หลังจากที่เนี่ยลี่และสหายออกมาจากภาพจิตรกรรมหมื่นขุนเขาและสายน้ำ
ก็ได้ไปพบกับจอมมารอีกครั้งเพื่อหารือเกี่ยวกับศึกใหญ่ที่ใกล้จะมาถึง
เมื่อได้เห็นระดับพลังของเนี่ยลี่และสหายของเขา
จอมมารก็รู้สึกแปลกใจไม่น้อย ที่เนี่ยลี่สามารถเพิ่มระดับพลังได้อย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้
แต่ก็ทำให้เขาแอบยิ้มที่มุมปากไม่ได้
จอมมารให้ทุกคนไปพูดคุยกันในห้องโถงใหญ่อีกครั้ง
และพูดออกไปว่า
“สำหรับสงครามในทุกครั้ง
เมื่อแบ่งเป็นศึกย่อย ก็จะมีทั้งหมดสี่ศึก ศึกแรกคือการบุกฝ่ากองกำลังอสูรนับล้าน
ศึกที่สองคือการต่อสู้กับบริวารแห่งเทพ
ศึกที่สามคือการต่อสู้กับร่างแยกของจักรพรรดิปราชญ์ที่จะเป็นหน้าที่ของข้าและเหล่าผู้กลับชาติมาเกิด
สำหรับศึกสุดท้ายก็จะเป็นของเจ้า เนี่ยลี่”
“จุดที่เราจะสูญเสียกำลังในการต่อสู้มากที่สุดก็คือศึกแรก
การที่จะบุกฝ่ากองกำลังจำนวนมากถึงเพียงนั้น พวกเราก็ต้องมีกองกำลังที่มากพอดู” เทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงพูดเสริมขึ้นมา
“เพื่อโอกาสชนะในสองศึกสุดท้าย
พวกข้าทั้งหกและเนี่ยลี่ จะต้องพยายามใช้พลังให้น้อยที่สุดในสองศึกแรก”
เหยียนหยางพูดขึ้นมาบ้าง
“แต่กำลังคนของเราในตอนนี้มีราวยี่สิบคนเท่านั้นมิใช่หรือ?” ลู่เพียวพูดแย้งออกไป
และหากต้องเก็บรักษาพลังของเนี่ยลี่และผู้กลับชาติมาเกิดทั้งหก
กำลังรบก็จะลดน้อยลงไปอีกราวหนึ่งในสามส่วน
“จากความทรงจำของข้า
เมื่อสงครามเริ่มขึ้น จะมียอดฝีมือที่เก็บซ่อนตัวอยู่ทั่วยุทธภพ
ปรากฏตัวออกมาร่วมศึก ในครั้งนี้ก็อาจจะมีเช่นกัน”
เนี่ยลี่ครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดออกไป
“ยอดฝีมือที่เก็บซ่อนตัวอยู่เช่นนั้นหรือ
ในชาติภพก่อนข้าเห็นเพียงยอดฝีมือระดับเทพสงครามเท่านั้น
สำหรับศึกในครั้งนี้จะมีประโยชน์สักเท่าไหร่กัน” จอมมารพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูถูก
ในตอนนี้จากที่ได้ยินมาจากต้วนเจี้ยน แม้แต่สาวกของบริวารแห่งเทพ
ก็ล้วนแต่มีฝีมืออยู่ในระดับขอบเขตแห่งพระเจ้า
“หากยอดฝีมือเหล่านั้นปรากฏตัว
ข้าสามารถเพิ่มระดับพลังให้แก่พวกเขาได้” เนี่ยลี่พูดออกไป
ในเวลานี้เขาก็มียาทิพย์เหลืออยู่ไม่น้อย
“ข้ามีหนทางที่ง่ายกว่านั้น
จำนวนสาวกแห่งเต๋าฉางของข้า ทั่วทั้งแผ่นดินก็มีอยู่นับล้าน ข้าสามารถใช้พวกมัน
เปิดทางให้พวกเราฝ่าไปได้” จอมมารพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
ชีวิตของเหล่าสาวกจะเป็นเช่นใด เขาก็หาได้สนใจแม้แต่น้อย
“เจ้าคิดที่จะให้สาวกแห่งเต๋าฉางสละชีวิตเพื่อเปิดทางเช่นนั้นหรือ
