ในตอนนี้ในกลุ่มของเนี่ยลี่มีเพียง
ผู้กลับชาติมาเกิดทั้งหก ตู่ซื่อ ลู่เพียว กู้เบ่ย หลี่ชิงอวิ๋น หลงยู่อิน ฮวาหั่ว
และเซี่ยวหยู่ เท่านั้น พวกเขามุ่งหน้าไปยังตำหนักสีขาวที่มองเห็นอยู่ห่างออกไป เนี่ยลี่นั้นจดจำตำหนักที่อยู่เบื้องหน้าได้
เพราะเขาเองก็เคยบุกผ่านตำหนักนี้เมื่อในชีวิตที่แล้วมาครั้งหนึ่ง
ทางด้านนอกนั้น
การต่อสู้ยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง
กองกำลังของมนุษย์สามารถสังหารกองกำลังของสรูไปได้โดยไม่ลำบากเท่าใดนัก
เนื่องจากกองกำลังอสูร ถูกท่วงทำนองสยบอสูรปิดกั้นพลังเอาไว้ทำให้ชัยชนะเป็นของฝ่ายมนุษย์
การเผชิญหน้ากับกองกำลังอสูรที่ถูกปิดกั้นพลังเอาไว้
ทำให้ไหไห่ ที่ใช้หอกเทพสมุทรต่อสู้ได้ไม่ยากนัก
ทุกครั้งที่ตวัดหอกก็จะบังเกิดคลื่นน้ำเสริมพลังในการโจมตีของไหไห่ให้รุนแรงมากยิ่งขึ้น
เสี่ยวฉีหลิงและเสี่ยวหนีเสิ่นนั้นเมื่อผสานเข้ากับดวงจิตกิเลนวารีและกิเลนวายุแล้ว
ก็สามารถบุกทะลวงทำให้กองกำลังอสูรแตกกระจายออกไปได้
ซึ่งในศึกครั้งนี้เสี่ยวฉีหลิงเองก็แอบดื่มเหล้าเข้าไป
ทำให้เขาใช้วรยุทธกิเลนร่ำสุราในการต่อสู้ เสี่ยวหนีเสิ่นเองก็ได้แต่ถอนหายใจที่เสี่ยวฉีหลิงขัดคำสั่งอาจารย์
ทางด้านเซียงตังและสหายของเขา
ก็สามารถสังหารพวกอสูรไปได้นับพันตนเช่นกัน แม้ว่าพวกเขาจะเป็นกองกำลังเล็ก ๆ
แต่ความสามารถของพวกเขาก็มิได้ด้อยไปกว่ากองกำลังขนาดใหญ่เลยแม้แต่น้อย
กองกำลังของนิกายพิทักษ์สวรรค์ที่มีกั้วหวางเทียนเป็นผู้นำอยู่นั้น
เนื่องจากเขาได้รับการถ่ายทอดวรยุทธจากหลี่ชิงอวิ๋น
จึงทำให้เขาเป็นยอดฝีมือด้านการใช้ดาบ
ซึ่งเขาก็สามารถตัดคอพวกอสูรไปได้นับร้อยตนด้วยตัวคนเดียว
เหล่ากองกำลังอสูร
กองกำลังเส้นทางสวรรค์ และกองกำลังเสียงเร้นลับทีเป็นกองกำลังดั้งเดิมของเนี่ยลี่และสหาย
ต่างก็ต่อสู้โดยที่ไม่ยอมให้น้อยหน้ากองกำลังอื่น ๆ
ซึ่งพวกเขาก็ไม่ทำให้พวกเนี่ยลี่และสหายผิดหวังเลยแม้แต่น้อย
ส่วนกองกำลังนักรบสวรรค์ของลู่เพียวนั้น
เนื่องจากเป็นกองกำลังเดิมของนิกายเทพสมุทร
ดังนั้นจึงมีความเชี่ยวชาญในการรบอยู่แล้ว แม้ว่าจะไม่มีลู่เพียวบัญชาการ
พวกเขาก็สามารถต่อสู้ได้สมกับชื่อนักรบสวรรค์
ทางด้านปรมาจารย์ที่เป็นที่ปรึกษาของนิกายศักดิ์สิทธิ์
ต่างก็ต่อสู้สุดกำลัง
มีเพียงปรมาจารย์อินเยวี่ยที่ได้รับบาดเจ็บจากใช้ใช้พลังก่อนหน้านี้
จึงต้องพาไปรักษาตัว แต่หลังจากที่พลังเริ่มฟื้นกลับมาแล้ว
