God of sword and The Woodman บทที่ 2 กระบี่อยู่ที่ใจ
การที่ถูกปฏิเสธเช่นนั้นทำให้เทพกระบี่สวรรค์ทะลายพิภพสยบปฐพี
นั้นเจ็บปวดยิ่งนัก แต่เขาก็คิดได้ว่า เสี่ยวเยว่เป็นเด็กอายุห้าขวบเท่านั้น
คงจะยังไม่เข้าใจเรื่องที่ซับซ้อนมากเกินไป เด็กก็ย่อมเป็นเช่นนั้น
เขาจึงตัดสินใจออกมาจากความฝันและเริ่มทำสมาธิ เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้ตนเอง
การที่เป็นกระบี่นั้นมีข้อดีอย่างยิ่งคือ เขาสามารถทำสมาธิได้
โดยร่างกายไม่มีการเคลื่อนไหว จนผ่านไปอีกหนึ่งปี
เขาสามารถทำให้กระบี่ไม้แผ่ลมปราณออกมาได้เล็กน้อย
ซึ่งทำให้เขาสมารถที่จะขยับตัวได้แม้ว่าจะเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งเขาก็รู้สึกยินดีมากแล้ว
หากเขาเพิ่มพลังลมปราณให้สูงขึ้นได้ บางทีเขาอาจจะเคลื่อนไหวได้
ดั่งใจโดยการใช้ลมปราณก็เป็นได้
ในวันนี้เป็นวันครบรอบวันเกิดปีที่หกของเสี่ยวเยว่ และเป็นคืนเดือนเพ็ญพอดี
เขาจึงตัดสินใจที่จะเข้าไปในความฝันของเสี่ยวเยว่อีกครั้ง
“ท่านอีกแล้วหรือ? มีธุระอันใดกับข้า?”
เสี่ยวเยว่ยังจดจำชายในชุดเกราะสีเงินนี้ได้
เมื่อปีที่แล้วเขาก็เคยฝันเช่นนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง
“ข้าคือเทพกระบี่สวรรค์ทะลายพิภพสยบปฐพี
ข้านั้นสถิตอยู่ในกระบี่ไม้ของเจ้า ข้าต้องการถ่ายทอดเพลงกระบี่ของข้าให้แก่เจ้า
และร่วมมือกันช่วยเหลือพวกมนุษย์ และโลดแล่นในยุทธภพด้วยกัน”
เทพกระบี่สวรรค์ทะลายพิภพสยบปฐพียังคงพูดเช่นเดิม
“ชื่อของท่านยาวเกินไป ข้าจำไม่ได้
จากนี้ไปให้ท่านเรียกตัวเองว่าเทพกระบี่ หาไม่แล้วข้าจะไม่คุยกับท่านอีก”
เสี่ยวเยว่พูดออกไปหลังจากที่พยายามจำชื่อของ เทพกระบี่สวรรค์ทะลายพิภพสยบ
แต่ก็จำไม่ได้เพราะยาวเกินไป
“แต่นามของข้า ท่านเง๊กเซียนฮ่องเต้เป็นผู้ประธานมาให้” เทพกระบี่สวรรค์ทะลายพิภพสยบปฐพีรีบแย้งกลับไป
เขานั้นมีความภูมิใจในชื่อนี้ยิ่งนัก แล้ว
เจ้าเด็กอายุแค่หกขวบจะมาบังคับให้เขาย่อชื่อได้เช่นใดกัน
“ถ้าเช่นนั้น ก็ออกไปจากความฝันของข้าซะ
และในวันพรุ่งนี้ข้าจะเอากระบี่ไม้ที่ท่านสิงอยู่ไปให้ท่านแม่ทำฟืนเสียเลย”
เสี่ยวเยว่หันหลังและพูดออกไป
“ตกลง เจ้าเรียกข้าว่าเทพกระบี่ก็ได้” เทพกระบี่สวรรค์ทะลายพิภพสยบปฐพีจำใจที่จะต้องยอมโดนหั่นชื่อเหลือเพียงแค่สามคำ
หากเหล่าเทพบนสวรรค์ได้รู้เรื่องนี้เขาคงจะต้องอับอายเป็นแน่แท้
“ข้าก็คิดอยู่เสมอว่านามของเทพกระบี่สวรรค์ทะลายพิภพสยบปฐพีนั้นยาวเกินไป
เวลาเรียกทีก็ลำบากยิ่งนัก” เง๊กเซียนฮ่องเต้ที่เฝ้ามองดูเทพกระบี่อยู่พูดขึ้นมา
“แต่ท่านเป็นผู้มอบนามนี้แก่เขาเองมิใช่หรือ?” เจ้าแม่ซีหวังหมู่พูดแย้งขึ้นมา
