Tales of Demons & Gods Next Legend บทที่ 444.88 อาณาจักรเทพวายุ
เว่ยหนาน จางหมิง
และซูเซียงจิ้ง ได้มาถึงอาณาจักรเทพวายุ เบื้องหน้าของพวกเขาเป็นเมืองขนาดใหญ่
ที่ห้อมล้อมไปด้วยทุ่งดอกไม้ที่เขียวขจี สามลมที่พัดพากลิ่นดอกไม้ที่หอมหวล
ราวกับทำให้ร่างกายของพวกเขาล่องลอยไปได้
พวกเขาเดินเข้าไปในเมืองก็พบว่า
อณาจักรนี้ก็เป็นอีกหนึ่งอาณาจักรที่มนุษย์และอสูรอยู่ร่วมกันได้
ผู้ปกครองของอาณาจักรแห่งนี้คือตระกูล วายุสวรรค์ [天风:เทียนฟง] ซึ่งเป็นตระกูลเก่าแก่ของเมือง ราชาคนเก่าได้แต่งงานกับอสูร
เมื่อตระกูลวายุสวรรค์ได้เกี่ยวดองกับพวกอสูร
จึงประกาศกฏของเมืองออกมาว่าให้มนุษย์และอสูรอยู่ร่วมกันได้ จนเมื่อราชาที่เป็นมนุษย์สิ้นไป
ราชินีผู้เป็นอสูรจึงขึ้นปกครองอาณาจักรแห่งนี้แทน
ซึ่งชาวเมืองล้วนอยู่กันอย่างมีความสุข
หลังจากที่เดินเข้ามาในเมือง
ก็ได้พบเดินมนุษย์และอสูรอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย
เมื่อเดินไปถึงหน้าบ่อนแห่งหนึ่งจางหมิงนึกสนุกจึงบอกว่ากับ
เว่ยหนานและซูเซียงจิ้งว่าจะเข้าไปหาข้อมูล สุดท้ายก็ไม่ได้ข่าวอะไรกลับมา
พร้อมกับเสียศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณไปถึงหนึ่งร้อยก้อน จางหมิงคิดจะเล่นต่อเพื่อเอาทุนคืน
แต่ก็ถูกเว่ยหนานกับซูเซียงจิ้งลากออกมาจากบ่อน พร้อมกับถูกเขกหัวไปหนึ่งที
“ข้าคิดว่าพวกเราควรจะหาที่พักกันได้แล้ว”
ซูเซียงจิ้งเสนอความเห็นออกไป การเดินพูดคุยกันในเมือง จะเป็นเป้าสายตามากเกินไป
“ตกลง ข้าเองก็หิวมากแล้ว
พวกเราจะได้หาอะไรทานกันด้วย” เว่ยหนานตอบกลับไป
พร้อมกับที่ท้องของเขาเริ่มมีเสียงดังออกมา
“พวกเจ้าระวังตัวให้ดี เมืองนี้นับได้ว่าสงบไม่น้อย
แต่ข้ารู้สึกแปลก ๆ อยู่บ้าง” ซูเซียงจิ้งกวาดสายตาไปโดยรอบ
แม้ว่าจะเห็นผู้คนเดินขวักไขว่ แต่มีอะไรบางอย่างที่เขารู้สึกว่าไม่ปกติ หลังจากที่พวกเขาออกจากบ่อนมา
“เจ้าก็คิดมากเกินไป
เนี่ยลี่ก็บอกเอาไว้ว่าอีกเจ็ดวันจะมารับพวกเรา
ดังนั้นอาณาจักรแห่งนี้คงไม่อันตรายเท่าใดนัก” จางหมิงแย้งกลับไป
เขาคิดว่าซูเซียงจิ้งนั้นหวาดระแวงมากเกินไป
เนื่องจากจางหมิงนั้น แยกไปฝึกฝนที่นิกายร้อยบุพผาสวรรค์
