Tales of Demons & Gods Next Legend บทที่ 444.87 กิเลนสวรรค์
“กิเลนฟ้า เจ้าทำอะไรกัน?”
ตู่ซื่อทรุดลงกับพื้น ราวกับว่าเรี่ยวแรงของเขาถูกกิเลนฟ้าดึงไxจนหมด
กิเลนฟ้าเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว
ทำให้มองเห็นเพียงประกายแสงที่พุ่งไปมาเท่านั้น เข้าโจมตีกิเลนนรกอย่างต่อเนื่อง ดูราวกับเป็นการโจมตีหลายทิศทางพร้อม
ๆ กัน
กิเลนนรกที่เพิ่งจะบรรลุระดับขอบเขตแห่งพระเจ้า
ยังไม่สามารถควบคุมพลังได้ดีนัก ด้วยความเร็วของกิเลนฟ้านั้น
ทำให้กิเลนนรกไม่อาจป้องกันได้เลยแม้แต่น้อย
“การฝืนแยกออกมาจากร่างมนุษย์เช่นนี้
เจ้าจะมีชีวิตอยู่ได้แค่ไม่นานเท่านั้น คิดจะแลกชีวิตกับข้าเช่นนี้มันคุ้มแล้วหรือ?” กิเลนนรกตะโกนออกไป
การถูกโจมตีต่อเนื่องทำให้เขาเริ่มได้รับบาดเจ็บ
และรอยแผลที่ได้รับจากกิเลนฟ้านั้น จะมีสายฟ้าแฝงอยู่ด้วย
ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดอยู่ตลอดเวลา
“การล้างแค้นให้กับคนทรยศของเผ่าพันธุ์กิเลนเช่นเจ้า
มันย่อมคุ้มค่าอยู่แล้ว” กิเลนฟ้าตอบกลับไป
พร้อมกับใช้ปากงับเข้าที่คอของกิเลนนรกทันที จากนั้นก็หมุนตัวกระโดดสูงขึ้นไปบนฟ้า
ดั่งชื่อของกระบวนท่า กิเลนคืนสวรรค์
“ข้าไม่ยอมตายพร้อมกับเจ้าเป็นแน่!”
กิเลนนรกตะโกนด้วยความโกรธเกรี้ยว พร้อมกับใช้กรงเล็บแทงเข้าที่ลำตัวของกิเลนฟ้า
แม้ว่าจะเจ็บปวดจากบาดแผลที่ลำตัว
แต่กิเลนฟ้ายังคงกัดคอของกิเลนนรกไว้ไม่ยอมปล่อย และพุ่งทะยานสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ
“หากเจ้าและข้าตายไป
จะมีเพียงกิเลนเพลิงเท่านั้นที่มีชีวิต
เจ้าคิดที่จะให้สายเลือดกิเลนสูญสิ้นไปเช่นนั้นหรือ?” กิเลนนรกยังคงดิ้นรน
และใช้กรงเล็บแทงไปทั่วร่างของกิเลนฟ้า
ทั่วทั้งร่างของกิเลนฟ้าในตอนนี้เต็มไปด้วยเลือด
ในตอนนี้กิเลนฟ้านั้นได้หมดสติไปแล้ว
แต่ฟันของเขายังคงกัดแน่นที่คอของกิเลนนรก และดูเหมือนว่าเวลายิ่งผ่านไป
ฟันของกิเลนฟ้าก็ยิ่งกัดลึกลงไปมากยิ่งขึ้น
“ผู้ที่นำพาพวกอสูร
ให้มาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์กิเลนเช่นเจ้า
กล้าพูดว่าหลานข้าคิดจะทำให้สายเลือดกิเลนสูญสิ้นไปเช่นนั้นหรือ?
