Tales of Demons & Gods Next Legend บทที่ 444.83 กิเลนนรก
ผู้สืบทอดอันดับที่หนึ่ง
อันดับที่สองและอันดับที่สามยืนอยู่ด้วยกันพวกเขามีนามว่า จินฉีหลิง [金麒麟:กิเลนทอง] หยินฉีหลิง [银麒麟:กิเลนเงิน] และ ถงฉีหลิง [铜麒麟:กิเลนทองแดง] บุตรชายทั้งสามของผู้นำตระกูลต้าฉีหลิง พวกเขาเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาคมคาย
อายุ ยี่สิบสาม ยี่สิบสอง และยี่สิบเอ็ดปีตามลำดับ ทุกคนล้วนสวมใส่ชุดสีขาว
และสวมเสื้อคลุมสีทอง เงิน และทองแดง ตามชื่อของแต่ละคน
“ถงฉีหลิง
เจ้าอย่าได้ทำให้ท่านพ่อและพวกเข้าขายหน้าเป็นอันขาด” จินฉีหลิงผู้เป็นพี่ชายคนโตพูดพร้อมกับยืนกอดอก
“พี่ใหญ่
ข้านั้นมิได้โง่เหมือนเจ้าสองคนนั้น ข้าจะแสดงฝีมือของข้าให้พวกท่านได้เห็น”
ถงฉีหลิงกระโดดขึ้นไปบนลานประลองทันที
ถงฉีหลิงปลดปล่อยลมปราณในระดับวิถีแห่งมังกรขั้นที่เจ็ดออกมา
คลื่นลมปราณทำให้เสี่ยวฉีหลิงยืนอยู่บนลานประลองด้วยความลำบากไม่น้อย
กับคู่ต่อสู้ที่มีระดับพลังสูงกว่าถึงห้าขั้น เขาจะประมาทไม่ได้แม้แต่น้อย
“เริ่มประลองท้าชิงอันดับผู้สืบทอดอันดับสามได้!”
ผู้อาวุโสประกาศเริ่มการประลองในทันที
ถงฉีหลิงยังคงยืนกอดอกอย่างสงบ
หลังจากที่ปลดปล่อยลมปราณของเขาออกมา ไม่มีท่าทีที่จะเข้าจู่โจม
เสี่ยวฉีหลิงเลยแม้แต่น้อย
เมื่อคู่ต่อสู้ไม่คิดที่จะเป็นฝ่ายบุก
การใช้เล่ห์เหลี่ยมในการตั้งรับของเสี่ยวฉีหลิงก็ไม่อาจอาจที่จะทำได้
และหากไม่มีฝ่ายใดเริ่มผลของการประลองก็จะไม่อาจตัดสินได้
ตามกฏของการประลองจะตัดสินให้เสมอกัน และการหากตัดสินว่าเสมอ
จะถือว่าอันดับผู้สืบทอดจะยังคงเป็นของคนเดิม
เสี่ยวฉีหลิงจึงจำเป็นต้องเป็นฝ่ายเข้าไปจู่โจมทันที
“ฝ่ามือกิเลนทะลวงสวรรค์!” เสี่ยวฉีหลิงซัดฝ่ามือขวาไปที่หน้าอกของถงฉีหลิงทันที
แต่ถงฉีหลิงก็สามารถหลบได้อย่างง่ายดาย พร้อมกับเตะสวนกลับมาทำให้เสี่ยวฉีหลิงถึงกับกลิ้งลงไปที่พื้นหลายตลบ
“มีฝีมือเพียงเท่านี้เองหรือ? แม้ว่าระดับพลังจะสูงเมื่อเทียบกับผู้อื่น
แต่ดูเหมือนประสบการณ์การต่อสู้ของเจ้าจะมีเพียงแค่น้อยนิด” ถงฉีหลิงพูดพร้อมกับมองเสี่ยวฉีหลิงด้วยสายตาที่ดูถูก
“โต้กลับข้าได้เพียงแค่กระบวนท่าเดียว
อย่าได้ดูถูกข้าให้มากนัก ฝ่ามือกิเลนหกวิถี!” เสี่ยวฉีหลิงพูดพร้อมกับพุ่งทะยานออกไป
