การปรากฏตัวของกู้หลานทำให้ต้วนเจี้ยนประหลาดใจไม่น้อย เพราะนางควรจะอยู่ในภาพจิตกรรมหมื่นขุนเขาและสายน้ำ การที่นางมาอยู่ที่นี่ได้นั้นจึงเป็นเรื่องที่แปลกยิ่งนัก
แท้จริงแล้วเป็นเพราะเซี่ยวหยู่ได้ใช้เทคนิคทำนายชะตาสวรรค์เพื่อตรวจสอบโชคชะตาของทุกคน และพบว่าการเดินทางของต้วนเจี้ยนนั้นจะต้องเผชิญกับยอดฝีมือที่แข็งแกร่งยิ่งนัก เมื่อนำเรื่องนี้ไปบอกกับทุกคน กู้หลานจึงเสนอตัวที่จะออกมาช่วย และนางก็เป็นห่วงนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์และตระกูลกู้ไม่น้อย นางจึงไปรอให้การช่วยเหลือต้วนเจี้ยนอยู่ที่นั่น ซึ่งเนี่ยลี่เองก็เห็นว่ากู้หลานนั้นมีประสบการณ์ในการต่อสู้น้อยเกินไป การส่งนางไปอาจจะเป็นผลดีกับนางก็เป็นได้ และทันทีที่ได้แจ้งข่าวนางจึงรีบเดินทางมาในทันที
“ทะ...เทพโอสถ” ต้วนเจี้ยนเรียกชื่อของกู้หลานในอดีตชาติขึ้นมา [神药:ปรมาจารย์เสิ่นเหยา]
“ในชาติภพนี้ข้าเป็นเพียงคนธรรมดานามว่า กู้หลานเท่านั้น เจ้าจงอย่าได้ผูกมัดตัวเองเอาไว้กับอดีตชาติ จงอย่าลืมว่าในชาติภพนี้เจ้าเป็นผู้ใด หาไม่แล้วเจ้าก็จะไม่อาจดึงพลังที่แท้จริงของเจ้าออกมาได้” กู้หลานส่ายศีรษะพร้อมกับพูดออกไป
เป็นดั่งที่กู้หลานพูด ต้วนเจี้ยนในตอนนี้ยังคงสับสน และยึดติดกับตัวเองในอดีตชาติ เนื่องจากมีความทรงจำในหลายชาติภพทับซ้อนกันอยู่ จนทำให้เขาลืมตัวตนที่แท้จริงของเขาไป
“มีมดปลวกมาเพิ่มอีกตัวเช่นนั้นหรือ?” สงหลงพูดด้วยน้ำเสียงที่เย้ยหยัน เขานั้นมั่นใจว่า โชคชะตาได้กำหนดให้เขาเป็นฝ่ายชนะ แม้ยามที่แสงตะวันกำลังสาดส่อง ก็บังเกิดสุรยคราสขึ้นมาเพื่อปกป้องเขาเอาไว้
“อย่าได้กังวลไปเลย คู่ต่อสู้ของเจ้าคือชายผู้นี้ ข้าแค่มาทักทายสหายเก่าเท่านั้น” กู้หลานพูดพร้อมกับแปรเปลี่ยนลมปราณของตนให้เป็นยาทิพย์ที่รักษาอาการบาดเจ็บและฟื้นพลังให้แก่ต้วนเจี้ยน แต่การใช้พลังเช่นนี้เป็นการบั่นทอดชีวิตของกู้หลานเช่นกัน แม้ว่าในชาติภพนี้ นางจะมีประสบการณ์ในการต่อสู้ไม่มากนัก แต่สำหรับนางนั้นประสบการณ์เช่นนั้นไม่มีความจำเป็นแม้แต่น้อย เพราะพลังของนางเองก็ไม่ได้ใช้ในการต่อสู้ ซึ่งเนี่ยลี่ไม่ได้รู้ในเรื่องนี้
“ท่านสามารถรักษาและฟื้นพลังให้ข้าได้หรือไม่ ข้าจะช่วยสู้อีกแรง” หยินหลางขอให้กู้หลานช่วยฟื้นพลังให้ตนเอง
“เหตุที่ข้ายังไม่รักษาท่าน เพราะข้าต้องการให้ต้วนเจี้ยนสู้ตามลำพัง ท่านจงดูการต่อสู้นี้ด้วยตาของท่านเอง ว่าต้วนเจี้ยนนั้นแข็งแกร่งเพียงใด” กู้หลานส่ายหน้าพร้อมกับยิ้ม