เมื่อใดกันที่เจ้าจะสำนึกในความผิดของตน” มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาในหัวของกิเลนนรก
เป็นเสียงที่เขายังคงจดจำได้ดี นี่คือเสียงของสหายของเขากิเลนสวรรค์นั่นเอง
“กิเลนสวรรค์
เจ้าคงเหลือเจตจำนงของตนเองไว้ไว้ที่ร่างหลานชายของเจ้าเช่นนั้นหรือ?” กิเลนนรกถามกลับไป
“ข้าเพียงแค่ผนึกเจตจำนงเอาไว้
ให้ปรากฏขึ้นมายามที่มีผู้ใช้กระบวนท่ากิเลนคืนสวรรค์เท่านั้น
บังเอิญว่าคนผู้นั้นกลับเป็นหลานของข้าก็เท่านั้น” กิเลนสวรรค์ตอบกลับไป
“แต่เจ้าคงจะผิดหวังที่ไม่ได้คุยกับหลานของเจ้า
เพราะเจ้าเด็กโง่นั้นหมดสติไปแล้ว” กิเลนนรกตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่เย้ยหยัน
ในตอนนี้กิเลนฟ้าและกิเลนนรกนั้นลอยขึ้นไปสูงหลายพันลี้แล้ว
“หลานชายข้านั้นมิได้โง่เง่า
แต่เป็นเด็กหนุ่มที่กล้าหาญ เจ้าต่างหากเล่าที่โง่เขลา เมื่อไหร่จะตาสว่างเสียที”
กิเลนสวรรค์ตะโกนกลับไป
“ข้านั้นมิได้ทำอะไรผิด
หากข้าไม่ทำเช่นนั้นข้าก็ไม่อาจมีชีวิตรอดมาจนถึงวันนี้
ความเจ็บแค้นที่เผ่าพันธุ์ของเราถูกสังหารข้านั้นมีอยู่เต็มหัวใจ
ในตอนนั้นไม่ว่าข้าจะเลือกหนทางใด เผ่าพันธุ์กิเลนของเราก็ต้องถูกพวกอสูรล่าสังหารอยู่ดี”
กิเลนนรกตอบกลับไปด้วยความคับแค้นใจ ไม่ว่าจะหนทางใดเผ่าพันธุ์กิเลนก็ต้องสูญสิ้น
เขาจึงเลือกที่จะเอาตัวรอดและเฝ้ารอวันที่จะล้างแค้นด้วยตัวเอง
“เจ้านั้นต้องใช้วิธีการดูดกลืนชีวิตผู้อื่นมากมาย
เพื่อที่จะบรรลุระดับพลังถึงขั้นนี้ได้
แต่หลานชายของข้าและสหายสามารถบรรลุพลังระดับนี้ได้โดยที่ไม่ต้องสังเวยชีวิตของผู้ใด”
กิเลนสวรรค์แย้งกลับไป
ด้วยคำพูดของกิเลนสวรรค์
นั้นราวกับเข็มนับหมื่นที่พุ่งเข้าทิ่มแทงหัวใจของเขา
หากเขามีความกล้าเพียงเศษเสี้ยวของกิเลนฟ้า และต่อสู้เพื่อปกป้องเผ่าพันธุ์กิเลน
บางทีเรื่องทั้งหมดอาจจะไม่ต้องจบลงดั่งที่เป็นมาก็ได้
น้ำตาสีดำค่อย ๆ
ไหลออกมาจากดวงตาของกิเลนนรก ตั้งแต่วันที่เขาทรยศเผ่าพันธุ์ของตนเอง
เขาก็ไม่เคยหลั่งน้ำตาเลยแม้แต่น้อย
แต่ในตอนนี้เขาเริ่มรับรู้ถึงความผิดที่เขาได้เคยก่อขึ้นมา
กิเลนนรกปล่อยให้เขากิเลนสีดำของเราหล่นลงไปที่ตัวของกิเลนฟ้า
และพูดขึ้นว่า
“เจ้าหลานชาย เขานี้คือชีวิตของข้า
เจ้าเป็นฝ่ายชนะจงรับสิ่งนี้ไป” ร่างกายของกิเลนนรกค่อย ๆ
กลายเป็นเมฆหมอกสีดำและเข้าไปอยู่ในเขาคู่นั้น
“หลานชายของข้า
เจ้านั้นยังไม่อาจเข้าถึงพลังที่แท้จริงของเจ้า ฟ้าและสวรรค์นั้นคือสิ่งเดียวกัน
