Tales of Demons & Gods Next Legend บทที่ 444.90 อาณาจักรซากทมิฬ
เบื้องหน้าของต้วนเจี้ยนนั้น
เป็นรอยต่อของอาณาจักรซากมังกรและ อาณาจักรซากทมิฬ
เส้นเขตแดนนั้นไม่ได้ถูกกำหนดจากสิ่งใด
แต่เป็นเมฆหมอกสีดำที่แผ่ขยายมาทางแผ่นดินใหญ่
ต้วนเจี้ยนได้รับการบอกเล่าจากเนี่ยลี่มาเล็กน้อยเท่านั้น เพราะในชีวิตที่แล้วของเนี่ยลี่ก็มิได้มายังอาณาจักรแห่งนี้
ทันทีที่ก้าวเท้าเข้าไปในเมฆหมอก
ต้วนเจี้ยนพยายามมองดูโดยรอบ
แต่ก็สามารถมองเห็นเบื้องหน้าได้เพียงหนึ่งเอื้อมมือเท่านั้น
ต้วนเจี้ยนจึงกางปีกของตนออกมา
และกระพือปีกเพื่อพัดให้เมฆหมอกหายไป แต่ก็สามารถพัดไปได้ไม่ไกลนัก
แต่ก็ทำให้ต้วนเจี้ยนมองเห็นสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า มันคือปากถ้ำขนาดใหญ่
“หรือว่านี่คือทางเข้าของอาณาจักรซากทมิฬที่แท้จริง”
ต้วนเจี้ยนพูดกับตัวเอง
หลังจากนั้นไม่นานเมฆหมอกที่ถูกปีกของต้วนเจี้ยนพัดไปก็เริ่มกลับมาปกคลุมดังเดิม
ในตอนนี้ต้วนเจี้ยนพอจะรับรู้แล้วว่า
เมฆหมอกเหล่านี้มีไว้สำหรับปิดบังมิให้ผู้ใดเห็นทางเข้านี้
เขาจึงตัดสินใจที่จะเก็บปีกไว้ดังเดิม
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
เสียงของลูกธนูแหวกอากาศมาทางด้านข้างของต้วนเจี้ยน
แต่เขาก็ใช้มือจับลูกธนูทั้งสามเอาไว้ โดยที่ไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย
“ใครกัน?” ต้วนเจี้ยนตะโกนถามออกไปทันที
แม้ว่าจะมองไม่เห็นแต่เขาก็สามารถคาดเดาได้จากทิศทางที่ลูกธนูพุ่งมาได้
“ข้าควรจะเป็นฝ่ายถามเจ้า ข้าคือหัวหน้ากลุ่มโจรหมาป่าทมิฬ
มีนามว่า หยินหลาง [
银狼:หมาป่าสีเงิน] เจ้าเป็นใครกัน?” ชายผู้หนึ่งปรากฏอยู่เบื้องหน้า เขาเป็นชายวัยกลางคน
ใบหน้าของเขามีแผลเป็นจากการถูกฟันขนาดใหญ่ สวมใส่เสื้อที่ทำจากขนของหมาป่า
“กลุ่มโจรหมาป่าทมิฬ
ที่ออกปล้นตามอาณาจักรต่าง ๆ แล้วมาหลบซ่อนอยู่ที่อาณาจักรซากทมิฬเช่นนั้นหรือ?”
