test

เมนู นิยาย บน

เมนูมังงะ

5 ก.พ. 2560

Tales of Demons & Gods Next Legend บทที่ 444.102 ตำหนักสิบวิถี



          ในตอนนี้ในกลุ่มของเนี่ยลี่มีเพียง ผู้กลับชาติมาเกิดทั้งหก ตู่ซื่อ ลู่เพียว กู้เบ่ย หลี่ชิงอวิ๋น หลงยู่อิน ฮวาหั่ว และเซี่ยวหยู่ เท่านั้น พวกเขามุ่งหน้าไปยังตำหนักสีขาวที่มองเห็นอยู่ห่างออกไป เนี่ยลี่นั้นจดจำตำหนักที่อยู่เบื้องหน้าได้ เพราะเขาเองก็เคยบุกผ่านตำหนักนี้เมื่อในชีวิตที่แล้วมาครั้งหนึ่ง

          ทางด้านนอกนั้น การต่อสู้ยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง กองกำลังของมนุษย์สามารถสังหารกองกำลังของสรูไปได้โดยไม่ลำบากเท่าใดนัก เนื่องจากกองกำลังอสูร ถูกท่วงทำนองสยบอสูรปิดกั้นพลังเอาไว้ทำให้ชัยชนะเป็นของฝ่ายมนุษย์

          การเผชิญหน้ากับกองกำลังอสูรที่ถูกปิดกั้นพลังเอาไว้ ทำให้ไหไห่ ที่ใช้หอกเทพสมุทรต่อสู้ได้ไม่ยากนัก ทุกครั้งที่ตวัดหอกก็จะบังเกิดคลื่นน้ำเสริมพลังในการโจมตีของไหไห่ให้รุนแรงมากยิ่งขึ้น

          เสี่ยวฉีหลิงและเสี่ยวหนีเสิ่นนั้นเมื่อผสานเข้ากับดวงจิตกิเลนวารีและกิเลนวายุแล้ว ก็สามารถบุกทะลวงทำให้กองกำลังอสูรแตกกระจายออกไปได้ ซึ่งในศึกครั้งนี้เสี่ยวฉีหลิงเองก็แอบดื่มเหล้าเข้าไป ทำให้เขาใช้วรยุทธกิเลนร่ำสุราในการต่อสู้ เสี่ยวหนีเสิ่นเองก็ได้แต่ถอนหายใจที่เสี่ยวฉีหลิงขัดคำสั่งอาจารย์

          ทางด้านเซียงตังและสหายของเขา ก็สามารถสังหารพวกอสูรไปได้นับพันตนเช่นกัน แม้ว่าพวกเขาจะเป็นกองกำลังเล็ก ๆ แต่ความสามารถของพวกเขาก็มิได้ด้อยไปกว่ากองกำลังขนาดใหญ่เลยแม้แต่น้อย

          กองกำลังของนิกายพิทักษ์สวรรค์ที่มีกั้วหวางเทียนเป็นผู้นำอยู่นั้น เนื่องจากเขาได้รับการถ่ายทอดวรยุทธจากหลี่ชิงอวิ๋น จึงทำให้เขาเป็นยอดฝีมือด้านการใช้ดาบ ซึ่งเขาก็สามารถตัดคอพวกอสูรไปได้นับร้อยตนด้วยตัวคนเดียว

          เหล่ากองกำลังอสูร กองกำลังเส้นทางสวรรค์ และกองกำลังเสียงเร้นลับทีเป็นกองกำลังดั้งเดิมของเนี่ยลี่และสหาย ต่างก็ต่อสู้โดยที่ไม่ยอมให้น้อยหน้ากองกำลังอื่น ๆ ซึ่งพวกเขาก็ไม่ทำให้พวกเนี่ยลี่และสหายผิดหวังเลยแม้แต่น้อย

          ส่วนกองกำลังนักรบสวรรค์ของลู่เพียวนั้น เนื่องจากเป็นกองกำลังเดิมของนิกายเทพสมุทร ดังนั้นจึงมีความเชี่ยวชาญในการรบอยู่แล้ว แม้ว่าจะไม่มีลู่เพียวบัญชาการ พวกเขาก็สามารถต่อสู้ได้สมกับชื่อนักรบสวรรค์

