หลังจากที่เสี่ยวหนีเสิ่นได้ออกไปสืบข่าว ก็กลับมาแจ้งข่าวแก่ฮวาหั่วว่า ตอนนี้ในเมืองอสูรมีคำสั่งให้จัดเตรียมกองกำลังเพื่อเข้าสู่ภาวะสงคราม มีความเป็นไปได้ว่าจะเปิดศึกกับเมืองมนุษย์ ส่วนสาเหตุนั้น เสี่ยวหนีเสิ่นขอเวลาอีกสามวัน ขอให้ฮวาหั่วเก็บตัวอยู่ในที่พักของนางก่อน เนื่องจากมีการตรวจสอบบุคคลภายนอกอย่างเข้มงวด โดยนางได้มอบหมายให้พี่น้องของนางนำอาหารมาส่งให้แก่ฮวาหั่วที่บ้านพัก ขณะที่นางจะไปหาข้อมูลโดยละเอียดจากตัวเมืองส่วนใน
ด้วยกำลังของนางการที่จะฝ่าออกไปไม่ใช่เรื่องยากเท่าใดนัก แต่จะเปิดการเปิดเผยว่านางเป็นฝ่ายเดียวกับมนุษย์ นางจึงจำต้องทนรออยู่ในที่พักของเสี่ยวหนีเสิ่น จนกว่านางจะสืบข่าวที่แท้จริงมาได้
ก่อนถึงวันประลองตู่ซื่อได้ให้เสี่ยวฉีหลิงทุ่มเทกับการดูดซับพลังสวรรค์ เมื่อถึงวันประลองแม้ว่าจะดื่มยาทิพย์ไปแล้ว เสี่ยวฉีหลิงก็บรรลุเพียงระดับแก่นแท้แห่งสวรรค์ขั้นที่เก้าเท่านั้น ตู่ซื่อจึงต้องให้คำชี้แนะเพิ่มเติมก่อนที่จะต้องประลองในวันนี้ หลังจากนั้น ก็ได้มีผู้นำทางเสี่ยวฉีหลิงและตู่ซื่อไปยังลานประลองของตระกูลฉีหลิง
ลานประลองนี้ไม่ต่างจากลานประลองยุทธทั่ว ๆ ไปเท่าใดนัก แต่ก็มีกำแพงล้อมรอบ เพื่อมิให้คนนอกเห็น และดูเหมือนว่ากำแพงเหล่านี้จะถูกอาบไปด้วยลมปราณที่แข็งแกร่ง เพื่อให้ยากต่อการพังทะลายอีกด้วย ผู้นำตระกูลและเหล่าผู้อาวุโส จะนั่งชมการประลองจากห้องรับรองที่อยู่ห่างออกไป โดยรอบลานประลองมีเพียงผู้สืบทอดลำดับที่หกถึงเก้าเท่านั้นที่ยืนอยู่ เพราะผลของการประลองในครั้งนี้ มีความเกี่ยวข้องกับอันดับผู้สืบทอดของพวกเขาเป็นอย่างยิ่ง การที่ได้อยู่ในตำแหน่งผู้สืบทอด พวกเขาจะได้รับเงินตอบแทนจากตระกูลทุก ๆ เดือน ดังนั้นพวกเขาจะต้องรักษาอันดับของตนเอาไว้ดี
เสี่ยวฉีหลิงกระโดดขึ้นไปบนลานประลอง โดยไร้ซึ่งความหวาดกลัวแม้แต่น้อย
เฮยฉีหลิง ชายหนุ่มรูปร่างใหญ่โตแต่มีผิวกายคล้ำ ทำให้ใบหน้าดูดุดันสวมใส่ชุดสีดำมีเสื้อคลุมสีขาวด้านนอก กระโดดขึ้นไปเผชิญหน้ากับเสี่ยวฉีหลิงและพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เย้ยหยันว่า
