test

เมนู นิยาย บน

เมนูมังงะ

28 มิ.ย. 2560

God of sword and The Woodman บทที่ 10 วิถีแห่งเทพ




                บัดนี้กุศลของเง๊กเซียนฮ่องเต้ที่เหลืออยู่นั้น แทบไม่ต่างไปจากกุศลที่เจ้าที่ได้สั่งสมเอาไว้ ทำให้พลังอำนาจของเง๊กเซียนฮ่องเต๊ในตอนนี้ไม่ต่างไปจากเจ้าที่องค์หนึ่งเท่านั้น

          “เง๊กเซียนฮ่องเต้ ข้าได้ตรวจสอบบันทึกสวรรค์จากเทพหลี่จิ้งแล้วพบว่า ชะตาของท่านยังคงเป็นเง๊กเซียนฮ่องเต้อยู่ นั่นหมายความว่า หากท่านสามารถสั่งสมกุศลได้มากพอที่จะขึ้นมาบนสรวงสวรรค์ได้ ท่านก็สามารถเป็นเง๊กเซียนฮ่องเต้ได้ดังเดิม” เจ้าแม่ซีหวังหมู่ส่งเสียงลงมาจากบนสรวงสวรรค์

          แม้จะได้ยินเช่นนั้นเง๊กเซียนฮ่องเต้ก็มิได้รู้สึกดีมากขึ้นแม้แต่น้อย สิ่งที่เจ้าแม่ซีหวังหมู่เอ่ยมา เขาอาจจะต้องใช้เวลาในการสั่งสมกุศลอีกนับร้อยนับพันปี การที่ต้องอยู่บนโลกด้วยพลังอันน้อยนิดไม่ต่างไปจากเจ้าที่ เขาจะเอาชีวิตรอดไปได้อย่างไรกัน

          “ท่านจงอย่าลืมว่า เหตุผลที่ท่านลงไปยังลกมนุษย์ในครั้งนี้ เพราะเหตุอันใด” เจ้าแม่ซีหวังหมู่เงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดต่อไปอีกว่า

          “หากท่านสามารถทำให้เด็กเหล่านั้น ขจัดภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นบนโลกได้ กุศลในครั้งนี้ก็อาจจะมากพอให้ท่านกลับขึ้นสู่สรวงสวรรค์ได้”

          เมื่อได้ยินคำพูดของเจ้าแม่ซีหวังหมู่ เง๊กเซียนฮ่องเต้ก็เกิดมีความหวังขึ้นอีกครั้ง แต่แค่เพียงครู่เดียวเขาก็ถอนหายใจออกมา เมื่อคิดขึ้นมาได้

          “เมื่อข้าไร้ซึ่งพลังอำนาจ ข้าจะทำให้เด็กเหล่านั้นเชื่อได้อย่างไรว่าข้านั้นเป็นเง๊กเซียนฮ่องเต้ ตั้งแต่ที่ข้าเกิดมา ข้าก็บำเพ็ญเพียรเพื่อที่จะเป็นเง๊กเซียนฮ่องเต้เท่านั้น และข้าก็ไม่มีวรยุทธอันใดที่จะถ่ายทอดให้แก่พวกเขาอีกด้วย” เง๊กเซียนฮ่องเต๊ตอบกลับไปด้วยความเศร้าใจ

          “เรื่องนั้นท่านไม่ต้องกังวล ท่านจงอย่าลืมว่าเสี่ยวเยว่นั้นมีเทพกระบี่อยู่ เทพกระบี่นั้นมีวรยุทธสูงส่งนัก และเขายังเชี่ยวชาญอาวุธหลายประเภท เขาสามารถเป็นอาจารย์ให้เด็กเหล่านั้นได้ โดยที่ท่านจะเป็นผู้ถ่ายทอดคำพูดของเทพกระบี่ให้แก่เด็กเหล่านั้น”

          “ขออภัยท่านเง๊กเซียนฮ่องเต้ และเจ้าแม่ซีหวังหมู่ ข้าขอแสดงความเห็นสักเล็กน้อยจะได้หรือไม่?” เจ้าที่พูดแทรกขึ้นมา