“แม้ว่าจะฟื้นพลังขึ้นมาได้ แต่ระดับพลังของเจ้ายังด้อยกว่าข้าถึงสามขั้น และดูเหมือนว่าสหายของเจ้าจะปล่อยให้เจ้าต่อสู้ตามลำพัง หากปารถนาความตายนักก็จงเข้ามา” สงหลงตะโกนออกไปอย่างกราดเกรี้ยวและทรงพลัง พร้อมกับระเบิดลมปราณทั้งหมดออกมา
ต้วนเจี้ยนยืนหลับตาครุ่นคิดในสิ่งที่กู้หลานเอ่ยมา ในอดีตชาติเขานั้นคือเทพนักรบ [神战士:เสิ่นซ่านจื่อ] แต่ในชาติภพนี้เขาคือต้วนเจี้ยน ผู้สืบสายเลือดมังกรทมิฬ
เขาลืมตาขึ้นมาพร้อมกับปลุกสายเลือดมังกรทมิฬให้ลุกโชนขึ้น เริ่มปรากฏเกล็ดมังกรที่ผิวกายของเขา จากนั้นเขาก็ผสานเข้ากับเพลิงทมิฬเที่ยงแท้ ซึ่งในครั้งนี้เพลิงทมิฬเที่ยงแท้ ลุกโชนขึ้นยิ่งกว่าครั้งก่อนหน้านี้หลายเท่านัก บัดนี้พลังของต้วนเจี้ยนนั้นเทียบเท่าระดับขอบเขตแห่งพระเจ้าขั้นที่สี่เลยทีเดียว และเมื่อถือดาบมังกรเพลิงทมิฬอยู่ในมือพลังของเขาก็ไม่ด้อยไปกว่าสงหลงอีกต่อไป
ต้วนเจี้ยนกางปีกที่อยู่ด้านหลังออก พร้อมกับพุ่งทะยานเข้าไปโจมตีสงหลงทันที เขาใช้ดาบมังกรเพลิงทมิฬฟันไปที่สงหลง แต่สงหลงก็ใช้กรงเล็บกระดูกต้านเอาไว้
แต่ดาบมังกรเพลิงทมิฬที่อาบไปด้วยเพลิงทมิฬเที่ยงแท้ ในตอนนี้นั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่ากรงเล็บกระดูกของสงหลงยิ่งนัก กรงเล็บกระดูกของเขาถูกต้วนเจี้ยนฟันจนหักไปในทันที
“เจ้ามนุษย์อวดดี!” สงหลงใช้กรงเล็บอีกข้างตบไปที่ใบหน้าของต้วนเจี้ยนอย่างรุนแรง แต่ในตอนนี้ร่างกายของต้วนเจี้ยนนั้นห่อหุ้มไปด้วยเพลิงทมิฬเที่ยงแท้ เขาจึงได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย และมีเลือดไหลที่มุมปากเท่านั้น
บัดนี้ต้วนเจี้ยนรับรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของตนเองในชาติภพนี้แล้ว เขาไม่รู้สึกสับสนกับตัวตนในอดีตชาติอีกต่อไป เมื่อไร้ซึ่งความสับสน พลังก็จะบังเกิด สายเลือดมังกรทมิฬนั้นมีพลังอันแข็งแกร่งที่แฝงเร้นอยู่ หากปลุกขึ้นมาได้อย่างสมบูรณ์ก็จะไม่มีผู้ใดที่จะสามารถรับมือเขาได้
“ข้าจะจบการต่อสู้ครั้งนี้ซะ!” ต้วนเจี้ยนพูดพร้อมกับฟันดาบมังกรเพลิงทมิฬออกไปอีกครั้ง
ในครั้งนี้ทำให้แขนขวาของสงหลงนั้นขาดกระเด็นไปในทันที
“อ๊ากกกกก”
สงหลงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด แต่เขาไม่ยอมแพ้เพียงเท่านี้เป็นแน่
เขาใช้หางของเขาโจมตีไปที่ต้วนเจี้ยนทันที
“ไร้ประโยชน์” ต้วนเจี้ยนฟันดาบมังกรเพลิงทมิฬส่วนกลับไป
และตัดหางของสงหลงขาดกระเด็นไปด้วยเช่นกัน
พลังของสงหลงลดลงเป็นอย่างมากเนื่องจากลมปราณที่ได้รับจากบริวารแห่งเทพนั้นจะค่อย
ๆ ลดลงไปตามกาลเวลา