“ไม่คิดเลยว่าแค่เพียงสามวัน เจ้าจะสามารถเลื่อนระดับพลังได้จนถึงระดับแก่นแท้แห่งสวรรค์ขั้นที่เก้า แต่ก็ยังด้อยกว่าข้าอยู่หลายขั้น ในวันนี้ข้าจะจัดการเจ้าในหนึ่งกระบวนท่า และรับเงินเดิมพันไปซะ”
คำพูดของเฮยฉีหลิงนั้นไม่ได้กล่าวเกินไปแม้แต่น้อย พลังในระดับวิถีแห่งมังกรขั้นที่สามนั้น สามารถบดขยี้เสี่ยวฉีหลิงได้ไม่ยากเลย
“เริ่มการประลองได้” เสียงของผู้อาวุโสที่ทำหน้าที่ดูแลการประลองพูดขึ้น เมื่อได้รับสัญญาณจากผู้นำตระกูลต้าฉีหลิง
เสี่ยวฉีหลิงย่อตัวลงเล็กน้อย และตั้งท่าเตรียมรับมือเฮยฉีหลิงทันที ตู่ซื่อได้ชี้แนะเอาไว้ว่า เมื่อเผชิญหน้ากับผู้ที่มีวียุทธเหนือกว่า ความประมาทคือหนทางที่สั้นที่สุด ที่จะนำตนเองไปสู่ความตาย เสี่ยวฉีหลิงจึงจับจ้องทุกการเคลื่อนไหวของเฮยฉีหลิงโดยไม่กระพริบตาแม้แต่น้อย
เฮยฉีหลิงรวบรวมลมปราณของเขาไว้ที่หมัดขวา ทำให้ตู่ซื่อประหลาดใจไม่น้อย วรยุทธที่เฮยฉีหลิงใช้ ใกล้เคียงกับกระบวนท่ากิเลนทะลวงสวรรค์เป็นอย่างมาก
“กิเลนทะลวงสวรรค์!” เฮยฉีหลิงต่อยหมัดออกไปเต็มกำลังพร้อมเอ่ยชื่อกระบวนท่าออกมา
แท้จริงแล้วตระกูลฉีหลิงคือผู้สืบทอดวรยุทธกิเลนสวรรค์มาแต่โบราณ แต่มีเพียงตระกูลหลักเท่านั้นที่ได้รับการถ่ายทอด เฮยฉีหลิงนั้นเป็นถึงหลานชายของผู้นำนิกาย จึงไม่แปลกที่จะสามารถใช้วรยุทธนี้ได้ แต่เพราะดวงจิตกิเลนเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่งนัก จึงมีเพียงผู้นำตระกูลเท่านั้นที่ผสานกับดวงจิตกิเลน กระบวนท่าที่ถ่ายทอดแก่ทายาทจึงมีเพียงกระบวนท่าเดียวเท่านั้น
หมัดของเฮยฉีหลิงพุ่งแหวกอากาศมาอย่างรวดเร็ว ลมปราณที่ห่อหุ้มหมัดของเขานั้นรุนแรงราวกับพายุ แต่เสี่ยวฉีหลิงก็มิได้คิดที่จะหลบเลยแม้แต่น้อย
เสี่ยวฉีหลิงยื่นมือซ้ายออกไปต้านรับหมัดของเฮยฉีหลิงเอาไว้ พร้อมกับใช้วรยุทธกิเลนกลืนสวรรค์ดูดซับพลังจากหมัดของเฮยฉีหลิง พร้อมกับโคจรพลังนั้นจากมือซ้ายเคลื่อนผ่านไปทางกระดูกสันหลัง และปล่อยผ่านย้อนกลับมาที่มือขวาของเขา และปลดปล่อยออกไปพร้อมกับหมัดขวาของเขา เป็นการยืมใช้พลังจากคู่ต่อสู้ ซึ่งตู่ซื่อเรียกกระบวนท่านี้ว่า กระบวนท่ากิเลนเคลื่อนสวรรค์