          “มีสิ่งใดก็จงพูดมา” เง๊กเซียนฮ่องเต้ตอบกลับไปโดยที่ไม่ได้หันไปมอง

          “ช้าก่อนท่านเจ้าที่ ขอให้ข้าพูดก่อน” เสียงของคนผู้หนึ่งดังขึ้นมาจากทางด้านหลังของเจ้าที่ เขาคือเทพกระบี่นั่นเอง ในห้วงเวลาที่หยุดนิ่งนี้ ทำให้เทพกระบี่กลับคืนสู่ร่างเดิมได้ชั่วคราว

          “ข้าได้ยินเรื่องราวทั้งหมดแล้ว มีความจำเป็นอันใดที่ข้า จะต้องให้ความช่วยเหลือท่านเง๊กเซียนฮ่องเต้ในการถ่ายทอดวรยุทธให้แก่เด็กเหล่านั้นด้วย” เทพกระบี่พูดออกไปด้วยความไม่พอใจ แค่รับมือกับเสี่ยวเยว่คนเดียวเขาก็ปวดหัวยิ่งนักแล้ว

          “เพราะมันเป็นคำสั่งของข้า” เง๊กเซียนฮ่องเต้จ้องหน้าเทพกระบี่และพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง

          “หากอยู่บนสรวงสวรรค์ ข้าก็อาจจะต้องรับฟังคำสั่งท่าน แต่ในตอนนี้ ท่านไม่มีอำนาจอันใดที่จะมาออกคำสั่งกับข้า” เทพกระบี่ตอบกลับไปอย่างไม่สนใจใยดีนัก

          เมื่อได้ยินเช่นนั้นเง๊กเซียนฮ่องเต้ก็ถึงกับใบหน้าซีดขาว จริงดั่งที่เทพกระบี่ว่า ตอนนี้เขาเองก็ไม่ต่างไปจากเทพตกสวรรค์และยังไร้ซึ่งอำนาจอีกด้วย เขากัดฟันแน่น และหันไปพูดกับเทพกระบี่ว่า

          “เทพกระบี่ หากเด็กเหล่านั้นสามารถขจัดภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นได้ เจ้าเองก็จะได้รับกุศลด้วยเช่นกัน ไม่นับว่านี่เป็นการได้รับผลประโยชน์ร่วมกันหรอกหรือ”

          “นับว่าเป็นข้อเสนอที่น่าสนใจไม่น้อย แต่ข้าเองก็มิได้รีบร้อนที่จะขึ้นไปบนสรวงสวรรค์ ข้าแค่คอยช่วยเหลือเสี่ยวเยว่ให้เขาสร้างความดี สะสมกุศลไปเรื่อย ๆ ข้าก็ไม่ได้เดือดร้อนอันใด” เทพกระบี่ตอบกลับไปอย่างไม่สนใจใยดีนัก

          “จะ.....เจ้า” เง๊กเซียนฮ่องเต้พูดออกไปด้วยความไม่พอใจ แต่เขาก็ไม่มีพลังอำนาจมากพอที่จะใช้ลงโทษเทพกระบี่ในตอนนี้ได้

          “หากท่านจะให้ข้าช่วยเหลือ ก็จงขอร้องข้า และต้องยอมรับเงื่อนไขของข้าด้วย” เทพกระบี่หันไปพูดกับเง๊กเซียนฮ่องเต้ด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา

          “เงื่อนไขอันใดกัน จงพูดออกมา” เง๊กเซียนฮ่องเต้เก็บงำความรู้สึกไม่พอใจเอาไว้ และถามออกไป ในตอนนี้หากเทพกระบี่ไม่ยอมให้ความช่วยเหลือ เขาก็ต้องหาหนทางใหม่ที่ไม่รู้ว่าจะมียังอยู่หรือไม่

          “ในยามที่อยู่บนโลกนี้ ท่านจะต้องปฏิบัติตามคำสั่งของข้า” เทพกระบี่ตอบกลับไป เขาไม่เพียงต้องการแก้แค้นที่เง๊กเซียนฮ่องเต้ส่งให้เขาจุติลงมาเป็นท่อนไม้เท่านั้น 

เขาคิดว่าบางทีเง๊กเซียนฮ่องเต้อาจจะทำให้เสี่ยวเยว่เชื่อฟังคำพูดของเขาด้วยก็เป็นได้