ต้วนเจี้ยนถามกลับไป เขาเคยได้ยินชื่อกลุ่มโจรนี้มาก่อน และดูเหมือนว่าหยินหลางผู้นี้จะมีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับเทพสงครามขั้นที่แปดเลยทีเดียว
“เจ้าเด็กน้อย
ดูเหมือนว่าเจ้าจะไร้มารยาทยิ่งนัก ข้าได้แจ้งชื่อของข้าไปแล้ว
แต่เจ้ากลับไม่แจ้งชื่อตนเอง” หยินหลางพูดด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน และไม่พอใจยิ่งนัก
“ข้านั้นมีนามว่าต้วนเจี้ยน
ข้ามายังอาณาจักรแห่งนี้เพื่อค้นหาสิ่งของบางอย่าง” ต้วนเจี้ยนตอบกลับไป
โดยที่ไม่ได้มีท่าทีที่เกรงกลัวอันใดแม้แต่น้อย
“เจ้าต้องการสิ่งใดกัน
หากเป็นของที่ข้าครอบครองอยู่ เจ้าคงจะต้องนำเงินมาไม่น้อยเพื่อแลกเปลี่ยนกับมัน”
หยินหลางพูดพร้อมกับหัวเราะออกมา
ทันใดนั้นก็มีเปลวไฟพุ่งออกมาจากปากถ้ำ
พุ่งมาทางต้วนเจี้ยนและหยินหลางอย่างรวดเร็ว ทั้งสองจึงรีบหลบทันที
“ดูเหมือนว่าพวกเราจะพูดคุยกันเสียงดังเกินไป
ทำให้อสูรมังกรเพลิงสีชาด ที่เฝ้าปากถ้ำเกิดความรำคาญเสียแล้ว”
หยินหลางปรากฏตัวใกล้ ๆ กับต้วนเจี้ยนอีกครั้ง
แม้ว่าจะมีเมฆหมอกปิดกั้นการมองเห็นอยู่
แต่ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นปัญหาสำหรับแม้แต่น้อย
ต้วนเจี้ยนได้ยินเช่นนั้นจึงชักดาบมังกรเพลิงทมิฬออกมา
และหันไปทางปากถ้ำทันที
“หากเจ้าสังหารมัน
อสูรที่อยู่ในถ้ำก็จะออกมานับล้านตัว แม้ว่าพวกมันจะแพ้แสงอาทิตย์ แต่ด้วยเมฆหมอกเหล่านี้
พวกมันจึงสามารถออกมาจากถ้ำได้” หยินหลางรีบตะโกนห้ามต้วนเจี้ยนในทันที
“ถ้าเช่นนั้นข้าควรทำเช่นใด?” ต้วนเจี้ยนถามออกไป
เขาเองก็ไม่ต้องการให้พวกอสูรรับรู้การมาถึงของเขาเช่นกัน
“ไม่ยาก เจ้าก็แค่สลบไปซะ!”
หยินหลางโจมตีไปที่ศีรษะของต้วนเจี้ยนอย่างรุนแรง
เนื่องจากเขาใช้ศิลาเร้นเมฆาในการปกปิดพลังที่แท้จริงเอาไว้
ทำให้ในตอนนี้เขามีความแข็งแกร่งระดับเทพสงครามขั้นที่หนึ่งเท่านั้น
ต้วนเจี้ยนตื่นขึ้นมาในถ้ำเล็ก ๆ
แห่งหนึ่ง แขนและขาของเขาถูกล่ามไปด้วยโซ่ที่มีลวดลายอาคมสลักอยู่เต็มไปหมด
และดูเหมือนว่าดาบมังกรเพลิงทมิฬของเขาจะถูกยึดเอาไปอีกด้วย
โชคดีที่เขากลืนแหวนห้วงมิติสำหรับเก็บของเอาไว้ในท้อง ทำให้เงินและยาทิพย์ต่าง ๆ
ไม่ถูกแย่งชิงไป
“เป็นดาบที่วิเศษยิ่งนัก
หากผู้ที่มีความแข็งแกร่งต่ำกว่าระดับเทพสงครามจับต้องมัน
จะถูกเปลวเพลิงทมิฬเผาไหม้ทันที เจ้ารู้ไหมว่าทำให้ลูกน้องข้าถูกเผาไปกี่คนแล้ว”
หยินหลางพูดกับต้วนเจี้ยนที่ได้สติด้วยความไม่พอใจ
“ใครขอให้พวกเจ้าทำตัวเป็นโจรขโมยดาบของข้าเล่า”
ต้วนเจี้ยนตะโกนออกไป พร้อมกับขยับตัวดิ้นรนเพื่อกระซากโซ่ที่มัดตัวของเขาให้ขาด