ข้าไม่ยอม!” เนี่ยลี่ตะโกนแย้งกลับไปในทันที
เขาไม่ต้องการให้มีผู้สละชีวิตในสงครามครั้งนี้
“เจ้าคิดหรือว่าจะเอาชนะในศึกนี้ได้โดยที่ไม่ต้องสละชีวิตของผู้ใด
แม้แต่กระดูกมนตราที่เจ้าหามา
นั่นก็ต้องสละชีวิตของผู้อื่นมาถึงหกชีวิตแล้วมิใช่หรือ?” จอมมารแย้งกลับไปด้วยน้ำเสียงที่เย้ยหยัน
การที่ต้องสละเบี้ยในสงครามสำหรับจอมมารนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด
เมื่อได้ยินคำพูดของจอมมาร
เนี่ยลี่ก็ไม่อาจที่จะหาข้อโต้แย้งได้
แต่ถึงอย่างไรการที่ต้องให้คนจำนวนมากสละชีวิตเพื่อเปิดเส้นทางให้นั้น
เนี่ยลี่ไม่อาจยอมรับได้
“ข้าเชื่อว่าจะต้องมียอดฝีมืออยู่อีกไม่น้อย
ที่สามารถเปิดทางให้พวกเราได้ โดยที่ไม่ต้องสละชีวิต
ขอให้เจ้าประกาศผ่านสาวกแห่งเต๋าฉาง ให้ยอดฝีมือทั่วแผ่นดินมารวมตัวกันที่นี่
เพื่อเปิดศึกกับจักรพรรดิปราชญ์ จากนั้นให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง”
เนี่ยลี่พูดออกไปทันทีที่คิดขึ้นมาได้
“หากเจ้าต้องการเช่นนั้นก็ย่อมได้
แต่ข้าจะให้เวลาเจ้าแค่หนึ่งเดือนเท่านั้น
หากเจ้าไม่อาจสร้างกองกำลังที่แข็งแกร่งมากพอจะออกศึกได้ จะต้องทำตามแผนของข้า”
จอมมารตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
แม้เดิมทีเขาจะไม่เชื่อว่าเนื่อลี่จะสามารถทำได้
แต่เมื่อคิดได้ว่า เนี่ยลี่สามารถเพิ่มระดับพลังของตนเองและสหายได้อย่างรวดเร็ว
ดังนั้นเรื่องนี้ก็อาจจะเป็นไปได้
แม้ว่าสาวกแห่งเต๋าฉางจะไม่ได้มีความหมายอันใดกับเขา
แต่การที่มีสาวกอยู่ทั่วทั้งแผ่นดิน ก็ทำให้เขานั้นทำอะไรได้ง่ายขึ้น
เมื่อได้ข้อสรุป
เนี่ยลี่จึงพาเหล่าสหายออกจากห้องโถงใหญ่ และออกมาหารือกันเป็นการส่วนตัว
“พวกเราจะเดินทางไปยังอาณาจักรกำแพงสวรรค์อีกครั้ง
เพราะเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรทั้งหมด
ข้าต้องการให้ทุกคนไปรวบรวบยอดฝีมือที่เชื่อใจได้
ที่จะเข้าร่วมในสงครามที่จะมาถึง” เนี่ยลี่บอกกับทุกคนถึงสิ่งที่เขาคิดเอาไว้
“กองกำลังนักรบสวรรค์ของข้าที่อยู่ที่อาณาจักรกำแพงสวรรค์แม้ว่าจะไม่ใหญ่โตนัก
แต่ก็มียอดฝีมือระดับเทพสงครามอยู่นับร้อยคน พวกเขาล้วนเชื่อใจได้”
ลู่เพียวพูดขึ้นมา กองกำลังนักรบสวรรค์ของเขาส่วนใหญ่จะเป็นอดีตของนิกายเทพสมุทร
“ถ้าเช่นนั้นข้าจะไปเรียกตัวไหไห่มาเอง”
เซี่ยวซุ่ยพูดแทรกขึ้นมา ไหไห่นั้นอาศัยอยู่ที่อาณาจักรวิญญาณสาบสูญตามลำพัง
นางเชื่อว่าไหไห่ในเวลานี้จะต้องแข็งแกร่งขึ้นกว่าในอดีตเป็นแน่
“กองกำลังของนิกายพิทักษ์สวรรค์
ข้านั้นได้ให้กั้วหวางเทียนที่เป็นอดีตประมุขดูแลอยู่