เมื่อเฮยฉีหลิงถูกโต้กลับด้วยพลังของตนเอง โดยการถูกต่อยเข้าที่ท้อง ทำให้เขาทรุดลงกับพื้นทันที การใช้กระบวนท่ากิเลนทะลวงสวรรค์ เป็นการรวบรวมพลังสวรรค์ทั้งหมดมาไว้ในหมัดข้างเดียว ทำให้พลังที่ใช้ป้องกันตนเองนั้นลดลง ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บเป็นอย่างมาก จนไม่สามารถที่จะยืนหยัดต่อไปได้อีก
ผู้ที่ชมการประลองต่างนิ่งเงียบ พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าผลประลองจะจบลงด้วยความรวดเร็วถึงเพียงนี้ และผู้ที่พ่ายแพ้นั้นกลับเป็นเฮยฉีหลิงที่มีระดับพลังเหนือกว่าหลายขั้น
เหล่าผู้สืบทอดลำดับที่ห้าถึงเก้านั้น ที่ยืนมองอยู่ข้างลานประลองนั้น พวกเขามองเห็นได้อย่างชัดเจน ถึงความห่างชั้นของตนเองกับเสี่ยวฉีหลิง พวกเขายืนสั่นจนแทบจะฉี่ราดเลยทีเดียว เพราะพวกเขานั้นแม้จะอยู่อันดับที่สูงกว่าเฮยฉีหลิง แต่พวกเขาก็รู้ดีกว่า ความสามารถของพวกเขาทั้งสี่นั้นด้อยกว่าเฮยฉีหลิง
ทางด้านผู้นำตระกูลต้าฉีหลิงนั้นรู้สึกแปลกใจกับวรยุทธที่เสี่ยวฉีหลิงใช้เป็นอย่างมาก แต่ก็การประลองจบลงรวดเร็วจนเกินไป เขาจึงไม่มั่นใจว่าเป็นวรยุทธกิเลนสวรรค์หรือไม่ และคนที่มาจากกิ่งตระกูลเล็ก ๆ จะเรียนรู้วรยุทธกิเลนสวรรค์มาจากที่ใดกัน เขาจึงคิดว่าคงเป็นวรยุทธที่คล้ายกันเสียมากกว่า
“เสี่ยวฉีหลิงคือผู้ชนะ บัดนี้ ข้าขอประกาศให้เสี่ยวฉีหลิงกลายเป็นผู้สืบทอดลำดับที่สิบแล้ว” ผู้อาวุโสที่ดูแลการประลองประกาศออกไป ทำให้มีเสียงดังไปทั่วลานประลอง
“เรียนท่านผู้อาวุโส ข้าต้องการที่จะประลองกับผู้สืบทอดลำดับถัดไป” เสี่ยวฉีหลิงประสานมือและพูดกับผู้อาวุโสด้วยความสุภาพ
“เมื่อเจ้าต้องการเช่นนั้น ข้าก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธ เพราะนั่นเป็นสิทธิของเจ้าโดยชอบธรรมผู้สืบทอดลำดับที่เก้า ขึ้นมาบนลานประลองได้” ผู้อาวุโสที่ดูแลการประลองประกาศออกไป ตามความต้องการของเสี่ยวฉีหลิง
“ข้าคือผู้สืบทอดลำดับที่เก้า ข้านั้นขอขอปฏิเสธการประลองในครั้งนี้ และขอมอบลำดับของข้าให้แก่เสี่ยวฉีหลิงโดยไม่มีข้อโต้แย้งขอรับ” ผู้สืบทอดลำดับที่เก้าที่ยืนอยู่ด้านข้างลานประลองรีบพูดออกไปทันที
เขาได้เห็นฝีมือของเสี่ยวฉีหลิงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการขอยอมแพ้ หรือว่าพ่ายแพ้บนลานประลอง ก็น่าอับอายไม่ต่างกัน เขายินดีที่จะยอมพ่ายแพ้โดยที่ไม่ได้รับบาดเจ็บยังดีเสียกว่า