“เปล่าประโยชน์ โซ่ที่ใช้ผูกมัดเจ้าอยู่
สลักลวดลายอาคมชนิดพิเศษ ซึ่งมันจะปิดกั้นลมปราณทั้งหมดของเจ้า
หากคิดที่จะทำลายโซ่เส้นนั้น เจ้าจะต้องใช้พลังกายของเจ้าเท่านั้น
แต่โซ่ใหญ่ถึงเพียงนั้น ด้วยแรงกายของมนุษย์ไม่อาจที่จะทำได้เป็นแน่”
หยินหลางพูดด้วยน้ำเสียงที่เย้ยหยัน
“เจ้าจับข้ามาด้วยเหตุใดกัน?” ต้วนเจี้ยนถามออกไป
แม้ว่าจะถูกปิดกั้นลมปราณเอาไว้
แต่ด้วยสายเลือดมังกรทมิฬในตัวของเขาการที่จะทำลายโซ่นี้ไม่ใช่เรื่องที่ยากอันใด
แต่เขาต้องหาข้อมูลให้ได้มากที่สุดก่อน
“ดาบวิเศษของเจ้าเล่มนี้
หากนำไปขายคงได้ราคาดีไม่น้อย ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะมีดาบเล่มนี้เป็นสมบัติเพียงชิ้นเดียว
ข้าให้ลูกน้องค้นตัวเจ้าแล้วแต่ก็ไม่พบสิ่งใด
ข้าเชื่อว่าเจ้าจะต้องซุกซ่อนแหวนห้วงมิติสำหรับเก็บของไว้ที่ใดสักแห่งเป็นแน่
จงนำมันออกมาให้ข้า หลังจากนั้นข้าจะให้เจ้าตายโดยที่ไม่ต้องทรมานมากนัก”
หยินหลางบอกความต้องการของตนออกไป แต่ถึงอย่างไรเขาก็ไม่คิดที่จะปล่อยให้ต้วนเจียนมีชีวิตรอดกลับไปอย่างแน่นอน
“หากข้ามอบให้เจ้า ข้าก็ต้องตาย
ถ้าเช่นนั้นข้าจะมอบให้เจ้าด้วยเหตุผลอันใดกัน?” ต้วนเจียนหัวเราะและถามกลับไป
โจรผู้นี้พูดจาตรงไปตรงมายิ่งนัก ทำให้เขารู้สึกชื่นชอบในตัวเขาไม่น้อย
“ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะหัวเราะได้
แม้ในยามที่ชีวิตอยู่บนเส้นด้าย หากเจ้ายอมมอบสมบัติทั้งหมดให้แก่ข้า
และยอมก้มหัวเป็นลูกน้องของข้า ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า” หยินหลางตอบกลับไป
เขาก็รู้สึกชื่นชมความกล้าหาญของต้วนเจี้ยนไม่น้อยเช่นกัน
“คงต้องขอปฏิเสธ ข้านั้นไม่ต้องการที่จะเป็นโจร
ที่ได้แต่ปล้นชิงเงินทองจากชาวบ้าน เช่นท่าน” ต้วนเจี้ยนรีบปฏิเสธในทันที
เขานั้นเป็นถึงประมุขนิกายเร้นเมฆา จะลดตัวไปเป็นลูกน้องของโจรได้อย่างไรกัน
“เจ้าเด็กอวดดี!
บังอาจพูดเช่นนี้กับท่านหัวหน้า”
ลูกน้องคนหนึ่งของหยินหลางใช้แส้ฟาดเข้าที่ร้างกายของต้วนเจี้ยนอย่างรุนแรง
ร่างกายของเขาเป็นรอยสีแดงยาว
เป็นเพราะไม่มีลมปราณปกป้องร่างกายทำให้ต้วนเจี้ยนรู้สึกเจ็บปวดไม่น้อย
หยินหลางโบกมือให้ลูกน้องของเขาหยุด
และพูดกับต้วนเจี้ยนว่า
“ข้าจะให้เวลาเจ้าสามวัน
หากเจ้ายังคงปฏิเสธข้าจะสังหารเจ้าซะ”
หลังจากนั้นหยินหลางก็ถือดาบมังกรเพลิงทมิฬออกไป
ต้วนเจี้ยนจึงรีบตะโกนบอกไปทันที
“ดาบเล่มนั้นมีนามว่าดาบมังกรเพลิงทมิฬ
มีเพียงข้าที่สามารถใช้มันได้ หากท่านยังรักชีวิต ก็จงอย่าใช้มันจะดีกว่า”
เพี๊ยะ!
