บัดนี้กุศลของเง๊กเซียนฮ่องเต้ที่เหลืออยู่นั้น
แทบไม่ต่างไปจากกุศลที่เจ้าที่ได้สั่งสมเอาไว้ ทำให้พลังอำนาจของเง๊กเซียนฮ่องเต๊ในตอนนี้ไม่ต่างไปจากเจ้าที่องค์หนึ่งเท่านั้น
“เง๊กเซียนฮ่องเต้
ข้าได้ตรวจสอบบันทึกสวรรค์จากเทพหลี่จิ้งแล้วพบว่า ชะตาของท่านยังคงเป็นเง๊กเซียนฮ่องเต้อยู่
นั่นหมายความว่า หากท่านสามารถสั่งสมกุศลได้มากพอที่จะขึ้นมาบนสรวงสวรรค์ได้
ท่านก็สามารถเป็นเง๊กเซียนฮ่องเต้ได้ดังเดิม”
เจ้าแม่ซีหวังหมู่ส่งเสียงลงมาจากบนสรวงสวรรค์
แม้จะได้ยินเช่นนั้นเง๊กเซียนฮ่องเต้ก็มิได้รู้สึกดีมากขึ้นแม้แต่น้อย
สิ่งที่เจ้าแม่ซีหวังหมู่เอ่ยมา
เขาอาจจะต้องใช้เวลาในการสั่งสมกุศลอีกนับร้อยนับพันปี การที่ต้องอยู่บนโลกด้วยพลังอันน้อยนิดไม่ต่างไปจากเจ้าที่
เขาจะเอาชีวิตรอดไปได้อย่างไรกัน
“ท่านจงอย่าลืมว่า
เหตุผลที่ท่านลงไปยังลกมนุษย์ในครั้งนี้ เพราะเหตุอันใด” เจ้าแม่ซีหวังหมู่เงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดต่อไปอีกว่า
“หากท่านสามารถทำให้เด็กเหล่านั้น
ขจัดภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นบนโลกได้ กุศลในครั้งนี้ก็อาจจะมากพอให้ท่านกลับขึ้นสู่สรวงสวรรค์ได้”
เมื่อได้ยินคำพูดของเจ้าแม่ซีหวังหมู่
เง๊กเซียนฮ่องเต้ก็เกิดมีความหวังขึ้นอีกครั้ง
แต่แค่เพียงครู่เดียวเขาก็ถอนหายใจออกมา เมื่อคิดขึ้นมาได้
“เมื่อข้าไร้ซึ่งพลังอำนาจ
ข้าจะทำให้เด็กเหล่านั้นเชื่อได้อย่างไรว่าข้านั้นเป็นเง๊กเซียนฮ่องเต้
ตั้งแต่ที่ข้าเกิดมา ข้าก็บำเพ็ญเพียรเพื่อที่จะเป็นเง๊กเซียนฮ่องเต้เท่านั้น
และข้าก็ไม่มีวรยุทธอันใดที่จะถ่ายทอดให้แก่พวกเขาอีกด้วย”
เง๊กเซียนฮ่องเต๊ตอบกลับไปด้วยความเศร้าใจ
“เรื่องนั้นท่านไม่ต้องกังวล
ท่านจงอย่าลืมว่าเสี่ยวเยว่นั้นมีเทพกระบี่อยู่ เทพกระบี่นั้นมีวรยุทธสูงส่งนัก
และเขายังเชี่ยวชาญอาวุธหลายประเภท เขาสามารถเป็นอาจารย์ให้เด็กเหล่านั้นได้
โดยที่ท่านจะเป็นผู้ถ่ายทอดคำพูดของเทพกระบี่ให้แก่เด็กเหล่านั้น”
“ขออภัยท่านเง๊กเซียนฮ่องเต้
และเจ้าแม่ซีหวังหมู่ ข้าขอแสดงความเห็นสักเล็กน้อยจะได้หรือไม่?” เจ้าที่พูดแทรกขึ้นมา
“มีสิ่งใดก็จงพูดมา”
เง๊กเซียนฮ่องเต้ตอบกลับไปโดยที่ไม่ได้หันไปมอง
“ช้าก่อนท่านเจ้าที่
ขอให้ข้าพูดก่อน” เสียงของคนผู้หนึ่งดังขึ้นมาจากทางด้านหลังของเจ้าที่
เขาคือเทพกระบี่นั่นเอง ในห้วงเวลาที่หยุดนิ่งนี้
