลังของเรามีสมาชิกน้อยเกินไป” อู่หมิงพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่เป็นกังวล เมื่อยึดครองทะเลสาบแห่งเทพได้แล้ว จำเป็นที่จะต้องให้สมาชิกในกองกำลังคอยเฝ้าเอาไว้ การป้องกันทะเลสาบแห่งเทพนั้นยากยิ่งกว่าการบุกโจมตีเพื่อยึดครองหลายเท่านัก


“อู่หมิง” มีเสียงดังขึ้นมาจากทางด้านหน้า เป็นเสียงของมี่เฝิ่นหงคู่หมั้นของเขานั่นเอง โดยมีคนกลุ่มหนึ่งเดินตามหลังนางมา


“เฝิ่นหง เจ้ามาทำอะไรที่นี่?” อู่หมิงถามด้วยความสงสัย


“ทางตระกูลของข้าได้ส่งคนมาเข้าร่วมกองกำลังของเจ้าจำนวนห้าสิบคน ซึ่งค่าตอบแทนของทั้งห้าสิบคนนี้ตระกูลของข้าจะเป็นผู้รับผิดชอบเอง” 


เมื่อได้สมาชิกเพิ่มขึ้นอีกห้าสิบคนก็ทำให้อู่หมิงมีความมั่นใจเพิ่มขึ้นไม่น้อย เขาจึงได้ตัดสินใจที่จะชักชวนให้มี่เฝิ่นหง พร้อมกับท่านลุงและท่านป้าของเขาไปหารือกับตู่ซื่อ


ที่พักของตู่ซื่อและฮวาหั่ว


“คารวะท่านผู้อาวุโสทั้งสอง ไม่คิดเลยว่าข้าจะมีโอกาสได้พบกับยอดฝีมือระดับวิถีมังกรที่นี่” ตู่ซื่อและฮวาหั่วประสานมือพร้อมกับโน้มตัวเพื่อทำความเคารพท่านลุงและท่านป้าของอู่หมิง แม้ว่าทั้งสองจะพยายามปิดกั้นพลังที่แท้จริงเอาไว้ แต่ก็ไม่อาจปิดบังประสาทสัมผัสของกิเลนฟ้าและกิเลนเพลิงได้


“มิน่าเล่า อู่เสิ่นจึงได้สนใจในตัวพวกเจ้านัก ที่พวกเรามาพบเจ้าในวันนี้เพื่อที่จะหารือเกี่ยวกับการยึดครองทะเลสาบแห่งเทพ” อู่สุ่ยพูดออกไปด้วยความแปลกใจที่ตู่ซื่อสามารถรับรู้ถึงระดับพลังที่แท้จริงของนางและสามีได้


“เรื่องนั้นข้าทราบดี และข้าก็มีทะเลสาบแห่งเทพแห่งหนึ่งที่อยากจะแนะนำ” ตู่ซื่อตอบกลับไป ตู่ซื่อและฮวาหั่วนั้นรู้ถึงความสำคัญของทะเลสาบแห่งเทพ แต่ด้วยกำลังของพวกเขาสองคน การยึดครองทะเลสาบแห่งเทพนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่พวกเขาแค่สองคนไม่อาจที่จะปกป้องทะเลสาบแห่งเทพเอาไว้ได้เป็นแน่ ดังนั้นการให้ความร่วมมือกับอู่หมิงจึงมีความจำเป็นยิ่งนัก


“ทะเลสาบแห่งเทพแห่งใดกัน?” อู่มู่ถามด้วยความสงสัย


“ทะเลสาบแห่งเทพนั้นอยู่ระหว่างทางไปยังหุบเขาแห่งเทพ ข้าและฮวาหั่วเคยไปที่นั่นมาแล้ว และพบว่ามีเพียงยอดฝีมือระดับแก่นแท้แห่งสวรรค์จำนวนหนึ่งคอยปกป้องอยู่” ตู่ซื่อตอบกลับไป


“ข้าไม่รู้มาก่อนเลยว่า มีทะเลสาบแห่งเทพอยู่ที่นั่นด้วย” อู่สุ่ยพูดขึ้นมาด้วยควมประหลาดใจ


“หากพวกข้านำทางไป ศิลาจิตวิญญาณที่ได้รับจากทะเลสาบแห่งเทพนั้นจะต้องเป็นของพวกข้าหนึ่งในสิบส่วน” ฮวาหั่วพูดแทรกขึ้นมา 


