Tales of Demons & Gods Next Legend บทที่ 444.81 ตระกูลฉีหลิง
คืนวันนั้น ตู่ซื่อนำยาทิพย์จากผลไม้แห่งพระเจ้าออกมาขวดหนึ่ง
เนี่ยลี่ได้กำชับเอาไว้ยา
ยาทิพย์นี้เขาได้ทำการเจือจางให้เหมาะสมสำหรับยอดฝีมือระดับเทพสงครามขึ้นไป
หากจะนำไปให้ยอดฝีมือระดับต่ำกว่านั้น จะต้องทำการเจือจางอีกร้อยเท่า
ตู่ซื่อจึงให้เสี่ยวฉีหลิงไปจัดเตรียมขวดยามาจำนวนร้อยขวด
และหม้อปรุงยาขนาดใหญ่มา ตู่ซื่อทำการเจือจางยาทิพย์กับน้ำร้อยส่วน
และนำกลับมาใส่ขวดยาทิพย์ไว้หนึ่งร้อยขวด
โดยแยกใส่แหวนห้วงมิติสำหรับเก็บของวงละห้าสิบขวด
“นี่คือยาอันใดกันขอรับท่านอาจารย์”
เสี่ยวฉีหลิงถามด้วยความสงสัย
“มันคือยาทิพย์ที่ใช้เพิ่มระดับพลังของเจ้าและเทพธิดาน้อย
แต่พวกเจ้าจะต้องทานพร้อม ๆ กัน
เพราะจากนี้ไประดับพลังของเจ้าทั้งสองจะเชื่อมโยงกัน
หากทานยาทิพย์พร้อมกันจะทำให้ระดับพลังของพวกเจ้าเพิ่มขึ้นได้รวดเร็วยิ่งขึ้น”
ตู่ซื่อตอบกลับไป
“ข้ายังมีความลับเรื่องหนึ่งที่ยังไม่ได้บอกแก่ท่าน”
เสี่ยวฉีหลิงพูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นกังวลไม่น้อย
เขาเห็นว่าอาจารย์ของเขานั้นตั้งใจที่จะฝึกสอนเขาเพียงใด
การที่มีความลับเก็บไว้จึงทำให้เขารู้สึกราวกับว่าไม่จริงใจต่ออาจารย์ของตน
“ข้าจะไม่บังคับให้เจ้าพูด ขึ้นอยู่กับความเต็มใจของเจ้า”
ตู่ซื่อตอบกลับไป พร้อมกับมองไปที่เสี่ยวฉีหลิงด้วยสายตาที่อ่อนโยน
“ข้านั้นเป็นทายาทของตระกูลฉีหลิงที่เป็นผู้ปกครองเมืองนี้
และผู้สร้างกฏต่าง ๆ ภายในเมือง แม้ว่าข้านั้นจะเป็นเพียงทายาทจากกิ่งตระกูลเล็ก ๆ
แต่ด้วยกฏของตระกูลข้าคงไม่อาจที่จะสมหวังกับเทพธิดาน้อยเป็นแน่”
เสี่ยวฉีหลิงพูดถึงสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจของเขา
“กิเลนน้อย
เจ้าคงไม่รู้ว่าในอดีตข้านั้นลำบากเพียงใด ตระกูลข้าเป็นเพียงสามัญชน
ถูกพวกชนชั้นสูงข่มเหง
แต่ทุกวันนี้ตระกูลของข้ากลายเป็นหนึ่งในเก้าตระกูลหลักของเมืองกลอรี่ ที่อยู่บนโลกใบเล็ก
หากเจ้านั้นมีความพยายาม เจ้าก็จะสามารถเปลี่ยนได้แม้แต่โชคชะตา” ตู่ซื่อตอบกลับไป
หากไม่ได้เนี่ยลี่ช่วยเหลือ
เขาก็ไม่รู้ว่าทุกวันนี้จะเป็นเช่นใด เขาจึงรู้สึกขอบคุณเนี่ยลี่อยู่ตลอดเวลา
“หากข้าได้เป็นทายาทอันดับหนึ่งของตระกูล
ข้าก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงกฏของตระกูลได้ แน่นอนว่า รวมถึงกฏของเมือง
เรื่องดวงตาของรูปปั้นที่อาจารย์ต้องการด้วยเช่นกัน”