          ทางด้านปรมาจารย์ที่เป็นที่ปรึกษาของนิกายศักดิ์สิทธิ์ ต่างก็ต่อสู้สุดกำลัง มีเพียงปรมาจารย์อินเยวี่ยที่ได้รับบาดเจ็บจากใช้ใช้พลังก่อนหน้านี้ จึงต้องพาไปรักษาตัว แต่หลังจากที่พลังเริ่มฟื้นกลับมาแล้ว นางก็เข้าร่วมการต่อสู้ครั้งนี้อีกครั้ง แม้จะเป็นเหล่ายอดฝีมือที่แก่ชรา แต่ฝีมือของพวกเขาก็หาได้ด้อยกว่าคนหนุ่มสาวไม่

          ปรมาจารย์เทียนอวิ๋นเองที่ใช้พลังไปไม่น้อยในการ เปลี่ยนสีของก้อนเมฆ ทำให้เขาต่อสู้ได้ไม่สะดวกนัก แต่ด้วยความช่วยเหลือของสหายที่เป็นห้าผู้ยิ่งใหญ่แห่งนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ ก็ทำให้เขาสามารถร่วมต่อสู้ต่อไปได้

          กองกำลังของชนเผ่าดั้งเดิมของอาณาจักรธาราสวรรค์เอง พวกเขาเองก็มีฝีมือที่สูงส่งนัก จึงไม่แปลกที่ในตอนแรกเขาจะต่อต้านเมื่อเห็นเนี่ยลี่ แต่เมื่อได้รับรู้ถึงความแข็งแกร่งของเนี่ยลี่แล้ว พวกเขาก็ไร้ซึ่งความสงสัย และร่วมมือในการต่อสู้โดยที่ไร้ข้อโต้แย้งอีกต่อไป

          เมื่อสามารถกำจัดกองกำลังอสูรได้จนหมดแล้ว ทุกคนอย่างนั่งพักด้วยความอ่อนแรง ศึกในครั้งนี้มีเพียงแค่คนที่ได้รับบาดเจ็บเท่านั้น ไม่มีผู้ที่ต้องสละชีวิตดั่งที่เนี่ยลี่ได้หวังเอาไว้ เอียจื่ออวิ๋น เซี่ยวหนิงเอ๋อ และเซี่ยวซุ่ยแม้จะสูญเสียพลังไปไม่น้อย แต่พวกนางก็ไม่คิดที่จะหยุดพัก เนื่องจากพวกนางรู้สึกเป็นห่วงพวกเนี่ยลี่ พวกนางจึงรีบมุ่งหน้าไปยังประตูเมฆาทันที ซึ่งจางหมิงและ เว่ยหนานก็รีบตามไปเช่นกัน

          ซูเซียงจิ้งยังคงนั่งถ่ายทอดพลังสวรรค์เพื่อเปิดเส้นทางเอาไว้ เขาลืมตาขึ้นเมื่อเห็นว่าพวกเอียจื่ออวิ๋นมุ่งหน้ามาหาเขา

          “ซูเซียงจิ้งนี่เจ้าทำบ้าอันใดกัน การทำเช่นนี้เป็นการสิ้นเปลืองพลังสวรรค์ไม่น้อย หากพลังสวรรค์หมดไปเจ้าอาจจะต้องเสียชีวิตก็เป็นได้” จางหมิงพูดขึ้นมาเมื่อเห็นสิ่งที่ซูเซียงจิ้งทำอยู่

          “หากเขาไม่ทำเช่นนี้ เส้นทางก็จะปิดลงซึ่งจะทำให้พวกเนี่ยลี่ไม่อาจผ่านกลับมาได้” เว่ยหนานอธิบาย เขานั้นเรียนรู้ที่นิกายเทพไร้ลักษณ์กับซูเซียงจิ้ง เขาจึงมีความรู้เรื่องนี้อยู่บ้าง เขาจึงไม่รู้สึกแปลกใจเท่าใดนัก

          “พวกข้าต้องการตามไปช่วยเหลือเนี่ยลี่” เอียจื่ออวิ๋นพูดด้วยความร้อนใจ

          “พวกเจ้าไปกันเถิด ข้าจะเปิดเส้นทางนี้ไว้จนกว่าพวกเจ้าจะกลับมา เนี่ยลี่ ตู่ซื่อ ลู่เพียว เองก็เชื่อเช่นนั้น ข้าจะไม่ทำให้พวกเขาต้องผิดหวัง” ซูเซียงจิ้งตอบกลับไป และเริ่มหลับตาลงอีกครั้ง