          “นี่ เจ้า!” แม้ว่าเง๊กเซียนฮ่องเต้จะรู้สึกไม่พอใจ แต่เขาไม่อาจที่จะพูดออกมาได้

          เง๊กเซียนฮ่องเต้นิ่งเงียบไป เขาพยายามที่จะครุ่นคิดหาทางอื่น แต่ก็หมดหนทาง จึงได้กัดฟันพูดออกไปว่า

          “ข้ายอมรับข้อเสนอของเจ้า”

          เทพกระบี่แอบหัวเราะอยู่ในใจ จากนี้ไปเขาจะต้องทำให้เง๊กเซียนฮ่องเต้ได้รับรู้ถึงความลำบากที่เขาต้องเผชิญมาหลายปี

          เทพกระบี่ครุ่นคิดขึ้นมาได้ว่า การที่ต้องถ่ายทอดคำพูดโดยผ่านทางเง๊กเซียนฮ่องเต๊นั้นเป็นเรื่องที่ยุ่งยากยิ่งนัก และเง๊กเซียนฮ่องเต้ก็อาจจะถ่ายทอดข้อความของเขาผิดพลาด สำหรับการฝึกวรยุทธนั้นอาจจะทำให้ธาตุไฟเข้าแทรกได้ เขาจึงต้องหาหนทางที่ปลอดภัยสำหรับเด็ก ๆ เหล่านั้น

          “ท่านก็ต้องช่วยเหลือข้าด้วยเช่นกัน” เทพกระบี่หันขึ้นไปพูดกับเจ้าแม่ซีหวังหมู่

          “เจ้าต้องการสิ่งใดจากข้าเช่นนั้นหรือ?” เจ้าแม่ซีหวังหมู่เอ่ยถาม นางเองเริ่มที่จะรู้สึกกลัวว่า เทพกระบี่อาจจะแค้นเคืองนางด้วยเช่นกัน เพราะการลงโทษเทพกระบี่นั้นนางเป็นผู้ที่ตัดสิน

          “ที่ตำหนักสวรรค์ของข้า มีตำราวรยุทธที่ข้าได้บันทึกเอาไว้ ขอให้ท่านส่งตำราที่เหมาะสมกับเด็ก ๆ เหล่านั้น ลงมาให้กับท่านเง๊กเซียนฮ่องเต้ได้หรือไม่?” เทพกระบี่ตอบกลับไป เขานั้นไม่ได้รู้สึกแค้นเคืองเจ้าแม่ซีหวังหมู่แม้แต่น้อย เพราะเจ้าแม่ซีหวังหมู่เองก็มีสถานะไม่ต่างไปจากมารดาของเทพธิดาทั้งเจ็ด ที่เป็นภรรยาของเขา

          “เรื่องนั้นข้าจะจัดการให้เจ้าเอง” เจ้าแม่ซีหวังหมู่ตอบกลับไปด้วยความโล่งใจ นางรวบรวมกุศลไว้บนฝ่ามือเพียงเล็กน้อย ตำราวรยุทธทั้งเจ็ดเล่มก็ปรากฏขึ้นมาแทนที่ จากนั้นนางก็ส่งมันลงไปบนโลก โดยปรากฏอยู่ตรงเบื้อหงน้าของเง๊กเซียนฮ่องเต๊ในทันที

          “นี่คือวรยุทธทั้งเจ็ดที่ท่านจะต้องเป็นผู้ถ่ายทอดให้กับเด็กเหล่านั้น สำหรับเสี่ยวเยว่ ข้าจะถ่ายทอดวรยุทธให้กับเขาเอง” เทพกระบี่หันไปพูดกับเง๊กเซียนฮ่องเต๊

          เง๊กเซียนฮ่องเต้เก็บตำราทั้งเจ็ดเอาไว้ด้วยความยินดี อย่างน้อยเทพกระบี่ก็เป็นคนที่รักษาคำพูด หากเด็ก ๆ เหล่านั้นเรียนรู้วรยุทธพวกนี้ พวกเขาจะต้องสามารถขจัดภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นได้เป็นแน่

