หลี่ชิงอวิ๋นได้จัดเตรียมลานกว้างที่ใช้สำหรับฝึกซ้อมทหาร
เป็นที่ชุมนุมของเหล่าชาวยุทธ โดยเนี่ยลี่ได้ขึ้นไปยืนประกาศให้ชาวยุทธทุกคนว่า
“ข้ามีนามว่าเนี่ยลี่
ข้านั้นคือประมุขนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ ที่อยู่ในอาณาจักรซากมังกร ทุกท่านที่มารวมตัวกันอาจจะได้ทราบเรื่องราวมาบ้างแล้ว
และทุกคนในที่นี้ล้วนเป็นคนที่ข้าและสหายเชื่อใจ ดังนั้นข้าจะบอกเพียงว่า ภายในยี่สิบวัน
ข้าจะทำให้พวกท่านเพิ่มระดับพลังให้เหนือกว่าระดับเทพสงคราม
ผู้ที่จะเข้าร่วมในศึกที่กำลังจะมาถึงได้ จะต้องเป็นยอดฝีมือระดับขอบเขตแห่งพระเจ้าขึ้นไปเท่านั้น
เพราะข้าไม่ต้องการให้มีความสูญเสียเกิดขึ้น”
“เด็กหนุ่มนี่หรือจะเป็นผู้นำชาวยุทธทำศึกกับจักรพรรดิปราชญ์?” เหล่าคนที่ถูกชักชวนมาและยังไม่รู้จักเนี่ยลี่มาก่อน เกิดความสงสัย
“ขออภัย
ข้านั้นมาจากอาณาจักรธาราสวรรค์จึงไม่รู้จักกับเจ้ามาก่อน หากเจ้าไม่แสดงฝีมือออกมาให้เห็น
พวกข้าก็ไม่อาจที่จะยอมให้เจ้านำศึกครั้งนี้ได้”
ชนเผ่าดั้งเดิมของอาณาจักรธาราสวรรค์พูดขึ้นมา
พวกเขาคือกลุ่มคนที่ลอบสังเกตุในตอนที่กู้เบ่ยเดินทางไปยังอาณาจักรธาราสวรรค์นั่นเอง
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเนี่ยลี่ก็ปลดปล่อยลมปราณของเขาออกมาทันที
ลมปราณที่แผ่พุ่งออกมาจากร่างของเขานั้นรุนแรงดั่งพายุ
จอมยุทธที่อยู่โดยรอบถึงกับต้องเกร็งลมปราณเพื่อต้านพลังของเนี่ยลี่
แต่ก็ต้องถูกลมปราณของเนี่ยลี่ผลักให้ถอยออกไป
เมื่อเห็นเช่นนั้นเนี่ยลี่จึงหยุดปล่อยลมปราณออกมา
และไม่มีผู้ใดที่สงสัยในความแข็งแกร่งของเขาอีก
“นั่นหรือสหายของท่านอาจารย์
พลังของเขานั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่าอาจารย์เสียอีก” เสี่ยวฉีหลิงพูดขึ้นมาเบา ๆ
“เจ้าพูดเช่นนั้นเป็นการเสียมารยาทต่อท่านอาจารย์นะ”
เสี่ยวหนีเสิ่นพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจเท่าใดนัก ที่ได้ยินเสี่ยวฉีหลิงพูดเช่นนั้น
“ข้าแค่พูดไปตามที่เห็น
ถึงอย่างไรข้าก็นับถือท่านอาจารย์ของข้ายิ่งกว่าผู้ใด
ท่านอาจารยืก็ทราบดีใช่ไหมขอรับ” เสี่ยวฉีหลิงหันไปพูดกับตู่ซื่อด้วยท่าทีซุกซน
“สหายของข้าเป็นยอดฝีมือที่เก่งกาจกว่าผู้ใด
ไม่แปลกที่เจ้าจะรู้สึกชื่นชมเขา เพราะข้าเองก็ชื่นชมสหายของข้าผู้นี้ยิ่งนัก”