“ในตอนนั้นข้าคิดขึ้นมาอย่างเร่งรีบ ข้าได้คิดเอาไว้หลายชื่อ
แต่ตอนที่ต้องมอบนามให้แก่เขา ข้าเกิดจำสับสน จึงนำชื่อทั้งหมดมาเรียงร้อยกันแบบมั่ว ๆ และข้าก็เป็นถึงเง๊กเซียนฮ่องเต้
หากมาเปลี่ยนแปลงนามของเขาในภายหลังก็คงไม่เหมาะสมนัก” เง๊กเซียนฮ่องเต้พูดพร้อมกับถอนหายใจ
“มิน่าเล่า นามของเทพองค์อื่น ๆ ที่ท่านเคยประทานให้
ก็ไม่มีนามใดที่ยาวเท่ากับนามของเขามาก่อน
แต่ดูเหมือนว่าเขาจะชื่นชอบนามนี้เป็นอย่างมากนะ” เจ้าแม่ซีหวังหมู่พูดพร้อมกับหัวเราะออกมา
นามของเทพส่วนใหญ่มักจะได้ประทานจากเง๊กเซียนฮ่องเต้ ยามที่ได้ขึ้นมาบนสวรรค์เป็นครั้งแรก
“เพราะชื่อที่เรียกยากของเขานี่แหละ
ข้าจึงไม่ได้มอบหมายงานให้เขามากเท่าใดนัก
จึงทำให้เขารู้สึกเบื่อสวรรค์และก่อเรื่องที่จะลงไปยังโลกมนุษย์เช่นนี้”
เง๊กเซียนฮ่องเต้พูดพร้อมกับหัวเราะขึ้นมาเช่นกัน แม้ว่าจะเป็นการลงโทษ
แต่การที่ต้องจุติลงไปเป็นท่อนไม้ ก็ทำให้พวกเขาเป็นห่วงเทพกระบี่ไม่น้อย
“เทพกระบี่ ข้าเคยบอกท่านแล้วว่า
ข้านั้นต้องการเป็นคนเก็บฟืนที่ยิ่งใหญ่ดั่งท่านพ่อของข้า ท่านจงไปหาคนอื่นแทนเถิด
และออกไปจากกระบี่ไม้ของข้า นี่เป็นกระบี่ที่ท่านพ่อทำให้ข้าในวันที่ข้าเกิด
ท่านไม่มีสิทธิ์ที่จะมาสิงอยู่ในนี้” เสี่ยวเยว่บอกปฏิเสธพร้อมกับไล่ให้
เทพกระบี่ออกไป
“ข้านั้นเป็นท่อนไม้ตั้งแต่ก่อนที่เจ้าจะเกิด
และก่อนที่พ่อของเจ้าจะนำมาทำเป็นกระบี่ให้เจ้าเสียอีก
แล้วข้าจะออกไปจากกระบี่ไม้นี้ได้เช่นใดกัน?” เทพกระบี่แย้งด้วยความไม่พอใจ
“เรื่องนั้นไม่เกี่ยวกับข้า ท่านพ่อของข้าเก็บไม้ท่อนนั้นมา
มันก็ย่อมกลายเป็นของพ่อข้า หากว่าท่านไม่ยินยอม
เหตุใดจึงไม่ห้ามตอนที่พ่อของข้าเก็บท่านมา” เสี่ยวเยว่แย้งกลับไป
“ก็พ่อของเจ้าไม่ได้ยินคำพูดของข้า
จะให้ข้าห้ามพ่อเจ้าได้เช่นใดกัน?” เทพกระบี่โต้เถียงกลับไป
เขารู้สึกเศร้าใจยิ่งนักที่ต้องมาโต้เถียงกับเด็กเช่นนี้
“เมื่อไม่ได้ห้ามให้พ่อของข้าเก็บมา
ก็แปลว่าท่านยินดีที่จะให้พ่อของข้าเก็บ ดังนั้นไม้ท่อนนั้นก็ย่อมเป็นของพ่อข้า
และเมื่อพ่อข้านำมาทำเป็นกระบี่ไม้ให้ข้า มันก็ย่อมกลายเป็นของข้า
ท่านไม่มีสิทธิ์อันใดในกระบี่ไม้เล่มนี้ ดังนั้นจงออกไปจากกระบี่ไม้ของข้าซะ”
เสี่ยวเยว่ชี้ไปที่หน้าของเทพกระบี่และไล่เขาไปอีกครั้ง
เทพกระบี่รู้สึกเหนื่อยที่ต้องโต้เถียงกับเสี่ยวเยว่
การโต้เถียงกับเด็กแม้จะชนะไปก็ไม่เกิดประโยชน์อันใด
“ข้าอยู่ในกระบี่ไม้นั่น ไม่อาจออกไปที่ใดได้
หากต้องการคุยกับข้าเจ้าสามารถเรียกข้าได้ทุกเมื่อ”
เทพกระบี่ทำให้เพียงขอให้เสี่ยวเยว่เชื่อเขาในเรื่องนี้เท่านั้น
“หมายความว่าท่านจะไม่ยอมออกไปจากกระบี่ไม้ของข้า?”