ยามที่เจ้าเข้าถึงพลังที่แท้จริง เจ้าจะสามารถควบคุมพลังได้ทุกธาตุ
เจตจำนงที่เหลือของข้าจะส่งเจ้ากลับลงไปเบื้องล่าง
เจ้าจงทำให้เผ่าพันธุ์กิเลนของเราคงอยู่ต่อไป จงอย่าได้ลืมหน้าที่อันสำคัญนี้”
เจตจำนงสุดท้ายของกิเลนสวรรค์กลายเป็นแสงห่อหุ้มร่างกายของกิเลนฟ้าเอาไว้
จากนั้นร่างกายของกิเลนฟ้าก็ค่อย ๆ ลอยลงไปยังพื้นโลก [คำว่าฟ้าและสวรรค์คือสิ่งเดียวกันนั้น
เนื่องจากใช้ตัวอักษรคำว่า เทียน 天 เหมือนกัน ]
หลังจากที่ได้เห็นกิเลนฟ้าลอยลงมาจากฟ้า
พวกตู่ซื่อก็รับรู้ได้ทันทีว่าการต่อสู้นั้นจบลงไปแล้ว เมฆหมอกสีดำ
และสายฟ้าที่เคยมีอยู่ก่อนหน้านี้ก็สลายไปจนหมดแล้ว
ตู่ซื่อและคนอื่น ๆ
รีบไปรวมตัวกันที่ร่างของกิเลนนรก และได้เห็นว่าเขาสีดำของกิเลนนรกนั้นค่อย ๆ
หายเข้าร่างกิเลนฟ้าไป และเหลือเพียงแหวนห้วงมิติสำหรับเก็บของวงหนึ่งวางเอาไว้แทน
ในตอนนั้นเอง ร่างกายของกิเลนฟ้านั้นกลับค่อย ๆ
มีสีซีดลง ราวกับเป็นร่างวิญญาณที่กำลังจะสลายไป
ตู่ซื่อหันไปทางฮวาหั่วและเอ่ยถามด้วยความร้อนใจ
“กิเลนเพลิง ข้าต้องทำเช่นใดจึงจะนำกิเลนฟ้ากลับเข้ามาในร่างได้?”
“การฝืนแยกออกไปเช่นนั้น
ทำให้กิเลนฟ้าอยู่ในสภาพร่างวิญญาณ ต้องทำให้เขาฟื้นและกลับเข้าร่างของเจ้าด้วยตัวเอง”
กิเลนเพลิงพูดขึ้นมาด้วยความร้อนใจ
“เจ้าก็เห็นว่า
เขาได้รับบาดเจ็บหนักถึงเพียงนี้ หากรอให้เขาได้สติข้าเกรงว่ามันจะช้าเกินไป”
ตู่ซื่อพูดกลับไป
“ถ้าเช่นนั้นก็ต้องใช้การดูดซับเข้ามาด้วยกิเลนกลืนสวรรค์
แต่เจ้านั้นไร้ซึ่งกิเลนที่สถิตอยู่ในร่าง จะสามารถใช้กระบวนท่านั้นได้หรือ?”
กิเลนเพลิงพูดออกไปทันทีที่คิดขึ้นมาได้
“ได้หรือไม่ข้าก็จะลองดู”
ตู่ซื่อนับมือไปวางที่ร่างของกิเลนฟ้า และเริ่มใช้กระบวนท่ากิเลนกลืนสวรรค์
เพื่อดูดกลืนร่างของกิเลนฟ้าเข้าไป
ทุกอย่างยังคงนิ่งเฉย
ร่างกายของกิเลนฟ้าซีดจางลงไปเรื่อย ๆ
แต่ในห้วงขอบเขตวิญญาณของตู่ซื่อได้เกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างขึ้น
พลังสวรรค์ในห้วงขอบเขตวิญญาณของเขานั้นรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อน
ราวกับตอนที่ก่อรูปชะตาวิญญาณขึ้นมา แต่ในครั้งนี้กลับเป็นรูปปั้นกิเลนตัวเล็ก ๆ แทน
เมื่อบรรลุถึงระดับขอบเขตแห่งพระเจ้าผู้ฝึกวรยุทธกิเลนสวรรค์จะสามารถสร้างดวงจิตกิเลนขึ้นมาได้
ทำให้สามารถใช้กระบวนท่ากิเลนกลืนสวรรค์ได้โดยไม่ต้องผสานเข้ากับจิตอสูรสายเลือดกิเลนอีก
แต่จะไม่ได้รับคุณสมบัติการควบคุมธาตุต่าง ๆ ดั่งการผสานเข้ากับจิตอสูรกิเลนทั่ว ๆ
ไป