โดยปกติแล้วทะเลสาบแห่งเทพแห่งหนึ่งจะสามารถผลิตศิลาจิตวิญญาณได้ปีละ ห้าถึงหกพันก้อน แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าเป็นทะเลสาบแห่งเทพที่เสื่อมโทรมหรือไม่


“แน่ นอ....” อู่หมิงรีบตอบรับไปแต่ก็ถูกอู่มู่ห้ามเอาไว้ สิ่งที่ฮวาหั่วเรียกร้องนั้นมากเกินไป


“กองกำลังเทพนักรบไร้นามนั้นมีสมาชิกกว่าร้อยคน หากเจ้าเรียกร้องมากถึงเพียงนั้นสมาชิกในกองกำลังจะต้องไม่พอใจเป็นแน่” อู่มู่ตอบกลับไปด้วยความไม่พอใจกับข้อเรียกร้องของฮวาหั่ว


อู่หมิงและมี่เฝิ่นหงถูกห้ามไม่ให้พูดอะไรออกไป ทั้งสองจึงทำได้เพียงนิ่งเงียบไปเท่านั้น


“หากท่านไม่ยอมรับข้อตกลง พวกข้าก็คงไม่สามารถพาพวกท่านไปยังทะเลสาบแห่งเทพแห่งนั้นได้” ฮวาหั่วพูดพร้อมกับส่ายหน้า


“นี่เจ้า!” อู่มู่พูดขึ้นมาด้วยความไม่พอใจ ที่เด็กน้อยระดับชะตาสวรรค์สองคนกล้าที่จะอวดดีต่อหน้าเขาถึงเพียงนี้ ด้วยความแข็งแกร่งของเขาสามารถบดขยี้ตู่ซื่อและฮวาหั่วโดยการใช้นิ้วแค่นิ้วเดียวเสียด้วยซ้ำ


“พอได้แล้ว” อู่สุ่ยพูดแทรกขึ้นมา เพื่อตัดบทการสนทนาที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจของทั้งสองฝ่าย


“การที่พวกเจ้าเรียกร้องค่าตอบแทนนั้นข้าก็เข้าใจ แต่ว่ามันจะเหมาะสมหรือไม่ข้าเองก็ไม่แน่ใจนัก เพื่อที่จะระงับข้อขัดแย้งในตอนนี้ ค่าตอบแทนของพวกเจ้าเราจะตัดสินใจหลังจากที่ยึดครองทะเลสาบแห่งเทพได้แล้ว” อู่สุ่ยพยายามที่จะไกล่เกลี่ยทั้งสองฝ่าย


“หมายความว่าจะให้ค่าตอบแทนแก่พวกเรามากแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับว่า พวกข้าทำงานได้คุ้มค่าเพียงใดสินะ ข้าตกลง” ตู่ซื่อตอบกลับไป เรื่องราวทั้งหมดจบลงดั่งที่กิเลนฟ้าได้บอกเอาไว้จริง ๆ หากเป็นไปตามที่กิเลนฟ้าคิดไว้ค่าตอบแทนที่พวกเขาได้รับอาจจะมากกว่าหนึ่งส่วนก็เป็นได้


“เมื่อได้ข้อสรุปกันแล้ว พรุ่งนี้พวกเราก็ออกเดินทางกันได้” อู่หมิงพูดด้วยความดีใจที่สามารถได้ข้อสรุปกันแล้ว หลังจากพูดคุยกันมาหลายชั่วยาม


“นี่ก็ดึกมากแล้ว พวกเราควรที่จะกลับกันได้แล้ว” มี่เฝิ่นหงพูดแทรกขึ้นมาหลังจากที่เห็นว่าดึกมากแล้ว


 “ถ้าเช่นนั้นพวกข้าจะกลับไปก่อน พรุ่งนี้เช้าข้าจะนำกองกำลังมารอที่หน้าที่พักของเจ้า” อู่มู่พูดพร้อมกับลุกขึ้นยืนและเดินออกไปด้านนอก โดยมีอู่สุ่ย อู่หมิงและมี่เฝิ่นหงเดินตามไป


“ช้าก่อนอู่หมิง เฝิ่นหงคืนนี้พวกเจ้าทั้งสองพักอยู่ที่นี่ พวกข้ามีเรื่องที่จะพูดคุยกับพวกเจ้า” ฮวาหั่วรีบพูดขึ้นมา