ตู่ซื่อตอบกลับไป
“หากพวกเจ้าทั้งสองไม่อาจบรรลุถึงระดับขอบเขตแห่งพระเจ้า
พวกข้าก็จะไม่อนุญาตให้พวกเจ้าเข้าร่วมในศึกครึ่งนี้”
ฮวาหั่วพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
พวกเขายังเด็กและพลังยังอยู่ในระดับเทพสงครามเท่านั้น
“ท่านอาจารย์อย่าได้กังวล
ตั้งแต่พวกท่านจากมา พวกข้าต่างก็ตั้งใจฝึกฝน และดื่มยาทิพย์ที่พวกท่านมอบให้ไว้
อีกไม่นานพวกข้าจะต้องบรรลุระดับขอบเขตแห่งพระเจ้าได้เป็นแน่”
เสี่ยวหนีเสิ่นประสานมือพูดกับฮวาหั่วด้วยท่าทีที่จริงจัง
“หากพวกเข้ามิได้ร่วมศึกในครั้งเสีย
คงจะทำให้ท่านอาจารย์ทั้งสองผิดหวังเป็นแน่” เสี่ยวฉีหลิงพูดพร้อมกับหัวเราะ
แม้ว่าจะไม่มีท่าทีที่จริงจัง แต่ตู่ซื่อก็สัมผัสได้ถึงความมุ่งมั่นใจตัวของเสี่ยวฉีหลิง
“พี่เซี่ยวซุ่ย
เหตุใดข้าจึงไม่เห็นท่านพี่ลู่เพียว” ไหไห่มองไปโดยรอบ
แต่ก็ไม่เห็นลู่เพียวแม้แต่เงาจึงรู้สึกสงสัย
“ลู่เพียวควบคุมกองกำลังนักรบสวรรค์ของเขาอยู่ด้านหลัง
ไม่ช้าเจ้าก็จะได้พบกับเขา” เซี่ยวซุ่ยตอบพร้อมกับลูบศีรษะของเขาด้วยความเอ็นดู
“ไม่คิดเลยว่าจะมีเด็กหนุ่มมีแข็งแกร่งมากถึงเพียงนี้
ยุทธภพนี่กว้างใหญ่เสียจริง” เซียงตังพูดกับเอียจื่ออวิ๋นที่พาเขาและสหายเดินทางมา
“ชายผู้นั้นคือคู่หมั้นของข้า”
เอียจื่ออวิ๋นพูดขึ้นมาด้วยความภูมิใจ
นี่เป็นครั้งแรกที่นางกล่าวถึงเนี่ยลี่เช่นนี้
เขากลายเป็นชายผู้ยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าท่านปู่ของนางแล้ว
คำพูดของเอียจื่ออวิ๋นทำให้เซียงตังหน้าเสียเล็กน้อย
เพราะเขาเองก็ต้องตาต้องใจนางอยู่ไม่น้อย
หากคู่หมั้นของนางเป็นชายที่ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ เขาคงต้องผิดหวังเป็นแน่
“หนิงเอ๋อ
ชายผู้นั้นหรือคนรักของเจ้า มิน่าเล่าเจ้าจึงไม่เคยชายตามองชายผู้ใด”
เหล่าพี่น้องในกองกำลังของหนิงเอ๋อแกล้งพูดจาหยอกเย้าหนิงเอ๋อ
ทำให้นางรู้สึกเขินอายยิ่งนัก
เนี่ยลี่กวาดสายตามองไปโดยรอบ
และพูดขึ้นมาอีกว่า
“สำหรับสงครามใหญ่ในครั้งนี้
ฝ่ายศัตรูมีกองกำลังนับล้าน ข้าไม่ต้องการให้เกิดการสูญเสีย
ดังนั้นการรบในครั้งนี้ทุกคนจะต้องเพิ่มระดับพลังให้สูงขึ้น ข้าได้ขอให้ปรมาจารย์เหล่านี้เป็นผู้ดูแลการเพิ่มระดับพลังของทุกคน”