ทำให้เทพกระบี่กลับคืนสู่ร่างเดิมได้ชั่วคราว
“ข้าได้ยินเรื่องราวทั้งหมดแล้ว
มีความจำเป็นอันใดที่ข้า จะต้องให้ความช่วยเหลือท่านเง๊กเซียนฮ่องเต้ในการถ่ายทอดวรยุทธให้แก่เด็กเหล่านั้นด้วย”
เทพกระบี่พูดออกไปด้วยความไม่พอใจ แค่รับมือกับเสี่ยวเยว่คนเดียวเขาก็ปวดหัวยิ่งนักแล้ว
“เพราะมันเป็นคำสั่งของข้า”
เง๊กเซียนฮ่องเต้จ้องหน้าเทพกระบี่และพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“หากอยู่บนสรวงสวรรค์
ข้าก็อาจจะต้องรับฟังคำสั่งท่าน แต่ในตอนนี้ ท่านไม่มีอำนาจอันใดที่จะมาออกคำสั่งกับข้า”
เทพกระบี่ตอบกลับไปอย่างไม่สนใจใยดีนัก
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเง๊กเซียนฮ่องเต้ก็ถึงกับใบหน้าซีดขาว
จริงดั่งที่เทพกระบี่ว่า
ตอนนี้เขาเองก็ไม่ต่างไปจากเทพตกสวรรค์และยังไร้ซึ่งอำนาจอีกด้วย เขากัดฟันแน่น และหันไปพูดกับเทพกระบี่ว่า
“เทพกระบี่
หากเด็กเหล่านั้นสามารถขจัดภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นได้
เจ้าเองก็จะได้รับกุศลด้วยเช่นกัน ไม่นับว่านี่เป็นการได้รับผลประโยชน์ร่วมกันหรอกหรือ”
“นับว่าเป็นข้อเสนอที่น่าสนใจไม่น้อย
แต่ข้าเองก็มิได้รีบร้อนที่จะขึ้นไปบนสรวงสวรรค์ ข้าแค่คอยช่วยเหลือเสี่ยวเยว่ให้เขาสร้างความดี
สะสมกุศลไปเรื่อย ๆ ข้าก็ไม่ได้เดือดร้อนอันใด” เทพกระบี่ตอบกลับไปอย่างไม่สนใจใยดีนัก
“จะ.....เจ้า”
เง๊กเซียนฮ่องเต้พูดออกไปด้วยความไม่พอใจ
แต่เขาก็ไม่มีพลังอำนาจมากพอที่จะใช้ลงโทษเทพกระบี่ในตอนนี้ได้
“หากท่านจะให้ข้าช่วยเหลือ
ก็จงขอร้องข้า และต้องยอมรับเงื่อนไขของข้าด้วย” เทพกระบี่หันไปพูดกับเง๊กเซียนฮ่องเต้ด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
“เงื่อนไขอันใดกัน
จงพูดออกมา” เง๊กเซียนฮ่องเต้เก็บงำความรู้สึกไม่พอใจเอาไว้ และถามออกไป
ในตอนนี้หากเทพกระบี่ไม่ยอมให้ความช่วยเหลือ เขาก็ต้องหาหนทางใหม่ที่ไม่รู้ว่าจะมียังอยู่หรือไม่
“ในยามที่อยู่บนโลกนี้
ท่านจะต้องปฏิบัติตามคำสั่งของข้า” เทพกระบี่ตอบกลับไป เขาไม่เพียงต้องการแก้แค้นที่เง๊กเซียนฮ่องเต้ส่งให้เขาจุติลงมาเป็นท่อนไม้เท่านั้น
เขาคิดว่าบางทีเง๊กเซียนฮ่องเต้อาจจะทำให้เสี่ยวเยว่เชื่อฟังคำพูดของเขาด้วยก็เป็นได้
“นี่
เจ้า!” แม้ว่าเง๊กเซียนฮ่องเต้จะรู้สึกไม่พอใจ แต่เขาไม่อาจที่จะพูดออกมาได้
เง๊กเซียนฮ่องเต้นิ่งเงียบไป
เขาพยายามที่จะครุ่นคิดหาทางอื่น แต่ก็หมดหนทาง จึงได้กัดฟันพูดออกไปว่า