ทันทีที่สัมผัสได้ถึงดวงจิตกิเลนที่อยู่ภายในห้วงขอบเขตวิญญาณของตน
ตู่ซื่อจึงเริ่มใช้กระบวนท่ากิเลนกลืนสวรรค์อีกครั้ง
ร่างวิญญาณของกิเลนฟ้าค่อย ๆ
ถูกดูดซับเข้าไปในร่างกายของตู่ซื่ออีกครั้ง
และเข้าไปก่อรูปภายในห้วงขอบเขตวิญญาณของตู่ซื่อ เขาของกิเลนฟ้าเปลี่ยนเป็นสีดำ
และมีลักษณะเหมือนกับเขาของกิเลนนรก จากนั้นกิเลนฟ้าก็เริ่มได้สติ
“ดูเหมือนว่าข้าจะรอดมาได้เพราะท่านปู่
และเจ้านะตู่ซื่อ” กิเลนฟ้าพูดขึ้นมาพร้อมกับค่อย ๆ รักษาอาการบาดเจ็บตามร่างกาย
“ท่านปู่? เจ้าหมายถึงใครกัน”
ตู่ซื่อถามด้วยความสงสัย
“ข้าจะเล่าให้เจ้าฟังในภายหลัง”
กิเลนฟ้าตอบกลับไป เขาคิดอยู่ในใจว่า
‘ท่านปู่ ยามที่ข้านั้นไม่ได้สติ
ข้าได้ยินเสียงของท่านอย่างชัดเจน
ข้าสัญญาว่าจะทำให้เผ่าพันธุ์กิเลนของเราคงอยู่ต่อไป’
“ท่านอาจารย์ในแหวนวงนั้นมีอะไรอยู่ขอรับ?” เสี่ยวหนีเสิ่นถามออกไปด้วยความสงสัย
ฮวาหั่วหยิบแหวนขึ้นมาและมองเข้าไปด้านใน
นางต้องตกใจกับสิ่งที่ได้เห็นเป็นอย่างมาก
“นี่มัน มีกระจกข้ามภพอยู่ด้านใน
และยังมีดวงจิตกิเลนอยู่อีกเป็นจำนวนมากอีกด้วย” ฮวาหั่วหันไปพูดกับตู่ซื่อ
“กิเลนนรกรวบรวบดวงจิตกิเลนที่ถูกสังหารเอาไว้
มิน่าเล่าพวกเราจึงรวบรวมมาได้แค่สองดวงเท่านั้น”
ตู่ซื่อพูดเมื่อได้ยินคำพูดของฮวาหั่ว
ทั้งสองคนนั้นเสาะหาดวงจิตกิเลนจากทุกย่านการค้าที่พวกเขารู้จัก
และหาซื้อมาได้เพียงดวงจิตกิเลนวารีและกิเลนวายุเท่านั้น
เนื่องจากเป็นจิตอสูรสายเลือดโบราณที่หาได้ยากยิ่ง ทำให้ต้องจ่ายเงินไปไม่น้อย โชคดีที่ตู่ซื่อและฮวาหั่วนั้นได้รับเงินจำนวนมากมาจากเนี่ยลี่
ทำให้สามารถจ่ายเงินซื้อมาได้
“จากนี้ไป อาณาจักรแห่งนี้ก็สงบเสียที
เพราะดูเหมือนว่าจะไม่มีอสูรเหลืออยู่แม้แต่ตนเดียวแล้ว” ฮวาหั่วพูดด้วยความยินดี
“พวกเจ้าสามารถเข้าไปอาศัยอยู่ในเมืองมนุษย์ได้นะ หากมีใครรังแกพวกเจ้า
ข้าจะจัดการพวกมันเอง” เสี่ยวฉีหลิงหันไปพูดกับเหล่าเลือดผสม
“พวกข้าจะอยู่ที่เมืองอสูร
และจำทำให้มันรุ่งเรืองไม่ด้อยไปกว่าเมืองมนุษย์ของพวกเจ้า”
สหายของเสี่ยวหนีเสิ่นพูดพร้อมกับส่ายศีรษะเพื่อปฏิเสธ
การอยู่ร่วมกับมนุษย์นั้นไม่ใช่สิ่งที่พวกนางต้องการ
“จากนี้ไปเมืองอสูรจะเปลี่ยนเมืองสรวงสวรรค์ของพวกสายเลือดผสมอย่างพวกเรา
ข้าก็จะอยู่กับพวกเขา” เสี่ยวหนีเสิ่นพูดขึ้นมา
“เจ้าเป็นคู่หมั้นของข้านะ เหตุใดจึงไม่มาอยู่กับข้าเล่า?” เสี่ยวฉีหลิง
แย้งออกไปทันที
“เจ้ากิเลนน้อยบ้า ข้านั้นหมั้นหมายกับเจ้าตั้งแต่เมื่อใดกัน?”