เขาจึงไม่ทราบว่าในนิกายเทพไร้ลักษณ์นั้น ซูเซียงจิ้งมีสัมผัสที่แม่นยำยิ่งนัก ในเวลานี้พวกเขากำลังถูกคนกลุ่มหนึ่งจับตามองอยู่
ซูเซียงจิ้งไม่ต้องการที่จะโต้เถียงกับจางหมิง
จึงเดินนำไปยังโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งและได้ขอเปิดห้องพักขนาดใหญ่ ที่นอนพักได้สามคน
“เสี่ยวเอ้อจัดเตรียมสุราและอาหารมาให้พวกข้าที่ห้องพัก”
จางหมิงโยนศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณก้อนหนึ่งไปให้แก่เสี่ยวเอ้อที่พาพวกเขามายังห้องพัก
“ขอรับ” เสี่ยวเอ้อรับศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณไป
พร้อมกับลงไปจัดเตรียมอาหารทันที
หลังจากนั้นไม่นานเสี่ยวเอ้อก็ได้นำสุราและอาหารมาส่งที่ห้องพัก หลังจากที่เสี่ยวเอ้อออกจากห้องพักไป
ทั้งสามคนก็มานั่งที่โต๊ะทันที
จางหมิงหยิบแหวนห้วงมิติสำหรับเก็บของออกมาอันหนึ่ง
พร้อมกับโยนเทสุราและอาหารทิ้งไปข้างในแหวน
ส่วนเว่ยหนานก็นำหมั่นโถและน้ำชาออกมาจากแหวนห้วงมิติสำหรับเก็บของ
ของเขาออกมาแบ่งให้ทุกคนทาน
“ข้านั้นฝึกฝนที่นิกายร้อยบุพผาสวรรค์
ย่อมรู้จักกลิ่นของดอกไม้นับร้อยชนิด ไม่คิดเลยว่าพวกเขาคิดจะวางยาพิษจาก
ดอกไม้นิทราสามราตรี พวกเราตั้งแต่วันแรกเช่นนี้
ดูเหมือนว่าเจ้าจะคิดไม่ผิดนะซูเซียงจิ้ง”
จางหมิงพูดขึ้นมาด้วยความไม่พอใจด้วยเสียงที่ไม่ดังมากนัก
จางหมิงนั้นรู้จักพิษที่สกัดจากพืชพรรณนานาชนิด
ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดสามารถวางลอบวางยาพิษเขาได้
หลังจากนั้นราวสองชั่วยาม
ทั้งสามคนแกล้งทำเป็นนอนหลับ มีคนเปิดประตูห้องพักของพวกเขาเข้ามา
ทั้งสามคนสัมผัสได้ถึงระดับพลังของพวกเขาได้ว่า
เป็นยอดฝีมือระดับเทพสงครามขั้นที่สองจำนวนสองคนและขั้นที่สามอีกหนึ่งคน เนื่องจากพวกเขาทั้งสามปิดกั้นระดับพลังของตนเองเอาไว้ในระดับเทพสงครามขั้นที่หนึ่ง
อีกฝ่ายจึงส่งยอดฝีมือระดับเทพสงครามมาจัดการกับพวกเขา
ซูเซียงจิ้งที่อยู่ใกล้ประตูที่จุด
นำพู่กันสวรรค์ออกมาและเขียนลวดลายอาคมไว้ที่ประตูทันที หมึกของพู่กันสวรรค์ก็คือพลังสวรรค์ของซูเซียงจิ้งเอง
เมื่อเขาเขียนลวดลายอาคมด้วยพู่กันและพลังสวรรค์ของเขา ลวดลายอาคมนั้นก็จะทำงานทันที