ทันทีที่พูดจบลูกน้องของหยินหลางก็ใช้แส้ฟาดเข้าที่ร่างของต้วนเจี้ยนอีกครั้ง
“พอได้แล้ว อย่าได้ลงมือกับมันอีก
จากนี้ไปให้จัดเตรียมอาหารและน้ำให้แก่มันด้วย”
หยินหลางสั่งลูกน้องของเขาพร้อมกับเดินออกไปทันที
“โชคดีที่ท่านหัวหน้าเมตตา
ถ้าไม่เช่นนั้นข้าจะโบยเจ้าให้ตายด้วยมือของข้าเอง”
ลูกน้องของหยินหลางเขวี้ยงแส้ลงพื้นด้วยความโกรธเกรี้ยว
หากไม่ใช่เพราะเป็นคำสั่งของหยินหลาง เขาคงจะไม่ยอมหยุดมือเพียงเท่านี้เป็นแน่
“ข้าหิวแล้ว” ต้วนเจี้ยนพูดออกไป
เขาตั้งใจที่จะยั่วโมโหลูกน้องของหยินหลางผู้นี้
เมื่อได้ยินคำพูดของต้วนเจี้ยน
ลูกน้องของหยินหลางก็โมโหจนแทบจะเป็นบ้า เขากลายเป็นคนรับใช้ไปแล้วหรืออย่างไร
จึงต้องหาอาหารให้กับต้วนเจี้ยนเช่นนี้
แต่ด้วยเพราะเป็นคำสั่งของหยินหลาง
เขาจึงไปหาหมั่นโถมาให้ต้วนเจี้ยน พร้อมกับยัดเข้าที่ปากของต้วนเจี้ยนเพื่อกลั่นแกล้งเขา
แต่ต้วนเจี้ยนก็กลืนหมั่นโถลงคอไปอย่างรวดเร็ว
“จงนำมาให้ข้าอีก หมั่นโถเพียงลูกเดียว
ข้าจะอิ่มได้เช่นใดกัน?” ต้วนเจี้ยนตะโกนออกไปอีกครั้ง
เขาจำต้องไปนำหมั่นโถอีกสามลูกมาให้แก่ต้วนเจี้ยน
อาหารในอาณาจักรแห่งนี้หาได้ยากยิ่งนัก หมั่นโถเหล่านี้
พวกพวกได้รับมาจากโรงเตี๊ยมที่อยู่ชายแดนอาณาจักรซากมังกร
เพื่อแลกกับการไม่ถูกปล้น แต่จำนวนที่ได้มาก็ไม่ได้มากมายเท่าใดนัก
การที่ต้องนำมาให้ต้วนเจี้ยนถึงสี่ลูก นั่นทำให้อาหารของพวกเขาหายไปไม่น้อย
ต้วนเจี้ยนคิดว่า การที่ถูกจับเช่นนี้
ทำให้เขาไม่มีปัญหาเรื่องอาหาร แม้ว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บจากการถูกโบย
สำหรับเขาแล้วความเจ็บปวดเพียงเท่านี้ไม่อาจเทียบได้กับตอนที่เนี่ยลี่ได้ช่วยเหลือเขามาจากตระกูลปีกสีเงิน
‘อย่างน้อย ๆ
สามวันนี้ข้าก็จะปลอดภัยและมีอาหารให้ทานจนอิ่มท้อง’ ต้วนเจี้ยนคิดและเริ่มหลับตาเพื่อพักผ่อนหลังจากที่ทานหมั่นโถจนหมดทั้งสี่ลูก
เมื่อเห็นเช่นนั้นลูกน้องของหยินหลางจึงรีบไปร้องเรียนกับหยินหลางทันที
“ท่านหัวหน้า
เหตุใดท่านจึงต้องเลี้ยงดูเจ้าเด็กหนุ่มอวดดีนั่นเอาไว้ พวกเรานั้นทานหมั่นโถเพียงมื้อละหนึ่งลูก
แต่เจ้าเด็กอวดดีนั่นทานถึงสี่ลูก
หากเป็นเช่นนี้เสบียงของพวกเราคงลดลงอย่างรวดเร็วเป็นแน่”
“ซานหลาง
ข้าจะให้โอกาสมันเพียงแค่สามวันเท่านั้น หากเสบียงหมด
ก็จะไปบอกเถ้าแก่โรงเตี๊ยมว่าเราขอหมั่นโถเพิ่มอีกวันละสิบลูก เจ้าดูดาบเล่มนี้สิ