และซัดฝ่ามือออกไปด้วยแขนทั้งสองข้าง
“จะหนึ่งหรือหกวิถี
มันก็แค่ฝ่ามือที่อาบด้วยพลังสวรรค์เท่านั้น” ถงฉีหลิงค่อย ๆ โน้มตัวหลบทีละฝ่ามือ
พร้อมกับใช้มือของเขาโจมตีตรงส่วนท่อนแขนด้านใน
ทำให้ฝ่ามือของเสี่ยวฉีหลิงถูกปัดป้องออกไปพร้อมกัน ทำถงฉีหลิงไม่ถูกฝ่ามือของเสี่ยวฉีหลิงสัมผัสร่างกายเลยแม้แต่น้อย
“การโจมตีของเจ้าล้วนเต็มไปด้วยช่องโหว่
แค่จับตามองการโคจรของพลังสวรรค์รอบ ๆ ตัวของเจ้า
ข้าก็สามารถรู้ถึงตำแหน่งที่เจ้าคิดที่จะจู่โจมได้” ถงฉีหลิงพูดพร้อมกับหมุนตัวใช้เท้าแตะเสี่ยวฉีหลิงกลิ้งไปไม่เป็นท่าอีกครั้ง
เมื่อโดนโต้กลับมาได้ถึงสองกระบวนท่า
เสี่ยวฉีหลิงจึงหันไปมองตู่ซื่อ พร้อมกับพูดว่า
“ท่านอาจารย์ข้าต้องขอนุญาตท่านแล้ว”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น
ตู่ซื่อจึงพยักหน้าตอบรับ เสี่ยวฉีหลิงได้ลองแสดงวรยุทธของตนให้ตู่ซื่อดู
และได้บอกถึงการประสานวรยุทธของตนเองเข้ากับวรยุทธกิเลนสวรรค์
แม้ว่าตู่ซื่อจะไม่ชอบเท่าใดนัก เพราะเป็นการผิดกฏที่เขาตั้งเอาไว้
แต่ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ คงไม่อาจเลี่ยงได้
“ข้านั้นไม่ได้ดื่มมาเป็นเวลาหลายวันแล้ว
ขอข้าดื่มให้ชื่นใจสักอึกก่อนนะ” เสี่ยวฉีหลิงนำขวดเหล้าที่ถูกไว้ที่เอวขึ้นมาดื่ม
“คิดที่จะดูถูกข้าเช่นนั้นหรือ? เจ้าเด็กเหลือขอ!” ถงฉีหลิง เดินมาตรงหน้าเสี่ยวฉีหลิงอย่างช้า ๆ
พร้อมกับใช้เท้าเตะขวดเหล้าในมือของเสี่ยวฉีหลิงลอยละลิ่วขึ้นไปด้านบน
“เหล้าของข้านั้นยังไม่หมด
เหตุใดเจ้าจึงเสียมารยาทเช่นนี้”
เสี่ยวฉีหลิงใช้มือจับเท้าของถงฉีหลิงและใช้เป็นฐานในการทำให้ตัวของเขาตีหลังกาขึ้นไปถือขวดเข้าที่ลอยอยู่
และดื่มลงไปอีกอึกหนึ่ง
“ลูกเตะกิเลนน้อย!”
เสี่ยวฉีหลิงที่อยู่กลางอากาศหมุนตัวเตะลงมาที่ถงฉีหลิงทันที
“ข้าบอกแล้วว่าการโจมตีของเจ้านั้นใช้ไม่ได้ผลกับข้า”
ถงฉีหลิงสะบัดแขนเพื่อปัดเท้าของเสี่ยวฉีหลิง แต่จู่ ๆ
ลูกเตะของเสี่ยวฉีหลิงก็หยุดค้างกลางอากาศพร้อมกับหมุนกลับมาอีกทางหนึ่ง
เป็นการเตะโดยใช้ส้นเท้าเข้าที่ใบหน้าของถงฉีหลิงอย่างจัง
“กิเลนน้อยสะบัดหาง!”
เสี่ยวฉีหลิงพูดชื่อกระบวนท่าของตนขึ้นมาพร้อมกับยิ้มด้วยความภูมิใจ
“การเคลื่อนไหวเช่นนั้น!
