test

เมนู นิยาย บน

เมนูมังงะ

14 ม.ค. 2560

Tales of Demons & Gods Next Legend บทที่ 444.81 ตระกูลฉีหลิง



          คืนวันนั้น ตู่ซื่อนำยาทิพย์จากผลไม้แห่งพระเจ้าออกมาขวดหนึ่ง เนี่ยลี่ได้กำชับเอาไว้ยา ยาทิพย์นี้เขาได้ทำการเจือจางให้เหมาะสมสำหรับยอดฝีมือระดับเทพสงครามขึ้นไป หากจะนำไปให้ยอดฝีมือระดับต่ำกว่านั้น จะต้องทำการเจือจางอีกร้อยเท่า

 

          ตู่ซื่อจึงให้เสี่ยวฉีหลิงไปจัดเตรียมขวดยามาจำนวนร้อยขวด และหม้อปรุงยาขนาดใหญ่มา ตู่ซื่อทำการเจือจางยาทิพย์กับน้ำร้อยส่วน และนำกลับมาใส่ขวดยาทิพย์ไว้หนึ่งร้อยขวด โดยแยกใส่แหวนห้วงมิติสำหรับเก็บของวงละห้าสิบขวด

 

          “นี่คือยาอันใดกันขอรับท่านอาจารย์” เสี่ยวฉีหลิงถามด้วยความสงสัย

 

          “มันคือยาทิพย์ที่ใช้เพิ่มระดับพลังของเจ้าและเทพธิดาน้อย แต่พวกเจ้าจะต้องทานพร้อม ๆ กัน เพราะจากนี้ไประดับพลังของเจ้าทั้งสองจะเชื่อมโยงกัน หากทานยาทิพย์พร้อมกันจะทำให้ระดับพลังของพวกเจ้าเพิ่มขึ้นได้รวดเร็วยิ่งขึ้น” ตู่ซื่อตอบกลับไป

 

          “ข้ายังมีความลับเรื่องหนึ่งที่ยังไม่ได้บอกแก่ท่าน” เสี่ยวฉีหลิงพูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นกังวลไม่น้อย เขาเห็นว่าอาจารย์ของเขานั้นตั้งใจที่จะฝึกสอนเขาเพียงใด การที่มีความลับเก็บไว้จึงทำให้เขารู้สึกราวกับว่าไม่จริงใจต่ออาจารย์ของตน

 

          “ข้าจะไม่บังคับให้เจ้าพูด ขึ้นอยู่กับความเต็มใจของเจ้า” ตู่ซื่อตอบกลับไป พร้อมกับมองไปที่เสี่ยวฉีหลิงด้วยสายตาที่อ่อนโยน

 

          “ข้านั้นเป็นทายาทของตระกูลฉีหลิงที่เป็นผู้ปกครองเมืองนี้ และผู้สร้างกฏต่าง ๆ ภายในเมือง แม้ว่าข้านั้นจะเป็นเพียงทายาทจากกิ่งตระกูลเล็ก ๆ แต่ด้วยกฏของตระกูลข้าคงไม่อาจที่จะสมหวังกับเทพธิดาน้อยเป็นแน่” เสี่ยวฉีหลิงพูดถึงสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจของเขา

 

          “กิเลนน้อย เจ้าคงไม่รู้ว่าในอดีตข้านั้นลำบากเพียงใด ตระกูลข้าเป็นเพียงสามัญชน ถูกพวกชนชั้นสูงข่มเหง แต่ทุกวันนี้ตระกูลของข้ากลายเป็นหนึ่งในเก้าตระกูลหลักของเมืองกลอรี่ ที่อยู่บนโลกใบเล็ก หากเจ้านั้นมีความพยายาม เจ้าก็จะสามารถเปลี่ยนได้แม้แต่โชคชะตา” ตู่ซื่อตอบกลับไป 

 

หากไม่ได้เนี่ยลี่ช่วยเหลือ เขาก็ไม่รู้ว่าทุกวันนี้จะเป็นเช่นใด เขาจึงรู้สึกขอบคุณเนี่ยลี่อยู่ตลอดเวลา

 

“หากข้าได้เป็นทายาทอันดับหนึ่งของตระกูล ข้าก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงกฏของตระกูลได้ แน่นอนว่า รวมถึงกฏของเมือง เรื่องดวงตาของรูปปั้นที่อาจารย์ต้องการด้วยเช่นกัน” เสี่ยวฉีหลิงพูดพร้อมกับกำหมัดแน่น ด้วยวรยุทธที่อาจารย์สั่งสอนเขาอาจจะก้าวไปถึงจุดนั้นก็เป็นได้

