test

เมนู นิยาย บน

เมนูมังงะ

21 ม.ค. 2560

Tales of Demons & Gods Next Legend บทที่ 444.88 อาณาจักรเทพวายุ




          เว่ยหนาน จางหมิง และซูเซียงจิ้ง ได้มาถึงอาณาจักรเทพวายุ เบื้องหน้าของพวกเขาเป็นเมืองขนาดใหญ่ ที่ห้อมล้อมไปด้วยทุ่งดอกไม้ที่เขียวขจี สามลมที่พัดพากลิ่นดอกไม้ที่หอมหวล ราวกับทำให้ร่างกายของพวกเขาล่องลอยไปได้

 

          พวกเขาเดินเข้าไปในเมืองก็พบว่า อณาจักรนี้ก็เป็นอีกหนึ่งอาณาจักรที่มนุษย์และอสูรอยู่ร่วมกันได้ ผู้ปกครองของอาณาจักรแห่งนี้คือตระกูล วายุสวรรค์ [:เทียนฟง] ซึ่งเป็นตระกูลเก่าแก่ของเมือง ราชาคนเก่าได้แต่งงานกับอสูร เมื่อตระกูลวายุสวรรค์ได้เกี่ยวดองกับพวกอสูร จึงประกาศกฏของเมืองออกมาว่าให้มนุษย์และอสูรอยู่ร่วมกันได้ จนเมื่อราชาที่เป็นมนุษย์สิ้นไป ราชินีผู้เป็นอสูรจึงขึ้นปกครองอาณาจักรแห่งนี้แทน ซึ่งชาวเมืองล้วนอยู่กันอย่างมีความสุข

 

          หลังจากที่เดินเข้ามาในเมือง ก็ได้พบเดินมนุษย์และอสูรอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย เมื่อเดินไปถึงหน้าบ่อนแห่งหนึ่งจางหมิงนึกสนุกจึงบอกว่ากับ เว่ยหนานและซูเซียงจิ้งว่าจะเข้าไปหาข้อมูล สุดท้ายก็ไม่ได้ข่าวอะไรกลับมา พร้อมกับเสียศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณไปถึงหนึ่งร้อยก้อน จางหมิงคิดจะเล่นต่อเพื่อเอาทุนคืน แต่ก็ถูกเว่ยหนานกับซูเซียงจิ้งลากออกมาจากบ่อน พร้อมกับถูกเขกหัวไปหนึ่งที

 

          “ข้าคิดว่าพวกเราควรจะหาที่พักกันได้แล้ว” ซูเซียงจิ้งเสนอความเห็นออกไป การเดินพูดคุยกันในเมือง จะเป็นเป้าสายตามากเกินไป

 

          “ตกลง ข้าเองก็หิวมากแล้ว พวกเราจะได้หาอะไรทานกันด้วย” เว่ยหนานตอบกลับไป พร้อมกับที่ท้องของเขาเริ่มมีเสียงดังออกมา

 

          “พวกเจ้าระวังตัวให้ดี เมืองนี้นับได้ว่าสงบไม่น้อย แต่ข้ารู้สึกแปลก ๆ อยู่บ้าง” ซูเซียงจิ้งกวาดสายตาไปโดยรอบ แม้ว่าจะเห็นผู้คนเดินขวักไขว่ แต่มีอะไรบางอย่างที่เขารู้สึกว่าไม่ปกติ หลังจากที่พวกเขาออกจากบ่อนมา

 

          “เจ้าก็คิดมากเกินไป เนี่ยลี่ก็บอกเอาไว้ว่าอีกเจ็ดวันจะมารับพวกเรา ดังนั้นอาณาจักรแห่งนี้คงไม่อันตรายเท่าใดนัก” จางหมิงแย้งกลับไป เขาคิดว่าซูเซียงจิ้งนั้นหวาดระแวงมากเกินไป

 

