“เทพมายา
พอได้แล้ว” เทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงบินมาจนถึงจุดที่เนี่ยลี่และจอมมารสู้กัน
ที่ตามมาทางด้านหลังคือเหล่าสหายของเนี่ยลี่ และจินตานที่บินตามมา
“หึ”
จอมมารพ่นลมหายใจพร้อมกับ บินขึ้นไปหาเทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยง
เนี่ยลี่ค่อย
ๆ ขยับตัวลุกขึ้น และเดินไปดูเอียจื่ออวิ๋นที่ไม่ได้สติอยู่ แต่ก็ยังมีลมหายใจ
เนื่อลี่อุ้มนางขึ้นมาอย่างแผ่วเบา เขารู้ตัวแล้วว่า ตัวเขานั้นอ่อนแอ
และตัดสินใจได้โง่เง่าเพียงใด จึงไม่กล้าที่จะมองหน้าเหล่าสหายของเขา
ทุกคนเองก็รู้สึกเจ็บปวด
ที่ได้รู้ถึงขีดจำกัดของตนเองในเวลานี้ แม้แต่จอมมารพวกเขายังไม่อาจที่จะรับมือได้
หากต้องเผชิญหน้ากับจักรพรรดิปราชญ์ตัวจริง
พวกเขาก็คงถูกสังหารไม่ต่างจากภาพมายาที่ได้เห็นเป็นแน่
“ข้านั้นยึดครองอาณาจักรบรรพชนแห่งเทพนี้มาจากพวกอสูรเมื่อหลายเดือนก่อน
จงตามมายังเมืองของข้า” จอมมารทะยานออกไป เมื่อมองไปยังสถานที่ที่ห่างออกไป
จะพบว่ามีเมืองขนาดใหญ่ตั้งอยู่ ก่อนหน้านี้มันถูกภาพมายาบดบังเอาไว้
ทำให้เนี่ยลี่ไม่อาจค้นหามันได้พบ
เมืองที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า
เป็นเมืองที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ ซึ่งบรรดาสาวกแห่งเต๋าฉาง ร่วมกันสร้างขึ้นตามคำบัญชาของจอมมาร
เมืองนี้ตั้งอยู่ในสถานที่ ที่มีพลังสวรรค์หนาแน่นที่สุด
โดยเฉพาะบริเวรตำหนักของจอมมาร ทำให้เขานั้นได้อาบพลังสวรรค์อยู่ตลอดเวลา
ทำให้การบ่มเพาะพลังของเขานั้นก้าวหน้าไปจนเกินกว่าที่เนี่ยลี่จะจินตนาการได้
จอมมารได้พาพวกเขาไปยังห้องโถงของตำหนักประมุขแห่งเต๋าฉาง
โดยที่จอมมารนั่งอยู่บนบรรลังก์ขนาดใหญ่ ส่วนพวกเนี่ยลี่ยืนอยู่ที่ด้านล่าง
“นี่คือตำหนักของข้า
ดังนั้นพวกเจ้าจะต้องปฏิบัติตามกฏของข้า
พวกเจ้าคงรู้แล้วว่าความสามารถของพวกเจ้านั้นต่ำต้อยเพียงใด การที่จะเผชิญหน้ากับจักรพรรดิปราชญ์ย่อมเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ในเวลานี้
แม้แต่บริวารแห่งเทพ พวกเจ้าก็เอาชนะได้ยากแล้ว โชคดีที่ในที่สุด
ผู้กลับชาติมาเกิดทั้งหกนั้นได้มาอยู่พร้อมหน้ากันแล้ว
แต่หน้าที่ของพวกข้าก็คือการจัดการกับร่างแยกของจักรพรรดิปราชญ์เท่านั้น
ผู้ที่ต้องจัดการกับบริวารแห่งเทพทั้งสิบ ก็คือพวกเจ้า”
จอมมารพูดกับทุกคนด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงผู้มีอำนาจที่เหนือกว่า
“และเจ้า
จะต้องเป็นผู้ที่ต่อสู้กับจักรพรรดิปราชญ์ เจ้าคงจะไม่ลืมเรื่องนี้ใช่หรือไม่”