นางก็เข้าร่วมการต่อสู้ครั้งนี้อีกครั้ง แม้จะเป็นเหล่ายอดฝีมือที่แก่ชรา
แต่ฝีมือของพวกเขาก็หาได้ด้อยกว่าคนหนุ่มสาวไม่
ปรมาจารย์เทียนอวิ๋นเองที่ใช้พลังไปไม่น้อยในการ
เปลี่ยนสีของก้อนเมฆ ทำให้เขาต่อสู้ได้ไม่สะดวกนัก
แต่ด้วยความช่วยเหลือของสหายที่เป็นห้าผู้ยิ่งใหญ่แห่งนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์
ก็ทำให้เขาสามารถร่วมต่อสู้ต่อไปได้
กองกำลังของชนเผ่าดั้งเดิมของอาณาจักรธาราสวรรค์เอง
พวกเขาเองก็มีฝีมือที่สูงส่งนัก
จึงไม่แปลกที่ในตอนแรกเขาจะต่อต้านเมื่อเห็นเนี่ยลี่
แต่เมื่อได้รับรู้ถึงความแข็งแกร่งของเนี่ยลี่แล้ว พวกเขาก็ไร้ซึ่งความสงสัย
และร่วมมือในการต่อสู้โดยที่ไร้ข้อโต้แย้งอีกต่อไป
เมื่อสามารถกำจัดกองกำลังอสูรได้จนหมดแล้ว
ทุกคนอย่างนั่งพักด้วยความอ่อนแรง
ศึกในครั้งนี้มีเพียงแค่คนที่ได้รับบาดเจ็บเท่านั้น
ไม่มีผู้ที่ต้องสละชีวิตดั่งที่เนี่ยลี่ได้หวังเอาไว้ เอียจื่ออวิ๋น
เซี่ยวหนิงเอ๋อ และเซี่ยวซุ่ยแม้จะสูญเสียพลังไปไม่น้อย แต่พวกนางก็ไม่คิดที่จะหยุดพัก
เนื่องจากพวกนางรู้สึกเป็นห่วงพวกเนี่ยลี่ พวกนางจึงรีบมุ่งหน้าไปยังประตูเมฆาทันที
ซึ่งจางหมิงและ เว่ยหนานก็รีบตามไปเช่นกัน
ซูเซียงจิ้งยังคงนั่งถ่ายทอดพลังสวรรค์เพื่อเปิดเส้นทางเอาไว้
เขาลืมตาขึ้นเมื่อเห็นว่าพวกเอียจื่ออวิ๋นมุ่งหน้ามาหาเขา
“ซูเซียงจิ้งนี่เจ้าทำบ้าอันใดกัน
การทำเช่นนี้เป็นการสิ้นเปลืองพลังสวรรค์ไม่น้อย หากพลังสวรรค์หมดไปเจ้าอาจจะต้องเสียชีวิตก็เป็นได้”
จางหมิงพูดขึ้นมาเมื่อเห็นสิ่งที่ซูเซียงจิ้งทำอยู่
“หากเขาไม่ทำเช่นนี้
เส้นทางก็จะปิดลงซึ่งจะทำให้พวกเนี่ยลี่ไม่อาจผ่านกลับมาได้” เว่ยหนานอธิบาย
เขานั้นเรียนรู้ที่นิกายเทพไร้ลักษณ์กับซูเซียงจิ้ง
เขาจึงมีความรู้เรื่องนี้อยู่บ้าง เขาจึงไม่รู้สึกแปลกใจเท่าใดนัก
“พวกข้าต้องการตามไปช่วยเหลือเนี่ยลี่”
เอียจื่ออวิ๋นพูดด้วยความร้อนใจ
“พวกเจ้าไปกันเถิด
ข้าจะเปิดเส้นทางนี้ไว้จนกว่าพวกเจ้าจะกลับมา เนี่ยลี่ ตู่ซื่อ ลู่เพียว
เองก็เชื่อเช่นนั้น ข้าจะไม่ทำให้พวกเขาต้องผิดหวัง” ซูเซียงจิ้งตอบกลับไป
และเริ่มหลับตาลงอีกครั้ง
“ด้วยพลังของซูเซียงจิ้งอาจจะเป็นไปไม่ได้
แต่พวกข้าจะช่วยถ่ายทอดพลังสวรรค์ให้เขาอีกแรง” จางหมิงและเว่ยหนานพูดขึ้นมา
พร้อมกับนั่งลงเบื้องหน้าซูเซียงจิ้ง และถ่ายทอดพลังสวรรค์ผ่านฝ่ามือของพวกเขา
ซูเซียงจิ้งนั่งสมาธิโดยการยื่นฝ่ามือทั้งสองมาด้านหน้า