          เนื่องจากจางหมิงนั้น แยกไปฝึกฝนที่นิกายร้อยบุพผาสวรรค์ เขาจึงไม่ทราบว่าในนิกายเทพไร้ลักษณ์นั้น ซูเซียงจิ้งมีสัมผัสที่แม่นยำยิ่งนัก ในเวลานี้พวกเขากำลังถูกคนกลุ่มหนึ่งจับตามองอยู่

 

          ซูเซียงจิ้งไม่ต้องการที่จะโต้เถียงกับจางหมิง จึงเดินนำไปยังโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งและได้ขอเปิดห้องพักขนาดใหญ่ ที่นอนพักได้สามคน

 

          “เสี่ยวเอ้อจัดเตรียมสุราและอาหารมาให้พวกข้าที่ห้องพัก” จางหมิงโยนศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณก้อนหนึ่งไปให้แก่เสี่ยวเอ้อที่พาพวกเขามายังห้องพัก

 

          “ขอรับ” เสี่ยวเอ้อรับศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณไป พร้อมกับลงไปจัดเตรียมอาหารทันที

 

หลังจากนั้นไม่นานเสี่ยวเอ้อก็ได้นำสุราและอาหารมาส่งที่ห้องพัก  หลังจากที่เสี่ยวเอ้อออกจากห้องพักไป ทั้งสามคนก็มานั่งที่โต๊ะทันที

 

จางหมิงหยิบแหวนห้วงมิติสำหรับเก็บของออกมาอันหนึ่ง พร้อมกับโยนเทสุราและอาหารทิ้งไปข้างในแหวน ส่วนเว่ยหนานก็นำหมั่นโถและน้ำชาออกมาจากแหวนห้วงมิติสำหรับเก็บของ ของเขาออกมาแบ่งให้ทุกคนทาน

 

          “ข้านั้นฝึกฝนที่นิกายร้อยบุพผาสวรรค์ ย่อมรู้จักกลิ่นของดอกไม้นับร้อยชนิด ไม่คิดเลยว่าพวกเขาคิดจะวางยาพิษจาก ดอกไม้นิทราสามราตรี พวกเราตั้งแต่วันแรกเช่นนี้ ดูเหมือนว่าเจ้าจะคิดไม่ผิดนะซูเซียงจิ้ง” จางหมิงพูดขึ้นมาด้วยความไม่พอใจด้วยเสียงที่ไม่ดังมากนัก จางหมิงนั้นรู้จักพิษที่สกัดจากพืชพรรณนานาชนิด ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดสามารถวางลอบวางยาพิษเขาได้

 

          หลังจากนั้นราวสองชั่วยาม ทั้งสามคนแกล้งทำเป็นนอนหลับ มีคนเปิดประตูห้องพักของพวกเขาเข้ามา ทั้งสามคนสัมผัสได้ถึงระดับพลังของพวกเขาได้ว่า เป็นยอดฝีมือระดับเทพสงครามขั้นที่สองจำนวนสองคนและขั้นที่สามอีกหนึ่งคน เนื่องจากพวกเขาทั้งสามปิดกั้นระดับพลังของตนเองเอาไว้ในระดับเทพสงครามขั้นที่หนึ่ง อีกฝ่ายจึงส่งยอดฝีมือระดับเทพสงครามมาจัดการกับพวกเขา

 

          ซูเซียงจิ้งที่อยู่ใกล้ประตูที่จุด นำพู่กันสวรรค์ออกมาและเขียนลวดลายอาคมไว้ที่ประตูทันที หมึกของพู่กันสวรรค์ก็คือพลังสวรรค์ของซูเซียงจิ้งเอง เมื่อเขาเขียนลวดลายอาคมด้วยพู่กันและพลังสวรรค์ของเขา ลวดลายอาคมนั้นก็จะทำงานทันที เช่นลวดลายอาคมในคราวนี้จะทำให้เกิดม่านพลังปิดกั้นประตูเอาไว้ทำให้ไม่มีใครที่สามารถเปิดหรือทำลายได้

 