“ข้ายอมรับข้อเสนอของเจ้า”
เทพกระบี่แอบหัวเราะอยู่ในใจ
จากนี้ไปเขาจะต้องทำให้เง๊กเซียนฮ่องเต้ได้รับรู้ถึงความลำบากที่เขาต้องเผชิญมาหลายปี
เทพกระบี่ครุ่นคิดขึ้นมาได้ว่า
การที่ต้องถ่ายทอดคำพูดโดยผ่านทางเง๊กเซียนฮ่องเต๊นั้นเป็นเรื่องที่ยุ่งยากยิ่งนัก
และเง๊กเซียนฮ่องเต้ก็อาจจะถ่ายทอดข้อความของเขาผิดพลาด
สำหรับการฝึกวรยุทธนั้นอาจจะทำให้ธาตุไฟเข้าแทรกได้
เขาจึงต้องหาหนทางที่ปลอดภัยสำหรับเด็ก ๆ เหล่านั้น
“ท่านก็ต้องช่วยเหลือข้าด้วยเช่นกัน”
เทพกระบี่หันขึ้นไปพูดกับเจ้าแม่ซีหวังหมู่
“เจ้าต้องการสิ่งใดจากข้าเช่นนั้นหรือ?” เจ้าแม่ซีหวังหมู่เอ่ยถาม นางเองเริ่มที่จะรู้สึกกลัวว่า เทพกระบี่อาจจะแค้นเคืองนางด้วยเช่นกัน
เพราะการลงโทษเทพกระบี่นั้นนางเป็นผู้ที่ตัดสิน
“ที่ตำหนักสวรรค์ของข้า
มีตำราวรยุทธที่ข้าได้บันทึกเอาไว้ ขอให้ท่านส่งตำราที่เหมาะสมกับเด็ก ๆ เหล่านั้น
ลงมาให้กับท่านเง๊กเซียนฮ่องเต้ได้หรือไม่?” เทพกระบี่ตอบกลับไป
เขานั้นไม่ได้รู้สึกแค้นเคืองเจ้าแม่ซีหวังหมู่แม้แต่น้อย เพราะเจ้าแม่ซีหวังหมู่เองก็มีสถานะไม่ต่างไปจากมารดาของเทพธิดาทั้งเจ็ด
ที่เป็นภรรยาของเขา
“เรื่องนั้นข้าจะจัดการให้เจ้าเอง”
เจ้าแม่ซีหวังหมู่ตอบกลับไปด้วยความโล่งใจ นางรวบรวมกุศลไว้บนฝ่ามือเพียงเล็กน้อย
ตำราวรยุทธทั้งเจ็ดเล่มก็ปรากฏขึ้นมาแทนที่ จากนั้นนางก็ส่งมันลงไปบนโลก
โดยปรากฏอยู่ตรงเบื้อหงน้าของเง๊กเซียนฮ่องเต๊ในทันที
“นี่คือวรยุทธทั้งเจ็ดที่ท่านจะต้องเป็นผู้ถ่ายทอดให้กับเด็กเหล่านั้น
สำหรับเสี่ยวเยว่ ข้าจะถ่ายทอดวรยุทธให้กับเขาเอง” เทพกระบี่หันไปพูดกับเง๊กเซียนฮ่องเต๊
เง๊กเซียนฮ่องเต้เก็บตำราทั้งเจ็ดเอาไว้ด้วยความยินดี
อย่างน้อยเทพกระบี่ก็เป็นคนที่รักษาคำพูด หากเด็ก ๆ เหล่านั้นเรียนรู้วรยุทธพวกนี้
พวกเขาจะต้องสามารถขจัดภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นได้เป็นแน่
“เจ้าที่
ท่านมีเรื่องจะพูดมิใช่หรือ?” เทพกระบี่หันไปพูดกับเจ้าที่
“ข้าคิดว่าหากองค์เง๊กเซียนฮ่องเต้อยู่บนโลกโดยใช้กายเทพเช่นนี้
คงจะเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นเป็นแน่” เจ้าที่ประสานมือและพูดออกไปอย่างนอบน้อม
“เรื่องวุ่นวายอันใดกัน?” เง๊กเซียนฮ่องเต้พูดพร้อมกับหันมองไปยังเจ้าที่ ยังมีเรื่องอันใดนอกเหนือไปจากการที่เขาต้องเชื่อฟังคำสั่งของเทพกระบี่อีกหรือ?