          “ด้วยพลังของซูเซียงจิ้งอาจจะเป็นไปไม่ได้ แต่พวกข้าจะช่วยถ่ายทอดพลังสวรรค์ให้เขาอีกแรง” จางหมิงและเว่ยหนานพูดขึ้นมา พร้อมกับนั่งลงเบื้องหน้าซูเซียงจิ้ง และถ่ายทอดพลังสวรรค์ผ่านฝ่ามือของพวกเขา

          ซูเซียงจิ้งนั่งสมาธิโดยการยื่นฝ่ามือทั้งสองมาด้านหน้า เว่ยหนานใช้มือซ้ายของเขาประสานกับมือขวาของซูเซียงจิ้ง ส่วนจางหมิงใช้มือขวาของเขาประสานเข้ากับมือซ้ายของซูเวียงจิ้ง ส่วนมือที่เหลือของเว่ยหนานและจางหมิงก็ประสานกันเอง ทำให้พลังสวรรค์โครจรผ่านร่างทั้งสาม ราวกับว่าเป็นร่างเดียวกัน เมื่อพลังทั้งสามประสานเป็นหนึ่ง ก็ทำให้มีพลังสวรรค์มากพอในการเปิดเส้นทางเอาไว้ แต่พวกเขาก็รู้ดีว่า คงไม่อาจที่จะเปิดเส้นทางนี้ได้ตลอดไปเป็นแน่ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น

          เมื่อเห็นเช่นนั้นเอียจื่ออวิ๋น เซี่ยวหนิงเอ๋อ และเซี่ยวซุ่ยจึงเดินทางผ่านเส้นทางที่ซูเซียงจิ้งทำไว้ ส่วนหมิงเยี่ยวู่ซวงนั้น เนื่องจากนางมีระดับพลังที่ต่ำกว่าทั้งสามคน นางจึงแทบไม่มีแรงที่จะลุกขึ้นยืนเสียด้วยซ้ำ

          เนี่ยลี่และคนอื่น ๆ ที่มุ่งหน้าไปยังตำหนัก ก็พบกับกับดักอยู่เป็นจำนวนมาก แม้ว่าจะเคยผ่านมาแล้ว แต่ก็ไม่มีเส้นทางอื่นให้หลบเลี่ยง ดังนั้นการเดินทางไปจนถึงใจกลางของตำหนักนั้นเป็นไปอย่างล่าช้า แต่นั่นก็ทำให้พวกเอียจื่ออวิ๋นตามมาได้ทัน ซึ่งระหว่างที่พวกนางรีบตามมานั้น พวกนางก็พยายามฟื้นพลังที่สูญเสียไปคืนมา

          ในที่สุดก็มาถึงห้องโถงใหญ่ของตำหนักพร้อม ๆ กัน นอกเหนือไปจากทางที่ผ่านเข้ามา เบื้องหน้าของพวกเขามีประตูอยู่อีกสิบบาน ที่ส่องแสงประกายราวกับท้าทายให้ผู้ที่ได้มาพบให้เปิดเข้าไป

          “นี่คือตำหนักสิบวิถี มีเส้นทางอยู่สิบเส้นทางที่พวกเจ้าต้องผ่านเข้าไป ซึ่งปลายทางของเส้นทางทั้งสิบเส้นทางนี้ จะเป็นที่พำนักของบริวารแห่งเทพทั้งสิบ เมื่อพวกเจ้าสามารถสังหารบริวารแห่งเทพและทำลายที่พำนักทั้งสิบได้ เส้นทางที่จะไปยังตำหนักของจักรพรรดิปราชญ์ก็จะเปิดออก ในแต่ละเส้นทางสามารถผ่านไปได้เพียงคนเดียวเท่านั้น” จอมมารพูดขึ้นมา เขานั้นก็รู้จักตำหนักนี้เป็นอย่างดี แต่เขาก็ไม่เชื่อมั่นในกำลังเหล่าสหายของเนี่ยลี่ 

          “หากไม่นับเนี่ยลี่ และผู้กลับชาติมาเกิดทั้งหก พวกเราก็มีกันสิบคนพอดี” ลู่เพียวพูดขึ้นมา หลังจากที่นับจำนวนคนดูแล้ว

          “ถ้าเช่นนั้น พวกเราคงต้องแยกกันไปเผชิญหน้ากับบริวารแห่งเทพตามลำพัง” ตู่ซื่อพูดขึ้นมาด้วยความกังวล การที่ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูเพียงลำพัง ทำให้เขาอดที่จะเป็นห่วงคนอื่น ๆ ไม่ได้