          “เจ้าที่ ท่านมีเรื่องจะพูดมิใช่หรือ?” เทพกระบี่หันไปพูดกับเจ้าที่

          “ข้าคิดว่าหากองค์เง๊กเซียนฮ่องเต้อยู่บนโลกโดยใช้กายเทพเช่นนี้ คงจะเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นเป็นแน่” เจ้าที่ประสานมือและพูดออกไปอย่างนอบน้อม

          “เรื่องวุ่นวายอันใดกัน?” เง๊กเซียนฮ่องเต้พูดพร้อมกับหันมองไปยังเจ้าที่ ยังมีเรื่องอันใดนอกเหนือไปจากการที่เขาต้องเชื่อฟังคำสั่งของเทพกระบี่อีกหรือ?

          “อสูรตนใดหากได้ทานเนื้อหนังของกายเทพ อสูรตนนั้นก็จะมีพลังอำนาจเพิ่มสูงขึ้น และว่ากันว่าอาจจะได้เป็นอมตะอีกด้วย” เทพกระบี่พูดแทรกขึ้นมา เรื่องนี้เขาเองก็เคยได้ยินมาบ้างเช่นกัน

          “หากท่านมีพลังอำนาจดั่งตอนที่อยู่บนสรวงสวรรค์ก็คงจะไม่ต้องกังวลอันใดนัก เพราะไม่ว่าอสูรตนใดก็คงไม่อาจเอาชนะท่านได้ แต่ในตอนนี้ท่านเหลือพลังเพียงน้อยนิด ไม่จำเป็นต้องพูดถึงอสูร บางทีมนุษย์ก็อาจที่จะเอาชนะท่านได้ หากกายเทพของท่านถูกกลืนกินไป ท่านก็ไม่อาจที่จะกลับไปเป็นเทพได้อีก” เทพกระบี่พูดออกไปพร้อมกับยิ้มเยาะ

          “เจ้าจะคอยปกป้องข้าใช่หรือไม่?” เง๊กเซียนฮ่องเต้หันไปถามเทพกระบี่ด้วยความร้อนใจ จะให้พวกอสูรกลืนกินกายเทพไม่ได้เป็นอันขาด

          “นั่นก็ขึ้นอยู่กับว่าท่านจะเชื่อฟังคำพูดของข้ามากแค่ไหน?” เทพกระบี่ตอบกลับไปพร้อมกับหัวเราะ เขาจะปกป้องเง๊กเซียนฮ่องเต้ได้อย่างไรกัน เพราะเขานั้นสถิตอยู่ในกระบี่ไม้ และไม่อาจที่จะเคลื่อนไหวได้เสียด้วยซ้ำ

          “ที่เทพกระบี่พูดมานั้นก็ไม่ผิดนัก แต่ข้าก็มีหนทางที่จะทำให้ท่านปลอดภัยได้ แต่ว่า....” เจ้าแม่ซีหวังหมู่พูดเพียงเท่านี้ จากนั้นก็นิ่งเงียบไป

          “แต่อันใดกัน? เหตุใดท่านจึงไม่พูดให้จบ” เง๊กเซียนฮ่องเต้ถามกลับไป หากมีหนทางใดที่จะเอาตัวรอดได้ เขาจำต้องคว้าเอาไว้

          “สละกายเทพ และบำเพ็ญตนด้วยร่างมนุษย์” เจ้าแม่ซีหวังหมู่ตอบกลับลงมา

          “หากสละกายเทพไป ข้าก็จะเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา แม้ว่ากายเทพของข้าจะปลอดภัย แต่ข้าจะบำเพ็ญเพียรในร่างมนุษย์ได้เช่นใดกัน?” เง๊กเซียนฮ่องเต้ตอบกลับไป 

ร่างมนุษย์นั้นมีอายุขัยอย่างมากก็เพียงร้อยปีเท่านั้น และยังมีวัฏจักรที่ต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย ทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้อย่างต่อเนื่อง

“ถ้าเช่นนั้น ก็คงต้องสั่งสมกุศลด้วยร่างของเซียน” เจ้าที่แสดงความคิดเห็นออกไป

[เซียนคือมนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรจนบรรลุถึงวิถีแห่งเทพ ทำให้ร่างกายของพวกเขามีสถานะเป็นกึ่งกายเทพ ร่างกายจะไม่เสื่อมโทรมไปตามกาลเวลาอีก]