เช่นลวดลายอาคมในคราวนี้จะทำให้เกิดม่านพลังปิดกั้นประตูเอาไว้ทำให้ไม่มีใครที่สามารถเปิดหรือทำลายได้
“อาหารใส่ยาพิษเหล่านั้นพวกข้าไม่ได้ทานลงไปแม้แต่คำเดียว
หากคิดจะวางยาพิษข้า จะต้องหาพิษที่ไร้สีไร้กลิ่น หากไม่ใช้พิษเช่นนั้น
มันก็ไม่อาจอาจรอดพ้นจมูกของข้าไปได้” จางหมิงลุกขึ้นมานั่งพร้อมกับพูดออกไป
“อย่าคิดที่จะขยับตัวเป็นอันขาด
ถ้าหากไม่ยอมเชื่อฟัง ร่างของพวกเจ้าอาจจะทะลุเป็นรูได้นะ”
เว่ยหนานที่นั่งอยุ่บนที่นอน ได้จัดเตรียมอาวุธของเขาไว้พร้อมแล้ว
หากผู้บุกรุกทั้งสามคิดที่จะขัดขืน
หลังจากนั้นซูเซียงจิ้งก็เดินไปจุดตะเกียง
และพบว่า ผู้บุกรุกทั้งสามเป็นหญิงสาวที่สวมชุดปิดบังใบหน้าเอาไว้
พวกนางนั้นยังคงสับสน เนื่องจากทั้งสามคนนั้นดูราวกับไม่ใช่ผู้ที่มีพลังในระดับเทพสงครามขั้นที่หนึ่งดั่งที่พวกนางสัมผัสได้
“ใครส่งพวกเจ้ามา
และส่งมาด้วยเหตุผลอันใดกัน?” ซูเซียงจิ้งถามออกไป
“พวกข้าคือกองกำลังสลายวายุ บ่อนและโรงเตี๊ยมนี้เป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังของพวกเรา
พวกเขาแจ้งมาว่ามีชายแปลกหน้าสามคนได้มาเล่นที่บ่อนและเปิดห้องพักที่นี่
แม้ว่าจะเสียเงินที่บ่อนไม่น้อยแต่ก็ไม่มีท่าทางที่ร้อนใจ
พวกข้าจึงเชื่อว่าพวกท่านนั้นต้องมีเงินอีกจำนวนไม่น้อย พวกข้าจึงมาตรวจสอบและขโมยสมบัติของพวกท่าน”
หญิงที่ดูเหมือนว่าจะเป็นผู้นำกลุ่ม เปิดผ้าคลุมออกและตอบกลับไป
แม้ว่าจะถอดผ้าคลุมไปแล้ว แต่ที่ใบหน้าของนางยังมีผ้าที่ใช้ปิดบังส่วนปากและจมูกเอาไว้
แม้ว่าจะเห็นเพียงเท่านี้ ก็ยังสามารถมองเห็นความงดงามของนางได้ จากผิวพรรณบนใบหน้า
และผมที่ยาวไปจนถึงกลางหลัง อายุของนางนั้นรุ่นราวคราวเดียวกับพวกเขา
“พี่ใหญ่
ทำไมต้องเปิดเผยตัวและบอกความจริงแก่พวกมันด้วย” ยอดฝีมืออีกสองคนพูดขึ้นมาด้วยความตกใจ
“พวกเขาไม่ใช่คนชั่ว
และดูเหมือนว่าพวกเขาจะปกปิดพลังที่แท้จริงเอาไว้ หากพวกเราขัดขืน
ก็ไม่เกิดประโยชน์อันใด” หญิงที่เปิดผ้าคลุมหน้าหันไปพูดกับอีกสองคนที่เหลือ
“ข้านั้นมีนามว่า ฉุนฟง [纯风:สายลมแห่งความบริสุทธิ์]
เป็นผู้นำของกองกำลังสลายวายุ ข้าขออภัยที่เสียมารยาทต่อพวกท่าน