เหตุใดข้าจึงสัมผัสการโคจรของพลังสวรรค์รอบ ๆ ตัวของเจ้า ว่าจะโจมตีเช่นนั้นไม่ได้?” ถงฉีหลิงใช้มือเช็ดเลือดที่มุมปาก และถามออกไปด้วยความประหลาดใจ
“นี่คือวรยุทธกิเลนร่ำสุรา เป็นเคล็ดวิชาของข้าเอง”
เสี่ยวฉีหลิงพูดพร้อมกับยกเหล้าขึ้นมาดื่มอีกครั้ง
“บังอาจใช้เท้าอันโสโครกมาเตะที่หน้าของข้า
ลูกเตะกิเลนทะลวงสวรรค์”
ถงฉีหลิงกระโดดใช้ส้นเท้าฟาดลงที่หัวของเสี่ยวฉีหลิงอย่างรวดเร็ว
ทำให้เสี่ยวฉีหลิงไม่อาจหลบได้ทัน เขาใช้แขนทั้งสองข้างต้านรับเอาไว้
แต่ด้วยพลังโจมตีของถงฉีหลิงนั้นเหนือกว่าเสี่ยวฉีหลิงหลายขั้น
ทำให้เขาไม่อาจต้านไว้ด้วยกำลังกายของตน
“กิเลนคลุมสวรรค์!” เสี่ยวฉีหลิงจำเป็นต้องใช้กระบวนท่ากิเลนคลุมสวรรค์ในการต้านรับแทน
ทำให้เกิดม่านพลังขึ้นมาขวางกั้นเท้ากับเสี่ยวฉีหลิงเอาไว้
“นั่นมันกระบวนท่ากิเลนคลุมสวรรค์
วรยุทธที่เสี่ยวฉีหลิงใช้คือวรยุทธกิเลนสวรรค์” ผู้นำตระกูลต้าฉีหลิงพูดขึ้นมาด้วยความตกใจ
การที่คนจากกิ่งตระกูลอย่างเสี่ยวฉีหลิงสามารถเรียนรู้วรยุทธกิเลนสวรรค์
เป็นเรื่องที่เขาไม่เคยคิดมาก่อน บุตรชายของเขาทั้งสาม และหลานชายอีกสองคน
ได้รับการถ่ายทอดคือวรยุทธกิเลนสวรรค์ เพียงแค่กระบวนท่าเดียวเท่านั้น
ผู้ที่ได้เรียนรู้กระบวนท่าทั้งสามของวรยุทธกิเลนสวรรค์ในตระกูลมีเพียง ผู้นำตระกูลต้าฉีหลิงเท่านั้น
“กรงเล็บกิเลนคู่!”
เสี่ยวฉีหลิงรวบรวมพลังสวรรค์สร้างกงเล็บที่มือทั้งสองข้าง
และใช้ตะปบไปที่หน้าอกของถงฉีหลิงทันที ทำให้เสื้อผ้าตรงส่วนอกของถงฉีหลิงขาดออก
พร้อมกับมีรอยของกรงเล็บเป็นรูปกากบาดที่หน้าอกของถงฉีหลิงทันที
“การประลองรู้ผลแล้ว หากข้าไม่ยั้งมือ
เขาก็คงจะตายไปแล้ว” เสี่ยวฉีหลิงหันไปพูดกับผู้อาวุโสที่ดูแลการประลองและพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่สงบนิ่ง
ผู้อาวุโสที่ดูแลการประลองหันไปมองถงฉีหลิงที่นอนจมกองเลือดอยู่
แม้จะได้รับบาดเจ็บแต่ก็ไม่ถึงกับชีวิต
“เสี่ยวฉีหลิงคือผู้ชนะ บัดนี้
ข้าขอประกาศให้เสี่ยวฉีหลิงกลายเป็นผู้สืบทอดลำดับที่สามแล้ว” ผู้อาวุโสที่ดูแลการประลองประกาศออกไป
“น้องเล็ก เจ้าเป็นเช่นใดบ้าง?”