เสี่ยวเยว่พูดด้วยความไม่พอใจ
“ไม่ใช่ว่าไม่ยอมออก แต่ข้าออกไปไม่ได้ กระบี่ไม้นั่นคือร่างกายของข้า
เรื่องง่าย ๆ เช่นนี้ทำไมเจ้าจึงไม่เข้าใจเสียที”
เทพกระบี่เริ่มที่จะคลุ้มคลั่งเขาอธิบายไปเท่าใดแต่ดูเหมือนว่าเสี่ยวเยว่ก็ไม่เข้าใจในเรื่องนี้
“ท่านพูดบ้าอันใดกัน
คนเราจะมีร่างกายเป็นกระบี่ไม้ได้เช่นใดกัน?” เสี่ยวเยว่แย้งกลับไป
“เจ้าฟังข้าให้ดี
ข้านั้นคือเทพกระบี่สวรรค์....ไม่สิข้าคือเทพกระบี่ เป็นเทพที่อยู่บนสวรรค์
เป็นเพราะทำความผิดเล็กน้อยจึงถูกลงโทษโดยการ ส่งให้จุติลงมาเกิดบนโลก
แต่ข้าถูกกลั่นแกล้งให้เกิดมาเป็นท่อนไม้
และพ่อของเจ้าก็เก็บข้ามาและทำเป็นกระบี่ไม้ให้เจ้า” เทพกระบี่พยายามอธิบายให้เข้าใจง่ายที่สุด
“เป็นเทพแต่กลับทำผิด เช่นนั้นท่านก็คงเป็นเทพที่ชั่วร้าย
ข้าจะให้ท่านแม่เอากระบี่ไม้ไปทำฟืน เพื่อกำจัดเทพที่ชั่วร้ายเช่นท่าน” เสี่ยวเยว่ชี้ไปที่เทพกระบี่และพูดออกไป
“ช้าก่อน ข้ามิใช่เทพที่ชั่วร้ายดั่งที่เจ้าคิด
ข้าเป็นเทพฝ่ายดี ที่มีสเน่ห์มากเกินไป ทำให้นางฟ้ามาหลงไหล
เป็นความผิดแค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น บนโลกนี้ก็เรียกว่าคนเจ้าชู้
หาใช่คนชั่วช้าอันใดไม่” เทพกระบี่พยายามอธิบาย
เสี่ยวเยว่ขู่ว่าจะเอาร่างเขาไปทำฟืนหลายครั้ง จนเขาเริ่มหวาดกลัว
“แม่ข้าบอกว่าคนเจ้าชู้คือคนชั่ว และยังบอกข้าอีกว่าข้าจะต้องเป็นคนรักเดียวใจเดียวดั่งท่านพ่อที่มีเพียงแม่ของข้าเท่านั้น”
เสี่ยวเยว่แย้งโดยใช้คำที่ได้ยินแม่ของเขาสั่งสอนมา
“ได้โปรดเชื่อข้า ข้าไม่ใช่เทพที่เลวร้ายอันใด
ได้โปรดอย่านำร่างของข้าไปทำฟืนเลย ข้านั้นต้องทำกุศลเพื่อสร้างบารมี
และจะได้กลับขึ้นสวรรค์
หากร่างข้าถูกเผาไปข้าก็จะไม่มีโอกาสกลับขึ้นไปบนสวรรค์อีกแล้ว”
เทพกระบี่หมดหนทางจึงต้องคุกเข่าขอร้องเสี่ยวเยว่
เขาคิดในใจว่าหากเพิ่มระดับลมปราณให้สูงขึ้นจนเคลื่อนไหวได้ดั่งใจเขาจะต้องหนีไปจากเจ้าเด็กผู้นี้ให้ได้
“เป็นเทพแต่กลับมาคุกเข่าขอร้องข้าเช่นนี้
ท่านคงเป็นเทพชั้นต่ำที่อ่อนแอมากสินะ หากท่านทำตัวดี ๆ ข้าก็จะไม่โยนเข้ากองไฟ”
เสี่ยวเยว่เห็นท่าทีของเทพกระบี่จึงรู้สึกสงสาร แต่เขาก็พูดขู่เอาไว้
เพื่อไม่ให้เทพกระบี่สร้างความวุ่นวาย