เนี่ยลี่เชิญปรมาจารย์ทั้งที่เป็นผู้นำนิกายศักดิ์สิทธิ์ทั้งหกนิกายขึ้นมาด้านบน
“ทุกท่านสามารถฝึกฝนกับปรมาจารย์ท่านใดก็ได้
และทุกคนจะได้รับยาทิพย์จากปรมาจารย์ทั้งเจ็ด เพื่อเพิ่มระดับพลัง และจงจำไว้ว่า
คำชี้แนะของปรมาจารย์ทุกท่านล้วนมีความสำคัญ หากไม่เชื่อฟังอาจจะถึงแก่ชีวิตได้” เนี่ยลี่อธิบายต่อ
เมื่อได้ยินคำพูดของเนี่ยลี่
เหล่ายอดฝีมือต่างก็เลือกที่จะเข้าฝึกฝนกับปรมาจารย์ที่มีชะตาต้องกัน
เนี่ยลี่ไม่ต้องการที่จะบังคับพวกเขา
เพราะจะเป็นการสร้างความกดดันและความไม่พอใจขึ้นมาได้
“นายท่าน
กองกำลังของชนเผ่าเมฆาสวรรค์ทุกคนล้วนต้องการออกรบเคียงข้างท่าน” เสวียนอวี่
เดินมาคุกเข่าพร้อมกับประสานมือต่อหน้าเนี่ยลี่
เพื่อเป็นตัวแทนของชนเผ่าเมฆาสวรรค์
“เสวียนอวี่
ข้ารู้ว่าเจ้าและชนเผ่าเมฆาสวรรค์มีน้ำใจเพียงใด
ศึกในครั้งนี้ข้าจะไม่ยอมให้มีการสูญเสีย ดังนั้นทุกอย่างจะเป็นไปตามที่ข้าประกาศออกไป
และเมื่อสงครามครั้งนี้จบลง ชนเผ่าเมฆาสวรรค์ของเจ้าทุกคนก็จะเป็นอิสระ”
เนี่ยลี่ส่ายศีรษะปฏิเสธและยืนยันคำเดิมทำให้เสวียนอวี่ไม่กล้าที่จะพูดสิ่งใดต่อ
ในตอนนี้ชนเผ่าเมฆาสวรรค์ที่เป็นนักรบและมีความแข็งแกร่งระดับขอบเขตแห่งพระเจ้านั้นมีอยู่ราวหนึ่งพันคน
และมีอยู่หลายร้อยคนที่สามารถบรรลุขั้นที่สองของระดับขอบเขตแห่งพระเจ้าได้
เดิมทีเนี่ยลี่คิดจะเพิ่มระดับพลังของตนเองด้วยค่ายกลสิบแปดมังกรสวรรค์ทองคำ
แต่การเลื่อนระดับพลังด้วยการใช้ค่ายกลนี้เป็นการฝืนเพิ่มระดับพลัง
ซึ่งเป็นวิธีที่อันตรายต่อห้วงขอบเขตวิญญาณยิ่งนัก เขาจึงต้องคิดหาหนทางอื่นแทน
ผ่านไปสองสัปดาห์การบ่มเพาะพลังของเหล่าชาวยุทธที่มารวมตัวกัน
ก้าวหน้าอย่างเห็นได้ชัด แต่เป็นเพราะ พวกเขาล้วนเป็นยอดฝีมือระดับเทพสงคราม เมื่อดื่มยาทิพย์เข้าไปจึงทำให้บรรลุระดับขอบเขตแห่งพระเจ้าในเวลาไม่นานนัก
เนี่ยลี่ได้เรียกทุกคนมารวมตัวกันอีกครั้ง
และเปิดเส้นทางสวรรค์เพื่อเดินทางไปยังอาณาจักรบรรพชนแห่งเทพ
เมื่อได้เห็นกองกำลังนับหมื่นของเนี่ยลี่
ที่สมาชิกในกองกำลังล้วนมีความแข็งแกร่งระดับขอบเขตแห่งพระเจ้า
ทำให้จอมมารตกตะลึงไม่น้อย ดังนั้นแผนของเขาที่จะใช้สาวกแห่งเต๋าฉางเปิดทางให้นั้น
จึงล้มเลิกไป
เนี่ยลี่ได้ให้ทุกคนไปพักผ่อนและเขาได้ไปพูดคุยกับจอมมารตามลำพัง
“ข้าต้องการกระจกข้ามภพชิ้นสุดท้าย”