          “บริวารแห่งเทพนั้น หากข้าคาดไม่ผิด พวกเขาคงจะมีความแข็งแกร่งระดับขอบเขตแห่งพระเจ้าขั้นที่หกขึ้นไป ด้วยระดับพลังของพวกเราในตอนนี้ คงจะไม่ห่างชั้นกันเท่าใดนัก” กู้เบ่ยพูดแทรกขึ้นมา

          “เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกข้าเอง พวกเจ้าจงเตรียมการที่จะรับมือกับจักรพรรดิปราชญ์ดีกว่า อย่าได้กังวลในเรื่องนี้” หลี่ชิงอวิ๋นพูดพร้อมกับมุ่งหน้าไปยังประตูบานบานหนึ่งโดยที่ไม่มีความลังเลเลยแม้แต่น้อย

          “พวกเรามาไกลเกินกว่าที่จะถอยกลับไปแล้ว” หลงยู่อินพูดพร้อมกับเดินไปยังประตูอีกบาน
          “เมื่อศึกครั้งนี้จบลง พวกเราจะมาดื่มฉลองด้วยกัน ดังนั้น จงรักษาชีวิตเอาไว้ ห้ามตายโดยเด็ดขาย!” เนี่ยลีพูดออกไปขณะที่ทุกคนมุ่งหน้าไปยังประตูที่ตนเองเลือก เขานั้นทำได้เพียงแต่เชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของสหายเท่านั้น

          “เมื่อจบศึกในครั้งนี้ พวกเราจะมาพูดเรื่องการแต่งของพวกเรา” เอียจื่ออวิ๋นพูดขณะที่หันหลังอยู่ หากเนี่ยลี่เห็นใบหน้าของนางในตอนนี้เขาจะต้องหัวเราะออกมาเป็นแน่ เป็นเพราะใบหน้าของนางกลายเป็นสีแดงก่ำ ไปจนถึงคอของนาง

          “ข้าก็เช่นกัน” เซี่ยวหนิงเอ๋อก็หันหลังพูดด้วยท่าทีที่ไม่ต่างกัน

          “ฮวาหั่ว เจ้าจงระวังตัวด้วย” ตู่ซื่อพูดพร้อมกับเปิดประตูอีกบาน

          “หลังจากจบศึกในครั้งนี้ข้าจะมีลูกกับเจ้าสักสิบคน อย่าตายนะ” ลู่เพียวพูดพร้อมกับรีบเปิดประตูเข้าไป

          “ลู่เพียวเจ้าคนบ้า ข้าจะมีลูกให้เจ้า จนเจ้าเลี้ยงไม่ไหว คอยดูเถอะอย่ามาบ่นข้าในภายหลังนะ” เซี่ยวซุ่ยพูดขณะที่น้ำตาของนางไหลออกมาโดยที่ไม่รู้ตัว ตอนที่นางเปิดประตูอีกบานเข้าไป

          ฮวาหั่วทำได้เพียงแค่ยิ้ม นางรู้ดีว่าตู่ซื่อนั้นเป็นห่วงนางแค่ไหน แต่นางเองก็เป็นชาวยุทธ การที่จะให้ล่าถอยจากศึกที่อย่เบื้องหน้า นางนั้นก็ไม่อาจที่จะทำได้เป็นแน่

          “เจ้าในชาติภพนี้มีสหายที่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก” เทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงกล่าวชื่นชม สหายของเนี่ยลี่ทุกคนต่างยินดีที่จะต่อสู้เพื่อเปิดเส้นทางให้เนี่ยลี่ได้ไปต่อสู้กับจักรพรรดิปราชญ์ โดยที่ไม่เรียกร้องสิ่งใด ทำให้เขาอดที่จะกล่าวชื่นชมไม่ได้

          เมื่อทั้งสิบคนเดินผ่านประตูเข้าไป ประตูทั้งสิบก็ค่อย ๆ หายไป ซึ่งประตูจะปรากฏอีกครั้งหากพวกเขาสามารถล้มบริวารแห่งเทพได้ หรือไม่ก็ พวกเขาเป็นฝ่ายที่พ่ายแพ้ต่อบริวารแห่งเทพ เนี่ยลี่ก็ได้แต่หวังว่าจะไม่เป็นอย่างหลัง

          “เลิกพูดจาไร้แก่นสารได้แล้ว จากนี้ไปพวกเราต้องเตรียมการที่จะผนึกร่างแยกของจักรพรรดิปราชญ์แล้ว” จอมมารพูดขึ้นมา ขณะที่เริ่มเขียนลวดลายอาคมบนพื้นห้องโถง โดยใช้กระบองสามภพในการเขียนลวดลายขึ้นมา