เว่ยหนานใช้มือซ้ายของเขาประสานกับมือขวาของซูเซียงจิ้ง
ส่วนจางหมิงใช้มือขวาของเขาประสานเข้ากับมือซ้ายของซูเวียงจิ้ง
ส่วนมือที่เหลือของเว่ยหนานและจางหมิงก็ประสานกันเอง
ทำให้พลังสวรรค์โครจรผ่านร่างทั้งสาม ราวกับว่าเป็นร่างเดียวกัน เมื่อพลังทั้งสามประสานเป็นหนึ่ง
ก็ทำให้มีพลังสวรรค์มากพอในการเปิดเส้นทางเอาไว้ แต่พวกเขาก็รู้ดีว่า
คงไม่อาจที่จะเปิดเส้นทางนี้ได้ตลอดไปเป็นแน่ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น
เมื่อเห็นเช่นนั้นเอียจื่ออวิ๋น
เซี่ยวหนิงเอ๋อ และเซี่ยวซุ่ยจึงเดินทางผ่านเส้นทางที่ซูเซียงจิ้งทำไว้
ส่วนหมิงเยี่ยวู่ซวงนั้น เนื่องจากนางมีระดับพลังที่ต่ำกว่าทั้งสามคน
นางจึงแทบไม่มีแรงที่จะลุกขึ้นยืนเสียด้วยซ้ำ
เนี่ยลี่และคนอื่น
ๆ ที่มุ่งหน้าไปยังตำหนัก ก็พบกับกับดักอยู่เป็นจำนวนมาก แม้ว่าจะเคยผ่านมาแล้ว
แต่ก็ไม่มีเส้นทางอื่นให้หลบเลี่ยง ดังนั้นการเดินทางไปจนถึงใจกลางของตำหนักนั้นเป็นไปอย่างล่าช้า
แต่นั่นก็ทำให้พวกเอียจื่ออวิ๋นตามมาได้ทัน ซึ่งระหว่างที่พวกนางรีบตามมานั้น
พวกนางก็พยายามฟื้นพลังที่สูญเสียไปคืนมา
ในที่สุดก็มาถึงห้องโถงใหญ่ของตำหนักพร้อม
ๆ กัน นอกเหนือไปจากทางที่ผ่านเข้ามา เบื้องหน้าของพวกเขามีประตูอยู่อีกสิบบาน ที่ส่องแสงประกายราวกับท้าทายให้ผู้ที่ได้มาพบให้เปิดเข้าไป
“นี่คือตำหนักสิบวิถี
มีเส้นทางอยู่สิบเส้นทางที่พวกเจ้าต้องผ่านเข้าไป ซึ่งปลายทางของเส้นทางทั้งสิบเส้นทางนี้
จะเป็นที่พำนักของบริวารแห่งเทพทั้งสิบ เมื่อพวกเจ้าสามารถสังหารบริวารแห่งเทพและทำลายที่พำนักทั้งสิบได้
เส้นทางที่จะไปยังตำหนักของจักรพรรดิปราชญ์ก็จะเปิดออก
ในแต่ละเส้นทางสามารถผ่านไปได้เพียงคนเดียวเท่านั้น” จอมมารพูดขึ้นมา เขานั้นก็รู้จักตำหนักนี้เป็นอย่างดี
แต่เขาก็ไม่เชื่อมั่นในกำลังเหล่าสหายของเนี่ยลี่
“หากไม่นับเนี่ยลี่
และผู้กลับชาติมาเกิดทั้งหก พวกเราก็มีกันสิบคนพอดี” ลู่เพียวพูดขึ้นมา
หลังจากที่นับจำนวนคนดูแล้ว
“ถ้าเช่นนั้น
พวกเราคงต้องแยกกันไปเผชิญหน้ากับบริวารแห่งเทพตามลำพัง”
ตู่ซื่อพูดขึ้นมาด้วยความกังวล การที่ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูเพียงลำพัง
ทำให้เขาอดที่จะเป็นห่วงคนอื่น ๆ ไม่ได้
“บริวารแห่งเทพนั้น
หากข้าคาดไม่ผิด พวกเขาคงจะมีความแข็งแกร่งระดับขอบเขตแห่งพระเจ้าขั้นที่หกขึ้นไป