เนี่ยลี่พูดพร้อมกับยื่นมือออกไป
“ของชิ้นนี้
หาได้มีความสำคัญกับข้าแม้แต่น้อย รับไปสิหากเจ้าต้องการ”
จอมมารโยนกระจกข้ามภพให้แก่เนี่ยลี่
“เมื่อจบศึกนี้
พวกเราจะมาชำระความแค้นกัน” เนี่ยลี่พูดพร้อมกับหันหลังเดินจากไป
“หากว่าในตอนนั้น
เจ้านั้นยังมีชีวิตรอดอยู่นะ ฮ่าฮ่าฮ่า”
จอมมารพูดพร้อมกับหัวเราะหลังจากที่เนี่ยลี่เดินออกไป
เนี่ยลี่และสหายได้ไปรวมตัวกันที่ห้องพัก
เพื่อวางแผนเป็นครั้งสุดท้าย โดยเนี่ยลี่ได้เชิญเหล่าปรมาจารย์ทั้งสิบเอ็ดคน
และเสวียนอวี่ให้มาพูดคุยกันอีกด้วย
“ข้าต้องการให้ชนเผ่าเมฆาสวรรค์เป็นทัพหน้า
เนื่องจากร่างกายของพวกเขามีความแข็งแกร่งยิ่งกว่ามนุษย์ทั่วไป
และระดับพลังของพวกเขาบางส่วนก็บรรลุถึงขั้นที่สามของระดับขอบเขตแห่งพระเจ้าแล้ว”
เนี่ยลี่พูดออกไป
“เรื่องนี้นายท่านเนี่ยลี่ไม่ต้องกังวล
ด้วยค่ายกลเทพเมฆาสวรรค์ แม้ว่าจะเป็นทัพหน้าพวกเราก็สามารถปกป้องตนเองได้”
เสวียนอวี่ตอบกลับไปโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
“แต่การที่ต้องเผชิญกองกำลังนับล้าน
การทำเช่นนั้นก็ไม่ต่างจากการพุ่งเข้าหาความตาย
ดังนั้นเมื่อเริ่มศึกให้เป็นหน้าที่ของข้าก่อน”
ปรมาจารย์อินเยวี่ยแห่งนิกายเสียงศักดิ์สิทธิ์พูดแทรกขึ้นมา นางมีแผนบางอย่างเอาไว้
แต่ก็ไม่อาจยืนยันได้ว่าจะสำเร็จหรือไม่
“ไม่ทราบว่าแผนของท่านเป็นเช่นใดกัน?” เนี่ยลี่ถามด้วยความสงสัย
ปรมาจารย์อินเยวี่ยจึงอธิบายให้เนี่ยลี่และทุกคนฟัง
ซึ่งเมื่อฟังแล้วเนี่ยลี่จึงรู้สึกชื่นชมยิ่งนัก
หากแผนของปรมาจารย์อินเยวี่ยสำเร็จ การเอาชนะกองกำลังนับล้านก็จะง่ายขึ้น
“สำหรับสงครามในครั้งนี้
ข้าและผู้กลับชาติมาเกิดทั้งหกไม่อาจที่จะเป็นกำลังให้ทุกคนได้
ข้าคงต้องรบกวนทุกคนแล้ว” เนี่ยลี่ประสานมือพร้อมกับก้มศีรษะขอบคุณทุกคน
“เจ้าพูดเกินไปแล้ว
เจ้าต้องเก็บออมแรงเอาไว้เพื่อเผชิญหน้ากับจักรพรรดิปราชญ์ ศึกในครั้งนี้
ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว พวกเราจะเปิดเส้นทางให้เจ้าเอง”
ปรมาจารย์เทียนอวิ๋นพูดพร้อมกับยิ้มอย่างอ่อนโยน เมื่อเห็นเนี่ยลี่แสดงออกเช่นนี้
วันต่อมาเนี่ยลี่ได้นำกระจกข้ามภพทั้งเก้ามารวมกัน เมื่อปล่อยพลังสวรรค์เข้าไป
ผลึกแก้วทั้งเก้าชิ้นรวมตัวกันเป็นชิ้นเดียว และทอดยาวขึ้นไปเบื้องบน
