เช้าวันต่อมาตู่ซื่อ ฮวาหั่ว อู่หมิง และมี่เฝิ่นหงได้ออกยืนรอกองกำลังเทพนักรบไร้นามของอู่หมิง
ในคืนที่ผ่านมาอู่หมิงและมี่เฝิ่นหงนั้นได้บรรลุระดับชะตาสวรรค์ขั้นที่ห้าแล้ว
แต่เทคนิคการบ่มเพาะพลังที่ทั้งสองฝึกยังอยู่ในขั้นต้นเท่านั้น
ตู่ซื่อและฮวาหั่วจึงให้ทั้งสองคนอยู่เป็นทัพหลังคอยสนับสนุนเท่านั้น
เมื่ออู่มู่ กับ อู่สุ่ย
ได้มาถึงทั้งสองก็ประหลาดใจยิ่งนักที่อู่หมิงและมี่เฝิ่นหงสามารถเลื่อนระดับพลังได้รวดเร็วถึงเพียงนี้
โดยปกติแล้วการเลื่อนระดับพลังแต่ละขั้นต้องใช้เวลานับเดือน
ดังนั้นการที่ทั้งสองสามารถเลื่อนระดับพลังได้ในคืนเดียวจึงเป็นเรื่องมหัศจรรย์ยิ่งนัก
ตู่ซื่อและฮวาหั่วเองก็ใกล้ที่จะบรรลุพลังในระดับดาราสวรรค์แล้ว
เมื่อถึงตอนนั้นห้วงขอบเขตวิญญาณของทั้งสองก็จะขยายใหญ่ขึ้นอีกเท่าตัว
“ก่อนที่จะทำการบุกโจมตี พวกเราจะไปรวมพลกันที่หน้าถ้ำกิเลนเพลิง
จุดนั้นจะเป็นที่พักของเรา” ฮวาหั่วพูดออกไป เนื่องจากตู่ซื่อพูดไม่เก่งเท่าใดนัก
เขาจึงให้ฮวาหั่วเป็นผู้พูดแทน
“ถ้ำกิเลนเพลิง ที่นั่นมีอสูรเพลิงครอบครองอยู่มิใช่หรือ
ว่ากันว่าที่ปากถ้ำมีเปลวเพลิงปกคลุมอยู่จนไม่อาจที่จะมองเห็นปากถ้ำเสียด้วยซ้ำ”
อู่มู่แย้งกลับไป
แม้ว่าเปลวเพลิงเหล่านั้นไม่อาจที่จะทำให้ยอดฝีมือระดับวิถีแห่งมังกรอย่างพวกเขาบาดเจ็บได้
แต่การที่จะบุกฝ่าเข้าไปในถ้ำโดยที่มองไม่เห็นศัตรูก็เป็นเรื่องอันตรายเกินไป
“ผู้ครอบครองถ้ำกิเลนเพลิงคือสหายของข้า เขาจะไม่ทำร้ายพวกเรา ท่านรู้เพียงเท่านี้ก็พอแล้ว”
ฮวาหั่วตอบกลับไป ในตอนนี้ถ้ำกิเลนเพลิงมีเพียงแค่เปลวเพลิงที่ปกคลุมอยู่เท่านั้น
หาได้มีสิ่งใดปกป้องอยู่ไม่
“นี่เจ้ารู้จักกับพวกอสูรด้วยเช่นนั้นหรือ?” อู่สุ่ยถามด้วยความประหลาดใจ
โดยปกติแล้วเผ่าอสูรจะไม่ยอมคบหากับมนุษย์และเป็นศัตรูกันโดยธรรมชาติ
“ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรืออสูรย่อมมีทั้งคนดีคนชั่ว หากอีกฝ่ายมีน้ำใจต่อกัน
ข้าก็นับว่าเขาคือสหาย” ตู่ซื่อตอบกลับไป กิเลนเพลิงแอบยิ้มที่ได้ยินฮวาหั่วพูดเช่นนั้น