“อสูรตนใดหากได้ทานเนื้อหนังของกายเทพ
อสูรตนนั้นก็จะมีพลังอำนาจเพิ่มสูงขึ้น และว่ากันว่าอาจจะได้เป็นอมตะอีกด้วย” เทพกระบี่พูดแทรกขึ้นมา
เรื่องนี้เขาเองก็เคยได้ยินมาบ้างเช่นกัน
“หากท่านมีพลังอำนาจดั่งตอนที่อยู่บนสรวงสวรรค์ก็คงจะไม่ต้องกังวลอันใดนัก
เพราะไม่ว่าอสูรตนใดก็คงไม่อาจเอาชนะท่านได้ แต่ในตอนนี้ท่านเหลือพลังเพียงน้อยนิด
ไม่จำเป็นต้องพูดถึงอสูร บางทีมนุษย์ก็อาจที่จะเอาชนะท่านได้ หากกายเทพของท่านถูกกลืนกินไป
ท่านก็ไม่อาจที่จะกลับไปเป็นเทพได้อีก” เทพกระบี่พูดออกไปพร้อมกับยิ้มเยาะ
“เจ้าจะคอยปกป้องข้าใช่หรือไม่?” เง๊กเซียนฮ่องเต้หันไปถามเทพกระบี่ด้วยความร้อนใจ จะให้พวกอสูรกลืนกินกายเทพไม่ได้เป็นอันขาด
“นั่นก็ขึ้นอยู่กับว่าท่านจะเชื่อฟังคำพูดของข้ามากแค่ไหน?” เทพกระบี่ตอบกลับไปพร้อมกับหัวเราะ เขาจะปกป้องเง๊กเซียนฮ่องเต้ได้อย่างไรกัน
เพราะเขานั้นสถิตอยู่ในกระบี่ไม้ และไม่อาจที่จะเคลื่อนไหวได้เสียด้วยซ้ำ
“ที่เทพกระบี่พูดมานั้นก็ไม่ผิดนัก
แต่ข้าก็มีหนทางที่จะทำให้ท่านปลอดภัยได้ แต่ว่า....”
เจ้าแม่ซีหวังหมู่พูดเพียงเท่านี้ จากนั้นก็นิ่งเงียบไป
“แต่อันใดกัน? เหตุใดท่านจึงไม่พูดให้จบ” เง๊กเซียนฮ่องเต้ถามกลับไป
หากมีหนทางใดที่จะเอาตัวรอดได้ เขาจำต้องคว้าเอาไว้
“สละกายเทพ
และบำเพ็ญตนด้วยร่างมนุษย์” เจ้าแม่ซีหวังหมู่ตอบกลับลงมา
“หากสละกายเทพไป
ข้าก็จะเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา แม้ว่ากายเทพของข้าจะปลอดภัย แต่ข้าจะบำเพ็ญเพียรในร่างมนุษย์ได้เช่นใดกัน?” เง๊กเซียนฮ่องเต้ตอบกลับไป
ร่างมนุษย์นั้นมีอายุขัยอย่างมากก็เพียงร้อยปีเท่านั้น
และยังมีวัฏจักรที่ต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย ทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้อย่างต่อเนื่อง
“ถ้าเช่นนั้น
ก็คงต้องสั่งสมกุศลด้วยร่างของเซียน” เจ้าที่แสดงความคิดเห็นออกไป
[เซียนคือมนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรจนบรรลุถึงวิถีแห่งเทพ
ทำให้ร่างกายของพวกเขามีสถานะเป็นกึ่งกายเทพ
ร่างกายจะไม่เสื่อมโทรมไปตามกาลเวลาอีก]