จอมมารพูดต่อพร้อมกับชี้มาที่เนี่ยลี่
“ข้าไม่เคยลืมเรื่องนี้
จากนี้ไปข้าและสหายจะทำการฝึกฝนเพื่อเพิ่มระดับพลังให้สูงขึ้นกว่าที่เป็นอยู่
ก่อนที่สงครามครั้งสุดท้ายจะมาถึง
เมื่อถึงเวลานั้นจงมอบกระจกข้ามภพชิ้นสุดท้ายมาให้แก่ข้าด้วย” เนี่ยลี่ตอบกลับไป
เขาเชื่อว่าตอนนี้จอมมารจะต้องเป็นผู้ที่เก็บกระจกข้ามภพชิ้นสุดท้ายเอาไว้
“หากเจ้าไม่อาจเหนือกว่าข้าได้
การเอาชนะจักรพรรดิปราชญ์ก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
ข้าจะไม่ยอมไปเผชิญหน้ากับศึกที่รู้ว่าจะต้องพบกับความพ่ายแพ้
จากนี้ไปพวกเจ้าจะต้องเพิ่มระดับพลังให้ได้ เรื่องที่พัก
ข้าได้จัดเตรียมตำหนักเล็กเอาไว้ให้พวกเจ้าแล้ว
มันมีห้องพักเพียงพอสำหรับพวกเจ้าทุกคน
จากนี้ไปข้าต้องการที่จะพูดคุยกับเหล่าสหายในอดีตของข้า คนอื่น ๆ ออกไปได้แล้ว”
จอมมารโบกมือให้ทุกคนออกไป
เขาต้องการพูดคุยกับผู้กลับชาติมาเกิดทั้งห้าเป็นการส่วนตัว
เนี่ยลี่ยังคงอุ้มเอียจื่ออวิ๋นอยู่
จากนั้นก็พานางไปพักผ่อนที่ห้องพัก เนี่ยลี่ขอให้ทุกคนแยกย้ายกันไปพักผ่อนก่อน
เนื่องจากเขานั้นต้องการอยู่ตามลำพังในห้องพักของเขา
เนี่ยลี่ครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้
เขานั้นตัดสินใจทุกอย่างผิดพลาดไปหมด จนทำให้ทุกคนมีอันตรายถึงแก่ชีวิต
นั่นคำให้เนี่ยลี่รู้สึกโกรธแค้นตนเองยิ่งนัก
“เหล่าสหายของข้า
พวกเจ้าคงจะได้รับความทรงจำทั้งหมดกลับคืนมาแล้ว ดังนั้นพวกเจ้าคงทราบดี
ว่าพวกเราจะต้องทำสิ่งใดในสงครามครั้งนี้
ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะเก็บงำเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ
พวกเจ้าเองก็เห็นแล้วว่าคงหมิงในชาติภพนี้อ่อนแอเพียงใด” จอมมารพูดกับคนทั้งห้าด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“ข้ารู้ดีว่าต้องเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ
แต่นายท่านของข้ามิได้อ่อนแอดั่งที่เจ้าคิด” ต้วนเจี้ยนแย้งกลับไป
“การที่เจ้าทำให้เขารับรู้ถึงความอ่อนแอของตนเอง
อีกไม่นานเขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นยิ่งกว่าเดิม แต่ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะสามารถควบคุมภาพมายาได้หลายสิบร่างพร้อมกับเช่นนั้น”
เหยียนหยางพูดขึ้นมา พร้อมกับถามสิ่งที่เขานั้นสงสัย
“จอมมารมิได้ควบคุมภาพมายาทั้งหมด
แต่ทำให้ภาพมายาเหล่านั้นตอบสนองกับคำพูดและการโจมตีของพวกเจ้าเท่านั้น” เทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงให้คำตอบแทนจอมมาร
“เหตุใดจึงไม่มีผู้ใดบอกกับข้าว่า