เสี่ยวฉีหลิงพูดพร้อมกับกำหมัดแน่น
ด้วยวรยุทธที่อาจารย์สั่งสอนเขาอาจจะก้าวไปถึงจุดนั้นก็เป็นได้
“พรุ่งนี้พวกเจ้าจะต้องเรียนรู้วรยุทธกิเลนสวรรค์อย่างแท้จริงแล้ว
จงไปพักผ่อนก่อน” ตู่ซื่อพูดขึ้นมาก่อนที่จะไล่ให้เสี่ยวฉีหลิงไปนอนพัก และคิดหาหนทางที่จะได้กระจกข้ามภพมาโดยที่ชาวเมืองทั้งสองไม่เดือดร้อน
เช้าวันต่อมาตู่ซื่อและฮวาหั่วได้ถ่ายทอด
วรยุทธทั้งสามกระบวนท่าให้แก่เสี่ยวฉีหลิงและเสี่ยวหนีเสิ่น ซึ่งการฝึกนี้พวกเขาหลบไปฝึกในป่าเพื่อที่จะหลบสายตาของพวกชาวเมืองทั้งสองฝั่ง
ตู่ซื่อได้นำแหวนห้วงมิติสำหรับเก็บของที่มียาทิพย์เจือจางอยู่ห้าสิบขวดให้ฮวาหั่วเก็บไว้
ก่อน จากนั้นตู่ซื่อและฮวาหั่วก็มอบยาทิพย์ให้แก่เสี่ยวฉีหลิงและเสี่ยวหนีเสิ่นคนละหนึ่งขวด
“หลังจากที่ดื่มลงไปแล้ว ร่างกายของพวกเจ้าจะเร่าร้อนดั่งถูกเปลวไฟแผดเผา
จงทำการดูดซับพลังเหล่านั้นโดยใช้วรยุทธกิเลนกลืนสวรรค์
หากพวกเจ้าไม่ตั้งใจอาจจะถูกเผาไหม้จนตายได้” ตู่ซื่อกำชับด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“ค่ะ ขอรับ!” เสี่ยวฉีหลิงและเสี่ยวหนีเสิ่นดื่มยาทิพย์ลงไป
พวกเขารู้สึกราวกับว่ากำลังกลืนกินเปลวไฟที่ร้อนแรงยิ่งนัก
ราวกับธารลาวาไหลลงไปตามลำคอจนไปถึงกระเพาะของพวกเขา
เสี่ยวฉีหลิงและเสี่ยวหนีเสิ่นรีบทำการใช้ใช้วรยุทธกิเลนกลืนสวรรค์ทันที
ด้วยการใช้วรยุทธนี้จะสามารถดูดซับพลังเข้าสู่ห้วงขอบเขตวิญญาณได้รวดเร็วยิ่งขึ้นแค่เพียงไม่นาน
ความรู้สึกที่กำลังถูกแผดเผาก็หายไป ระดับพลังของทั้งสองคนเพิ่มสูงขึ้นหลายขั้น
ในตอนนี้เสี่ยวฉีหลิงและเสี่ยวหนีเสิ่นนั้นบรรลุระดับดาราสวรรค์ขั้นที่เจ็ดแล้ว
และในห้วงขอบเขตวิญญาณของทั้งสองคนยังมีพลังสวรรค์อยู่อย่างเต็มเปี่ยม
คงต้องใช้เวลาอีกหลายวันจึงจะดูดซับพลังเหล่านั้นเข้าไปในชะตาวิญญาณได้จนหมด
“พวกเจ้าจะได้ทานยาทิพย์นี้ในทุกสามวัน
จงพยายามดูดซับพลังในห้วงขอบเขตวิญญาณของพวกเจ้าให้ได้มากที่สุด
วรยุทธกิเลนสวรรค์นั้นสิ้นเปลืองพลังสวรรค์เป็นอย่างมาก
ดั้งนั้นจงไตร่ตรองให้ดีก่อนที่จะใช้” ตู่ซื่อยังคงสั่งสอนอย่างจริงจัง
ด้วยท่าทีที่จริงจังของเขานั้นทำให้ฮวาหั่วอดที่จะแอบหัวเราะไม่ได้
“ตู่ซื่อมีคนมา”
เสียงของกิเลนฟ้าดังขึ้นมาในหัวของตู่ซื่อและฮวาหั่ว
ตู่ซื่อหันไปมองทิศทางที่ตรวจจับถึงกลิ่นอายลมปราณได้
พบว่ามีคนกลุ่มหนึ่งกำลังมุ่งหน้ามาหาพวกเขา
“คุณชายเสี่ยวฉีหลิง ท่านผู้นำตระกูลเรียกให้ท่านไปพบในทันที!”