 

“พรุ่งนี้พวกเจ้าจะต้องเรียนรู้วรยุทธกิเลนสวรรค์อย่างแท้จริงแล้ว จงไปพักผ่อนก่อน” ตู่ซื่อพูดขึ้นมาก่อนที่จะไล่ให้เสี่ยวฉีหลิงไปนอนพัก และคิดหาหนทางที่จะได้กระจกข้ามภพมาโดยที่ชาวเมืองทั้งสองไม่เดือดร้อน

 

เช้าวันต่อมาตู่ซื่อและฮวาหั่วได้ถ่ายทอด วรยุทธทั้งสามกระบวนท่าให้แก่เสี่ยวฉีหลิงและเสี่ยวหนีเสิ่น ซึ่งการฝึกนี้พวกเขาหลบไปฝึกในป่าเพื่อที่จะหลบสายตาของพวกชาวเมืองทั้งสองฝั่ง

 

ตู่ซื่อได้นำแหวนห้วงมิติสำหรับเก็บของที่มียาทิพย์เจือจางอยู่ห้าสิบขวดให้ฮวาหั่วเก็บไว้ ก่อน จากนั้นตู่ซื่อและฮวาหั่วก็มอบยาทิพย์ให้แก่เสี่ยวฉีหลิงและเสี่ยวหนีเสิ่นคนละหนึ่งขวด

 

“หลังจากที่ดื่มลงไปแล้ว ร่างกายของพวกเจ้าจะเร่าร้อนดั่งถูกเปลวไฟแผดเผา จงทำการดูดซับพลังเหล่านั้นโดยใช้วรยุทธกิเลนกลืนสวรรค์ หากพวกเจ้าไม่ตั้งใจอาจจะถูกเผาไหม้จนตายได้” ตู่ซื่อกำชับด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง

 

“ค่ะ ขอรับ!” เสี่ยวฉีหลิงและเสี่ยวหนีเสิ่นดื่มยาทิพย์ลงไป พวกเขารู้สึกราวกับว่ากำลังกลืนกินเปลวไฟที่ร้อนแรงยิ่งนัก ราวกับธารลาวาไหลลงไปตามลำคอจนไปถึงกระเพาะของพวกเขา

 

เสี่ยวฉีหลิงและเสี่ยวหนีเสิ่นรีบทำการใช้ใช้วรยุทธกิเลนกลืนสวรรค์ทันที ด้วยการใช้วรยุทธนี้จะสามารถดูดซับพลังเข้าสู่ห้วงขอบเขตวิญญาณได้รวดเร็วยิ่งขึ้นแค่เพียงไม่นาน ความรู้สึกที่กำลังถูกแผดเผาก็หายไป ระดับพลังของทั้งสองคนเพิ่มสูงขึ้นหลายขั้น ในตอนนี้เสี่ยวฉีหลิงและเสี่ยวหนีเสิ่นนั้นบรรลุระดับดาราสวรรค์ขั้นที่เจ็ดแล้ว และในห้วงขอบเขตวิญญาณของทั้งสองคนยังมีพลังสวรรค์อยู่อย่างเต็มเปี่ยม คงต้องใช้เวลาอีกหลายวันจึงจะดูดซับพลังเหล่านั้นเข้าไปในชะตาวิญญาณได้จนหมด

 

“พวกเจ้าจะได้ทานยาทิพย์นี้ในทุกสามวัน จงพยายามดูดซับพลังในห้วงขอบเขตวิญญาณของพวกเจ้าให้ได้มากที่สุด วรยุทธกิเลนสวรรค์นั้นสิ้นเปลืองพลังสวรรค์เป็นอย่างมาก ดั้งนั้นจงไตร่ตรองให้ดีก่อนที่จะใช้” ตู่ซื่อยังคงสั่งสอนอย่างจริงจัง ด้วยท่าทีที่จริงจังของเขานั้นทำให้ฮวาหั่วอดที่จะแอบหัวเราะไม่ได้

 

“ตู่ซื่อมีคนมา” เสียงของกิเลนฟ้าดังขึ้นมาในหัวของตู่ซื่อและฮวาหั่ว

 

ตู่ซื่อหันไปมองทิศทางที่ตรวจจับถึงกลิ่นอายลมปราณได้ พบว่ามีคนกลุ่มหนึ่งกำลังมุ่งหน้ามาหาพวกเขา

 

“คุณชายเสี่ยวฉีหลิง ท่านผู้นำตระกูลเรียกให้ท่านไปพบในทันที!” มีคนกลุ่มหนึ่งพูดขึ้นมา