โดยที่สงหลงไม่ทันได้รู้ตัวบัดนี้พลังของเขานั้นเหลือเพียงระดับขอบเขตแห่งพระเจ้าขั้นที่สองเท่านั้น
ร่องรอยที่แขนและหางที่ถูกตัดออกไป
นั้นดูราวกับถูกแผดเผาไปด้วยเพลิงทมิฬ ทำให้การฟื้นตัวช้าลงไปเป็นอย่างมาก
และยังสร้างความบาดเจ็บให้แก่สงหลงอยู่ตลอดเวลา
แสงอาทิตย์เริ่มสาดส่องลงมาอีกครั้ง
สุริยคราสเริ่มคลายออก เมฆหมอกทมิฬจากซากศพของอสูรมังกรเพลิงสีชาดก็มีน้อยเกินไปจนไม่อาจบดบังแสงอาทิตย์ได้
สงหลงพยายามที่จะหาที่หลบหนี
แต่เป็นเพราะหางที่ถูกตัดออกไปทำให้ร่างของเขาเสียสมดุล
และปีกกระดูกของเขาก็เริ่มที่จะเปลี่ยนรูปร่างไปเพราะแสงอาทิตย์
ร่างกายของสงหลงเริ่มที่จะละลายด้วยความร้อนที่บริสุทธิ์จากดวงอาทิตย์
เสียงที่ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดของสงหลงนั้น ดังออกไปหลายสิบลี้ ก่อนที่ร่างทั้งท่างของเขาจะหลอมละลายไปจนหมดสิ้น
หยินหลางที่มองดูการต่อสู้อยู่นั้น
เขาถอนหายใจเมื่อเห็นว่าต้วนเจี้ยนเป็นฝ่ายชนะ
แม้ว่าจะไม่ได้รับการรักษาจากกู้หลาน แต่ร่างกายของเขาก็ค่อย ๆ
ฟื้นสภาพได้ด้วยตัวเอง
ต้วนเจี้ยนแทงดาบมังกรเพลิงทมิฬลงไปที่พื้น
ทำให้เศษซากก้อนหินจากถ้ำกระจายออกไปโดยรอบ
ทำให้ทะเลสาบแห่งเทพปรากฏขึ้นมาเบื้องหน้าของพวกเขา จากนั้นเขาก็ใช้เพลิงทมิฬเที่ยงแท้เผาซากศพของอสูรมังกรเพลิงสีชาดจนเหลือเพียงเศษเถ้าถ่านเท่านั้น
จากนี้ไปอาณาจักรซากทมิฬก็จะไม่มีเมฆหมอกทมิฬปกคลุมอีกต่อไป
และยังมีทะเลสาบแห่งเทพ ให้เก็บเกี่ยวศิลาจิตวิญญาณอีกด้วย
ต้วนเจี้ยนหันไปพูดกับหยินหลางว่า
“ทะเลสาบแห่งเทพนี้เป็นของท่านแล้ว
จากนี้ไปท่านคงไม่ต้องไปปล้นชิงเงินทองจากผู้ใดอีก
และหากต้องการทำการค้าก็สามารถร้องขอจากแม่นางกู้หลานผู้นี้ได้”
“นิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ไม่ทำการค้ากับพวกโจร”
กู้หลานพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง ทำให้หยินหลางหน้าเสียเล็กน้อย
“แต่กับยอดฝีมือที่รู้จักผิดชอบชั่วดีนั้น
พวกเราหาได้รังเกียจไม่” กู้หลานพูดต่อพร้อมกับยิ้มออกไป
“ข้าเข้าใจแล้ว จากนี้ไป
จะไม่มีกลุ่มโจรหมาป่าทมิฬอีกต่อไป
ข้าจะนำศิลาจิตวิญญาณที่ได้จากทะเลสาบแห่งเทพนี้
ไปจ่ายชดใช้กับเงินทองและอาหารที่พวกข้าเคยไปปล้นชิงมา
แม้ว่าอาจจะชดใช้ความผิดไม่ได้ทั้งหมด แต่จากนี้ไปชั่วชีวิตของข้า จะทำคุณความดีเพื่อชดเชยบาปที่เคยก่อเอาไว้
หาไม่แล้วขอข้าฟ้าดินลงโทษข้าให้สาสม” หยินหลางยกมือขึ้นสาบานต่อฟ้าดินด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