          ผู้กลับชาติมาเกิดคนอื่น ๆ ก็เริ่มช่วยกันเขียนลวดลายอาคม มีเพียงเนี่ยลี่เท่านั้น ที่ไม่รู้ว่าพวกเขากำลังทำสิ่งใด และดูเหมือนว่าเรื่องนี้เขาจะถูกกีดกันออกไป

ดังนั้น เนี่ยลี่จึงทำได้เพียงนั่งลงและทำการปรับแต่งห้วงขอบเขตวิญญาณของตนเท่านั้น หากเป็นไปได้ เขาก็ต้องการที่จะเพิ่มระดับพลังของตนเอง ให้บรรลุขั้นสูงสุดของระดับขอบเขตแห่งพระเจ้า เพื่อที่จะได้มีพลังที่ทัดเทียมกับจักรพรรดิปราชญ์ แต่เขาก็รู้ดีว่า การที่จะบรรลุขั้นต่อไปนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย

          ร่างแยกของจักรพรรดิปราชญ์นั้น เคยเป็นส่วนหนึ่งของจักรพรรดิปราชญ์ ที่ถูกพวกเขาทั้งหกทำให้ถูกแยกออกมาจากร่างของจักรพรรดิปราชญ์ ซึ่งก็อาจเรียกได้ว่าเป็นคำสาบแช่งจากฟ้าดินก่อนที่พวกเขาจะถูกสังหารในชาติภพแรก หาใช่เป็นร่างแยกที่ถูกสร้างมาจากความตั้งใจของจักรพรรดิปราชญ์ไม่ ซึ่งจักรพรรดิปราชญ์เองก็มีความตั้งใจที่จะดูดกลืนร่างแยกทั้งหกของเขากลับเข้าสู่ร่าง แต่ไม่มีผู้ใดที่จะสามารถทำลายคำสาบแช่งจากฟ้าดินได้ เว้นแต่คนผู้นั้นจะกลายเป็นเทพเอง นั่นจึงเป็นอีกเหตุผลที่จักรพรรดิปราชญ์ไม่อาจที่จะใช้พลังควบคุมห้วงเวลาได้ดั่งใจ และทำให้จักรพรรดิปราชญ์มุ่งมั่นที่จะเป็นเทพแห่งการเวลาให้ได้ เพื่อที่จะดูดกลืนร่างแยกของเขากลับมาคืนมา

          พวกเขาทั้งหกจะใช้ลวดลายอาคมในการเรียกร่างแยกทั้งหกของจักรพรรดิปราชญ์ให้ปรากฏ จากนั้นก็จะผนึกร่างแยกทั้งหกด้วยกระดูกมนตรา หากทำสำเร็จความสามารถในการควบคุมห้วงเวลาของจักรพรรดิปราชญ์ก็จะสลายไป

          แต่การที่จะผนึกร่างแยกทั้งหมดโดยสมบูรณ์นั้นจำเป็นต้องใช้อีกสิ่งหนึ่งร่วมกับกระดูกมนตรา ซึ่งเนี่ยลี่มิได้รู้ในเรื่องนี้มาก่อน เนื่องจากในชาติภพที่แล้วเหล่าผู้กลับชาติมาเกิดได้ผนึกร่างแยกของจักรพรรดิปราชญ์ขณะที่เนี่ยลี่ต่อสู้อยู่ และดูเหมือนว่าพวกเขาจะเก็บงำเรื่องนี้ไม่ให้เนี่ยลี่รู้อีกด้วย

          เมื่อเขียนลวดลายอาคมเสร็จแล้ว พวกเขาก็นั่งลงไปที่ตำแหน่งทั้งหกของลวดลายอาคมเหล่านั้น และเมื่อถ่ายทอดลมปราณของทั้งหกคนลงไป ลวดลายอาคมก็เริ่มมแสงปรากฏขึ้น ลวดลายอาคมนี้จำเป็นที่จะต้องใช้เวลาในการทำให้สมบูรณ์หลายชั่วยาม บางทีการต่อสู้ของทั้งสิบคนอาจจะจบลงก่อนก็เป็นได้ เรื่องนี้ทั้งหกคนก็ไม่อาจทราบได้…………….จบตอน
         
         

แต่งโดย นายมะพร้าว



เมนู นิยาย ล่าง

เมนู มังงะ ล่าง