ดูเหมือนว่าเจ้าเด็กนั่นจะเรียกว่าดาบมังกรเพลิงทมิฬ
มันถูกตีจากโลหะที่ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน
ข้าคิดว่าเจ้าเด็กนั่นจะต้องไม่ใช่คนธรรมดาเป็นแน่!” หยินหลางเรียกซานหลางมาดูดาบในมือของเขา
“ขอข้าดูอยู่ห่าง ๆ ก็พอแล้วท่านหัวหน้า
หากข้าสัมผัสเจ้าดาบบ้านี่
ตัวข้าคงถูกเผาด้วยเพลิงทมิฬดั่งพี่น้องของเราก่อนหน้านี้เป็นแน่”
ซานหลางรีบปฏิเสธทันที เขายังจดจำภาพของเหล่าพี่น้องที่ถูกเพลิงทมิฬแผดเผาไปได้
“ดาบเล่มนี้ มีค่าควรเมือง
ข้าจะตรวจสอบมันให้ละเอียด
ในสามวันนี้ข้าคงต้องฝากให้เจ้าดูแลเจ้าเด็กหนุ่มผู้นั้นด้วย”
หยินหลางยังคงจับจ้องดาบมังกรเพลิงทมิฬอย่างไม่วางตา
เขาเชื่อว่าผู้ที่ตีดาบเล่มนี้ขึ้นมาจะต้องเป็นมีฝีมือระดับปรมาจารย์เป็นแน่
“ข้าเข้าใจแล้ว”
ซานหลางรีบเดินออกจากห้องพักของหยินหลางและกลับไปเฝ้าต้วนเจี้ยนตามเดิม
เมื่อเห็นว่าซานหลางกลับมาที่ห้อง
ต้วนเจี้ยนจึงถามออกไปทันที
“ที่นี่คือที่ใดกัน
ใช่ถ้ำที่ข้าเห็นก่อนหน้านี้หรือไม่?”
“หากอยู่ในถ้ำแห่งนั้น
ไม่เพียงแต่แต่เจ้า แม้แต่พวกข้าทุกคนก็คงถูกพวกอสูรจับกินไปจนหมดแล้ว นี่คือถ้ำเล็ก
ๆ ที่พวกข้าค้นพบโดยบังเอิญและใช้เป็นที่ซุกซ่อนตัวจากทางการเท่านั้น”
ซานหลางพูดพร้อมกับหัวเราะ กับคำถามที่ฟังดูราวกับเป็นคนโง่จากต้วนเจี้ยน
“ถ้าเช่นนั้น
ถ้ำแห่งนี้ก็อยู่ในเมฆหมอกของอาณาจักรซากทมิฬ
เจ้าไม่กลัวว่าพวกอสูรจะบุกมาโจมตีหรืออย่างไร?” ต้วนเจี้ยนถามออกไปด้วยความสงสัย
“พวกข้าอาศัยอยู่ในถ้ำแห่งนี้มาเกือบสิบปี
ข้ายังไม่เคยเห็นพวกมันออกมาจากถ้ำอสูรแม้แต่ครั้งเดียว”
ซานหลางตอบกลับไปอย่างเย้ยหยัน
ต้วนเจี้ยนคิดถึงสิ่งที่ได้ฟังมาจากหยินหลางก่อนหน้านี้
อสูรเหล่านี้แพ้แสงดวงอาทิตย์ การที่ไม่ออกมาจากถ้ำอสูร คงเป็นเพราะเหตุผลข้อนี้
แต่ว่าด้วยเมฆหมอกที่ปกคลุมอาณาจักรนี้อยู่
ก็ทำให้แสงดวงอาทิตย์ไม่อาจสาดส่องผ่านมาได้
ถ้าเช่นนั้นพวกอสูรก็ต้องสามารถอยู่ภายในเมฆหมอกเหล่านี้ได้เช่นกัน
ดังนั้นถ้ำแห่งนี้ก็คงไม่ใช่สถานที่ ที่ปลอดภัยเท่าใดนัก
ทันใดนั้นก็มีเสียงตะโกนดังไปทั่ว และทั่วทั้งถ้ำดูเหมือนว่าจะสั่นสะเทือนราวกับว่าจะถล่มลงมา
“อสูรมังกรเพลิงสีชาดบุกมาที่ถ้ำของเรา
รีบหลบหนีเร็วเข้า!” มีชายคนหนึ่งเปิดประตูเข้ามาและแจ้งข่าวแก่ซานหลาง...........จบตอน
แต่งโดย นายมะพร้าว
Scroll to Top