กองกำลังที่พอจะเข้าร่วมศึกในครั้งนี้ได้ ข้าคิดว่าคงมีไม่น้อยกว่าพันคน”
“ชนเผ่าเมฆาสวรรค์เองก็แข็งแกร่งขึ้นไม่น้อย
ที่บรรลุถึงระดับขอบเขตแห่งพระเจ้าก็มีอยู่ราวพันคนเช่นกัน ข้าจะไปพบเสวียนอวี่และให้เขาคัดเลือกยอดฝีมือที่แข็งแกร่งพอที่จะเข้าร่วมศึกในครั้งนี้”
กู้หลานพูดขึ้นมา นางดูแลชนเผ่าเมฆาสวรรค์ยามที่เนี่ยลี่และกู้เบ่ยไม่อยู่
จึงสนิทกับเสวียนอวี่ไม่น้อย
“กองกำลังอสูร กองกำลังเส้นทางสวรรค์
และกองกำลังเสียงเร้นลับ ก็มียอดฝีมืออยู่ไม่น้อย
ข้าจะไปรวมรวมกำลังคนจากทั้งสามกองกำลังมาเอง” กู้เบ่ยพูดขึ้นมาบ้าง
“ถ้าเช่นนั้นข้าจะเดินทางไปยังอาณาจักรหุบเขาสวรรค์
ศิษย์ของข้าและฮวาหั่วจะต้องเป็นกำลังในศึกครั้งนี้ได้เป็นแน่” ตู่ซื่อพูดขึ้นมา
ฝีมือของเสี่ยวฉีหลิง และ เสี่ยวหนีเสิ่น นั้นเองก็ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว
และตู่ซื่อเองก็มั่นใจในความสามารถของทั้งสองคน
“ที่อาณาจักรเทพอัสนีเหมันต์ก็มียอดฝีมือนามว่าเซียงตัง
ข้าเชื่อว่าเขาและสหายจะต้องช่วยเหลือพวกเราได้ในศึกครั้งนี้”
เอียจื่ออวิ๋นพูดแทรกขึ้นมา ฝีมือของเซียงตังนั้นก็นับได้ว่าเหนือล้ำกว่าคนทั่ว ๆ
ไปนัก
“กองกำลังของข้าที่นิกายเสียงสวรรค์
ก็มียอดฝีมืออยู่ไม่น้อยเช่นกัน” เซี่ยวหนิงเอ๋อพูดขึ้นมาบ้าง กองกำลังของนางนั้นล้วนมีแต่สหายที่นางไว้ใจ
จะต้องเป็นกำลังให้เนี่ยลี่ได้เป็นแน่
“พวกข้าจะออกเดินทางไปยังที่ต่าง ๆ
เพื่อเสาะหายอดฝีมือที่หลบซ่อนตัวอยู่” คนอื่น ๆ ที่ว่างอยู่พูดขึ้นมาพร้อมกัน
“ถ้าเช่นนั้นพวกเจ้าจงออกเดินทางและพาพวกเขามายังอาณาจักรกำแพงสวรรค์
พวกเรามีเวลาไม่มากนัก ขอให้เดินทางกลับมาภายในเจ็ดวัน” เนี่ยลี่พูดกำชับ
จากนั้นเนี่ยลี่ก็เปิดเส้นทางสวรรค์ไปยังอาณาจักรกำแพงสวรรค์
และพาทุกคนไปที่นั่น และทุกคนก็รีบออกเดินทางในทันที
ทางด้านเนี่ยลี่นั้นเขาใช้เวลาในการครุ่นคิดถึงแผนการต่าง
ๆ และเรื่องราวในอดีตชาติของเขา มีหลายเรื่องที่ยังติดค้างใจเขาอยู่
และคงไม่มีผู้ใดที่จะให้คำตอบเขาได้ดีไปกว่าจักพรรดิคงหมิง
เนี่ยลี่เข้าไปในห้วงขอบเขตวิญญาณของตน
และพบว่าจักรพรรดิคงหมิงนั้นก็รอเขาอยู่เช่นกัน
“ข้าคิดอยู่ว่า
เมื่อใดกันที่เจ้าจะเข้ามาหาข้า” จักรพรรดิคงหมิงพูดขึ้นมา
“ข้ามีเรื่องสงสัยว่า
ท่านมีความแค้นใดกับจักรพรระดิปราชญ์
การที่ท่านต้องกลับชาติมาเกิดในหลายชาติภพเพื่อต่อสู้กับเขานั้น
มันไม่ใช่ชะตาลิขิต แต่เป็นดั่งคำสาปเสียมากกว่า” เนี่ยลีเอ่ยถามตามตรง
“หากเรียกว่าคำสาปก็ไม่ผิดนัก”
จักรพรรดิคงหมิงพูดพร้อมกับหัวเราะ
“ข้าต้องการทราบเรื่องราวทั้งหมดก่อนที่สงครามจะเริ่มขึ้น”