ขอให้พวกท่านโปรดเมตตาได้โปรดปล่อยข้าและน้องสาวไปด้วยเถิด
ข้าจะขอชดใช้ความผิดทั้งหมดแทนน้องสาวของข้า” ฉุนฟงประสานมือพร้อมกับคุกเข่าขอร้องซูเซียงจิ้ง
ซูเซียงจิ้งนั้นถึงกับตกใจเป็นอย่างยิ่ง
หญิงสาวผู้นี้งดงามทั้งใบหน้าและจิตใจ
นางยินดีที่จะสละตนเองเพื่อให้พี่น้องของนางปลอดภัย
“ลุกขึ้นได้แล้ว เว่ยหนาน จางหมิง
พวกเราไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำร้ายผู้ใด ลดอาวุธลงได้แล้ว”
ซูเซียงจิ้งหันไปบอกกับทั้งสองคน
“พวกข้าก็ไม่ต้องการที่จะร้ายผู้หญิงเช่นกัน
ขออภัยที่ทำให้ตกใจ” เว่ยหนานและจางหมิงลดอาวุธของพวกเขาลง แต่ถึงแม้ว่าจะถือไว้
ก็ไม่มีใครคิดว่าสิ่งที่พวกเขาถืออยู่นั้นจะเป็นอาวุธ
เพราะอาวุธของจางหมิงคือขลุ่ยหยกสวรรค์ ส่วนอาวุธของเว่นหนานนั้นคือลูกคิดทองคำ
เมื่อเห็นว่าทั้งสามคนไม่ได้มีท่าทีที่จะทำร้ายพวกนาง
อีกสองคนที่เหลือจึงยอมเปิดผ้าคลุมออก
แต่ก็สามารถมองเห็นได้เพียงแววตาของพวกนางเท่านั้น
แต่นั่นก็ทำให้เว่ยหนานและจางหมิงอดที่จะใจเต้นไม่ได้
“ข้ามีนามว่าเชวี่ยฟง [悫风:สายลมแห่งความจริงใจ] ส่วนน้องเล็กของข้านางมีนามว่า
ฮุ่ยฟง [惠风:สายลมแห่งความเมตตา]”
เชวี่ยฟงแนะนำตัวเองและน้องสาวแก่ทั้งสามคน
“พวกข้าทั้งสามมีนามว่า ซูเซียงจิ้ง
เว่ยหวาน และ จางหมิง พวกเรามานั่งโต๊ะคุยกันเถิด
เรื่องก่อนหน้านี้ขอให้คิดเสียว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น” ซูเซียงจิ้งแนะนำตัวกลับไปพร้อมกับเชิญทุกคนมานั่งที่โต๊ะ
“กองกำลังสลายวายุ คืออะไรกัน
พวกเจ้าก่อตั้งมาด้วยเหตุผลใดกัน?” ซูเซียงจิ้งเอ่ยถามพร้อมกับจับจ้องไปที่ใบหน้าของฉุนฟง
“ข้าจะพูดโดยไม่ปิดบัง
กองกำลังของข้าก่อตั้งมาเพื่อต่อต้านราชินีผู้ปกครองอาณาจักรแห่งนี้ เสิ่นฟง [神风:เทพวายุ]” ฉุนฟงตอบกลับไปด้วยท่าทีที่จริงจัง
“หมายความว่าพวกเจ้าคิดที่จะก่อกบฏเช่นนั้นหรือ?” เว่ยหนานถามด้วยความตกใจ
“การนำสิ่งที่เคยเป็นของบรรพชนกลับคืนมานั้นหาใช่การกบฏไม่!”
เชวี่ยฟงใช้มือทุบโต๊ะและแย้งกลับไป
“หากถามกันเช่นนี้คงต้องใช้เวลาทั้งคืนเป็นแน่
พวกเจ้าช่วยเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้พวกข้าฟังได้หรือไม่?”
