เบื้องหน้าของพวกเขาเป็นกองกำลังอสูรนับล้าน
และดูเหมือนว่าอสูรเหล่านี้ล้วนมีความแข็งแกร่งระดับขอบเขตแห่งพระเจ้าทั้งหมดอีกด้วย
แม้ว่าอสูรเหล่านี้จะมีความแข็งแกร่งต่ำกว่าระดับขอบเขตแห่งพระเจ้าขั้นที่ห้า แต่ก็ยังเหนือกว่ากองกำลังของมนุษย์อย่างเห็นได้ชัด
“จากนี้ไปเป็นหน้าที่ของข้า”
ปรมาจารย์อินเยวี่ย เดินออกไปเบื้องหน้า นางจะเป็นผู้เปิดฉากสงครามในครั้งนี้เอง
ปรมาจารย์อินเยวี่ยนำขลุ่ยหยกของนางออกมา
และนำมาประทับตรงริมฝีปากของนาง นางเริ่มเป่าลมหายใจเข้าไปอย่างแผ่วเบา
เสียงขลุ่ยของนางกังวาลออกไป ท่วงทำนองที่เป่าออกมาทำให้พวกอสูรเคลื่อนไหวได้ลำบาก และจะทำให้ระดับพลังของพวกอสูรลดลงลงไปจนถึงขั้นที่ต่ำสุดของระดับ
นี่คือท่วงทำนองสยบอสูร เป็นท่วงทำนองที่ร้ายกาจยิ่งนัก
แต่จะใช้ได้ผลกับอสูรที่ได้ยินท่วงทำนองนี้เท่านั้น [ระยะที่เสียงเดินทางไปได้ ไม่ไกลเท่าใดนัก]
“สนามรบกว้างใหญ่เกินไป
หากอยู่ในตำแหน่งนี้คงไม่ได้ผลมากนัก ข้าต้องการเข้าไปยังใจกลางสมรภูมิรบ” ปรมาจารย์อินเยวี่ยหยุดเป่าขลุ่ยและหันมาบอกกับเนี่ยลี่
“ให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง”
เสวียนอวี่พูดขึ้นมาและเตรียมสั่งการให้ชนเผ่าเมฆาสวรรค์บุกโจมตี
ในตอนนี้กองกำลังอสูรยังคงไม่มีการเคลื่อนไหว
เพราะต้องรอคำสั่งจากบริวารแห่งเทพเช่นกัน
“ฆ่าพวกมันให้หมด!” เสียงของบริวารแห่งเทพดังขึ้นมา
กองกำลังอสูรจึงเคลื่อนทัพเข้ามาพร้อมกันทันที
ทำให้กองกำลังของมนุษย์ต้องเตรียมรับมือ แต่ทุกคนก็ยังคงรอคำสั่งโจมตีเช่นกัน
“เสวียนอวี่รอก่อน
ข้าจะเปิดทางให้เอง จินตานโจมตีเข้าไปตรงกลาง”
เนี่ยลี่ยกมือห้ามเสวียนอวี่และสั่งการให้จินตานเริ่มโจมตีทันที
“คูล
คูล”
จินตานร้องพร้อมกับสยายปีกออก
และบินขึ้นไปด้านบน
จากนั้นก็พ่นเปลวไฟอันร้อนแรงไปยังกองกำลังอสูรที่พุ่งเข้าอย่างไม่คิดชีวิต
พวกอสูรที่ถูกเปลวเพลิงของจินตานนั้นถูกเผาไหม้ไปในทันทีหลายร้อยตน
ทำให้ตรงส่วนกลางมีช่องว่าง
เนี่ยลี่จึงให้สัญญาณเสวียนอวี่ให้บุกเข้าไปจากเส้นทางที่จินตานเปิดเอาไว้ให้
“ชนเผ่าเมฆาสวรรค์จะเปิดทางให้เอง
จากนั้นคนที่เหลือให้ตามหลังพวกข้ามา” เสวียนอวี่
กลายเป็นทัพหน้าที่บุกจู่โจมเข้าไป โดยมีปรมาจารย์อินเยวี่ยตามหลังไปพร้อมกับเป่าท่วงทำนองสยบอสูร