เนี่ยลี่พูดด้วยท่าทีที่จริงจัง
“เดิมทีข้าก็ไม่ทราบในเรื่องนี้มาก่อน
จนได้ฟังมาจากจักรพรรดิปราชญ์เองในศึกครั้งแรก
ก่อนที่ข้าจะได้เกิดมาเป็นจักรพรรดิคงหมิง ในอดีตชาติก่อนหน้านั้น
ข้าเป็นชาวยุทธผู้หนึ่ง ที่ใฝ่หาความแข็งแกร่งไม่ต่างไปจากชาวยุทธทั่วไป
ในยุคนั้นมนุษย์และอสูรก็เป็นศัตรูกันไม่ต่างไปจากปัจจุบัน
แต่มนุษย์ในอดีตนั้นอ่อนแอกว่าอสูรมากมายนัก
จนข้าได้คิดค้นหนทางที่จะทำให้มนุษย์ได้ความแข็งแกร่งของอสูรมา”
จักรพรรดิคงหมิงพูดพูดพร้อมกับถอนหายใจ
“ร่างทรงอสูร?” เนี่ยลี่พูดขึ้นมาด้วยความตกใจ หมายความว่า
จักรพรรดิคงหมิงเป็นร่างทรงอสูรคนแรก
เป็นผู้คิดวิธีที่จะผนึกวิญญาณอสูรไว้ในร่างของมนุษย์ขึ้นมาได้
“หลังจากที่มีร่างทรงอสูรกำเนิดขึ้นมา
มนุษย์ก็เริ่มที่จะเอาชนะพวกอสูรได้ เรื่องราวทั้งหมดก็มีเท่านี้” จักรพรรดิคงหมิงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เนี่ยลี่ฟัง
“การที่มนุษย์นำจิตอสูรมาใช้
ทำให้เผ่าอสูรนั้นโกรธแค้นมนุษย์ยิ่งนัก
เพราะการกระทำเช่นนั้นก็ไม่ต่างจากการหลบหลู่วิญญาณของพวกเขา
นั่นคือจุดเริ่มต้นของสงครามที่ไม่มีวันยุติ ที่ยาวนานมาจนถึงปัจจุบัน”
เนี่ยลี่สามารถสรุปได้ในทันที
“ในตอนที่ข้าได้ต่อสู้กับจักพรรดิปราชญ์ครั้งแรก
ก็ได้ถูกสาปแช่งเอาไว้ว่า
ข้าจะเวียนว่ายตายเกิดและถูกจักรพรรดิปราชญ์สังหารอีกสิบชาติภพ
เพื่อชำระบาปให้แก่พวกอสูรที่ถูกมนุษย์ช่วงจิตดวงวิญญาณไป” จักรพรรดิคงหมิงเล่าต่อ
“ถ้าเช่นนั้นถ้อยคำทั้งสิบนั่น
ก็หาใช่หนทางในการเอาชนะจักรพรรดิปราชญ์ไม่ มันเป็นการบอกเล่าถึงวัฏจักรแห่งจักวาลเท่านั้น”
เนี่ยลี่พูดขึ้นมาด้วยความไม่พอใจ ก่อนหน้านี้จักรพรรดิคงหมิงเคยบอกเอาไว้ว่า
นี่เป็นหนทางที่จะเอาชนะจักรพรรดิปราชญ์ได้ แต่ยังไม่มีผู้ใดที่สามารถเข้าใจได้
“ข้าแค่บอกเล่าในสิ่งที่ข้าเชื่อเท่านั้น
ไม่มี, ปลายทาง, เมื่อ, ไม่มี, จุดเริ่มต้น , ไม่มี,
จุดเริ่มต้น, ก็, ไม่มี, จุดสิ้นสุด” จักรพรรดิคงหมิงพูดถ้อยคำทั้งสิบขึ้นมาอย่างช้า ๆ
“ปลายทางคือการถูกสังหาร
จุดเริ่มต้นเป็นเพราะท่านคิดค้นวิธีผนึกวิญญาณอสูรเอาไว้ในร่าง หากท่านไม่ได้คิดค้นการผนึกวิญญาณอสูรขึ้นมา
ก็จะไม่พบกับจุดจบเช่นนั้น นี่คือความหมายของมันเช่นนั้นหรือ?” เนี่ยลี่ตะโกนถามออกไป
“ข้าไม่คิดว่าสิ่งที่ข้าทำเป็นเรื่องที่ผิด
หากไม่มีร่างทรงอสูร มนุษย์ก็ไม่อาจเอาชนะความแข็งแกร่งของอสูรได้
ข้าอาจจะเป็นผู้ที่ก่อสงครามอันไร้จุดจบนี้ขึ้นมา แต่ถ้าหากไม่มีร่างทรงอสูร
มนุษย์อาจจะสูญสิ้นไปนานแล้ว เจ้าเข้าใจหรือไม่?”