“แล้วมีวิถีแห่งเทพ เส้นทางใดที่ข้าพอที่จะเลือกได้บ้าง” เง๊กเซียนฮ่องเต้เอ่ยถามพร้อมกับถอนหายใจ [วิถีแห่งเทพนั้นสามารถเลือกเส้นทางที่ทับซ้อนกันได้ แต่ผู้ที่สามารถไปถึงปลายทางเป็นคนแรกเท่านั้นที่จะได้เป็นเทพในเส้นทางนั้น ดังนั้นจึงควรเลือกวิถีแห่งเทพที่ไม่มีผู้ใดเลือกมาก่อนจะบรรลุเป็นเทพได้ง่ายกว่า]

“วิถีแห่งเทพที่ยังไม่เคยมีผู้ใดเลือก เทพแห่งการเก็บฟืน” เจ้าแม่ซีหวังหมู่พูดออกไปพร้อมกับถอนหายใจ

“เทพแห่งการเก็บฟืนนั้นไม่มีอยู่จริงมิใช่หรือ เหตุใดจึงมีวิถีแห่งเทพ ที่จะนำไปสู่การเป็นเทพแห่งการเก็บฟืนได้เล่า” เง๊กเซียนฮ่องเต้แย้งกลับไป

“วิถีแห่งเทพนั้นจะปรากฏเมื่อมีผู้ที่มองเห็นวิถีแห่งนั้น แม้ว่าเทพแห่งการเก็บฟืนจะไม่เคยมีอยู่บนสรวงสวรรค์ก็ตาม แต่เด็กอย่างเสี่ยวเยว่เองก็มีความมุ่งมั่นที่จะเดินทางในวิถีแห่งคนเก็บฟืน ซึ่งความมุ่งมั่นอันแรงกล้าเหล่านั้นคือสิ่งที่เปิดวิถีแห่งเทพขึ้นมา” เจ้าแม่ซีหวังหมู่อธิบาย

“แต่ข้าไม่รู้ว่า การเดินทางสู่วิถีแห่งคนเก็บฟืน และจะเข้าสู่วิถีแห่งเทพนั้นได้อย่างไรกัน” เง๊กเซียนฮ่องเต้ ตอบกลับไป ในเวลานี้น้ำตาของเขานั้นแทบจะไหลออกมา

“เสี่ยวเยว่มีตำราของเทพแห่งการเก็บฟืนอยู่ หากท่านนำมาศึกษาท่านก็อาจจะเข้าสู่วิถีแห่งเทพนั้นได้” เทพกระบี่หันมาพูดกับเง๊กเซียนฮ่องเต้

เสี่ยวเยว่เคยพูดเอาไว้ว่า เง๊กเซียนฮ่องเต้นั้นเคยเป็นเทพแห่งการเก็บฟืนมาก่อน ดูเหมือนว่าเรื่องราวกำลังจะดำเนินไปตรงกันข้ามกัน ทำให้เทพกระบี่อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้

แต่ทางด้านเงีกเซียนฮ่องเต้นั้นกลับรู้สึกเจ็บปวดใจยิ่งนัก จากที่เคยเป็นผู้ยิ่งใหญ่แห่งสามภพ เขากำลังจะกลายเป็นเทพที่ไม่มีใครรู้จักและนับถือ นอกจากเด็ก ๆ เหล่านี้เท่านั้น หากไร้ซึ่งความนับถือจากมนุษย์ การสร้างกุศลก็จะเป็นไปด้วยความยากลำบาก [หากมนุษย์เอ่ยคำขอบคุณต่อเทพองค์ใด เทพองค์นั้นก็จะได้รับกุศลเพิ่มมากขึ้น] แล้วจะมีผู้ใดกันที่จะเอ่ยคำขอบคุณต่อเทพแห่งการเก็บฟืน

นี่มันคือความฝันใช่หรือไม่?’ คำถามนี้ดังก้องอยู่ในใจของเง๊กเซียนฮ่องเต้.........จบเหอะ
         
         


แต่งโดย นายมะพร้าว


<< Back                  Next >>

เมนู นิยาย ล่าง

เมนู มังงะ ล่าง