แม้ว่าจะได้ผลกับอสูรที่เข้ามาใกล้เท่านั้น แต่ก็ทำให้การบุกของเสวียนอวี่ง่ายขึ้น
ในมือของเสวียนอวี่ถือดาบเอาไว้ทั้งสองข้าง
เขาบุกไปโดยที่ไม่คิดชีวิต นี่คือสิ่งที่เขาจะสามารถตอบแทนน้ำใจของเนี่ยลี่ได้
พวกอสูรที่เข้ามาขวางเส้นทางของเขาถูกสังหารจนกองเป็นภูเขา
เมื่อกองกำลังของชนเผ่าเมฆาสวรรค์เปิดเส้นทางให้
กองกำลังที่เหลือก็บุกตามเข้าไปเป็นกองหนุนทันที
ทำให้สามารถเปิดเส้นทางบุกเข้าไปได้พวกเนี่ยลี่จึงทะยานตามไปทันที
แม้ว่าพวกเขาต้องการที่จะช่วยต่อสู้ แต่ก็ได้ถูกกู้หลาน
และเทพธิดายู่หยานห้ามเอาไว้ โดยพวกนางบอกให้พวกเขาเชื่อใจคนเหล่านั้น
คำพูดของพวกนางนั้นมีความหมายแฝงเอาไว้อย่างชัดเจน
หากทุกคนต้องสูญเสียพลังจากศึกแรก ในศึกต่อไปจะต้องลำบากเป็นแน่
เสวียนอวี่ยังคงนำกองกำลังของชนเผ่าเมฆาสวรรค์บุกทะลวงเข้าไป
ด้วยการต่อสู้ในรูปแบบค่ายกลเมฆาสวรรค์ ทำให้มีการเกื้อหนุนกัน
และผลของท่วงทำนองสยบอสูร ทำให้พวกเขาสามารถสังหารกองกำลังอสูร
และบุกเข้าไปยังใจกลางสมรภูมิรบได้
“ตั้งกองกำลังไว้จรงจุดนี้ยังไม่ต้องฝ่าออกไป”
ปรมาจารย์อินเยวี่ยตะโกนบอกเสวียนอวี่ พร้อมกับรวบรวมลมปราณทั้งหมดเพื่อเป่าท่วงทำนองสยบอสูร
จากจุดที่กองกำลังของมนุษย์อยู่ในตอนนี้
ทำให้เสียงของท่วงทำนองสยบอสูรสามารถกระจายไปได้รอบทิศทาง
ทำให้พวกอสูรถูกกดระดับพลังเอาไว้ แต่ดูเหมือนว่าปรมาจารย์อินเยวี่ย
จะไม่อาจเป่าขลุ่ยหยกไปได้มากกว่านี้แล้ว
“ศัตรูมีจำนวนมากเกินไป
ท่านอาจารย์คงไม่ไหวเป็นแน่”
หมิงเยี่ยวู่ซวงรีบรุดหน้าไปยังตำแหน่งของปรมาจารย์อินเยวี่ย พร้อมกับรีบนำพิณเมฆาสวรรค์
ออกมาบรรเลงท่วงทำนองสยบอสูรร่วมกับปรมาจารย์อินเยวี่ยทันที
ทำให้ท่วงทำนองสยบอสูรนั้นแสดงพลังได้มากยิ่งขึ้น
และส่งเสียงกระจายออกไปไกลกว่าเดิม
“เพื่อชัยชนะในศึกครั้งนี้
และเพื่อไม่ให้มีการสูญเสียเกิดขึ้น พวกข้าจะต่อสู้ในศึกนี้ร่วมกับอาจารย์
พวกเจ้าหาโอกาสรุดหน้าไปก่อน พวกข้าจะเปิดทางให้เอง”
เอียจื่ออวิ๋นหันไปบอกกับเนี่ยลี่ก่อนที่จะทะยานออกไปทันที
“นี่คือศึกของพวกข้า
เมื่อเอาชนะได้แล้วข้าจะตามไปภายหลัง” เซี่ยวหนิงเอ๋อหันมาบอกกับเนี่ยลี่เช่นกัน
เดิมทีเนี่ยลี่คิดจะห้ามพวกนางเอาไว้
แต่เมื่อคิดได้ว่าศึกต่อไปจะต้องพบเจอกับพวกบริวารแห่งเทพ ที่แข็งแกร่งยิ่งกว่านี้