เมื่อได้ยินเช่นนั้นอู่มู่และอู่สุ่ย จึงทะยานออกไปในทันที ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเป็นส่วนเกินในเรื่องนี้


“เจ้ามีธุระอันใดกับข้า?” มี่เฝิ่นหงถามด้วยความสงสัยหลังจากที่เดินกลับเข้ามาในที่พักอีกครั้ง


“ความแข็งแกร่งของพวกเจ้านั้นยังไม่มากพอ พวกข้าจึงคิดที่จะถ่ายทอดเทคนิคการบ่มเพาะพลังให้แก่พวกเจ้า” ฮวาหั่วพูดพร้อมกับยิ้มอย่างเป็นมิตร เทคนิคการบ่มเพาะพลังนี้แท้จริงแล้วเป็นเทคนิคการบ่มเพาะพลังลับของพวกอสูรที่สูญหายไปในอดีต กิเลนฟ้าและกิเลนเพลิงได้เลือกเทคนิคการบ่มเพาะพลังที่เหมาะสมกับพวกเขาทั้งสอง


“อู่หมิง นี่คือเทคนิคการบ่มเพาะพลังระฆังทอง เมื่อฝึกฝนจะสามารถทำให้ร่างกายของเจ้าแข็งแกร่งดั่งเหล็กกล้า” ตู่ซื่อมอบม้วนตำราของเทคนิคการบ่มเพาะพลังที่เขาได้คัดลอกเอาไว้ให้กับอู่หมิง


อู่หมิงเปิดม้วนตำราและจดจำเนื้อหาเอาไว้ ก่อนที่จะนั่งลงและเริ่มทำการอ่านถ้อยคำในบทแรก เพียงแค่ชั่วครู่พลังสวรรค์ที่อยู่โดยรอบก็ค่อย ๆ เปลี่ยนสภาพกลายเป็นระฆังใบใหญ่ห่อหุ้มร่างกายของอู่หมิงเอาไว้ราวกับเป็นม่านพลังที่แข็งแกร่ง อู่หมิงรับรู้ถึงพลังที่เพิ่มสูงขึ้นได้ในทันที เขาลืมตาขึ้นมาและหันไปพูดกับตู่ซื่อว่า


“ขอบใจเจ้ายิ่งนัก หากท่านลุงและท่านป้ารู้ว่าเจ้าได้มอบเทคนิคการบ่มเพาะพลังที่วิเศาเช่นให้นี้แก่ข้า พวกเขาคงไม่พูดเช่นนั้นแน่”


“เจ้าจักต้องเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ อย่าให้ผู้ใดล่วงรู้เรื่องนี้เป็นอันขาด” ตู่ซื่อรีบทักท้วงเอาไว้


“ข้าเข้าใจแล้ว ข้าขอสาบานว่าจะไม่บอกเรื่องนี้กับผู้ใด” แม้จะรู้สึกสงสัย แต่หากเป็นความต้องการของตู่ซื่อเขาก็ยินดีที่จะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ


“เฝื่นหงของเจ้าคือเทคนิคการบ่มเพาะพลังเพลิงศักดิ์สิทธิ์ สามารถเปลี่ยนพลังสวรรค์ให้กลายเป็นเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ในการรักษาอาการบาดเจ็บรวมไปถึงฟื้นพลังให้แก่ผู้อื่นได้” ฮวาหั่วหันไปพูดกับมี่เฝิ่นหง พร้อมกับมอบม้วนตำราอีกม้วนหนึ่งให้แก่มี่เฝิ่นหงและให้นางเริ่มฝึกทันที


พลังสวรรค์ที่อยู่โดยรอบแปรเปลี่ยนไปเป็นเพลิงสีขาวห่อหุ้มร่างกายของมี่เฝิ่นหงเอาไว้ นี่คือเพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่มีพลังในการฟื้นฟูนั่นเอง


เนื่องจากอู่หมิงและมี่เฝิ่นหงนั้นอ่อนแอเกินไป และยังไม่มีวรยุทธที่จะใช้โจมตีได้อย่างมีประสิทธิภาพ การที่ให้ทั้งสองฝึกฝนวรยุทธที่สามารถใช้ป้องกันตัวและสนับสนุนการต่อสู้จะทำให้ทั้งสองสามารถเอาตัวรอดที่โลกภายนอกได้.................จบตอน


แต่งโดย นายมะพร้าว



<< Back                  Next >>


เมนู นิยาย ล่าง

เมนู มังงะ ล่าง