เทพกระบี่ได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกเจ็บปวดใจยิ่งนัก
เขานั้นเป็นถึงเทพขั้นสูง ที่เหล่าเซียนต้องนับถือ แต่ในตอนนี้เขากลับต้องมาคุกเข่าให้กับเด็กเช่นนี้
“จริงสิ ท่านบอกว่าตนเองคือเทพกระบี่
หมายความว่าข้าใช้กระบี่ไม้นั่นตัดฟืนได้ใช่หรือไม่?” เสี่ยวเยว่พูดขึ้นมาด้วยความดีใจ
เพราะพ่อของเขาไม่อนุญาตให้เขาใช้ขวานผ่าฟืน หากสามารถใช้กระบี่ไม้นี้ผ่าฟืนได้
ก็จะช่วยงานพ่อเขาได้เป็นอย่างมาก
“แม้ว่าร่างข้าจะเป็นไม้ แต่กระบี่นั้นอยู่ที่ใจ
แม้แต่กิ่งไผ่ก็ไร้เทียมทาน ด้วยเพลงกระบี่ของข้านั้นต่อให้เป็นหินผา ข้าก็สามารถหั่นได้ราวกับหั่นเต้าหู้”
เทพกระบี่ยืดอกพูดด้วยความลำพองใจ
“ถ้าเช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าจะลองดู หากว่าโกหกข้า
ท่านต้องไปอยู่ในกองไฟของแม่ข้าแน่” เสี่ยวเยว่พูดจบ
เขาก็ตื่นขึ้นมาเพราะเสียงไก่ขัน
“นี่ข้าฝันบ้าอันใดกันเนี่ย
วันนี้ข้าต้องไปเก็บกิ่งไม้แต่เช้า ท่านพ่อบอกกับข้าว่า
วิถีแห่คนเก็บฟืนคือการตื่นเช้าเข้าป่า หากตื่นสายคนอื่น ๆ ก็จะเก็บกิ่งไม้ไปจนหมด
เราก็จะไม่เหลือสิ่งใดให้เก็บ” เสี่ยวเยว่พูดพร้อมกับรีบลุกขึ้นมาจากที่นอน
เขาจับจ้องไปที่กระบี่ไม้ที่วางอยู่ข้างที่นอนของเขา
และหยิบขึ้นมาดูด้วยความสงสัย
“เมื่อคืนเจ้าพูดคุยกับข้าใช่หรือไม่?” เสี่ยวเยว่เอ่ยถาม
แต่ไม่ทันที่เทพกระบี่จะตอบกลับไป ก็มีเสียงดังมาจากด้านนอก
“เสี่ยวเยว่หากไม่ออกมาตอนนี้ พ่อจะไม่รอเจ้าแล้วนะ”
เยว่ตะโกนเรียก
เสี่ยวเยว่จึงพกกระบี่ไม้ติดตัวและวิ่งออกไปทันที
วันนี้เสี่ยวเยว่และพ่อของเขาเก็บกิ่งไม้ได้เป็นจำนวนมาก
แต่เป็นไม้ใหญ่จำนวนไม่น้อย ซึ่งไม่สามารถนำไปขายได้ หากไม่ผ่าให้เล็กลงก่อน
ซึ่งพ่อของเขาจะเป็นคนทำหน้าที่นี้
เพราะขวานนั้นมีน้ำหนักมากเกินไปที่เด็กอย่างเสี่ยวเยว่จะถือได้
และยังอันตรายมากเกินไปอีกด้วย ดังนั้นเสี่ยวเยว่จึงไม่ได้รับอนุญาตให้ทำเช่นนั้น
แต่วันนี้ต้าเยว่คัดแยกกิ่งไม้เล็ก ๆ และนำไปขายในเมืองก่อน
ส่วนกิ่งไม้ใหญ่ เขาจะกลับมาผ่าในภายหลัง เมื่อพ่อเขาเดินลับตาไป
เสี่ยวเยว่จึงคิดถึงเรื่องในความฝันอีกครั้ง
เทพกระบี่เองก็ต้องการรู้ว่าร่างเขานั้นแข็งแกร่งมากเพียงใด