เป็นเส้นทางแห่งแสงที่จะขึ้นไปสู่ดินแดนแห่งสวรรค์
เนี่ยลี่ได้บอกแผนการต่อสู้ให้กับทุกคนอย่างเรียบง่าย
คือให้เข้าจู่โจมหลังจากที่ได้รับคำสั่งเท่านั้น
หลังจากนั้นเนี่ยลี่ก็บินนำขึ้นไปตามเส้นทางแห่งแสง
เมื่อขึ้นไปถึงด้านบน
ก็พบผืนเมฆกว้างใหญ่ เป็นดั่งสรวงสวรรค์ในภาพวาด
เบื้องหน้าของพวกเขาเป็นพื้นที่โล่งกว้างใหญ่ ไม่มีต้นไม้ ภูเขา
มีเพียงพื้นเมฆที่กว้างใหญ่พอ ๆ กับอาณาจักรสักแห่งหนึ่ง
เนี่ยลี่ลองเหยียบลงไปบนพื้นเมฆ
ก็พบว่าสามารถยืนอยู่ได้ สัมผัสใต้เท้าราวกับกำลังเหยียบอยู่บนฟองอากาศนุ่ม ๆ
เมื่อทุกคนขึ้นมาแล้ว
ต่างก็ประหลาดใจกับสิ่งทีได้พบเห็น พวกเขานั้นได้ขึ้นมาบนสรวงสวรรค์
แม้จะเป็นเพียงพื้นที่ที่ว่างเปล่า แต่ก็สว่างและงดงามยิ่งนัก
“เจ้าพวกมนุษย์
กล้ารุกล้ำดินแดนแห่งสวรรค์ โทษของพวกเจ้าคือความตายเท่านั้น” เสียงของบริวารแห่งเทพดังกึกก้องไปทั่วทั้งท้องฟ้า
ท้องฟ้าก็เริ่มมืดมิด พื้นเมฆสีขาวที่เหยียบอยู่ก็แปรเปลี่ยนเป็นเมฆสีดำ
เส้นทางแห่งแสงที่พวกเขาบินผ่านขึ้นมานั้นก็ถูกบดบังไปด้วยเมฆสีดำ
ทำให้หนทางในการหลบหนีของพวกเขานั้นหายไป
ในความมืดมิดนั้น
ประกายแสงสีแดงจำนวนนับไม่ถ้วนเริ่มปรากฏอยู่เบื้องหน้าของพวกเขา
ทุกคนรับรู้ได้ทันทีว่า นี่คือแสงจากดวงตาของอสูร แต่การต่อสู้ในความมืดนี้ทำให้ทุกคนเริ่มที่จะแตกตื่น
“แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น
พวกเจ้าอย่าได้ตื่นตกใจ”
ปรมาจารย์เทียนอวิ๋นเดินไปด้านหน้าพร้อมกับปลดปล่อยลมปราณของเขาออกมา เมฆสีดำค่อย
ๆ แปรเปลี่ยนเป็นสีขาวดังเดิม เขานั้นเป็นปรมาจารย์ที่มีความสามารถในการควบคุมเมฆา
การเปลี่ยนสภาพก้อนเมฆจึงไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้
แต่การที่ต้องใช้พลังของเขาในการต่อต้านพลังของบริวารแห่งเทพที่มีพลังเหนือกว่า
ทำให้ปรมาจารย์เทียนอวิ๋นต้องใช้พลังแทบทั้งหมดของเขา ในตอนนี้เขารู้สึกอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก
แต่เขาก็ฝืนทนไว้ ไม่ให้ผู้ใดสังเกตุเห็น เพราะต้องการให้ทุกคนสงบลง
เมื่อเห็นว่าปรมาจารย์เทียนอวิ๋นสามารถรับมือกับเรื่องนี้ได้อย่างง่ายดาย
ทำให้ทุกคนเริ่มใจเย็นลง แต่กองกำลังอสูรนับล้านที่อยู่เบื้องหน้า
ก็ทำให้ทุกคนรู้สึกหวั่นไหวไม่ได้..................จบตอน