“ที่ต้องระวังให้ดีคือกองกำลังฟ้าดิน พวกเขาจะต้องลอบส่งคนติดตามพวกเราไปเป็นแน่”
อู่หมิงพูดแทรกขึ้นมา
เขาคิดว่าในตอนนี้ก็อาจจะมีคนของกองกำลังฟ้าดินกำลังเฝ้ามองอยู่เป็นแน่
“เรื่องนั้นไม่ต้องกังวล พวกเราจะเลือกเส้นทางที่ไม่มีคนสัญจร
หากสัมผัสถึงพลังที่แปลกปลอมไปจากกองกำลังของเรา พวกข้าจะจัดการพวกมันเอง” อู่มู่พูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“ถ้าเช่นนั้น พวกเราก็ออกเดินทางกันได้แล้ว
เราจะออกไปทางประตูทิศใต้แล้วค่อย ๆ อ้อมไปทางเหนือ ข้ากับตู่ซื่อจะอยู่ทางด้านหน้า
อู่หมิง มี่เฝิ่นหง พวกเจ้าอยู่ตรงกลาง ส่วนท่านทั้งสองดูแลด้านหลัง” ฮวาหั่วพูดสรุป
แม้ว่าจะไม่พอใจที่ถูกออกคำสั่ง แต่ที่ฮวาหั่วพูดมานั้นก็นับว่าเหมาะสมยิ่งนักอู่มู่จึงมิได้กล่าวแย้งกลับไป
ทันทีที่พวกเขาเคลื่อนไหว ก็มีชายสามคนหันมาพูดคุยกัน
“เจ้าจงไปแจ้งท่านลิ่วฟง ว่ากองกำลังเทพนักรบไร้นามนั้นออกเดินทางโดยใช้ประตูทางทิศใต้
ส่วนพวกข้าทั้งสองจะลอบติดตามไป” ชายผู้หนึ่งรีบสั่งการและลอบสะกดรอยตามพวกตู่ซื่อออกไปทันที
การเคลื่อนไหวของพวกเขาไม่อาจรอดสัมผัสของยอดฝีมือระดับวิถีแห่งมังกรทั้งสองได้
หลังจากพ้นประตูเมืองไปไม่นาน อู่มู่และอู่สุ่ยก็สามารถจัดการกับคนทั้งสองได้อย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นว่าผู้ที่สะรอยตามถูกสังหารไปแล้ว
ตู่ซื่อและฮวาหั่วจึงเปลี่ยนเส้นทางมุ่งหน้าไปยังถ้ำกิเลนเพลิงโดยทันที
ลิ่วฟงรีบนำกองกำลังไปตรวจสอบทะเลสาบแห่งเทพที่อยู่ทางทิศใต้ของนิกายแต่ก็ไม่พบร่องรอยของพวกตู่ซื่อเลย
เมื่อมาถึงถ้ำกิเลนเพลิง
พวกเขาก็พบว่าเปลวเพลิงที่ลุกโชนอยู่โดยรอบได้แผ่กระจายออกไปเป็นวงกว้าง
เรียกได้ว่าในรัศมีหนึ่งลี้โดยรอบถ้ำกิเลนเพลิงนั้นกำลังลุกไหม้ราวกับเพลิงแห่งนรกที่ไม่มีวันดับสูญ
“เปลวเพลิงลุกโชนถึงเพียงนี้ จะพักแรมกันได้เช่นใดกัน”
เสียงบ่นของสมาชิกในกองกำลังเริ่มดังขึ้น
“ข้าไม่ควรที่จะเชื่อพวกเจ้าเลยแม้แต่น้อย”
อู่มู่พูดพร้อมกับถอนหายใจ
“ฟังข้าก่อน เปลวเพลิงเหล่านี้มิใช่เปลวเพลิงธรรมดา