ด้วยระดับพลังของพวกเราในตอนนี้ คงจะไม่ห่างชั้นกันเท่าใดนัก”
กู้เบ่ยพูดแทรกขึ้นมา
“เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกข้าเอง
พวกเจ้าจงเตรียมการที่จะรับมือกับจักรพรรดิปราชญ์ดีกว่า อย่าได้กังวลในเรื่องนี้”
หลี่ชิงอวิ๋นพูดพร้อมกับมุ่งหน้าไปยังประตูบานบานหนึ่งโดยที่ไม่มีความลังเลเลยแม้แต่น้อย
“พวกเรามาไกลเกินกว่าที่จะถอยกลับไปแล้ว”
หลงยู่อินพูดพร้อมกับเดินไปยังประตูอีกบาน
“เมื่อศึกครั้งนี้จบลง
พวกเราจะมาดื่มฉลองด้วยกัน ดังนั้น จงรักษาชีวิตเอาไว้ ห้ามตายโดยเด็ดขาย!” เนี่ยลีพูดออกไปขณะที่ทุกคนมุ่งหน้าไปยังประตูที่ตนเองเลือก เขานั้นทำได้เพียงแต่เชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของสหายเท่านั้น
“เมื่อจบศึกในครั้งนี้
พวกเราจะมาพูดเรื่องการแต่งของพวกเรา” เอียจื่ออวิ๋นพูดขณะที่หันหลังอยู่
หากเนี่ยลี่เห็นใบหน้าของนางในตอนนี้เขาจะต้องหัวเราะออกมาเป็นแน่ เป็นเพราะใบหน้าของนางกลายเป็นสีแดงก่ำ
ไปจนถึงคอของนาง
“ข้าก็เช่นกัน”
เซี่ยวหนิงเอ๋อก็หันหลังพูดด้วยท่าทีที่ไม่ต่างกัน
“ฮวาหั่ว
เจ้าจงระวังตัวด้วย” ตู่ซื่อพูดพร้อมกับเปิดประตูอีกบาน
“หลังจากจบศึกในครั้งนี้ข้าจะมีลูกกับเจ้าสักสิบคน
อย่าตายนะ” ลู่เพียวพูดพร้อมกับรีบเปิดประตูเข้าไป
“ลู่เพียวเจ้าคนบ้า
ข้าจะมีลูกให้เจ้า จนเจ้าเลี้ยงไม่ไหว คอยดูเถอะอย่ามาบ่นข้าในภายหลังนะ” เซี่ยวซุ่ยพูดขณะที่น้ำตาของนางไหลออกมาโดยที่ไม่รู้ตัว
ตอนที่นางเปิดประตูอีกบานเข้าไป
ฮวาหั่วทำได้เพียงแค่ยิ้ม
นางรู้ดีว่าตู่ซื่อนั้นเป็นห่วงนางแค่ไหน แต่นางเองก็เป็นชาวยุทธ
การที่จะให้ล่าถอยจากศึกที่อย่เบื้องหน้า นางนั้นก็ไม่อาจที่จะทำได้เป็นแน่
“เจ้าในชาติภพนี้มีสหายที่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก”
เทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงกล่าวชื่นชม สหายของเนี่ยลี่ทุกคนต่างยินดีที่จะต่อสู้เพื่อเปิดเส้นทางให้เนี่ยลี่ได้ไปต่อสู้กับจักรพรรดิปราชญ์
โดยที่ไม่เรียกร้องสิ่งใด ทำให้เขาอดที่จะกล่าวชื่นชมไม่ได้
เมื่อทั้งสิบคนเดินผ่านประตูเข้าไป
ประตูทั้งสิบก็ค่อย ๆ หายไป ซึ่งประตูจะปรากฏอีกครั้งหากพวกเขาสามารถล้มบริวารแห่งเทพได้
หรือไม่ก็ พวกเขาเป็นฝ่ายที่พ่ายแพ้ต่อบริวารแห่งเทพ
เนี่ยลี่ก็ได้แต่หวังว่าจะไม่เป็นอย่างหลัง
“เลิกพูดจาไร้แก่นสารได้แล้ว
จากนี้ไปพวกเราต้องเตรียมการที่จะผนึกร่างแยกของจักรพรรดิปราชญ์แล้ว”