เขาจึงปล่อยให้เสี่ยวเยว่เตรียมผ่าฟืนอยู่เงียบ ๆ
“ย๊ากก!” เสี่ยวเยว่ใช้กระบี่ไม้ฟาดไปที่ท่อนไม้เต็มแรง แรงสะท้อนจากการใช้กระบี่ไม้ตีท่อนไม้
ทำให้เสี่ยวเยว่รู้สึกเจ็บมือไม่น้อย
“โอ๊ย!” เทพกระบี่ร้องขึ้นมาด้วยความเจ็บปวด
ราวกับว่าเขาวิ่งชนภูเขาหินเข้าอย่างจัง แต่ดูเหมือนว่าจะโชคดีที่ร่างของเขามิได้แตกหักแต่อย่างใด
เมื่อเสี่ยวเยว่ได้ยินเสียงดังมาจากกระบี่ไม้ จึงรีบโยนกระบี่ไม้ไปด้วยความหวาดกลัว
เขาไม่คิดเลยว่าความฝันนั้นจะเป็นเรื่องจริง
“อย่าทิ้งข้าเอาไว้เช่นนี้
ข้าเล่าทุกอย่างให้เจ้าฟังไปหมดแล้วมิใช่หรือ?” เทพกระบี่พูดออกไป
เมื่อเห็นว่าตนเองถูกโยนทิ้งลงกับพื้น
“ท่านเป็นเทพกระบี่จริงหรือ?”
เสี่ยวเยว่เดินไปใกล้กับกระบี่อย่างช้า ๆ และถามออกไป เขายังคงหวาดกลัวอยู่บ้าง
“ถูกต้องแล้ว เจ้าไม่จำเป็นที่จะต้องหวาดกลัวข้าแต่อย่างใด”
เทพกระบี่ตอบกลับไป ในขณะที่ความเจ็บปวดเริ่มหายไป
“ข้ามิได้หวาดกลัวท่าน ท่านคงเป็นเทพชั้นต่ำดั่งที่ข้าคิด
ไหนเล่ากระบี่นั้นอยู่ที่ใจ แม้แต่กิ่งไผ่ก็ไร้เทียมทาน ข้าจำได้ว่าท่านเคยบอกว่า ด้วยเพลงกระบี่ของข้านั้นต่อให้เป็นหินผา
ข้าก็สามารถหั่นได้ราวกับหั่นเต้าหู้ แต่ดูสิแค่ไม้ท่อนเดียวยังไม่อาจผ่าได้”
เสี่ยวเยว่หยิบกระบี่ไม้ขึ้นมาและพูดออกไปด้วยความผิดหวัง
“ตอนที่ข้าเป็นเทพอยู่บนสวรรค์ข้าสามารถทำเช่นนั้นได้
คงเป็นเพราะเจ้านั้นไร้วรยุทธ จึงไม่อาจทำได้
ถ้าเช่นนั้นข้าจะถ่ายทอดวรยุทธให้แก่เจ้า ตกลงหรือไม่?”
เทพกระบี่รีบเสนอตัวสอนวรยุทธให้เสี่ยวเยว่ทันที
“ข้าไม่ต้องการฝึกวรยุทธ ข้าต้องการเป็นคนเก็บฟืนที่ยิ่งใหญ่
และนำฟืนไปขายทั่วแผ่นดิน”
เสี่ยวเยว่พูดถึงความฝันอันยิ่งใหญ่ของตนด้วยดวงตาที่เป็นประกาย นั่นคือความฝันของคนเก็บฟืนทุกคน
ที่พ่อเขาเคยเล่าให้ฟัง
เทพกระบี่รู้สึกอึ้งในคำพูดของเสี่ยวเยว่ นำฟืนไปขายทั่วแผ่นดิน
ใครกันที่ล้างสมองเด็กคนนี้
นี่มันเป็นความฝันอันยิ่งใหญ่แต่ไร้สาระอย่างเห็นได้ชัด
หากเขาไม่อาจทำให้เด็กคนนี้มาฝึกวรยุทธได้
เขาคงไม่มีโอกาสได้กลับขึ้นไปบนสวรรค์เป็นแน่ แต่เขาจะทำเช่นใดกัน
ในตอนนี้น้ำตาของเขารินไหลเป็นสายเลือด แต่คงไม่มีผู้ใดที่ได้มองเห็นมัน...............จบเหอะ
แต่งโดย นายมะพร้าว
Scroll to Top