“แล้วมีวิถีแห่งเทพ เส้นทางใดที่ข้าพอที่จะเลือกได้บ้าง”
เง๊กเซียนฮ่องเต้เอ่ยถามพร้อมกับถอนหายใจ [วิถีแห่งเทพนั้นสามารถเลือกเส้นทางที่ทับซ้อนกันได้
แต่ผู้ที่สามารถไปถึงปลายทางเป็นคนแรกเท่านั้นที่จะได้เป็นเทพในเส้นทางนั้น
ดังนั้นจึงควรเลือกวิถีแห่งเทพที่ไม่มีผู้ใดเลือกมาก่อนจะบรรลุเป็นเทพได้ง่ายกว่า]
“วิถีแห่งเทพที่ยังไม่เคยมีผู้ใดเลือก
เทพแห่งการเก็บฟืน” เจ้าแม่ซีหวังหมู่พูดออกไปพร้อมกับถอนหายใจ
“เทพแห่งการเก็บฟืนนั้นไม่มีอยู่จริงมิใช่หรือ
เหตุใดจึงมีวิถีแห่งเทพ ที่จะนำไปสู่การเป็นเทพแห่งการเก็บฟืนได้เล่า”
เง๊กเซียนฮ่องเต้แย้งกลับไป
“วิถีแห่งเทพนั้นจะปรากฏเมื่อมีผู้ที่มองเห็นวิถีแห่งนั้น
แม้ว่าเทพแห่งการเก็บฟืนจะไม่เคยมีอยู่บนสรวงสวรรค์ก็ตาม
แต่เด็กอย่างเสี่ยวเยว่เองก็มีความมุ่งมั่นที่จะเดินทางในวิถีแห่งคนเก็บฟืน
ซึ่งความมุ่งมั่นอันแรงกล้าเหล่านั้นคือสิ่งที่เปิดวิถีแห่งเทพขึ้นมา”
เจ้าแม่ซีหวังหมู่อธิบาย
“แต่ข้าไม่รู้ว่า
การเดินทางสู่วิถีแห่งคนเก็บฟืน และจะเข้าสู่วิถีแห่งเทพนั้นได้อย่างไรกัน”
เง๊กเซียนฮ่องเต้ ตอบกลับไป ในเวลานี้น้ำตาของเขานั้นแทบจะไหลออกมา
“เสี่ยวเยว่มีตำราของเทพแห่งการเก็บฟืนอยู่
หากท่านนำมาศึกษาท่านก็อาจจะเข้าสู่วิถีแห่งเทพนั้นได้”
เทพกระบี่หันมาพูดกับเง๊กเซียนฮ่องเต้
เสี่ยวเยว่เคยพูดเอาไว้ว่า เง๊กเซียนฮ่องเต้นั้นเคยเป็นเทพแห่งการเก็บฟืนมาก่อน
ดูเหมือนว่าเรื่องราวกำลังจะดำเนินไปตรงกันข้ามกัน ทำให้เทพกระบี่อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้
แต่ทางด้านเงีกเซียนฮ่องเต้นั้นกลับรู้สึกเจ็บปวดใจยิ่งนัก
จากที่เคยเป็นผู้ยิ่งใหญ่แห่งสามภพ
เขากำลังจะกลายเป็นเทพที่ไม่มีใครรู้จักและนับถือ นอกจากเด็ก ๆ เหล่านี้เท่านั้น
หากไร้ซึ่งความนับถือจากมนุษย์ การสร้างกุศลก็จะเป็นไปด้วยความยากลำบาก [หากมนุษย์เอ่ยคำขอบคุณต่อเทพองค์ใด เทพองค์นั้นก็จะได้รับกุศลเพิ่มมากขึ้น]
แล้วจะมีผู้ใดกันที่จะเอ่ยคำขอบคุณต่อเทพแห่งการเก็บฟืน
‘นี่มันคือความฝันใช่หรือไม่?’ คำถามนี้ดังก้องอยู่ในใจของเง๊กเซียนฮ่องเต้.........จบเหอะ
แต่งโดย นายมะพร้าว
<< Back Next >>