          “อาหารใส่ยาพิษเหล่านั้นพวกข้าไม่ได้ทานลงไปแม้แต่คำเดียว หากคิดจะวางยาพิษข้า จะต้องหาพิษที่ไร้สีไร้กลิ่น หากไม่ใช้พิษเช่นนั้น มันก็ไม่อาจอาจรอดพ้นจมูกของข้าไปได้” จางหมิงลุกขึ้นมานั่งพร้อมกับพูดออกไป

 

          “อย่าคิดที่จะขยับตัวเป็นอันขาด ถ้าหากไม่ยอมเชื่อฟัง ร่างของพวกเจ้าอาจจะทะลุเป็นรูได้นะ” เว่ยหนานที่นั่งอยุ่บนที่นอน ได้จัดเตรียมอาวุธของเขาไว้พร้อมแล้ว หากผู้บุกรุกทั้งสามคิดที่จะขัดขืน

 

          หลังจากนั้นซูเซียงจิ้งก็เดินไปจุดตะเกียง และพบว่า ผู้บุกรุกทั้งสามเป็นหญิงสาวที่สวมชุดปิดบังใบหน้าเอาไว้ พวกนางนั้นยังคงสับสน เนื่องจากทั้งสามคนนั้นดูราวกับไม่ใช่ผู้ที่มีพลังในระดับเทพสงครามขั้นที่หนึ่งดั่งที่พวกนางสัมผัสได้

 

          “ใครส่งพวกเจ้ามา และส่งมาด้วยเหตุผลอันใดกัน?” ซูเซียงจิ้งถามออกไป

 

          “พวกข้าคือกองกำลังสลายวายุ บ่อนและโรงเตี๊ยมนี้เป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังของพวกเรา พวกเขาแจ้งมาว่ามีชายแปลกหน้าสามคนได้มาเล่นที่บ่อนและเปิดห้องพักที่นี่ แม้ว่าจะเสียเงินที่บ่อนไม่น้อยแต่ก็ไม่มีท่าทางที่ร้อนใจ พวกข้าจึงเชื่อว่าพวกท่านนั้นต้องมีเงินอีกจำนวนไม่น้อย  พวกข้าจึงมาตรวจสอบและขโมยสมบัติของพวกท่าน” หญิงที่ดูเหมือนว่าจะเป็นผู้นำกลุ่ม เปิดผ้าคลุมออกและตอบกลับไป แม้ว่าจะถอดผ้าคลุมไปแล้ว แต่ที่ใบหน้าของนางยังมีผ้าที่ใช้ปิดบังส่วนปากและจมูกเอาไว้ แม้ว่าจะเห็นเพียงเท่านี้ ก็ยังสามารถมองเห็นความงดงามของนางได้ จากผิวพรรณบนใบหน้า และผมที่ยาวไปจนถึงกลางหลัง อายุของนางนั้นรุ่นราวคราวเดียวกับพวกเขา

 

          “พี่ใหญ่ ทำไมต้องเปิดเผยตัวและบอกความจริงแก่พวกมันด้วย” ยอดฝีมืออีกสองคนพูดขึ้นมาด้วยความตกใจ

 

          “พวกเขาไม่ใช่คนชั่ว และดูเหมือนว่าพวกเขาจะปกปิดพลังที่แท้จริงเอาไว้ หากพวกเราขัดขืน ก็ไม่เกิดประโยชน์อันใด” หญิงที่เปิดผ้าคลุมหน้าหันไปพูดกับอีกสองคนที่เหลือ

 

          “ข้านั้นมีนามว่า ฉุนฟง [纯风:สายลมแห่งความบริสุทธิ์] เป็นผู้นำของกองกำลังสลายวายุ ข้าขออภัยที่เสียมารยาทต่อพวกท่าน ขอให้พวกท่านโปรดเมตตาได้โปรดปล่อยข้าและน้องสาวไปด้วยเถิด ข้าจะขอชดใช้ความผิดทั้งหมดแทนน้องสาวของข้า” ฉุนฟงประสานมือพร้อมกับคุกเข่าขอร้องซูเซียงจิ้ง