“ข้าก็ขอปฏิเสธการประลองและมอบลำดับของข้าให้แก่เสี่ยวฉีหลิงเช่นกันขอรับ” ผู้สืบทอดลำดับที่หกถึงแปดพูดขึ้นทันที เมื่อได้ยินเช่นนั้น เมื่อเขาเอาชนะเฮยฉีหลิงได้ ก็ย่อมเอาชนะพวกเขาได้เช่นกัน
“น่าขายหน้ายิ่งนัก นี่พวกเจ้ายังมีสายเลือดแห่งนักรบของตระกูลฉีหลิงอยู่หรือไม่? ข้าอวี้ฉีหลิง จะเป็นคู่ประลองให้เจ้าเอง” อวี้ฉีหลิง [玉麒麟:กิเลนหยก] ผู้สืบทอดลำดับที่ห้ากระโดดขึ้นไปบนลานประลองทันทีเขานั้นมีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับวิถีแห่งมังกรขั้นที่ห้า เขามีใบหน้าที่ดุดันไม่ต่างจากเฮยฉีหลิง แต่ผิวไม่คล้ำเท่าเฮยฉีหลิง ดวงตาของเขามีประกายสีเขียว เขาสวมใส่ชุดสีขาว และมีเสื้อคลุมสีเขียวอยู่ด้านนอก
เสี่ยวฉีหลิงที่ยืนอยู่บนลานประลองรู้สึกกดดันไม่น้อย เดิมทีในวันนี้เขาคิดที่จะประลองกับอันดับหกถึงสิบเท่านั้น การที่ต้องมาต่อสู้กับอวี้ฉีหลิง นั่นนับว่าเกินกว่าที่คาดหมายเป็นอย่างมาก เขาจึงหันไปมองตู่ซื่อ
ตู่ซื่อรู้สึกได้เลยว่าเสี่ยวฉีหลิงนั้นเติบใหญ่ขึ้นมาก หากเป็นก่อนหน้านี้เสี่ยวฉีหลิงคงจะตอบรับโดยทันทีเป็นแน่ การรู้จักประเมินตนคือสิ่งที่สำคัญ เขาจึงยืนขึ้นและพูดออกไปว่า
“เสี่ยวฉีหลิงลงมาหาข้า”
แม้ว่าจะรู้สึกแปลกใจ แต่เสี่ยวฉีหลิงก็กระโดดลงมาหาตู่ซื่อในทันที
“ก่อนหน้านี้ศิษย์ของท่านยังอวดดี ขอท้าประลองกับผู้อยู่ในอันดับถัดไป แต่ในเวลานี้คงมิใช่ว่าจะเกรงกลัวข้าจึงคิดที่จะหาทางหลบเลี่ยงนะ” อวี้ฉีหลิงหันไปพูดกับตู่ซื่อและเสี่ยวฉีหลิงด้วยน้ำเสียงที่เย้ยหยัน
“หาใช่เช่นนั้น ข้าเห็นว่าศิษย์ของข้านั้นมีชีพจรติดขัดอยู่เล็กน้อย จึงเรียกมาเพื่อคลายจุดให้เท่านั้น” ตู่ซื่อตอบกลับไปพร้อมกับใช้ใช้นิ้วมือของเขาจิ้มไปยังจุดเซินจู้ ที่อยู่ตรงด้านหลังระหว่างกลางหลัง อยู่ระหว่างกระดูกสันหลังในระนาบเดียวกับหน้าอก เนื่องจากการใช้กระบวนท่ากิเลนเคลื่อนสวรรค์ของเสี่ยวฉีหลิงนั้นยังไม่สมบูรณ์นัก จึงทำให้มีพลังบางส่วนคั่งค้างอยู่ เมื่อตู่ซื่อทำการคลายจุดให้ ทำให้ลมปราณของเสี่ยวฉีหลิงไหลเวียนได้ดีขึ้น และยังสามารถดูดซับพลังที่ค้างอยู่ได้อีกด้วย ทำให้เสี่ยวฉีหลิงนั้นเลื่อนระดับพลังไปจนถึงขั้นวิถีแห่งมังกรได้