ซูเซิยงจิ้งพูดแทรกขึ้นมา
“พี่ใหญ่
จะมีประโยชน์อันใดหากเล่าให้พวกเขาฟัง” ฮุ่ยฟงที่เป็นน้องเล็ก พูดแทรกขึ้นมา
เมื่อเห็นว่าพี่ใหญ่ของนางกำลังจะเล่าทุกอย่างออกไป
“พวกข้านั้นไม่ใช่คนของเมืองนี้ และพวกข้าก็มีความลับบอกแก่พวกเจ้าเป็นการตอบแทน
พวกข้ามาที่อาณาจักรแห่งนี้เพื่อค้นหาของสิ่งหนึ่ง และข้าเชื่อว่าของสิ่งนั้นจะต้องอยู่ในมือของผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักรแห่งนี้”
จางหมิงพูดออกไป
“จางหมิง!”
ซูเซียงจิ้งเรียกเพื่อให้จางหมิงไม่พูดอะไรมากไปกว่านี้
เมื่อได้ยินคำพูดของจางหมิง
พวกนางทั้งสามต่างก็ประหลาดใจยิ่งนัก ชายสามคนที่อยู่เบื้องหน้าพวกนาง
คิดที่จะขโมยของบางสิ่งที่พวกเขาเชื่อว่าอยู่ที่ผู้ปกครองอาณาจักรแห่งนี้
“พวกข้าสามารถช่วยพวกท่านหาของสิ่งนั้นได้
ดังนั้นพวกข้าขอให้ท่านได้โปรดช่วยเหลือพวกเราด้วย”
ฉุนฟงประสานมือพร้อมกับพูดออกไป
“ระดับพลังของพวกเจ้านั้นก็เหนือล้ำกว่าพวกข้า
เหตุใดจึงยอมลดตัวขอร้องพวกข้าเช่นนี้” เว่ยหนานถามออกไปด้วยความสงสัย
พวกเขาปกปิดพลังระดับขอบเขตแห่งพระเจ้าเอาไว้ด้วยศิลาเร้นเมฆา
จึงเป็นไปไม่ได้ที่พวกนางจะสัมผัสถึงพลังที่แท้จริงของพวกเขาได้
“ข้าจะเล่าทุกอย่างให้พวกท่านฟัง
เดิมทีอาณาจักรเทพวายุนั้น ถูกปกครองโดยบรรชนของข้า
ก่อนที่พวกเขาจะเกี่ยวดองกับพวกอสูร หลังจากที่มีการเกี่ยวดองกับพวกอสูรแล้ว ผู้คนต่างคิดว่า
อาณาจักรแห่งนี้จะกลายเป็นอาณาจักรที่แสนสงบสุข ที่มนุษย์และอสูรอยู่ร่วมกันได้”
ฉุนฟงค่อย ๆ เล่าอย่างช้า ๆ
“แต่ในความเป็นจริง
พวกอสูรที่ได้เกี่ยวดองกับผู้ปกครองนคร
พวกมันยังคงวางแผนที่จะกำจัดมนุษย์อยู่เช่นเดิม ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
แต่แท้จริงกลับแฝงไว้ด้วยความคิดอันชั่วร้าย พ่อแม่ของข้าที่เป็นถึงน้องชายของราชา
และได้รู้ความจริงในข้อนี้ ก็ถูกพวกมันสังหารด้วยข้อกล่าวหาว่าพวกเขาเป็นกบฏ”
เชวี่ยฟงเล่าต่อด้วยความเจ็บแค้น
“พวกข้าสามพี่น้องจึงได้ก่อตั้งกองกำลังขึ้นมาเ
พื่อที่จะรวบรวมกำลังคนต่อสู้เพื่อชิงเอาอำนาจการปกครองกลับคืนสู่มนุษย์”
ฮุ่ยฟงกล่าวสรุป
“เรื่องใหญ่เช่นนี้ พวกข้าไม่อาจตัดสินใจได้ในทันที
พรุ่งนี้ขอให้พวกเจ้ากลับมารับคำตอบอีกครั้ง” ซูเซียงจิ้งถอนหายใจ และพูดออกไป
เรื่องนี้ใหญ่เกินกว่าที่เขาคิดเอาไว้ แต่เขาก็รับรู้ได้ว่าพวกนางยังปิดบังบางเรื่องเอาไว้