ข้านั้นคือเทพธิดาจินหยาน” เทพธิดายู่หยานอดไม่ได้ที่จะถามออกไป
“การที่ให้เจ้ารับรู้ด้วยตนเอง
จะทำให้ท่านจดจำเรื่องราวในอดีตชาติได้มากกว่า การที่พวกข้านั้นเป็นผู้บอกแก่เจ้า”
เทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงตอบกลับไป
“ข้าจะปกปิดเรื่องนี้
ไม่ให้พวกเนี่ยลี่ทราบ แต่ข้าจะอยู่ฝ่ายเดียวกับเนี่ยลี่ และไม่ขอรับคำสั่งจากเจ้า”
กู้หลานหันไปพูดกับจอมมาร
“แม้พวกเจ้าไม่พูดออกมาข้าก็รู้ดี
ข้าแค่ต้องการคำยืนยันว่าพวกเจ้ายินดีที่จะทำตามพันธสัญญาของพวกเราหรือไม่ก็เท่านั้น”
จอมมารหัวเราะและถามกลับไป
“ข้ายินดีที่จะทำเช่นนั้น”
ทั้งห้าคนตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
ไม่ว่าสงครามในครั้งนี้จะได้รับชับชนะหรือไม่ แต่มันก็เป็นสงครามครั้งสุดท้าย
พวกเขาไม่คิดที่จะหนีเอาตัวรอดเป็นแน่
“ข้าต้องการได้ยินเพียงเท่านี้
เชิญไปพักผ่อนได้” จอมมารโบกมือให้ทุกคนออกไป เขาเองก็มีแผนที่คิดเอาไว้แล้ว
การที่ได้ยินเช่นนี้ ทำให้เขามั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่า แผนของเขาจะต้องสำเร็จเป็นแน่
เอียจื่ออวิ๋นลืมตาขึ้นมาในห้องพัก
โดยมีหนิงเอ๋อคอยดูแลอยู่ นางยังรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย
ที่นางจำได้คือนางใช้พลังทั้งหมดในการสร้างน้ำแข็งนิรันดิ์ปกป้องเนี่ยลี่เอาไว้
จากนั้นนางก็หมดสติไป หนิงเอ๋อจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้จื่ออวิ๋นฟัง
“แล้วเนี่ยลี่เป็นเช่นใดบ้าง?” จื่ออวิ๋นถามหนิงเอ๋อด้วยความสงสัย
“เขาเก็บตัวอยู่ในห้องตามลำพัง
ไม่ยอมพบหน้าผู้ใด และไม่ยอมทานสิ่งใดด้วย” หนิงเอ๋อพูดพร้อมกับส่ายศีรษะเบา ๆ
“คู่หมั้นที่กล้าหาญของเรา
ยามที่พ่ายแพ้ก็ไม่ต่างจากเด็กคนหนึ่งเท่านั้น เจ้าพาข้าไปหาเขาได้หรือไม่
ปัญหาของเนี่ยลี่ในตอนนี้ เขาไม่อาจข้ามผ่านไปได้ด้วยตัวของเขาเอง”
เอียจื่ออวิ๋นพยายามที่จะลุกขึ้นโดยมีหนิงเอ๋อประคองเอาไว้
ที่ห้องพักของเนี่ยลี่
เหล่าสหายต่างยืนกันอยู่ที่ด้านนอก ทุกคนต่างก็รู้สึกเป็นห่วงเขา
แต่เขากลับไม่ยอมให้ผู้ใดเข้าไปพบแม้แต่คนเดียว
เมื่อเห็นจื่ออวิ๋นและหนิงเอ๋อเดินมา
พวกเขาจึงรีบหลีกทางให้แก่พวกนาง
“เนี่ยลี่
จงเปิดประตูให้ข้ากับหนิงเอ๋อเข้าไป หาไม่แล้วเจ้าจะไม่ได้พบกับพวกเราทั้งสองไปชั่วชีวิต”
จื่ออวิ๋นตะโกนออกไป ด้วยเสียงอันแหบแห้ง
“ข้าไม่อาจที่จะพบหน้าพวกเจ้าได้
เพราะความอวดดีของข้า จึงทำให้พวกเจ้าต้องเสี่ยงชีวิตโดยไร้ประโยชน์”
เนี่ยลี่ตอบกลับไป
“เจ้าพูดบ้าอันใดกัน
นี่เจ้ากับข้ายังเป็นพี่น้องกันหรือไม่?