การที่ให้พวกนางต่อสู้ที่นี่ อย่างน้อยก็คงจะปลอดภัยกว่า เขาจึงไม่พูดอันใดออกไป
“ลู่เพียว
อย่าตายนะ!” เซี่ยวซุ่ยกุมมือของลู่เพียวเอาไว้และพูดออกไป
จากนั้นนางก็ทะยานตามทั้งสองคนไป ลู่เพียวทำได้เพียงแค่พยักหน้าตอบรับเท่านั้น
เขาไม่มีถ้อยคำอันใดที่จะเอ่ยออกไปได้
ศิษย์ทั้งสี่ของปรมาจารย์อินเยวี่ยร่วมกับอาจารย์บรรเลงท่วงทำนองสยบอสูร
พิณเมฆาสวรรค์ กู่เจิ้งเสียงสวรรค์ ผีผาคร่าวิญญาณ และหร่วนเทพธิดา
ทำให้เสียงเพลงกระจายไปทั่วสมรภูมิ
อสูรทั้งหมดจึงถูกกดระดับพลังเอาไว้ที่ระดับขอบเขตแห่งพระเจ้าขั้นที่หนึ่งเท่านั้น
แต่เป็นเพราะขลุ่ยหยกของปรมาจารย์อินเยวี่ยนั้นเป็นเพียงขลุ่ยหยกธรรมดา
และระดับพลังของนางนั้นต่ำกว่าศิษย์ทั้งสี่
ด้วยการบรรเลงที่ผสานกันทำให้ขลุ่ยหยกของนางแตกออก และนางก็กระอักเลือดออกมา
ท่วงทำนองสยบอสูรที่ขาดขลุ่ยหยกที่เป็นศูนย์กลาง
ทำให้อานุภาพลดลง
แม้จะเป็นห่วงอาจารย์แต่พวกนางก็ไม่อาจที่จะหยุดบรรเลงท่วงทำนองสยบอสูรได้
เนื่องจากได้เห็นสายตาที่จริงจังของปรมาจารย์อินเยวี่ย แม้จะไม่เอ่ยออกมาเป็นคำพูด
แต่สายตานั้นก็บ่งบอกถึงสิ่งที่นางต้องการเป็นอย่างดี
คือให้บรรเลงท่วงทำนองสยบอสูรต่อไป
เมื่ออานุภาพของท่วงทำนองสยบอสูรลดลง
ทำให้พวกอสูรจู่โจมได้รุนแรงยิ่งขึ้น จางหมิงหันมาพูดกับพวกเนี่ยลี่ทันทีว่า “ดูเหมือนว่าพวกนางจะต้องการความช่วยเหลือจากข้านะ”
จางหมิงนำขลุ่ยหยกสวรรค์ออกมาและทะยานไปหาพวกนางทันที
จางหมิงเริ่มเปล่าขลุ่ยหยกสวรรค์ผสานเข้ากับท่วงทำนองสยบอสูรของทั้งสี่คน
ทำให้อานุภาพของท่วงทำนองสยบอสูรกลับมาสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
และผลของมันทำให้ปิดกั้นพลังของกองกำลังอสูรทั่วทั้งสมรภูมิรบ
“ข้าจะไปช่วยปกป้องพวกเขา
ซูเซียงจิ้งเจ้าจะต้องไปต่อ ข้าเชื่อว่าพลังของเจ้าจะต้องมีประโยชน์กว่าใช้สู้ศึกที่นี่”
เว่ยหนานหันไปบอกกับซูเซียงจิ้ง และทะยานไปหาทั้งห้าคน
“ค่ายกลลูกคิดทองคำ!” เว่ยหนานกระจายลูกคิดทั้งหมดออก และสร้างม่านพลังปกป้องทั้งห้าคนเอาไว้
เพราะดูเหมือนว่าพวกอสูรบางส่วนเริ่มที่จะรับรู้ได้ว่า
พลังที่ถูกปิดกั้นเกิดทางเสียงเพลงที่พวกมันได้ยินไปทั่วทั้งสมรภูมิรบ
เว่ยหนานนั้นค่อยปรับเปลี่ยนตำแหน่งของลูกคิดทองคำตลอดเวลา