จอมมารพูดขึ้นมา ขณะที่เริ่มเขียนลวดลายอาคมบนพื้นห้องโถง
โดยใช้กระบองสามภพในการเขียนลวดลายขึ้นมา
ผู้กลับชาติมาเกิดคนอื่น
ๆ ก็เริ่มช่วยกันเขียนลวดลายอาคม มีเพียงเนี่ยลี่เท่านั้น ที่ไม่รู้ว่าพวกเขากำลังทำสิ่งใด
และดูเหมือนว่าเรื่องนี้เขาจะถูกกีดกันออกไป
ดังนั้น เนี่ยลี่จึงทำได้เพียงนั่งลงและทำการปรับแต่งห้วงขอบเขตวิญญาณของตนเท่านั้น
หากเป็นไปได้ เขาก็ต้องการที่จะเพิ่มระดับพลังของตนเอง
ให้บรรลุขั้นสูงสุดของระดับขอบเขตแห่งพระเจ้า เพื่อที่จะได้มีพลังที่ทัดเทียมกับจักรพรรดิปราชญ์
แต่เขาก็รู้ดีว่า การที่จะบรรลุขั้นต่อไปนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
ร่างแยกของจักรพรรดิปราชญ์นั้น
เคยเป็นส่วนหนึ่งของจักรพรรดิปราชญ์ ที่ถูกพวกเขาทั้งหกทำให้ถูกแยกออกมาจากร่างของจักรพรรดิปราชญ์
ซึ่งก็อาจเรียกได้ว่าเป็นคำสาบแช่งจากฟ้าดินก่อนที่พวกเขาจะถูกสังหารในชาติภพแรก
หาใช่เป็นร่างแยกที่ถูกสร้างมาจากความตั้งใจของจักรพรรดิปราชญ์ไม่
ซึ่งจักรพรรดิปราชญ์เองก็มีความตั้งใจที่จะดูดกลืนร่างแยกทั้งหกของเขากลับเข้าสู่ร่าง
แต่ไม่มีผู้ใดที่จะสามารถทำลายคำสาบแช่งจากฟ้าดินได้
เว้นแต่คนผู้นั้นจะกลายเป็นเทพเอง นั่นจึงเป็นอีกเหตุผลที่จักรพรรดิปราชญ์ไม่อาจที่จะใช้พลังควบคุมห้วงเวลาได้ดั่งใจ
และทำให้จักรพรรดิปราชญ์มุ่งมั่นที่จะเป็นเทพแห่งการเวลาให้ได้
เพื่อที่จะดูดกลืนร่างแยกของเขากลับมาคืนมา
พวกเขาทั้งหกจะใช้ลวดลายอาคมในการเรียกร่างแยกทั้งหกของจักรพรรดิปราชญ์ให้ปรากฏ
จากนั้นก็จะผนึกร่างแยกทั้งหกด้วยกระดูกมนตรา
หากทำสำเร็จความสามารถในการควบคุมห้วงเวลาของจักรพรรดิปราชญ์ก็จะสลายไป
แต่การที่จะผนึกร่างแยกทั้งหมดโดยสมบูรณ์นั้นจำเป็นต้องใช้อีกสิ่งหนึ่งร่วมกับกระดูกมนตรา
ซึ่งเนี่ยลี่มิได้รู้ในเรื่องนี้มาก่อน เนื่องจากในชาติภพที่แล้วเหล่าผู้กลับชาติมาเกิดได้ผนึกร่างแยกของจักรพรรดิปราชญ์ขณะที่เนี่ยลี่ต่อสู้อยู่
และดูเหมือนว่าพวกเขาจะเก็บงำเรื่องนี้ไม่ให้เนี่ยลี่รู้อีกด้วย
เมื่อเขียนลวดลายอาคมเสร็จแล้ว
พวกเขาก็นั่งลงไปที่ตำแหน่งทั้งหกของลวดลายอาคมเหล่านั้น และเมื่อถ่ายทอดลมปราณของทั้งหกคนลงไป
ลวดลายอาคมก็เริ่มมแสงปรากฏขึ้น
ลวดลายอาคมนี้จำเป็นที่จะต้องใช้เวลาในการทำให้สมบูรณ์หลายชั่วยาม
บางทีการต่อสู้ของทั้งสิบคนอาจจะจบลงก่อนก็เป็นได้
เรื่องนี้ทั้งหกคนก็ไม่อาจทราบได้…………….จบตอน