ในยามนั้นหากข้าเป็นเจ้า ข้าก็คงทำไม่ต่างกัน
เหตุใดเจ้าต้องแบกรับเรื่องนี้ไว้เพียงลำพังด้วย”
ลู่เพียวตะโกนออกไปด้วยความโมโหที่เนี่ยลี่คิดเช่นนั้น
“เจ้าไม่เคยยอมแพ้กับสิ่งใด
ไม่ว่ากำแพงหรือขวากหนามจะกั้นขวาง เจ้าก็หาหนทางที่จะข้ามผ่านไปได้ หากพวกเรานั้นอ่อนแอเกินไป
ก็จงลุกขึ้นมาฝึกฝนให้แข็งแกร่งขึ้นไปด้วยกัน” ตู่ซื่อพูดออกไปบ้าง
เนี่ยลี่ได้แต่นิ่งเงียบไป
เขาไม่อาจที่จะหาถ้อยคำใดมาพูดหลังจากที่ได้ยินคำพูดของลู่เพียวและตู่ซื่อ
“พวกเจ้าไปพักผ่อนกันเถิด
เรื่องนี้ให้ข้ากับหนิงเอ๋อจัดการเอง ดูเหมือนว่าพวกเจ้าก็เหนื่อยอ่อนไม่น้อย”
จื่ออวิ๋นหันไปพูดกับทุกคน
เมื่อได้ยินจื่ออวิ๋นพูดเช่นนั้น
แม้ว่าจะรู้สึกไม่สบายใจ แต่ทุกคนก็ยอมที่จะแยกย้ายกันกลับไปยังห้องพักของตน
จื่ออวิ๋นให้หนิงเอ๋อประคองนั่งลงที่หน้าห้องของเนี่ยลี่และพูดออกไปว่า
“ดูเหมือนว่าเนี่ยลี่จะไม่ต้องการพวกเราสองคนอีกแล้วนะหนิงเอ๋อ
ข้าเคยบอกกับเขาว่า สามีของข้าจะต้องเป็นชายผู้ยิ่งใหญ่
เนี่ยลี่ในตอนนี้เป็นเพียงคนขี้แพ้เท่านั้น”
“จื่ออวิ๋น
ทำไมเจ้าจึงพูดเช่นนั้น” หนิงเอ๋อพูดพร้อมกับเช็ดน้ำตาของนาง
“เนี่ยลี่เจ้าคิดหรือว่า
เจ้านั้นเจ็บปวดอยู่เพียงผู้เดียว ข้ากับหนิงเอ๋อนั้นต้องทุ่มเทฝึกฝนมากเพียงใด
กว่าที่จะแข็งแกร่งขึ้นมาได้ เพื่อที่จะเป็นกำลังให้แก่เจ้า
เจ้ามันเห็นแก่ตัวยิ่งนัก ที่คิดจะแบกรับทุกสิ่งไว้เพียงลำพัง
นี่หรือคือสิ่งที่เจ้าทำกับสหายและคนรักของเจ้า” เอียจื่ออวิ๋นพูดพร้อมกับร้องไห้ออกมา
“ข้าเองก็เฝ้ารอเจ้ามาหลายปี
จนถึงวันที่ข้าคิดว่าข้าจะได้สมหวังในความรัก
แต่เจ้ากลับไม่ยอมเปิดประตูให้ข้าเข้าไปปลอบใจในยามที่เจ้าอ่อนแอ
เจ้าจะทำให้ข้าเจ็บปวดไปจนถึงเมื่อไหร่กัน เจ้าเห็นพวกข้าเป็นสิ่งใดกันแน่?” หนิงเอ๋อตะโกนพร้อมกับร่ำไห้ สิ่งที่อัดอั้นอยู่ภายในใจของนางเริ่มปะทุออกมา
“ข้าขอโทษ”
เสียงของเนี่ยลี่ดังลอดออกมาอย่างแผ่วเบา
“หากเจ้าไม่ต้องการพวกข้า
พวกข้าจะเป็นฝ่ายจากไปเอง หากคิดที่จะแบกรับทุกอย่างเอาไว้เอง ศึกในครั้งนี้
พวกข้าก็คงไม่มีความจำเป็นสำหรับเจ้า เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จงสู้ไปตามลำพัง”
เอียจื่ออวิ๋นพยายามลุกขึ้นและให้หนิงเอ๋อพานางออกไปจากหน้าห้องพักของเนี่ยลี่
ครืด!