แต่มันคือพลังสวรรค์ที่ลุกไหม้ หากสามารถอดทนต่อความร้อนได้ และดูดซับมันเข้าไป มันก็ไม่ต่างไปจากพลังสวรรค์ทั่ว
ๆ ไปที่ทุกคนเคยดูดซับ” ฮวาหั่วตะโกนบอกกับทุกคน
แน่นอนว่าเรื่องนี้กิเลนเพลิงเป็นผู้บอกกล่าวแก่นาง
การที่เปลวเพลิงลุกโชนมากขึ้น
ก็เป็นเพราะโดยปกติแล้วกิเลนเพลิงจะดูดซับเปลวเพลิงเหล่านี้เข้าไปในร่างกาย เมื่อนางมิได้อาศัยอยู่ที่นี่แล้ว
จึงทำให้เปลวเพลิงเพิ่มมากขึ้นเนื่องจากไม่มีผู้ใดดูดซับมัน
เมื่อได้ยินเช่นนั้นทุกคนจึงได้นั่งลงและทำการดูดซับเปลวเพลิง
ร่างกายของพวกเขาค่อย ๆ ร้อนรุ่มราวกับถูกเปลวเพลิงแผดเผา
แต่เมื่อสามารถอดทนต่อความร้อนได้
พวกเขาก็พบว่าเปลวเพลิงเหล่านี้คือพลังสวรรค์ที่มีความบริสุทธิ์ยิ่งนัก
ยิ่งเข้าไปใกล้ปากถ้ำเท่าใดก็จะเป็นพลังสวรรค์ที่บริสุทธิ์มากยิ่งขึ้น
แต่เปลวเพลิงก็จะร้อยแรงขึ้นไปด้วยเช่นกัน
“ให้ทุกคนทำการดูดซับเพลิงสวรรค์ที่นี่
พวกข้าจะเข้าไปในถ้ำกิเลนเพลิง” ฮวาหั่วบอกกับทุกคน และพยักหน้าเรียกอู่หมิงและมี่เฝิ่นหงให้ตามเข้าไป
“เปลวเพลิงด้านในนั้นมันร้อนแรงยิ่งนัก
พวกเจ้าไม่อาจที่จะทนมันได้หรอกนะ” อู่สุ่ยรีบห้ามทันที
“ท่านป้าอย่าได้กังวล พวกข้าไม่เป็นอันใด ฝากท่านลุงท่านป้าดูแลทุกคนด้วย
เมื่อเสร็จธุระแล้วพวกข้าจะรีบกลับออกมา” อู่หมิงหันมาพูดกับท่านป้าของเขา
ก่อนที่จะเดินตามพวกตู่ซื่อไป
“ระฆังทองคลุมกาย” อู่หมิงใช้พลังสวรรค์สร้างระฆังทองมาคลุมร่างของเขาและมี่เฝิ่นหงเอาไว้
แม้ว่าจะยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะป้องกันการโจมตีได้
แต่ก็สามารถใช้ปกป้องความร้อนของเปลวเพลิงเหล่านี้ได้
ส่วนตู่ซื่อและฮวาหั่วนั้นสวมชุดเกราะที่ป้องกันความร้อนได้อยู่แล้ว
ทั้งสองจึงไม่จำเป็นที่จะต้องกังวลในเรื่องนี้
“นี่คือปากถ้ำ พวกเราจะทำการดูบซับเพลิงสวรรค์กันที่นี่”
ตู่ซื่อเริ่มนั่งลงทำการดูดซับพลังจากเพลิงสวรรค์ทันที
โดยที่ฮวาหั่วก็เริ่มนั่งลงใกล้ ๆ กัน การดูดซับพลังจากเพลิงสวรรค์ฮวาหั่วสามารถทำได้รวดเร็วกว่าตู่ซื่อ
เนื่องจากคุณสมบัติของกิเลนเพลิงนั้นเป็นธาตุไฟอยู่แล้ว แต่ภายในถ้ำนั้นยังร้อนแรงมากเกินไป
ตู่ซื่อเกรงว่าอู่หมิงจะไม่อาจทนต่อความร้อนที่ด้านในได้