จักรพรรดิคงหมิงพูดขึ้นมาด้วยความคับแค้นใจเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นหนทางใด
มนุษย์ก็ต้องพบจุดจบไม่ต่างกัน
แต่เขานั้นทำให้มนุษย์สามารถยืนหยัดมาได้จนถึงวันนี้ เขาจึงเชื่อมั่นในสิ่งที่เขาได้ทำว่าไม่ใช่เรื่องที่ผิด
เนี่ยลี่นิ่งเงียบไป
เขาครุ่นคิดดูแต่ก็ไม่อาจหาคำตอบได้ว่า
สิ่งที่จักรพรรดิคงหมิงในอดีตชาติได้ทำนั้นเป็นสิ่งที่ผิดหรือถูก
จากนั้นทั้งสองคนต่างก็จมอยู่ในความเงียบ ไม่มีผู้ใดทีเอ่ยปากขึ้นมาอีก
หลายวันต่อมา เหล่าสหายของเนี่ยลี่ก็ได้
นำพายอดฝีมือจากทั่วยุทธภพมารวมตัวกัน
นี่คือผลของเมล็ดพันธุ์ที่เนี่ยลี่และสหายได้หว่านเอาไว้
บัดนี้มียอดฝีมือหลายหมื่นคนมาอยู่เบื้องหน้าของเนี่ยลี่
และมีหลายคนที่เขาคุ้นเคยยิ่งนัก
“ศึกใหญ่กำลังจะมาถึง
แต่เจ้ากลับไม่บอกข้าซึ่งเป็นอาจารย์ จะไม่เป็นการเสียมารยาทเกินไปหรอกหรือ?”
ปรมาจารย์เทียนอวิ๋นมายืนตรงหน้าเนี่ยลี่และพูดออกไปพร้อมกับลูบเคราของเขา
“ข้าขออภัย
ข้าไม่ต้องการให้ท่านอาจารย์มาลำบากในสงครามครั้งนี้”
เนี่ยลี่ประสานมือและก้มศีรษะพูดกับปรมาจารย์เทียนอวิ๋น
“แม้ว่าพวกข้านั้นจะแก่ชรา
แต่ก็กรำศึกมาไม่น้อย ประสพการณ์ของพวกข้านั้นจะสามารถช่วยพวกเจ้าได้”
ปรมาจารย์เทียนอู่พูดขึ้นมา เขาและปรมาจารย์อีกสามคนเดินตามปรมาจารย์เทียนอวิ๋นมาด้านหน้าของเนี่ยลี่
ตอนนี้ปรมารจารย์ทั้งห้าของนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ได้มารวมตัวกัน
เพื่อร่วมในศึกที่กำลังจะมาถึง
“ถูกต้องแล้ว แม้ว่าพวกเราจะแก่ชรา
แต่วรยุทธของพวกเรานั้นหาได้แก่ชราไปตามอายุไม่” ปรมาจารย์เทียนหั่ว
ประมุขแห่งนิกายเทพอัคคีพูดแทรกขึ้นมา
ปรมาจารย์ที่เป็นผู้นำนิกายของอาณาจักรซากมังกรเองก็เดินทางมาด้วยเช่นกัน
“เหล่าศิษย์ของข้าเองก็เข้าร่วมในศึกนี้
หากอาจารย์เช่นพวกข้าไม่เดินทางมา ก็คงจะไม่ได้เห็นความก้าวหน้าของศิษย์เป็นแน่”
ปรมาจารย์อินเยวี่ย แห่งนิกายเสียงสวรรค์พูดขึ้นมาพร้อมกับหัวเราะ
ปรมาจารย์ที่เป็นผู้นำนิกายอื่น ๆ ต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย
“ขอบคุณท่านผู้อาวุโสทุกท่านที่เดินทางมา
ได้พวกท่านมา ก็ทำให้กองกำลังของเรานั้นแข็งแกร่งขึ้นอีกนับร้อยเท่า”
เนี่ยลี่ประสานมือและก้มศีรษะกล่าวขอบคุณปรมาจารย์ทุกคนที่เดินทางมา..............จบตอน