ทั้งสามคนมองดูอาณาจักรซากทมิฬที่เคยปกคุลมไปด้วยเมฆหมอกสีดำ
บัดนี้เป็นเพียงทุ่งกว้าง ที่แห้งแล้ง
อาจเป็นเพราะอาณาจักรแห่งนี้ไม่เคยได้รับแสงอาทิตย์มาก่อน
การที่จะพลิกฟื้นแผ่นดินนี้ให้อุดมสมบูรณ์คงต้องใช้เวลาไม่น้อย
การเดินทางของต้วนเจี้ยนนั้นจบลงในไม่กี่วัน
เขาจึงตัดสินใจที่จะอยู่ช่วยหยินหลางและในการพลิกฟื้นอาณาจักรแห่งนี้
กู้หลานจึงอยู่ช่วยอีกแรง หลังจากที่ซานหลางและลูกน้องคนอื่น ๆ ของหยินหลางกลับมา
หยินหลางจึงได้ประกาศสลายกลุ่มโจรหมาป่าทมิฬ แม้ว่าพวกเขาจะรู้สึกสับสนอยู่บ้าง
ว่าต่อไปจะใช้ชีวิตกันอยู่เช่นใด แต่พวกเขาก็เชื่อมั่นในตัวหยินหลางที่เป็นผู้นำ
และช่วยกันสร้างหมู่บ้านเล็ก ๆ ขึ้นมาในอาณาจักรแห่งนี้
และพวกเขาตั้งใจที่จะทำให้กลายเป็นเมืองที่ใหญ่โตในภายภาคหน้า
เมื่อผ่านไปสามสิบวัน
เนี่ยลี่ได้เดินทางมารับต้วนเจี้ยนและได้พบกับหยินหลาง ทำให้เขาประหลาดใจไม่น้อย
ในชีวิตที่แล้วกลุ่มโจรหมาป่าทมิฬเป็นเพียงกลุ่มโจรเล็ก ๆ
แต่ก็ได้เข้าร่วมในการต่อสู้กับจักรพรรดิปราชญ์ แต่ในตอนนั้นหยินหลางนั้นแก่ชรากว่านี้มากนัก
ต้วนเจี้ยนได้บอกกล่าวเกี่ยวกับเรื่องที่ได้เผชิญมา
เนี่ยลี่จึงได้ไปพูดคุยกับหยินหลางเป็นการส่วนตัว
“เจ้าคงเป็นเนี่ยลี่
ผู้เป็นนายของต้วนเจี้ยน ข้าไม่เคยคิดเลยว่าจะยังเด็กถึงเพียงนี้”
หยินหลางพูดขึ้นมาด้วยความสงสัย ระดับพลังของเนี่ยลี่เขาเขาสัมผัสได้นั้น
ไม่อาจเทียบได้กับพลังของต้วนเจี้ยนเลยแม้แต่น้อย
“ต้วนเจี้ยนอาจจะมองว่าข้าเป็นนาย
เพราะข้าเคยช่วยเหลือเขา แต่สำหรับข้าแล้วเขาเป็นสหายที่ดีของข้าเท่านั้น”
เนี่ยลี่พูดพร้อมกับยิ้ม
“แล้วเจ้ามีธุระอันใดกับข้า?” หยินหลางเอ่ยถาม
การที่เนี่ยลี่ต้องการพูดคุยกับเขาเป็นการส่วนตัวจะต้องมีเรื่องสำคัญเป็นแน่
“ดูเหมือนว่าต้วนเจี้ยนจะได้มอบยาทิพย์แก่ท่าน
จนทำให้ท่านบรรลุระดับขอบเขตแห่งพระเจ้าได้
อีกไม่นานจะมีสงครามครั้งใหญ่ระหว่างมนุษย์และอสูร
ข้าต้องการให้ท่านเป็นกำลังให้แก่พวกข้าในการต่อสู้ครั้งนี้”
เนี่ยลี่พูดอย่างตรงไปตรงมา
“เรื่องนี้ต้วนเจี้ยนได้บอกแก่ข้าแล้ว
เพื่อเป็นการตอบแทนต้วนเจี้ยน พวกข้าทั้งหมดยินดีที่จะเป็นกำลังให้แก่พวกเจ้า”
หยินหลางตอบกลับไป
“ผู้ที่จะเข้าร่วมในสงครามครั้งนี้
จะต้องเป็นผู้ที่มีความแข็งแกร่งจนถึงระดับขอบเขตแห่งพระเจ้าเท่านั้น”
เนี่ยลี่พูดพร้อมกับส่ายหน้า
“ขออภัยที่ข้าแอบฟัง
หากเป็นเช่นนั้นจริง ได้โปรดมอบยาทิพย์แก่พวกข้า
พวกข้าจะยอมยอมให้ท่านหัวหน้าไปตามลำพัง และข้าเองก็เคยทำผิดต่อต้วนเจี้ยน