หยินฉีหลิงผู้เป็นพี่กระโดดขึ้นไปบนลานประลองและอุ้มถงฉีหลิงมา
แต่ไม่มีเสียงตอบกลับมาแม้แต่น้อย
ถงฉีหลิงในตอนนี้หมดสติไปแล้ว หยินฉีหลิงจึงอุ้มถงฉ๊หลิงไปวางตรงเก้าอี้
และเรียกให้หมอมาตรวจสอบอาการของถงฉีหลิง
“ข้าจะล้างแค้นให้น้องเล็ก”
หยินฉีหลิงกระโดดกลับไปบนลานประลองอีกครั้ง
พร้อมกับชี้ไปที่หน้าของเสี่ยวฉีหลิงด้วยความเจ็บแค้น
“ช้าก่อน” เสียงของผู้นำตระกูลต้าฉีหลิง
ดังขึ้น จากนั้นเขาก็ทะยานออกมาจากห้องชมการประลองขึ้นไปบนลานประลองอีกคนหนึ่ง
“ท่านพ่อ!” หยินฉีหลิงพูดขึ้นมาด้วยความตกใจ
เขาไม่เคยคิดเลยว่าบิดาของเขานั้นจะขึ้นมาบนลานประลองเช่นนี้
ผู้นำตระกูลต้าฉีหลิงเดินไปที่เบื้องหน้าของเสี่ยวฉีหลิงและถามด้วยน้ำเสียงที่ดุดันว่า
“เจ้านั้นไปเรียนรู้วรยุทธกิเลนสวรรค์มาจากผู้ใดกัน?”
“ข้านั้นเป็นศิษย์มีครู
ก็ย่อมได้รับถ่ายทอดมาจากอาจารย์ของข้าอยู่แล้ว”
เสี่ยวฉีหลิงตอบกลับไปโดยที่ไม่หวาดหวั่นต่อผู้นำตระกูลต้าฉีหลิงที่อยู่เบื้องหน้าเลยแม้แต่น้อย
ผู้นำตระกูลต้าฉีหลิงหันไปมองตู่ซื่อที่ยืนอยู่ข้างลานประลอง
ด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตรนัก วรยุทธลับของตระกูลกลับมีบุคคลภายนอกล่วงรู้ได้
เรื่องนี้เขาไม่อาจยอมรับได้อย่างแน่นอน
“ถ้าเช่นนั้นข้าก็ต้องขอคำตอบจากเจ้า
ว่าเจ้านั้นเรียนรู้วรยุทธกิเลนสวรรค์มาจากที่ใด
ตระกูลฉีหลิงไม่เคยถ่ายทอดวรยุทธให้แก่บุคคลภายนอก
โดยเฉพาะกระบวนท่ากิเลนคลุมสวรรค์นั้น มีเพียงผู้นำตระกูลแต่ละรุ่นเท่านั้นที่จะรับได้รับการถ่ายทอดมา”
ผู้นำตระกูลต้าฉีหลิงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่ใยดีเท่าใดนัก เพราะตู่ซื่อนั้นอายุน้อยกว่าเขาหลายสิบปีอีกด้วย
“ข้าได้รับสืบทอดมาจากสายเลือดผู้ที่คิดค้นวรยุทธนี้ขึ้นมา
หากเอ่ยนามไปท่านก็คงจะไม่รู้จัก” ตู่ซื่อตอบกลับไป ซึ่งคนที่ตู่ซื่อกล่าวถึงก็คือกิเลนฟ้านั่นเอง
“ผู้คิดค้นวรยุทธกิเลนฟ้าคือบรรพชนของตระกูลฉีหลิง
หากเป็นดั่งที่เจ้าพูด ก็เป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะไม่รู้จักคนผู้นั้น” ผู้นำตระกูลต้าฉีหลิงแย้งกลับไป
“ข้าไม่จำเป็นต้องตอบคำถามของท่านไปมากกว่านี้”
ตู่ซื่อตอบกลับไป เนื่องจากกิเลนฟ้าไม่ต้องการให้มีผู้ใดรับรู้เรื่องของเขา
“เจ้าไม่มีสิทธิ์ที่จะฏิเสธคำถามของข้า
จงตอบมาซะ ถ้าเช่นนั้นอย่าได้กล่าวโทษข้าภายหลัง” ผู้นำตระกูลต้าฉีหลิงจับจ้องตู่ซื่อด้วยความโมโห
ที่ตู่ซื่อปฏิเสธที่จะตอบคำถามของเขา
“เรียนท่านผู้นำตระกูล ที่หน้าประตูเมืองเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้วขอรับ”
สมาชิกของตระกูลฉีหลิงผู้หนึ่งวิ่งเข้ามาในลานประลองด้วยความร้อนใจ