 

เสี่ยวฉีหลิงรู้สึกไม่พอใจที่มีคนมาขัดขวางการฝึกของเขา จึงคิดที่จะขัดขืนแต่ตู่ซื่อได้ห้ามเอาไว้

 

“ข้าเป็นอาจารย์ของกิเลนน้อย ข้าจะตามไปด้วย” ตู่ซื่อหันไปพูดกับชายกลุ่มนั้น

 

พวกเขาหันมองหน้ากันเองครู่หนึ่งก่อนที่จะหันมาพูดกับตู่ซื่อว่า

 

“ท่านจะตามไปก็ได้ แต่เรื่องการเข้าพบกับผู้นำตระกูล ต้องทำการแจ้งให้ผู้นำตระกูลทราบก่อน”

 

“พวกข้าขอตามไปด้วยได้หรือไม่?” ฮวาหั่วพูดแทรกขึ้นมา

 

“เจ้าพวกสายเลือดอสูร ไสหัวไปซะ ที่คุณชายเสี่ยวฉีหลิงถูกท่านผู้นำตระกูลเรียกไปพบ เพราะการคบหากับพวกเจ้า” ชายผู้นั้นพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ

 

ฮวาหั่วรู้สึกเจ็บแค้นยิ่งนัก นางจับจ้องพวกเขาด้วยสายตาที่เป็นประกาย แต่งานใหญ่ต้องมาก่อนความรู้สึกส่วนตัว นางจึงหันหลังพาเสี่ยวหนีเสิ่นกลับไปในเมืองอสูร

 

ห้องโถงใหญ่ตระกูลฉีหลิง [กิเลน]

 

          ผู้นำตระกูลฉีหลิง เป็นชายชรารูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าน่าเกรงขาม มีผมสีขาวทั่วทั้งศีรษะ แต่มีหนวดและเคราสีดำยาว สวมเสื้อคลุมสีชาด นั่งอยู่บนเก้าอี้ใหญ่ที่อยู่เบื้องหน้า ด้านหลังของเขามีป้ายแกะสลักรูปกิเลนสีทองขนาดใหญ่อยู่ เขามีนามว่า ต้าฉีหลิง [大麒麟:กิเลนผู้ยิ่งใหญ่] เขานั้นเป็นยอดฝีมือระดับเทพสงครามขั้นที่หก

 

          เมื่อได้ยินว่าตู่ซื่อนั้นเป็นอาจารย์ของเสี่ยวฉีหลิง เขาจึงยอมให้เข้าร่วมฟังการตัดสินโทษของเสี่ยวฉีหลิงได้ โดยมีเงื่อนไขว่า ตู่ซื่อจะต้องยืนฟังอยู่เงียบ ๆ เท่านั้น

 

          “กฏของตระกูลได้บัญญัติเอาไว้อย่างชัดเจน ว่าห้ามคบหากับผู้มีสายเลือดอสูร แต่กลับมีผู้พบเห็นว่าเจ้านั้นแอบไปพูดคุยอย่างสนิทสนมกับพวกที่มีสายเลือดอสูรเจ้านั้นจะยอมรับการลงโทษหรือไม่” ต้าฉีหลิงพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง

 

           “แม้ว่านางจะมีสายเลือดของอสูรแต่ สำหรับข้านางนั้นมิได้ต่างจากมนุษย์นอกจากใบหูและปีกของนางเท่านั้น” เสี่ยวฉีหลิงประสานมือพร้อมกับตอบกลับไป

 

          “กฏของตระกูลมิได้มีข้อยกเว้นในเรื่องนั้น การที่เจ้าพูดเช่นนั้นก็เท่ากับว่าเจ้านั้นยอมรับความผิดแล้ว” ผู้อาวุโสของตระกูลพูดขึ้นมา

 

          “ถ้าเช่นนั้นข้าขอทำการเปลี่ยนแปลงกฏของตระกูล โดยการขอท้าประลองชิงอันดับผู้สืบทอดของตระกูล”  เสี่ยวฉีหลิงหันไปพูดกับผู้อาวุโสด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง

 

          ทันทีที่ได้ยินคำพูดของเสี่ยวฉีหลิง เหล่าสมาชิกของตระกูลฉีหลิงก็หัวเราะขึ้นมา พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่า เสี่ยวฉีหลิงที่มาจากกิ่งตระกูลเล็ก ๆ และไม่ได้รับตำแหน่งผู้สืบทอดแม้แต่อันดับที่สิบ ที่เป็นอันดับต่ำที่สุดจะกล้าพูดเช่นนี้ เหล่าผู้สืบทอดทั้งสิบอันดับนั้น ล้วนแต่เป็นยอดฝีมือระดับวิถีแห่งมังกร