เมื่อเห็นเช่นนั้นอู่หมิงและมี่เฝิ่นหงจึงรีบนั่งลงทำการดูดซับพลังจากเพลิงสวรรค์ในทันที
เนื่องจากทั้งสองมีระฆังทองคอยปกป้องจากความร้อน
จึงทำให้ดูดซับพลังจากเพลิงสวรรค์โดยที่ไม่ได้รับผลกระทบอันใด
หลังจากทำการดูดซับพลังที่ปากถ้ำราวสองชั่วยาม ฮวาหั่วก็สามารถบรรลุระดับดาราสวรรค์ได้
จากนั้นห้วงขอบเขตวิญญาณของฮวาหั่วและตู่ซื่อจึงค่อย ๆ ปรับความสมดุลจนระดับพลังของทั้งสอง
ทำให้ตู่ซื่อและฮวาหั่วมีพลังอยู่ในระดับดาราสวรรค์ขั้นที่หนึ่งทั้งสองคน
ทางด้านอู่หมิงและมี่เฝิ่นหงระดับพลังของทั้งสองก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
ในตอนนี้พวกเขานั้นอยู่ในระดับชะตาสวรรค์ขั้นที่เจ็ดแล้ว
หลังจากนั้นอีกครึ่งชั่วยาม
ตู่ซื่อจึงชักชวนทั้งสามคนกลับออกไปด้านนอก
เมื่อออกมาถึงด้านนอก พวกเขาก็พบว่าเปลวเพลิงที่ลุกโชนอยู่ในตอนแรกลดน้อยลงไปบางส่วน
เป็นเพราะถูกดูดซับไปโดยคนจำนวนมาก
และดูเหมือนว่าทุกคนจะสามารถเลื่อนระดับพลังของตนได้สูงขึ้นหนึ่งขั้น
แม้แต่ท่านลุงและท่านป้าของเขาบัดนี้ก็ได้บรรลุพลังในระดับวิถีแห่งมังกรขั้นที่สามแล้ว
หลังจากที่ระดับพลังของพวกเขาหยุดนิ่งมานานนับปี
เมื่อเห็นว่าทั้งสี่คนเดินกลับออกมา
อู่มู่และอู่ซุ่ยก็รู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก
ที่อู่หมิงสามารถเลื่อนระดับพลังได้ถึงสองระดับในเวลาไม่ถึงสามชั่วยาม
และมีอีกเรื่องที่พวกเขาไม่เข้าใจ ในเมื่อตู่ซื่อและหวาหั่วสามารถดูดซับพลังจากเปลวเพลิงเหล่านี้ได้
เหตุใดจึงต้องการครอบครองทะเลสาบแห่งเทพด้วย
ในตอนนี้สมาชิกในกองกำลังเทพนักรบไร้นามต่างก็รู้สึกเชื่อมั่นในตัวอู่หมิง
ผู้เป็นผู้นำของพวกเขามากขึ้น
เพราะสามารถทำให้พวกเขาเพิ่มระดับพลังได้โดยใช้เวลาไม่นาน
พลังที่พวกเขาดูดซับมานั้นมากกว่าการดูดซับจากศิลาจิตวิญญาณนับสิบก้อนเลยทีเดียว
คนทั่ว ๆ ไปเมื่อเจอความร้อนของเปลวเพลิงต่างก็พยายามหลีกเลี่ยงที่จะเข้าใกล้
จึงไม่เคยมีผู้ใดได้ทำการดูดซับพลังจากเปลวเพลิงเหล่านี้มาก่อน
หากสามารถยึดครองพื้นที่นี้เอาไว้ได้
พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องใช้ศิลาจิตวิญญาณเลยแม้แต่น้อย
อู่หมิงได้สั่งการให้ลูกน้องสองคนที่มีความแข็งแกร่งในระดับดาราสวรรค์ไปตรวจสอบทะเลสาบแห่งเทพว่ามีผู้ที่คุ้มกันอยู่จำนวนเท่าใด
และให้กลับมารายงานในทันทีเพื่อเตรียมแผนในการบุกโจมตี
“เรียนคุณชายอู่หมิง
จากการตรวจสอบข้าพบว่ามีเพียงยอดฝีมือระดับแก่นแท้แห่งสวรรค์สองคน
และยอดฝีมือระดับดาราสวรรค์ราวยี่สิบคนวางกำลังอยู่ขอรับ”
ลูกน้องของอู่หมิงรีบมารายงานหลังจากที่ไปตรวจสอบมา
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเป็นกองกำลังใดและสามารถนิกายใด?” ตู่ซื่อถามออกไป
“ดูเหมือนว่าจะเป็นกองกำลังเล็ก ๆ จากนิกายอื่นขอรับ”
ลูกน้องของอู่หมิงรายงาน เนื่องจากอาณาจักรซากมังกรมีนิกายอยู่นับร้อย
หากมิใช่กองกำลังที่มีชื่อเสียงจากนิกายใหญ่ ก็ยากที่จะชี้ชัดได้
“หากเป็นไปได้ ข้าก็ไม่ต้องการที่จะสร้างศัตรู
ดังนั้นเราจะพยายามที่จะไม่สังหารพวกเขา
คงต้องขอให้ท่านทั้งสองจัดการกับยอดฝีมือระดับแก่นแท้แห่งสวรรค์
ที่เหลือปล่อยให้พวกข้าจัดการเอง” ตู่ซื่อหันไปพูดกับอู่มู่และอู่สุ่ยอย่างนอบน้อม
“เรื่องนั้นง่ายดายนัก แต่พวกเจ้าจะสามารถรับมือกับยอดฝีมือถึงยี่สิบคนได้เช่นนั้นหรือ?”
อู่สู่กอดอกพูดด้วยความมั่นใจ แต่เขาก็ยังรู้สึกสงสัยในฝีมือของตู่ซื่อ
“เรื่องนั้นท่านไม่ต้องกังวล ข้าได้คิดแผนเอาไว้แล้ว”
ตู่ซื่อออตอบกลับไป
“อู่หมิงเจ้าให้กองกำลังของเจ้าล้อมพื้นที่โดยรอบทะเลสาบแห่งเทพเอาไว้
ทันทีที่ท่านอู่มู่และท่านอู่สุ่ยสามารถจัดการกับยอดฝีมือระดับแก่นแท้แห่งสวรรค์ทั้งสองได้ก็ให้พวกเจ้าปรากฏตัวในทันที”
ตู่ซื่อหันไปพูดกับอู่หมิง
“ข้าเข้าใจแล้ว” อู่หมิงตอบรับในทันที
หลังจากนั้นราวหนึ่งชั่วยามกองกำลังของอู่หมิงก็ได้ล้อมทะเลสาบแห่งเทพเอาไว้
แต่ก็อยู่ห่างจากทะเลสาบแห่งเทพนับลี้ เพื่อมิให้กองกำลังที่คุ้มกันอยู่ได้รู้ตัว
ตู่ซื่อและฮวาหั่ว
บุกเข้าไปยังทะเลสาบแห่งเทพโดยตรงพร้อมกับอู่มู่และอู่สุ่ย
ไม่ทันที่กองกำลังที่ปกป้องอยู่จะทันได้ขยับตัว ยอดฝีมือระดับแก่นแท้แห่งสวรรค์ทั้งสองก็ถูกอู่มู่และอู่สุ่ยสกัดจุดเอาไว้แล้ว