มีคนกลุ่มหนึ่งพูดขึ้นมา
เสี่ยวฉีหลิงรู้สึกไม่พอใจที่มีคนมาขัดขวางการฝึกของเขา
จึงคิดที่จะขัดขืนแต่ตู่ซื่อได้ห้ามเอาไว้
“ข้าเป็นอาจารย์ของกิเลนน้อย ข้าจะตามไปด้วย”
ตู่ซื่อหันไปพูดกับชายกลุ่มนั้น
พวกเขาหันมองหน้ากันเองครู่หนึ่งก่อนที่จะหันมาพูดกับตู่ซื่อว่า
“ท่านจะตามไปก็ได้ แต่เรื่องการเข้าพบกับผู้นำตระกูล
ต้องทำการแจ้งให้ผู้นำตระกูลทราบก่อน”
“พวกข้าขอตามไปด้วยได้หรือไม่?” ฮวาหั่วพูดแทรกขึ้นมา
“เจ้าพวกสายเลือดอสูร ไสหัวไปซะ
ที่คุณชายเสี่ยวฉีหลิงถูกท่านผู้นำตระกูลเรียกไปพบ เพราะการคบหากับพวกเจ้า”
ชายผู้นั้นพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ
ฮวาหั่วรู้สึกเจ็บแค้นยิ่งนัก
นางจับจ้องพวกเขาด้วยสายตาที่เป็นประกาย แต่งานใหญ่ต้องมาก่อนความรู้สึกส่วนตัว
นางจึงหันหลังพาเสี่ยวหนีเสิ่นกลับไปในเมืองอสูร
ห้องโถงใหญ่ตระกูลฉีหลิง [กิเลน]
ผู้นำตระกูลฉีหลิง เป็นชายชรารูปร่างสูงใหญ่
ใบหน้าน่าเกรงขาม มีผมสีขาวทั่วทั้งศีรษะ แต่มีหนวดและเคราสีดำยาว
สวมเสื้อคลุมสีชาด นั่งอยู่บนเก้าอี้ใหญ่ที่อยู่เบื้องหน้า
ด้านหลังของเขามีป้ายแกะสลักรูปกิเลนสีทองขนาดใหญ่อยู่ เขามีนามว่า ต้าฉีหลิง [大麒麟:กิเลนผู้ยิ่งใหญ่] เขานั้นเป็นยอดฝีมือระดับเทพสงครามขั้นที่หก
เมื่อได้ยินว่าตู่ซื่อนั้นเป็นอาจารย์ของเสี่ยวฉีหลิง
เขาจึงยอมให้เข้าร่วมฟังการตัดสินโทษของเสี่ยวฉีหลิงได้ โดยมีเงื่อนไขว่า
ตู่ซื่อจะต้องยืนฟังอยู่เงียบ ๆ เท่านั้น
“กฏของตระกูลได้บัญญัติเอาไว้อย่างชัดเจน
ว่าห้ามคบหากับผู้มีสายเลือดอสูร
แต่กลับมีผู้พบเห็นว่าเจ้านั้นแอบไปพูดคุยอย่างสนิทสนมกับพวกที่มีสายเลือดอสูรเจ้านั้นจะยอมรับการลงโทษหรือไม่”
ต้าฉีหลิงพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“แม้ว่านางจะมีสายเลือดของอสูรแต่
สำหรับข้านางนั้นมิได้ต่างจากมนุษย์นอกจากใบหูและปีกของนางเท่านั้น”
เสี่ยวฉีหลิงประสานมือพร้อมกับตอบกลับไป
“กฏของตระกูลมิได้มีข้อยกเว้นในเรื่องนั้น
การที่เจ้าพูดเช่นนั้นก็เท่ากับว่าเจ้านั้นยอมรับความผิดแล้ว”
ผู้อาวุโสของตระกูลพูดขึ้นมา
“ถ้าเช่นนั้นข้าขอทำการเปลี่ยนแปลงกฏของตระกูล
โดยการขอท้าประลองชิงอันดับผู้สืบทอดของตระกูล” เสี่ยวฉีหลิงหันไปพูดกับผู้อาวุโสด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
ทันทีที่ได้ยินคำพูดของเสี่ยวฉีหลิง
เหล่าสมาชิกของตระกูลฉีหลิงก็หัวเราะขึ้นมา พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่า
เสี่ยวฉีหลิงที่มาจากกิ่งตระกูลเล็ก ๆ และไม่ได้รับตำแหน่งผู้สืบทอดแม้แต่อันดับที่สิบ
ที่เป็นอันดับต่ำที่สุดจะกล้าพูดเช่นนี้ เหล่าผู้สืบทอดทั้งสิบอันดับนั้น
ล้วนแต่เป็นยอดฝีมือระดับวิถีแห่งมังกร
“การที่จะเปลี่ยนแปลงกฏของตระกูลได้
เจ้านั้นต้องสามารถชิงตำแหน่งผู้สืบทอดลำดับที่หนึ่งมาให้ได้ก่อน
แต่เจ้านั้นเป็นผู้ไร้อันดับการที่จะขอท้าประลองกับผู้สืบทอดลำดับที่หนึ่งนั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้”ผู้อาวุโสพูดขึ้นมาอีกครั้ง