ขอให้ข้าได้ชดใช้ความผิดด้วย” ซานหลางและอีกสองคนคุกเข่าต่อหน้าเนี่ยลี่และพูดออกไป
“พวกเขาทั้งสามเป็นดั่งพี่น้องร่วมสายเลือดของข้า”
หยินหลางหันไปพูดกับเนี่ยลี่
“ข้าจะมอบยาทิพย์นี้ให้แก่ท่าน
การตัดสินใจทั้งหมดจะขึ้นอยู่กับท่านเท่านั้น”
เนี่ยลี่มอบแหวนห้วงมิติสำหรับเก็บของที่มียาทิพย์อยู่หลายสิบขวดให้แก่หยินหลาง
“พวกเจ้ากับข้านั้นร่วมรบด้วยกันมานาน
ข้ารู้จักพวกเจ้าดี แม้ว่าข้าจะไม่ยอมให้พวกเจ้าไป พวกเจ้าก็ต้องลอบตามไป ดังนั้น
พวกเราทั้งสี่จะมาฝึกฝนร่วมกันเพื่อเป็นกำลังให้แก่ต้วนเจี้ยนและสหายของเขา”
หยินหลางหันไปพูดกับซานหลางและอีกสองคน
“ขอบคุณท่านหัวหน้า”
ซานหลางและอีกสองคนพูดพร้อมกับยิ้มทั้งน้ำตา
“เมื่อเวลานั้นมาถึง
พวกท่านจะรับรู้ได้จากการเปลี่ยนแปลงของฟ้าดิน ขอให้พวกท่านไปรวมตัวกันที่นั่น”
เนี่ยลี่พูดพร้อมกับเดินไปหากู้หลานและต้วนเจี้ยน
“พวกเราไปกันเถิด”
เนี่ยลี่พูดพร้อมกับเปิดเส้นทางสวรรค์เพื่อกลับไปยังอาณาจักรกำแพงสวรรค์
หลังจากนั้นพวกเขาก็เข้าไปรวมตัวกันในภาพจิตรกรรมหมื่นขุนเขาและสายน้ำ
“ในตอนนี้ข้าได้กระจกข้ามภพมาถึงแปดชิ้นแล้ว
ในตอนนี้มีเพียงข้าและพี่ยู่หยาน
ที่ไม่อาจเพิ่มระดับพลังจนถึงขั้นขอบเขตแห่งพระเจ้าได้
ซึ่งสาเหตุอาจจะเป็นเพราะมีสิ่งที่ติดค้างอยู่ เทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงได้บอกว่า
เมื่อเดินทางไปถึงอาณาจักรบรรพชนแห่งเทพ
ข้าและพี่ยู่หยานอาจจะได้พบเรื่องบางอย่างที่สามารถทำให้ก้าวผ่านไปได้ ดังนั้น
ในวันพรุ่งนี้พวกเราทั้งหมดจะออกเดินทางเพื่อไปยังอาณาจักรบรรพชนแห่งเทพ
และในครั้งนี้พวกเราไม่ต้องปกปิดพลังของพวกเราอีกต่อไป” เนี่ยลี่พูดออกไป
ขณะที่จินตานบินวนเวียนอยู่ด้านบน
ในตอนนี้
ระดับพลังของทุกคนรุดหน้าไปเป็นอย่างมาก เอียจื่ออวิ๋นและเซี่ยวหนิงเอ๋อ
ก็สามารถทำได้ตามคำมั่น
ในตอนนี้พวกนางนั้นบรรลุระดับขอบเขตแห่งพระเจ้าขั้นที่สี่แล้ว
เทพธิดาทั้งสองจึงให้ความร่วมมือที่จะต่อสู้ในสงครามที่กำลังจะมาถึง
ในขณะที่คนอื่น ๆ ก็สามารถบรรลุระดับขอบเขตแห่งพระเจ้าขั้นที่สองกันได้หมดแล้ว
และมีหลายคนที่สามารถบรรลุขั้นที่สามได้
แต่ศัตรูที่รออยู่เบื้องบนนั้น
คงมีระดับพลังไม่ต่ำกว่าขอบเขตแห่งพระเจ้าขั้นที่ห้าเป็นแน่ และจักรพรรดิปราชญ์เองก็มีความแข็งแกร่งอยู่ในขั้นสูงสุดของระดับขอบเขตแห่งพระเจ้าแล้ว
นั่นทำให้เนี่ยลี่รู้สึกกังวลเป็นอย่างมาก ก่อนที่จะสงครามใหญ่จะมาถึง
พวกเขาต้องเพิ่มระดับพลังให้สูงขึ้นไปยิ่งกว่านี้.............จบตอน