 

          ซูเซียงจิ้งนั้นถึงกับตกใจเป็นอย่างยิ่ง หญิงสาวผู้นี้งดงามทั้งใบหน้าและจิตใจ นางยินดีที่จะสละตนเองเพื่อให้พี่น้องของนางปลอดภัย

 

          “ลุกขึ้นได้แล้ว เว่ยหนาน จางหมิง พวกเราไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำร้ายผู้ใด ลดอาวุธลงได้แล้ว” ซูเซียงจิ้งหันไปบอกกับทั้งสองคน

 

          “พวกข้าก็ไม่ต้องการที่จะร้ายผู้หญิงเช่นกัน ขออภัยที่ทำให้ตกใจ” เว่ยหนานและจางหมิงลดอาวุธของพวกเขาลง แต่ถึงแม้ว่าจะถือไว้ ก็ไม่มีใครคิดว่าสิ่งที่พวกเขาถืออยู่นั้นจะเป็นอาวุธ เพราะอาวุธของจางหมิงคือขลุ่ยหยกสวรรค์ ส่วนอาวุธของเว่นหนานนั้นคือลูกคิดทองคำ

 

          เมื่อเห็นว่าทั้งสามคนไม่ได้มีท่าทีที่จะทำร้ายพวกนาง อีกสองคนที่เหลือจึงยอมเปิดผ้าคลุมออก แต่ก็สามารถมองเห็นได้เพียงแววตาของพวกนางเท่านั้น แต่นั่นก็ทำให้เว่ยหนานและจางหมิงอดที่จะใจเต้นไม่ได้

 

          “ข้ามีนามว่าเชวี่ยฟง [悫风:สายลมแห่งความจริงใจ] ส่วนน้องเล็กของข้านางมีนามว่า  ฮุ่ยฟง [惠风:สายลมแห่งความเมตตา]” เชวี่ยฟงแนะนำตัวเองและน้องสาวแก่ทั้งสามคน

 

          “พวกข้าทั้งสามมีนามว่า ซูเซียงจิ้ง เว่ยหวาน และ จางหมิง พวกเรามานั่งโต๊ะคุยกันเถิด เรื่องก่อนหน้านี้ขอให้คิดเสียว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น” ซูเซียงจิ้งแนะนำตัวกลับไปพร้อมกับเชิญทุกคนมานั่งที่โต๊ะ

 

          “กองกำลังสลายวายุ คืออะไรกัน พวกเจ้าก่อตั้งมาด้วยเหตุผลใดกัน?” ซูเซียงจิ้งเอ่ยถามพร้อมกับจับจ้องไปที่ใบหน้าของฉุนฟง

 

          “ข้าจะพูดโดยไม่ปิดบัง กองกำลังของข้าก่อตั้งมาเพื่อต่อต้านราชินีผู้ปกครองอาณาจักรแห่งนี้ เสิ่นฟง [神风:เทพวายุ]” ฉุนฟงตอบกลับไปด้วยท่าทีที่จริงจัง

 

          “หมายความว่าพวกเจ้าคิดที่จะก่อกบฏเช่นนั้นหรือ?” เว่ยหนานถามด้วยความตกใจ

 

          “การนำสิ่งที่เคยเป็นของบรรพชนกลับคืนมานั้นหาใช่การกบฏไม่!” เชวี่ยฟงใช้มือทุบโต๊ะและแย้งกลับไป

 

          “หากถามกันเช่นนี้คงต้องใช้เวลาทั้งคืนเป็นแน่ พวกเจ้าช่วยเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้พวกข้าฟังได้หรือไม่?” ซูเซิยงจิ้งพูดแทรกขึ้นมา

 

          “พี่ใหญ่ จะมีประโยชน์อันใดหากเล่าให้พวกเขาฟัง” ฮุ่ยฟงที่เป็นน้องเล็ก พูดแทรกขึ้นมา เมื่อเห็นว่าพี่ใหญ่ของนางกำลังจะเล่าทุกอย่างออกไป