ตามกฏของตระกูลฉีหลิง
จะสามารถท้าประลองชิงตำแหน่งกับผู้ที่มีอันดับสูงกว่าได้เพียงหนึ่งอันดับ
นั่นหมายความว่ามีเพียงผู้สืบทอดลำดับที่สองเท่านั้น ที่มีสิทธิ์ท้าประลองกับผู้สืบทอดลำดับที่หนึ่ง
และหากพ่ายแพ้จะถูกปรับลดลงไปหนึ่งอันดับ สำหรับสมาชิกของตระกูลที่ไร้อันดับจะต้องท้าชิงตั้งแต่ผู้สืบทอดลำดับที่สิบก่อนเท่านั้น
และการท้าชิงผู้ท้าชิงจะต้องวางเงินเดิมพัน และหากเป็นฝ่ายแพ้
จะต้องจ่ายเงินเดิมพันนั้นให้แก่ผู้ที่ถูกท้าประลอง
การท้าประลองกับผู้สืบทอดลำดับที่สิบนั้นต้องวางเงินเดิมพันถึงหนึ่งล้านศิลาจิตวิญญาณ
และเพิ่มสูงขึ้นหนึ่งล้านศิลาจิตวิญญาณในลำดับที่สูงขึ้นไปอีก
นั่นหมายความว่าการท้าประลองกับผู้สิบทอดลำดับที่หนึ่งนั้นจะต้องใช้เงินถึงสิบล้านศิลาจิตวิญญาณ
สำหรับกฏในการวางเดิมพันนี้
เสี่ยวฉีหลิงที่อยู่ในกิ่งตระกูลเล็ก ๆ
และไม่เคยสนใจที่จะชิงชัยในตำแหน่งผู้สืบทอดมาก่อนจึงไม่ทราบในเรื่องนี้
หลังจากที่ได้ฟังคำอธิบายเขาก็กำหมันแน่น เงินที่เขาได้รับจากตระกูลนั้นในแต่ละปี
จะได้มาเพียงไม่กี่หมื่นศิลาจิตวิญญาณเท่านั้น
“ข้าขออนุญาตท่านผู้นำตระกูลและผู้อาวุโส
ข้านั้นมีนามว่าตู่ซื่อ เป็นอาจารย์ของเสี่ยวฉีหลิง หากศิษย์ข้าต้องการท้าประลอง
ข้าผู้เป็นอาจารย์ย่อมต้องสนับสนุน
สำหรับเงินเดิมพันนั้นข้าจะเป็นผู้จ่ายให้แก่ศิษย์ข้าเอง”
ตู่ซื่อประสานมือพูดออกไปด้วยท่าทีที่มีมารยาท หากเสี่ยวฉีหลิงได้กลายเป็นผู้สืบทอดลำดับที่หนึ่ง
อาจจะทำให้เขาทำงานได้ง่ายขึ้น
เมื่อได้ยินคำพูดและท่าทีของตู่ซื่อ
เสียงพูดคุยกันเริ่มดังขึ้นทั่วทั้งห้องโถง แม้ว่าจะหาเงินมาเดิมพันได้
แต่ระดับพลังของเสี่ยวฉีหลิงที่พวกเขาสัมผัสได้นั้น อยู่ในระดับดาราสวรรค์ขั้นที่เจ็ด
แม้ว่าจะเพิ่มขึ้นหลายขั้นจากก่อนหน้านี้ แต่เมื่อเทียบกับผู้สืบทอดลำดับที่สิบ
ที่มีความแข็งแกร่งในระดับวิถีแห่งมังกรขั้นที่สามนั้น
ก็ไม่ต่างจากการวิ่งเข้าหาคมมีด
“ถ้าเช่นนั้นตามกฏของตระกูล
ผู้ประลองจะต้องเตรียมความพร้อมเป็นเวลาสามวัน และห้ามออกจากตำหนักของตระกูลเป็นอันขาด”
ผู้นำตระกูลต้าฉีหลิงโบกมือให้ทุกคนเงียบและพูดออกไป
“ขอรับ!” เฮยฉีหลิง [黑麒麟:กิเลนดำ] ผู้สืบทอดลำดับที่สิบประสานมือตอบรับในทันที
เขาเผยรอยยิ้มที่มุมปากเล็ก การที่เป็นผู้สืบทอดลำดับที่สิบ
ทำให้เขานั้นถูกท้าประลองเป็นประจำ นั่นทำให้เขาได้รับเงินเดิมพันเป็นจำนวนมาก
ด้วยฝีมือของเขานั้นการที่จะขึ้นไปเป็นผู้สืบทอดอันดับที่สูงกว่านี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากอันใด
แต่เขายินดีที่จะอยู่ในอันดับที่สิบนี้มากกว่า
เสี่ยวฉีหลิงมองไปที่ตู่ซื่อด้วยความกังวล
เป็นเพราะเขาทำให้อาจารย์ต้องถูกกักบริเวรไปด้วย ในฐานะผู้ที่จะต้องวางเงินเดิมพัน
แต่ตู่ซื่อก็พยักหน้าให้เสี่ยวฉีหลิงคลายกังวล
เสี่ยวฉีหลิงจึงประสือมือและพูดกับผู้นำตระกูลต้าฉีหลิงทันที
“ข้าเข้าใจขอรับ!”