ตู่ซื่อได้ใช้ลมปราณช่วยให้เสี่ยวฉีหลิงสามารถควบคุมระดับพลังที่เพิ่มขึ้นได้อย่างง่ายขึ้น ทำให้เสี่ยวฉีหลิง นั้นใช้เวลาไม่มากนักในการทำให้ระดับพลังลมปราณของตนนั้นสมดุล
“ศิษย์ของข้าพร้อมแล้ว” ตู่ซื่อหันไปพูดกับอวี้ฉีหลิง และตบไปที่หลังของเสี่ยวฉีหลิง ให้เขากระโดดขึ้นไปบนลานประลอง
“ไม่คิดเลยว่าอาจารย์ของเจ้าจะสามารถเพิ่มระดับพลังของเจ้าได้เช่นนี้ หากเอาชนะเจ้าแล้ว ข้านั้นต้องการที่จะประลองกับอาจารย์ของเจ้าได้หรือไม่?” อวี้ฉีหลิงพูดออกไป เขานั้นสัมผัสได้ว่าระดับพลังของตู่ซื่อนั้นก็ไม่ได้ต่างจากเขาเท่าใดนัก [ตู่ซื่อปิดกั้นระดับพลังของตนเองไว้ในระดับวิถีแห่งมังกรขั้นที่เจ็ดด้วยศิลาเร้นเมฆา]
“หากเงื่อนไขคือหลังจากที่เจ้าเอาชนะข้าได้ เจ้าคงไม่อาจได้ประลองกับอาจารย์ของข้าเป็นแน่” เสี่ยวฉีหลิงยิ้มเยาะและพูดออกไป เขาสัมผัสได้ถึงพลังของตนเองที่สูงขึ้นจนถึงระดับวิถีแห่งมังกร ทำให้เขารู้สึกมั่นใจว่าเอาชนะอวี้ฉีหลิงได้อย่างแน่นอน
“แค่เอาชนะเฮยฉีหลิงได้ อย่าได้พูดจาอวดดีให้มากนัก เฮยฉีหลิงนั้นมันโง่เกินไป ใช้พลังทั้งหมดกับการโจมตีในครั้งเดียว จนไม่เหลือพลังสำหรับป้องกันตนเอง” อวี้ฉีหลิงจ้องมองด้วยสายตาที่เจ็บแค้น เนื่องจากเฮยฉีหลิงนั้นเป็นน้องชายของเขานั่นเอง
“เริ่มการประลองได้” เมื่อเห็นว่าทั้งสองนั้นพร้อมต่อสู้แล้ว ผู้อาวุโสจึงเริ่มการประลองในทันที
“กิเลนทะลวงสวรรค์หกวิถี!” อวี้ฉีหลิงต่อยออกมาด้วยหมัดทั้งสองข้างด้วยความรวดเร็ว จนดูราวกับว่าเขานั้นมีถึงหกแขน
แม้ว่าจะต่อยออกมาหกหมัด โดยพลังของแต่ละหมัดนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าหมัดของเฮยฉีหลิงเลยแม้แต่น้อย
“หากเป็นข้าก่อนหน้านี้คงไม่อาจรับมือได้เป็นแน่
ฝ่ามือกิเลนหกวิถี!” เสี่ยวฉีหลิงเลียนแบบกระบวนท่าของอวี้ฉีหลิงโดยขยับฝ่ามืออย่างรวดเร็วทำให้ดูราวกับว่าเขานั้นใช้ฝ่ามือทั้งหกรับหมัดของอวี้ฉีหลิง
และใช้กิเลนกลืนสวรรค์ดูดซับพลังหมัดทั้งหมดเอาไว้
อวี้ฉีหลิงรีบกระโดดถอยหลังออกมาทันที
เขารู้สึกราวกับว่าพลังที่ต่อยออกไปทั้งหมดนั้นถูกดูดกลืนไปจนหมด
“สายเกินไปแล้วฝ่ามือกิเลนทะลวงสวรรค์!”