 

          “พวกข้านั้นไม่ใช่คนของเมืองนี้ และพวกข้าก็มีความลับบอกแก่พวกเจ้าเป็นการตอบแทน พวกข้ามาที่อาณาจักรแห่งนี้เพื่อค้นหาของสิ่งหนึ่ง และข้าเชื่อว่าของสิ่งนั้นจะต้องอยู่ในมือของผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักรแห่งนี้” จางหมิงพูดออกไป

 

          “จางหมิง!” ซูเซียงจิ้งเรียกเพื่อให้จางหมิงไม่พูดอะไรมากไปกว่านี้

 

          เมื่อได้ยินคำพูดของจางหมิง พวกนางทั้งสามต่างก็ประหลาดใจยิ่งนัก ชายสามคนที่อยู่เบื้องหน้าพวกนาง คิดที่จะขโมยของบางสิ่งที่พวกเขาเชื่อว่าอยู่ที่ผู้ปกครองอาณาจักรแห่งนี้

 

          “พวกข้าสามารถช่วยพวกท่านหาของสิ่งนั้นได้ ดังนั้นพวกข้าขอให้ท่านได้โปรดช่วยเหลือพวกเราด้วย” ฉุนฟงประสานมือพร้อมกับพูดออกไป

 

          “ระดับพลังของพวกเจ้านั้นก็เหนือล้ำกว่าพวกข้า เหตุใดจึงยอมลดตัวขอร้องพวกข้าเช่นนี้” เว่ยหนานถามออกไปด้วยความสงสัย พวกเขาปกปิดพลังระดับขอบเขตแห่งพระเจ้าเอาไว้ด้วยศิลาเร้นเมฆา จึงเป็นไปไม่ได้ที่พวกนางจะสัมผัสถึงพลังที่แท้จริงของพวกเขาได้

 

          “ข้าจะเล่าทุกอย่างให้พวกท่านฟัง เดิมทีอาณาจักรเทพวายุนั้น ถูกปกครองโดยบรรชนของข้า ก่อนที่พวกเขาจะเกี่ยวดองกับพวกอสูร หลังจากที่มีการเกี่ยวดองกับพวกอสูรแล้ว ผู้คนต่างคิดว่า อาณาจักรแห่งนี้จะกลายเป็นอาณาจักรที่แสนสงบสุข ที่มนุษย์และอสูรอยู่ร่วมกันได้” ฉุนฟงค่อย ๆ เล่าอย่างช้า ๆ

 

          “แต่ในความเป็นจริง พวกอสูรที่ได้เกี่ยวดองกับผู้ปกครองนคร พวกมันยังคงวางแผนที่จะกำจัดมนุษย์อยู่เช่นเดิม ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่แท้จริงกลับแฝงไว้ด้วยความคิดอันชั่วร้าย พ่อแม่ของข้าที่เป็นถึงน้องชายของราชา และได้รู้ความจริงในข้อนี้ ก็ถูกพวกมันสังหารด้วยข้อกล่าวหาว่าพวกเขาเป็นกบฏ” เชวี่ยฟงเล่าต่อด้วยความเจ็บแค้น

 

          “พวกข้าสามพี่น้องจึงได้ก่อตั้งกองกำลังขึ้นมาเ พื่อที่จะรวบรวมกำลังคนต่อสู้เพื่อชิงเอาอำนาจการปกครองกลับคืนสู่มนุษย์” ฮุ่ยฟงกล่าวสรุป

 

          “เรื่องใหญ่เช่นนี้ พวกข้าไม่อาจตัดสินใจได้ในทันที พรุ่งนี้ขอให้พวกเจ้ากลับมารับคำตอบอีกครั้ง” ซูเซียงจิ้งถอนหายใจ และพูดออกไป เรื่องนี้ใหญ่เกินกว่าที่เขาคิดเอาไว้ แต่เขาก็รับรู้ได้ว่าพวกนางยังปิดบังบางเรื่องเอาไว้ และพยายามไม่พูดถึงสิ่งที่เขาได้สอบถามไปก่อนหน้านี้อีกด้วย