เพื่อใช้ในการต้านรับพลังที่พวกอสูรปล่อยออกมา
ทำให้เขาไม่มีช่องว่างที่จะโจมตีสวนกลับไปได้
“ที่นี่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกข้าเอง”
ปรมาจารย์เทียนหั่วแห่งนิกายเทพอัคคี พร้อมกับปรมาจารย์คนอื่น ๆ พูดขึ้นมา
เมื่อเห็นว่ากองกำลังของมนุษย์สามารถต้านรับเอาไว้ได้แล้ว
ที่เหลือคือการเปิดทางให้พวกเนี่ยลี่บุกผ่านไปเท่านั้น
“จินตานเปิดทางบุกไปด้านหน้า”
เนี่ยลี่ตะโกนออกคำสั่งจินตานในทันที
จินตานรีบรวบรวมพลังพ่นไฟเพื่อเปิดเส้นทางอีกครั้ง
ในครั้งนี้เปลวไฟที่จินตานพ่นออกมา เป็นแนวยาวทะลุไปจนฝึกอีกฟากของกองกำลังอสูร
แต่ก็ทำให้จินตานหมดแรงจนร่วงลงมา
เมื่อจินตานเปิดเส้นทางให้
ชนเผ่าเมฆาสวรรค์ที่นำโดยเสวียนอวี่จึงบุกฝ่าเข้าไปทันที
เมื่อสามารถบุดฝ่าไปอีกด้านได้
พวกเขาก็แปรเปลี่ยนสภาพกองกำลังเป็นการป้องกันไม่ให้พวกอสูรบุกตามพวกเนี่ยลี่มา
กองกำลังของมนุษย์ทั้งหมดเริ่มทำการต่อสู้อย่างอิสระ
ไหไห่เองก็บุกฝ่าเข้าไปต่อสู้กับพวกอสูรโดยที่ไม่หวาดเกรงแม้แต่น้อย
เขาพยายามที่จะต่อสู้เพื่อปกป้องพวกเซี่ยวซุ่ยที่บรรเลงท่วงทำนองสยบอสูรอยู่อย่างไม่คิดชีวิต
เซียงตังและสหายของเขาก็เช่นกัน
เขารู้ดีว่าเอียจื่ออวิ๋นและเซี่ยวหนิงเอ๋อนั้นมีความสำคัญต่อศึกในครั้งนี้มากเพียงไหน
ดังนั้นอสูรที่บุกเข้ามาประชิดพวกนางจะต้องถูกพวกเขาสังหารทันที
เสี่ยวฉีหลิงและเสี่ยวหนีเสิ่นเองก็ได้รับคำสั่งจากตู่ซื่อและฮวาหั่ว
ให้ช่วยกันปกป้องพวกจางหมิงและเว่ยหนานเอาไว้ ด้วยวรยุทธกิเลนสวรรค์ของทั้งสองคน
พวกอสูรที่ถูกปิดกั้นพลังเอาไว้ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขา
ปรมาจารย์เทียนหั่วเองก็ใช้ลมปราณสร้างกำแพงไฟล้อมรอบพวกเอียจื่ออวิ๋นเอาไว้
จึงสามารถลดทอนจำนวนศัตรูที่บุกเข้ามาได้
ปรมาจารย์ฮัวฮวาลี่แห่งนิกายร้อยบุพผาสวรรค์นางไปยืนอยู่ท่านกลางพวกอสูรและปล่อยออกไม้ออกไปรอบทิศทาง
ดอกไม้ของนางทะลุทะลวงร่างของอสูรจำทำให้ล้มตายไปนับร้อยตน
ปรมาจารย์ฟู่ชินและปรมาจารย์หมู่ชินแห่งนิกายกำเนิดสวรรค์
เมื่อทั้งสองต่อสู้ร่วมกัน พวกอสูรก็ไม่อาจต่อต้านได้
แม้ว่าวรยุทธที่ใช้จะเป็นเพียงมือเปล่า แต่ก็เรียกได้ว่าไร้เทียมทาน
ปรมาจารย์อู๋เม่าแห่งนิกายเทพไร้ลักษณ์แม้ว่าวรยุทธของเขาจะไม่โดดเด่นนัก