เสี่ยวหนีเสิ่นผลักเสี่ยวฉีหลิงออกไปด้วยความเขินขาย
“เมืองทั้งสองก็อยู่ตรงกันข้ามกันเพียงเท่านี้
เจ้าจะทำให้เป็นเรื่องใหญ่ทำไมกัน กิเลนน้อย” ตู่ซื่อหันไปต่อว่าเสี่ยวฉีหลิง
“ขอรับท่านอาจารย์ แต่ท่านต้องเป็นเถ้าแก่สู่ขอให้เทพธิดาน้อยให้กับข้า
ข้าจึงจะยอมรับได้” เสี่ยวฉีหลิงก้มหน้ารับฟังแต่ก็ยังมีข้อเรียกร้องอยู่บ้าง
“หากเจ้าตั้งใจฝึกฝน และเลิกดื่มเหล้า
ข้าจะลองคิดเรื่องนี้ดู” ตู่ซื่อตอบกลับไปอย่างไม่สนใจใยดีเท่าใดนัก
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสี่ยวฉีหลิงก็หน้าเสีย ทำให้คนอื่น ๆ
นั้นอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้
ชาวเมืองมนุษย์นั้นต่างก็ยอมรับให้เสี่ยวฉีหลิงขึ้นเป็นผู้นำตระกูล
ฉีหลิง เพราะผู้นำตระกูลและผู้สืบทอดอันดับที่สูงกว่าเขานั้น
ไม่มีผู้ใดที่มีชีวิตเหลือรอดอีกแล้ว เขาได้แก้ไขกฏของเมือง
โดยให้พวกสายเลือดผสมสามารถข้ามมาซื้อขายสิ้นค้าภายในเมืองได้
และขอให้ทุกคนมองพวกสายผสมไม่ต่างจากมนุษย์ทั่ว ๆ ไป
ห้ามให้ผู้ใดรังแกพวกเขาเป็นอันขาด
ทางด้านเมืองอสูรนั้น
ตู่ซื่อและฮวาหั่วช่วยกันตรวจสอบว่ายังมีอสูรหลบซ่อนอยู่หรือไม่
และได้พบกับห้องสมบัติที่มีศิลาจิตวิญญาณอยู่เป็นจำนวนมาก พวกเขาจึงมอบหมายให้เสี่ยวหนีเสิ่นดูแลสมบัติเหล่านี้
หลังจากนั้น ตู่ซื่อก็ทำหน้าที่เป็นเถ้าแก่ให้เสี่ยวฉีหลิง
ในการหมั้นหมายกับเสี่ยวหนีเสิ่น เนื่องจากทั้งสองยังเด็กเกินไป
ตู่ซื่อจึงให้พวกเขาหมั้นหมายกันไว้ก่อนเท่านั้น
ตู่ซื่อได้บอกกับทั้งสองคนไปว่า อีกไม่นานจะมีสงครามครั้งใหญ่เกิดขึ้น
หากพวกเขาไม่อาจบรรลุระดับขอบเขตแห่งพระเจ้าได้
อย่าได้เข้าร่วมในสงครามขั้นนี้เป็นอันขาด
จากนั้นตู่ซื่อก็ได้มอบยาทิพย์ที่เหลืออยู่แก่ทั้งสองคน
เพื่อใช้ในการบ่มเพาะพลังต่อไป
หลังจากที่ผ่านไปสิบห้าวัน เนี่ยลี่ก็ได้มารับตู่ซื่อและฮวาหั่วกลับ
จากการเดินทางในครั้งนี้ทำให้ตู่ซื่อและฮวาหั่นนั้นสามารถบรรลุระดับขอบเขตแห่งพระเจ้าขั้นที่สองได้
และใกล้ที่จะบรรลุขั้นที่สามแล้วอีกด้วย
เนื่องจากกิเลนฟ้าและกิเลนเพลิงนั้นมีพลังสูงขึ้นมาก.......จบตอน
แต่งโดย นายมะพร้าว
Scroll to Top