 

          “การที่จะเปลี่ยนแปลงกฏของตระกูลได้ เจ้านั้นต้องสามารถชิงตำแหน่งผู้สืบทอดลำดับที่หนึ่งมาให้ได้ก่อน แต่เจ้านั้นเป็นผู้ไร้อันดับการที่จะขอท้าประลองกับผู้สืบทอดลำดับที่หนึ่งนั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้”ผู้อาวุโสพูดขึ้นมาอีกครั้ง

 

          ตามกฏของตระกูลฉีหลิง จะสามารถท้าประลองชิงตำแหน่งกับผู้ที่มีอันดับสูงกว่าได้เพียงหนึ่งอันดับ นั่นหมายความว่ามีเพียงผู้สืบทอดลำดับที่สองเท่านั้น ที่มีสิทธิ์ท้าประลองกับผู้สืบทอดลำดับที่หนึ่ง และหากพ่ายแพ้จะถูกปรับลดลงไปหนึ่งอันดับ สำหรับสมาชิกของตระกูลที่ไร้อันดับจะต้องท้าชิงตั้งแต่ผู้สืบทอดลำดับที่สิบก่อนเท่านั้น และการท้าชิงผู้ท้าชิงจะต้องวางเงินเดิมพัน และหากเป็นฝ่ายแพ้ จะต้องจ่ายเงินเดิมพันนั้นให้แก่ผู้ที่ถูกท้าประลอง การท้าประลองกับผู้สืบทอดลำดับที่สิบนั้นต้องวางเงินเดิมพันถึงหนึ่งล้านศิลาจิตวิญญาณ และเพิ่มสูงขึ้นหนึ่งล้านศิลาจิตวิญญาณในลำดับที่สูงขึ้นไปอีก นั่นหมายความว่าการท้าประลองกับผู้สิบทอดลำดับที่หนึ่งนั้นจะต้องใช้เงินถึงสิบล้านศิลาจิตวิญญาณ

 

          สำหรับกฏในการวางเดิมพันนี้ เสี่ยวฉีหลิงที่อยู่ในกิ่งตระกูลเล็ก ๆ และไม่เคยสนใจที่จะชิงชัยในตำแหน่งผู้สืบทอดมาก่อนจึงไม่ทราบในเรื่องนี้ หลังจากที่ได้ฟังคำอธิบายเขาก็กำหมันแน่น เงินที่เขาได้รับจากตระกูลนั้นในแต่ละปี จะได้มาเพียงไม่กี่หมื่นศิลาจิตวิญญาณเท่านั้น

 

          “ข้าขออนุญาตท่านผู้นำตระกูลและผู้อาวุโส ข้านั้นมีนามว่าตู่ซื่อ เป็นอาจารย์ของเสี่ยวฉีหลิง หากศิษย์ข้าต้องการท้าประลอง ข้าผู้เป็นอาจารย์ย่อมต้องสนับสนุน สำหรับเงินเดิมพันนั้นข้าจะเป็นผู้จ่ายให้แก่ศิษย์ข้าเอง” ตู่ซื่อประสานมือพูดออกไปด้วยท่าทีที่มีมารยาท หากเสี่ยวฉีหลิงได้กลายเป็นผู้สืบทอดลำดับที่หนึ่ง อาจจะทำให้เขาทำงานได้ง่ายขึ้น

 

          เมื่อได้ยินคำพูดและท่าทีของตู่ซื่อ เสียงพูดคุยกันเริ่มดังขึ้นทั่วทั้งห้องโถง แม้ว่าจะหาเงินมาเดิมพันได้ แต่ระดับพลังของเสี่ยวฉีหลิงที่พวกเขาสัมผัสได้นั้น  อยู่ในระดับดาราสวรรค์ขั้นที่เจ็ด แม้ว่าจะเพิ่มขึ้นหลายขั้นจากก่อนหน้านี้ แต่เมื่อเทียบกับผู้สืบทอดลำดับที่สิบ ที่มีความแข็งแกร่งในระดับวิถีแห่งมังกรขั้นที่สามนั้น ก็ไม่ต่างจากการวิ่งเข้าหาคมมีด

 

          “ถ้าเช่นนั้นตามกฏของตระกูล ผู้ประลองจะต้องเตรียมความพร้อมเป็นเวลาสามวัน และห้ามออกจากตำหนักของตระกูลเป็นอันขาด” ผู้นำตระกูลต้าฉีหลิงโบกมือให้ทุกคนเงียบและพูดออกไป