แต่ความสามารถในการสังหารของเขานั้นไม่มีผู้ใดเทียบ ด้วยเทคนิคการลอบสังหารที่เงียบเชียบ
ทำให้พวกอสูรถูกสังหารโดยที่ไม่เห็นตัวเขาเสียด้วยซ้ำ
ส่วนปรมาจารย์ทั้งหาของนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ก็ทำหน้าที่สั่งการรบให้แก่กองกำลังอื่น
ๆ และคอยเข้าไปช่วยเหลือพวกเขา เมื่อพวกอสูรเริ่มบุกเข้ามา
ในสมรภูมิรบยังเต็มไปด้วยความวุ่นวาย
แต่ก็ดูเหมือนว่ากองกำลังของมนุษย์นั้นจะได้เปรียบเป็นอย่างมาก
แม้ว่าจะมีจำนวนที่น้อยกว่าก็ตาม
พวกเนี่ยลี่มุ่งหน้าไปยังก้อนเมฆที่มีลักษณะเป็นประตูขนาดใหญ่
ราวกับภูเขา เมื่อลองใช้มือผลักประตู มือของพวกเขาก็ไม่อาจที่จะสัมผัสกับประตูได้
ราวกับว่าเป็นเพียงก้อนเมฆธรรมดาเท่านั้น
“นี่มันผนึกเมฆาสวรรค์! หากไม่อาจทำลายได้พวกเราก็ไม่อาจที่จะมุ่งหน้าต่อไปได้อีก”
เนี่ยลี่พูดขึ้นมาด้วยความตกใจ ผนึกนี้เป็นผนึกโบราณ แม้ว่าเนี่ยลี่จะรู้วิธีทำลาย
แต่ก็ต้องใช้เวลาไม่น้อยและสิ้นเปลืองพลังเป็นอย่างมาก
“นี่เป็นหน้าที่ของข้า”
ซูเซียงจิ้งเดินไปด้านหน้าพร้อมกับพู่กันสวรรค์ของเขา
ซูเซียงจิ้งเริ่มเขียนลวดลายอาคม
ขึ้นมาบนประตูเมฆนั้น แม้ว่าจะไม่อาจสัมผัสได้
แต่พู่กันสวรรค์ของซูเซียงจิ้งนั้นใช้พลังสวรรค์ของเขาแทนน้ำหมึก จึงสามารถเขียนขึ้นมากลางอากาศได้
“แม้ว่าความสามารถของข้าจะไม่มากพอที่จะทำลายผนึกนี้ได้
แต่แค่การเปิดเส้นทางนั้นก็ไม่เกินกำลังของข้า”
ซูเซียงจิ้งเริ่มนั่งลงกับพื้นและเชื่อมโยงกับลวดลายอาคม
ทำให้เกิดช่องว่างที่กว้างพอที่จะเดินผ่านเข้าไปได้
“ฝึนเปิดเส้นทางด้วยอาคมเช่นนั้นหรือ? แต่หากพลังของเจ้าหมดลงไปก่อนที่พวกข้าจะกลับมา
ประตูนี้ก็จะไม่อาจเปิดขึ้นได้อีกเป็นครั้งที่สอง ข้าจะเชื่อใจเจ้าได้แค่ไหนกัน”
จอมมารพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ดูถูก
เพราะซูเซียงจิ้งนั้นมีพลังอ่อนด้อยกว่าเขาเสียอีก
“จอมมาร
อย่าได้ดูถูกสหายของข้า ซูเซียงจิ้งข้าจะกลับมาให้เร็วที่สุด”
เนี่ยลี่หันไปพูดกับซูเซียงจิ้งก่อนที่จะเดินเข้าไป
เขานั้นไร้ซึ่งความลังเลในตัวเหล่าสหายของเขา ทำให้ทุกคนเดินตามเข้าไป
“ข้าเองก็ไม่รู้ว่าจะทนไปได้นานแค่ไหน? แต่ข้าจะไม่ทำให้เจ้าผิดหวัง” ซูเซียงจิ้งพูดขึ้นมาพร้อมกับใช้พลังของเขาเพื่อเปิดเส้นทางเอาไว้