เนี่ยลี่เปิดประตูห้องพักของเขาออกมาทันที
“อย่าจากข้าไป
ข้าไม่ต้องการสูญเสียพวกเจ้าไปอีกแล้ว” เนี่ยลี่พูดทั้งน้ำตา
“เจ้าคนโง่”
เอียจื่ออวิ๋นโผเข้าไปกอดเนี่ยลี่เอาไว้ นางเชื่อว่าเนี่ยลี่จะต้องเปิดประตูให้กับพวกนาง
เพราะนางรู้ดีว่าเนี่ยลี่นั้นรักนางมากเพียงใด
หนิงเอ๋อนั้นก็ร้องไห้ด้วยความยินดีที่เห็นเนี่ยลี่เปิดประตูออกมา
หลังจากนั้นเนี่ยลี่และหนิงเอ๋อก็ช่วยกันประคองเอียจื่ออวิ๋นเข้าไปในห้องพักของเนี่ยลี่
และหนิงเอ๋อคิดว่าควรจะปล่อยให้พวกเขาอยู่ตามลำพัง
นางจึงลุกขึ้นเพื่อที่จะออกจากห้องไป
“หนิงเอ๋อ
เจ้าต้องอยู่กับข้า” จื่ออวิ๋นดึงมือของหนิงเอ๋อเอาไว้พร้อมกับส่ายหน้า
เนี่ยลี่ลุกขึ้นและพาพวกนางทั้งสองมานั่งบนที่นอนของเขา
จากนั้นเขาก็คุกเข่าลงกับพื้นทันที
“เนี่ยลี่เจ้าทำบ้าอันใดกัน?” เอียจื่ออวิ๋นถามด้วยความตกใจ
“ข้าผิดต่อเจ้าทั้งสอง
และผิดต่อทุกคน ข้านั้นพยายามที่จะแบกรับทุกอย่างไว้เพียงลำพัง
โดยที่ไม่สนใจความรู้สึกของพวกเจ้าเลยแม้แต่น้อย จากนี้ไปข้าขอสาบานต่อฟ้าดิน
ข้าจะไม่ทำผิดเช่นนี้อีกเป็นครั้งที่สอง เจ้าทั้งสองและทุกคนเป็นสหายที่จะร่วมกันแบกรับทุกอย่างเอาไว้
และจะต่อสู้ไปด้วยกัน”
เนี่ยลี่ยกมือขึ้นสาบานต่อฟ้าดินและพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
จื่ออว่นและหนิงเอ๋อช่วยกันประคองเนี่ยลี่ขึ้นมา
พร้อมกับโอบกอดเขาเอาไว้ ในอ้อมแขนทั้งสองของเนี่ยลี่ในตอนนี้ มีหญิงสาวสองคนแนบชิดจนเขาไม่ต้องการที่จะปล่อยแขนออกไปเลยแม้แต่น้อย
“ไม่ว่าพวกข้าจะพูดเช่นใด
เจ้าก็ไม่ยอมเปิดประตู แต่พอเทพธิดาทั้งสองร่ำไห้
เจ้ากลับเปิดประตูออกมาอย่างง่ายดาย นี่เจ้าเห็นว่พวกข้านั้นเป็นสหายจริงหรือไม่?” ลู่เพียวพูดขึ้นมา เขาและคนอื่น ๆ นั้นแอบซ่อนอยู่มิได้กลับไปห้องพักของตนแต่อย่างใด
“เจ้าบ้าลู่เพียว
ไม่รู้หรือว่ากำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม” เซี่ยวซุ่ยดึงหูลู่เพียวอย่างแรง เมื่ออยู่ ๆ
ลู่เพียวก็พุ่งพรวดเข้าไปเช่นนี้
“ข้าต้องขอโทษพวกเจ้าทุกคนด้วย
พรุ่งนี้พวกเราจะไปฝึกซ้อมด้วยกัน ข้ามีหนทางที่จะเพิ่มระดับพลังของพวกเราให้สูงขึ้นได้”
เนี่ยลี่พูดกับทุกคนขณะที่แขนทั้งสองข้างยังคงโอบกอดเอียจื่ออวิ๋นและหนิงเอ๋อเอาไว้
“ปล่อยข้าได้แล้ว”
เอียจื่ออวิ๋นเขินขายที่ทุกคนมองอยู่จึงพยายามดิ้นรน
ผิดกับหนิงเอ๋อที่ยอมให้เนี่ยลี่กอดโดยไม่ขัดขืนเลยแม้แต่น้อย
เนี่ยลี่เห็นเช่นนั้นจึงแกล้งกอดรัดให้แน่นขึ้น
แต่เมื่อเห็นว่าจื่ออวิ๋นเริ่มที่จะโมโห เขาจึงต้องปล่อยนางออกไป
พร้อมกับหัวเราะและทำหน้าทะเล้น................จบตอน
เพิ่มเติม
ชื่อในอดีตชาติของ ผู้กลับชาติมาเกิดทั้งหก
เทพศาสตราวุธ (เถี่ยเจี้ยง)
เทพโอสถ (กู้หลาน)
เทพนักรบ (ต้วนเจี้ยน)
เทพมายา (จอมมาร)
เทพอัคคี (เหยียนหยาง)
เทพธิดาสุริยัน (ยู่หยาน)