และพยายามไม่พูดถึงสิ่งที่เขาได้สอบถามไปก่อนหน้านี้อีกด้วย
เขาลุกขึ้นยืนพร้อมกับเดินไปยังประตู
และใช้พู่กันคลายผนึกที่เขาเขียนเอาไว้ และเชิญพวกนางออกไป
หลังจากที่พวกนางออกไปแล้ว
ทั้งสามคนหันมาสบตากัน พร้อมกับเผยรอยยิ้มที่มุมปาก
พวกเขาเป็นพี่น้องที่ไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากก็รู้ได้ว่าอีกฝ่ายคิดเช่นใด
เช้าวันต่อมาเสี่ยวเอ้อได้นำสุราและอาหารมาให้
ซึ่งในครั้งนี้เป็นสุราและอาหารชั้นดี ที่ไม่มีพิษผสมอยู่แม้แต่น้อย
ทำให้ทั้งสามได้ดื่มและทานกันอย่างสบายใจ
ในวันนั้นพวกเขาก็เดินออกไปหาข่าวจากในเมือง
และได้เห็นว่า ผู้คนต่างมีความสุขกัน อสูรและมนุษย์นำสิ่งของมาซื้อขายกัน
โดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะเป็นเผ่าพันธุ์ใด หากเป็นดั่งที่พวกนางพูดเอาไว้
ก็ย่อมหมายความว่าอสูรเหล่านี้กำลังใส่หน้ากากต่อหน้ามนุษย์
แม้ว่าจะเป็นคนจากนอกอาณาจักรก็สามารถที่จะเข้าพบกับราชินีได้
พวกเขาจึงตัดสินใจที่จะขอเข้าพบกับราชีนี เพื่อสืบหาความจริง
ราชินีของอาณาจักรแห่งนี้แท้จริงแล้วก็ไม่ใช่อสูรที่น่ากลัวดั่งที่พวกเขาคิดเอาไว้
นางมีรูปลักษณ์ราวกับเทพธิดาเสียมากกว่า
รูปร่างและหน้าตาของนางนั้นดูไม่ผิดเพี้ยนไปจากมนุษย์
แต่นางนั้นมีปีกที่มีประกายสีทั้งเจ็ดอยู่
และที่หน้าผากของนางก็มีหนวดที่ดูราวกับผีเสื้อ และที่แขนของนางก็มีเกราะที่ดูราวกับเปลือกแมลงห่อหุ้มอยู่
ทำให้เห็นได้ชัดว่านางนั้นมิใช่มนุษย์แต่อย่างใด
พวกเขาทั้งสามแจ้งแก่ราชินีว่า พวกเขาเดินทางมาต่างต่างอาณาจักรเพื่อทำการค้า
ราชีนีจึงมอบหนังสือรับรองให้แก่พวกเขา เพื่อที่จะทำการค้าในเมืองได้อย่างสะดวก ซึ่งซูเซียงจิ้งได้ตอบแทนโดยการเขียนอักษรตัวหนึ่งให้แก่ราชินี
อักษรตัวนั้นคือคำว่าเฉียว 俏
ที่แปลว่า งดงาม ซึ่งเป็นที่ทรงโปรดของราชินียิ่งนัก จนถึงกับบอกให้คนรับใช้นำไปติดที่ห้องนอนของนาง
และเชิญพวกเขามาดื่มชาอีกในอีกสองวันข้างหน้า
หลังจากที่ขอกล่าวลาราชินีแล้ว
เมื่อพวกเขาเดินพ้นเขตตำหนักราชินี ซูเซียงจิ้งก็หันมาสบตากับเว่ยหนานและจางหมิง
พร้อมกับพูดออกไปว่า
“ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะเป็นดั่งที่พวกเราคิดเอาไว้”
ซึ่งเว่ยหนานและจางหมิงพยักหน้าตอบรับในทันที.......................จบตอน
แต่งโดย นายมะพร้าว
Scroll to Top