เสี่ยวฉีหลิงเคลื่อนไหวมาอยู่ทางด้านหลังของอวี้ฉีหลิงด้วยความรวดเร็วพร้อมกับซัดฝ่ามือออกไป
การโจมตีด้วยหมัดจะเป็นการสร้างอาการบาดเจ็บภายนอก
แต่การใช้ฝ่ามือนั้นจะทำให้อีกฝ่ายได้รับการบอบช้ำจากภายใน
แค่เพียงฝ่ามือเดียวก็รู้ผลแพ้ชนะแล้ว
อวี้ฉีหลิงถูกดูดพลังสวรรค์ไปเป็นจำนวนมาก
ทำให้ไม่มีพลังมากพอที่จะใช้ปกป้องร่างกายตนเองเอาไว้ได้ จึงมีชะตากรรมไม่ต่างจากเฮยฉีหลิงผู้เป็นน้องชาย
“เสี่ยวฉีหลิงคือผู้ชนะ บัดนี้
ข้าขอประกาศให้เสี่ยวฉีหลิงกลายเป็นผู้สืบทอดลำดับที่ห้าแล้ว”
ผู้อาวุโสที่ดูแลการประลองประกาศออกไปอีกครั้ง
เมื่อการประลองจบลง เสี่ยวฉีหลิงก็ทำการดูดซับพลังสวรรค์ที่เหลืออยู่ทำให้ระดับพลังของเขาเลื่อนระดับขึ้นอีกสองขั้น
ในตอนนี้พลังของเขานั้นอยู่ในระดับวิถีแห่งมังกรขั้นที่สามแล้ว
เสี่ยวฉีหลิงหันไปมองที่ตู่ซื่อเพื่อขอนุญาตต่อสู้ต่อ
ซึ่งตู่ซื่อก็พยักหน้าอนุญาตในทันที
“โปรดเรียกคู่ต่อสู้ของข้าคนต่อไปขึ้นมา”
เสี่ยวฉีหลิงหันไปพูดกับผู้อาวุโสที่ดูแลการประลอง
“ช้าก่อน
ข้าไม่เชื่อว่าเจ้านั้นจะมีเงินมากพอที่จะท้าประลองกับข้า” ผู้สืบทอดลำดับที่สี่
พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่หวั่นไหว แต่เขาก็ต้องหาทางปกป้องอันดับตัวเองไว้ให้ได้
“การประลองกับผู้สืบทอดลำดับที่สี่นั้นต้องวางเงินเดิมพันถึงหกล้านศิลาจิตวิญญาณ
ก็นับว่ามีเหตุผลที่เจ้าจะเคลือบแคลงใจ ถ้าเช่นนั้นเสี่ยวฉีหลิง
จงนำเงินสำหรับวางเดิมพันออกมาแสดงก่อน”
ผู้อาวุโสที่ดูแลการประลองพยักหน้าพร้อมกับพูดออกไป
“นี่คือเงินสำหรับวางเดิมพัน
ศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำจำนวนสิบก้อน
มากพอที่จะท้าประลองกับผู้สืบทอดลำดับที่หนึ่ง แต่ไม่ว่าผู้ใดที่เอาชนะศิษย์ข้าได้
ข้าจะมอบ ศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำทั้งสิบก้อนนี้ให้แก่คนผู้นั้นทันที” ตู่ซื่อนำ
ศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำ ออกมาจากแหวนห้วงมิติสำหรับเก็บของออกมา
ทำให้เกิดเสียงฮือฮาขึ้นอีกครั้ง
ศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำนั้นหาได้ยากยิ่งแต่ตู่ซื่อกลับมีมากถึงสิบก้อน
ซึ่งก็มีมูลค่าสิบล้านศิลาจิตวิญญาณเท่ากับเงินที่ต้องวางเดิมพันกับผู้สืบทอดลำดับที่หนึ่งได้พอดี
“ขะ....ข้าขอปฏิเสธการประลองและมอบอันดับของข้าให้แก่เขา”
ผู้สืบทอดลำดับที่สี่ทรุดตัวลงกับพื้นพร้อมกับพูดออกไป
หลังจากเห็นการต่อสู้ทั้งสองรอบ เขาก็ไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับเสี่ยวฉีหลิงอีกต่อไป