 

          เขาลุกขึ้นยืนพร้อมกับเดินไปยังประตู และใช้พู่กันคลายผนึกที่เขาเขียนเอาไว้ และเชิญพวกนางออกไป

 

          หลังจากที่พวกนางออกไปแล้ว ทั้งสามคนหันมาสบตากัน พร้อมกับเผยรอยยิ้มที่มุมปาก พวกเขาเป็นพี่น้องที่ไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากก็รู้ได้ว่าอีกฝ่ายคิดเช่นใด

 

          เช้าวันต่อมาเสี่ยวเอ้อได้นำสุราและอาหารมาให้ ซึ่งในครั้งนี้เป็นสุราและอาหารชั้นดี ที่ไม่มีพิษผสมอยู่แม้แต่น้อย ทำให้ทั้งสามได้ดื่มและทานกันอย่างสบายใจ

 

          ในวันนั้นพวกเขาก็เดินออกไปหาข่าวจากในเมือง และได้เห็นว่า ผู้คนต่างมีความสุขกัน อสูรและมนุษย์นำสิ่งของมาซื้อขายกัน โดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะเป็นเผ่าพันธุ์ใด หากเป็นดั่งที่พวกนางพูดเอาไว้ ก็ย่อมหมายความว่าอสูรเหล่านี้กำลังใส่หน้ากากต่อหน้ามนุษย์

 

          แม้ว่าจะเป็นคนจากนอกอาณาจักรก็สามารถที่จะเข้าพบกับราชินีได้ พวกเขาจึงตัดสินใจที่จะขอเข้าพบกับราชีนี เพื่อสืบหาความจริง

 

          ราชินีของอาณาจักรแห่งนี้แท้จริงแล้วก็ไม่ใช่อสูรที่น่ากลัวดั่งที่พวกเขาคิดเอาไว้ นางมีรูปลักษณ์ราวกับเทพธิดาเสียมากกว่า รูปร่างและหน้าตาของนางนั้นดูไม่ผิดเพี้ยนไปจากมนุษย์ แต่นางนั้นมีปีกที่มีประกายสีทั้งเจ็ดอยู่ และที่หน้าผากของนางก็มีหนวดที่ดูราวกับผีเสื้อ และที่แขนของนางก็มีเกราะที่ดูราวกับเปลือกแมลงห่อหุ้มอยู่ ทำให้เห็นได้ชัดว่านางนั้นมิใช่มนุษย์แต่อย่างใด

 

          พวกเขาทั้งสามแจ้งแก่ราชินีว่า พวกเขาเดินทางมาต่างต่างอาณาจักรเพื่อทำการค้า ราชีนีจึงมอบหนังสือรับรองให้แก่พวกเขา เพื่อที่จะทำการค้าในเมืองได้อย่างสะดวก ซึ่งซูเซียงจิ้งได้ตอบแทนโดยการเขียนอักษรตัวหนึ่งให้แก่ราชินี อักษรตัวนั้นคือคำว่าเฉียว ที่แปลว่า งดงาม ซึ่งเป็นที่ทรงโปรดของราชินียิ่งนัก จนถึงกับบอกให้คนรับใช้นำไปติดที่ห้องนอนของนาง และเชิญพวกเขามาดื่มชาอีกในอีกสองวันข้างหน้า

 

          หลังจากที่ขอกล่าวลาราชินีแล้ว เมื่อพวกเขาเดินพ้นเขตตำหนักราชินี ซูเซียงจิ้งก็หันมาสบตากับเว่ยหนานและจางหมิง พร้อมกับพูดออกไปว่า

 

 “ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะเป็นดั่งที่พวกเราคิดเอาไว้”

 

ซึ่งเว่ยหนานและจางหมิงพยักหน้าตอบรับในทันที.......................จบตอน


แต่งโดย นายมะพร้าว


 

         

         


เมนู นิยาย ล่าง

เมนู มังงะ ล่าง