ความแตกต่างของระดับพลังนั้นแสดงให้เห็นถึงความห่างชั้นได้อย่างชัดเจน
ทันทีที่ทราบว่าสามารถจัดการยอดฝีมือระดับแก่นแท้แห่งสวรรค์ทั้งสองได้
อู่หมิงจึงได้สั่งได้กองกำลังของเขาปรากฏตัวในทันที
เมื่อถูกล้อมไปด้วยกองกำลังที่มีกำลังคนนับร้อย
กองกำลังที่คุ้มกันทะเลสาบแห่งเทพต่างก็รู้สึกหวาดกลัว
แต่ก็มีคนที่คิดจะสู้จนตัวตายอยู่เช่นกัน เขาพยายามที่จะแหวกวงล้อมออกไป
ตู่ซื่อรีบผสานเข้ากับกิเลนฟ้าทันที
และเคลื่อนไหวด้วยความรวดเร็ว
ในชั่วพริบตาตู่ซื่อก็มายืนอยู่ที่ด้านหลังชายผู้นั้น จากนั้นเขาก็ใช้กรงเล็บจี้ไปที่คอของคนผู้นั้นพร้อมกับพูดออกไปว่า
“อย่าได้คิดขัดขืน หากพวกเจ้าเอ่ยปากยอมแพ้
พวกเจ้าทุกคนก็จะรอดชีวิตกลับไป พวกข้าต้องการแค่ทะเลสาบแห่งเทพแห่งนี้เท่านั้น”
หากถูกสังหารแม้ว่าพวกเขาจะสามารถกลับมามีชีวิตได้
แต่ก็ต้องสูญเสียชะตาวิญญาณไป
การเอ่ยปากยอมแพ้แม้จะน่าอับอายแต่ก็เป็นหนทางที่เสียประโยชน์น้อยที่สุด
“พวกข้าขอยอมแพ้”
ยอดฝีมือระดับแก่นแท้แห่งสวรรค์ที่ถูกสะกัดจุดเอาไว้ตอบกลับมา ตู่ซื่อจึงได้ขอให้อู่มู่และอู่สุ่ยคลายจุดให้ทั้งสอง
และปล่อยทุกคนไปตามที่ได้รับปากเอาไว้
จากนั้นเมื่อได้ตรวจสอบทะเลสาบแห่งเทพโดยละเอียด
ก็พบว่าทะเลสาบแห่งทเพที่ไร้ชื่อนี้ใกล้ที่จะสลายไปแล้ว
เป็นเพียงทะเลสาบแห่งเทพที่เสื่อมโทรม และผลิตศิลาจิตวิญญาณได้ปีละหนึ่งพันก้อนเท่านั้น
“นับว่าเสียเวลาเปล่ายิ่งนัก
มิน่าเล่าพวกเขาจึงได้ยอมแพ้เช่นนั้น การสละชีวิตเพื่อปกป้องทะเลสาบแห่งเทพนี้มันไม่คุ้มค่าเลยแม้แต่น้อย”
อู่สุ่ยพูดพร้อมกับถอนหายใจ
“พลังสวรรค์ที่แผ่ออกมาจากทะเลสาบแห่งเทพนี้ เบาบางเสียยิ่งกว่าเพลิงสวรรค์ที่ถ้ำกิเลนเพลิงเสียอีก
เช่นนั้นแล้วมันจะมีประโยชน์อันใดกัน?” อู่มู่หันไปถามตู่ซื่อด้วยความสงสัย
‘พวกมนุษย์นี่โง่เสียจริง
ที่ไม่รู้ถึงความลับของทะเลสาบแห่งเทพ
จากนี้ไปเจ้าจงบอกให้พวกเขากลับไปยังถ้ำกิเลนเพลิง ที่นี่ข้าจะเป็นผู้จัดการเอง’
กิเลนเพลิงพูดขึ้นมพาร้อมกับหัวเราะด้วยความยินดี.........จบตอน