“บัดนี้เสี่ยวฉีหลิงได้เป็นผู้สืบทอดลำดับที่สี่แล้ว”
ผู้อาวุโสที่ดูแลการประลองประกาศออกไป เรื่องเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ที่ผู้สืบทอดไร้อันดับจะสามารถเลื่อนอันดับขึ้นมาได้ถึงอันดับสี่เช่นนี้
แต่การต่อสู้กับผู้สืบทอดสามอันดับที่เหลือคงไม่อาจหลบเลี่ยงได้เป็นแน่
พวกเขาเป็นบุตรชายทั้งสามของผู้นำตระกูลต้าฉีหลิง
แม้ว่าเขาจะสามารถปฏิเสธการประลองแต่บิดาเขาต้องไม่ยอมรับเป็นแน่
ทางด้านฮวาหั่วที่รู้สึกเป็นกังวลยิ่งนักที่
เสี่ยวหนีเสิ่นนั้นออกไปสืบข่าวเป็นเวลาหลายวันแล้วแต่ก็ไม่ส่งข่าวกลับมาเลย
เนื่องจากอยู่ห่างจากตู่ซื่อมากเกินไปจึงไม่อาจติดต่อกับตู่ซื่อผ่านห้วงขอบเขตวิญญาณได้
ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้นางรู้สึกกังวล
“พี่สาว ข้านำอาหารมาส่ง
ท่านรีบทานก่อนที่จะเย็นเถิด อีกไม่นานเสี่ยวหนีเสิ่นจะต้องกลับมาอย่างแน่นอน”
พี่น้องคนหนึ่งของเสี่ยวหนีเสิ่นนำอาหารมาส่งให้แก่ฮวาหั่วและพูดออกไปเมื่อเห็นท่าทีที่เป็นกังวลของฮวาหั่ว
หลังจากที่ทานอาหารไปครู่หนึ่ง
ฮวาหั่วก็รู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างมาก ร่างกายของนางนั้นร้อนรุ่มเป็นไฟ
“นี่มันยาพิษ!” ฮวาหั่วพยายามรวบรวมลมปราณเพื่อใช้ต้านพิษทันที
“พี่สาว ข้าขอโทษจริง ๆ
หากไม่ทำเช่นนี้ พวกทหารอสูรจะไม่ยอมปล่อยเสี่ยวหนีเสิ่นออกมา
นางถูกจับไปเนื่องจากออกไปสืบข่าวให้แก่ท่าน” สหายของเสี่ยวหนีเสิ่นที่นำอาหารมาให้พูดทั้งน้ำตา
นางถูกบังคับให้วางยาพิษในอาหารของนาง เพื่อแลกกับความปลอดภัยของเสี่ยวหนีเสิ่น
“ข้าไม่โกรธเจ้าแม้แต่น้อย ศิษย์ของข้าโชคดีที่มีพี่น้องที่ห่างใยนางเช่นเจ้า”
ฮวาหั่วพูดออกไปพร้อมกับยิ้มอย่างอ่อนโยน แม้ว่านางจะรู้สึกทรมานเพราะพิษก็ตาม
“พิษที่เจ้ากินเข้าไปคือ พิษอสูรเพลิง
ที่ไร้รส ไร้กลิ่น ร่างกายเจ้าจะร้อนรุ่มเป็นไฟ จนตาย เจ้าคงเป็นสายของพวกมนุษย์สินะ
เป็นดั่งที่ท่านบริวารแห่งเทพกล่าวไว้ไม่ผิดแม้แต่น้อย พวกมนุษย์คิดวางแผนที่จะกำจัดอสูรอย่างพวกข้าจริง
ๆ” ทหารอสูรเดินเข้ามาในที่พักที่เสี่ยวหนีเสิ่นพักอยู่
และพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
“พวกเจ้าติดต่อกับบริวารแห่งเทพได้เช่นนั้นหรือ? เรื่องนี้ต้องมีเบื้องหลังเป็นแน่ ข้าจะไม่ยอมตายที่นี่!” ฮวาหั่วตอบกลับไปพยายามรวบรวมพลังเฮือกสุดท้ายฝ่าทหารที่เฝ้าประตูอยู่ออกมาจากเมืองอสูร
และหนีเข้าไปในหลบป่าทันที..................จบตอน