หลังจากนั้นเสี่ยวฉีหลิงและตู่ซื่อก็ถูกนำตัวไปยังตำหนักรับรอง
และไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปที่ไหน ตู่ซื่อจึงสั่งให้เสี่ยวฉีหลิง ทำการบ่มเพาะพลัง
เพื่อเพิ่มระดับพลังให้สูงขึ้นรวดเร็วที่สุด ในอีกสามวันข้างหน้า
ยังมีโอกาสได้ดื่มยาทิพย์อีกครั้ง การที่จะบรรลุระดับวิถีแห่งมังกรในสามวันนั้น
ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้
ทางด้านเมืองอสูร เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน
เริ่มมีกองกำลังมาปิดกั้นทางเข้าออก
และไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าออกประตูเมืองโดยเด็ดขาด ราวกับว่าอยู่ในภาวะสงคราม
“เทพธิดาน้อย นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
ฮวาหั่วถามด้วยความสงสัย
“ท่านอาจารย์ ข้าเองก็ไม่ทราบ
หลายปีที่ผ่านมาไม่เคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน” เสี่ยวหนีเสิ่นส่ายหน้าทันที
นางเองก็รู้สึกสงสัยยิ่งนัก
เพราะการเป็นลูกผสมพวกนางจึงไม่ได้รับข่าวสารภายในเมืองเท่าใดนัก
“พวกเราลองไปสืบข่าวในตลาดดูอาจจะรู้อะไรขึ้นมาบ้าง”
ฮวาหั่วพูดขึ้นมาพร้อมกับกวาดสายตาไปรอบ ๆ เมือง
“ท่านอาจารย์ เกี่ยวกับเรื่องนี้ให้ข้าและพี่น้องของข้า
สืบข่าวจะสะดวกกว่า ท่านอาจารย์ยังถือว่าเป็นคนแปลกหน้าสำหรับเมืองนี้
หากท่านอาจารย์ไปสอบถาม ข้าคิดว่าคงจะทำให้พวกเขาหวาดระแวงเป็นแน่” เสี่ยวหนีเสิ่นดึงมือของฮวาหั่วเอาไว้
พร้อมกับพูดออกไป
“เจ้านี่มัน สวยและฉลาดสมกับเป็นศิษย์ข้าเสียจริง” ฮวาหั่วลูบศีรษะเสี่ยวหนีเสิ่นด้วยความเอ็นดู
นับว่าสายตาในการเลือกศิษย์ของนางนั้นไม่เลวนัก จึงได้ศิษย์ที่ดีเช่นนี้
จากนั้นเสี่ยวหนีเสิ่นจึงพาฮวาหั่วไปพักที่บ้านของนาง
และขอให้พี่น้องของนางออกไปหาข่าวภายในเมือง
ว่าในตอนนี้เมืองอสูรมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกันแน่..............จบตอน
[เสี่ยวฉีหลิงเป็นตัวละครที่ผู้แต่งรู้สึกชอบมากเป็นพิเศษ ดังนั้นบทอาจจะมากกว่าตู่ซื่อ ต้องขออภัยด้วย เด็กปั้นของผู้แต่งเอง]
แต่งโดย นายมะพร้าว
Scroll to Top