เขารีบคุกเข่ารายงานสถานการณ์ต่อผู้นำตระกูลต้าฉีหลิงทันที
“มีเรื่องอันใดเกิดขึ้น?” ผู้นำตระกูลต้าฉีหลิงหันไปถามด้วยความสงสัย
“พวกเมืองอสูรนำกองกำลังออกมาที่หน้าเมืองของเรา
และบอกว่า พวกมนุษย์ลักลอบส่งพวกเลือดผสมเข้าไปสืบข่าวในเมืองอสูร
ตอนนี้พวกเขาจับพวกสายเลือดผสมมาที่หน้าเมืองของเรา และต้องการพบกับผู้นำตระกูลต้าฉีหลิง
เพื่อขอคำชี้แจงขอรับ” สมาชิกของตระกูลฉีหลิงรายงาน
“พวกสายเลือดผสม เทพธิดาน้อย
อาจารย์หญิง” เสี่ยวฉีหลิงหันไปมองตู่ซื่อด้วยความร้อนใจทันที
“ข้าจะออกไปพบเขา
พวกเจ้าต้องตามข้าไปด้วย ข้าจะไม่ยอมให้เจ้านั้นหลบหนีไปที่ไหน
จนกว่าจะตอบคำถามของข้า
และดูเหมือนว่าเรื่องในคราวนี้พวกเจ้าจะมีความเกี่ยวข้องด้วยสินะ” ผู้นำตระกูลต้าฉีหลิงตอบกลับไปพร้อมกับหันมามองเสี่ยวฉีหลิงและตู่ซื่อ
ท่าทีที่เป็นกังวลของเสี่ยวฉีหลิง ไม่อาจรอดพ้นสายตาของเขาไปได้
ด้านนอกเมือง ผู้นำของเมืองอสูร
มีนามว่า กิเลนนรก [地狱麒麟:ตี้ยวี่ฉีหลิง] เขาเป็นกิเลนที่มีผิวกายสีดำสนิท
เขานั้นยอมเป็นสมุนของบริวารแห่งเทพ เพื่อที่จะมีชีวิตรอด
ซึ่งหลังจากที่ได้ปกครองเมืองอสูรในอาณาจักรแห่งนี้แล้ว เขาก็รู้สึกว่า
การเป็นสาวกของบริวารแห่งเทพก็ไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายอันใดนัก
เพราะเขานั้นได้รับทั้งอำนาจและเงินทองจากบริวารแห่งเทพมาไม่น้อย
ที่เบื้องหน้ามีพวกสายเลือดผสมถูกจับมัดเอาไว้
โดยมีเสี่ยวหนีเสิ่นที่ถูกจับไว้อย่างแน่นหนา และมัดติดไว้กับบนเสาไม้
“นี่มันเรื่องอันใดกัน?” ผู้นำตระกูลต้าฉีหลิงเอ่ยถามออกไปเมื่อเดินมาที่หน้าประตูเมือง
“พวกสายเลือดผสมเหล่านี้
พวกมันยอมรับว่าเป็นสายของพวกเจ้า โดยเฉพาะนังผู้หญิงที่ถูกจับมัดเอาไว้ตรงนั้น
นางนั้นลอบเข้ามาในตำหนักของข้า และยังมีพวกมันอีกคนที่หลบหนีไปได้
เจ้าจงนำนางผู้นั้นออกมา ข้าจะทำการสังหารต่อหน้าพวกเจ้า
ฐานที่เป็นสายของพวกมนุษย์” กิเลนนรก พูดออกมาราวกับเสียงคำราม
“เทพธิดาน้อย”
เสี่ยวฉีหลิงตะโกนออกไปทันทีที่เห็นว่านางถูกจับมัดเอาไว้ เขาพยายามที่จะทะยานออกไปช่วยแต่ถูกตู่ซื่อจับเอาไว้
และบอกให้นิ่งเฉยเอาไว้ก่อน
“ด้วยท่าทีของเจ้าเด็กนั่น
เจ้าคงไม่อาจที่จะปฏิเสธว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับมนุษย์แล้วสินะ”
กิเลนนรกพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
“ตู่ซื่อ
ผู้นำของเมืองอสูรนั่นเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกับข้า และดูเหมือนว่ามันจะสัมผัสถึงตัวตนของข้าได้แล้ว”
กิเลนฟ้าพูดขึ้นมาในห้วงขอบเขตวิญญาณของตู่ซื่อ…….จบตอน
แต่งโดย นายมะพร้าว
Scroll to Top