 

          “ขอรับ!” เฮยฉีหลิง [黑麒麟:กิเลนดำ] ผู้สืบทอดลำดับที่สิบประสานมือตอบรับในทันที เขาเผยรอยยิ้มที่มุมปากเล็ก การที่เป็นผู้สืบทอดลำดับที่สิบ ทำให้เขานั้นถูกท้าประลองเป็นประจำ นั่นทำให้เขาได้รับเงินเดิมพันเป็นจำนวนมาก ด้วยฝีมือของเขานั้นการที่จะขึ้นไปเป็นผู้สืบทอดอันดับที่สูงกว่านี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากอันใด แต่เขายินดีที่จะอยู่ในอันดับที่สิบนี้มากกว่า

 

เสี่ยวฉีหลิงมองไปที่ตู่ซื่อด้วยความกังวล เป็นเพราะเขาทำให้อาจารย์ต้องถูกกักบริเวรไปด้วย ในฐานะผู้ที่จะต้องวางเงินเดิมพัน แต่ตู่ซื่อก็พยักหน้าให้เสี่ยวฉีหลิงคลายกังวล

 

เสี่ยวฉีหลิงจึงประสือมือและพูดกับผู้นำตระกูลต้าฉีหลิงทันที

 

“ข้าเข้าใจขอรับ!

 

หลังจากนั้นเสี่ยวฉีหลิงและตู่ซื่อก็ถูกนำตัวไปยังตำหนักรับรอง และไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปที่ไหน ตู่ซื่อจึงสั่งให้เสี่ยวฉีหลิง ทำการบ่มเพาะพลัง เพื่อเพิ่มระดับพลังให้สูงขึ้นรวดเร็วที่สุด ในอีกสามวันข้างหน้า ยังมีโอกาสได้ดื่มยาทิพย์อีกครั้ง การที่จะบรรลุระดับวิถีแห่งมังกรในสามวันนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้

 

ทางด้านเมืองอสูร เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน เริ่มมีกองกำลังมาปิดกั้นทางเข้าออก และไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าออกประตูเมืองโดยเด็ดขาด ราวกับว่าอยู่ในภาวะสงคราม

 

“เทพธิดาน้อย นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” ฮวาหั่วถามด้วยความสงสัย

 

“ท่านอาจารย์ ข้าเองก็ไม่ทราบ หลายปีที่ผ่านมาไม่เคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน” เสี่ยวหนีเสิ่นส่ายหน้าทันที นางเองก็รู้สึกสงสัยยิ่งนัก เพราะการเป็นลูกผสมพวกนางจึงไม่ได้รับข่าวสารภายในเมืองเท่าใดนัก

 

“พวกเราลองไปสืบข่าวในตลาดดูอาจจะรู้อะไรขึ้นมาบ้าง” ฮวาหั่วพูดขึ้นมาพร้อมกับกวาดสายตาไปรอบ ๆ เมือง

 

“ท่านอาจารย์ เกี่ยวกับเรื่องนี้ให้ข้าและพี่น้องของข้า สืบข่าวจะสะดวกกว่า ท่านอาจารย์ยังถือว่าเป็นคนแปลกหน้าสำหรับเมืองนี้ หากท่านอาจารย์ไปสอบถาม ข้าคิดว่าคงจะทำให้พวกเขาหวาดระแวงเป็นแน่” เสี่ยวหนีเสิ่นดึงมือของฮวาหั่วเอาไว้ พร้อมกับพูดออกไป

 

“เจ้านี่มัน สวยและฉลาดสมกับเป็นศิษย์ข้าเสียจริง” ฮวาหั่วลูบศีรษะเสี่ยวหนีเสิ่นด้วยความเอ็นดู นับว่าสายตาในการเลือกศิษย์ของนางนั้นไม่เลวนัก จึงได้ศิษย์ที่ดีเช่นนี้

 

จากนั้นเสี่ยวหนีเสิ่นจึงพาฮวาหั่วไปพักที่บ้านของนาง และขอให้พี่น้องของนางออกไปหาข่าวภายในเมือง ว่าในตอนนี้เมืองอสูรมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกันแน่..............จบตอน

 

[เสี่ยวฉีหลิงเป็นตัวละครที่ผู้แต่งรู้สึกชอบมากเป็นพิเศษ ดังนั้นบทอาจจะมากกว่าตู่ซื่อ ต้องขออภัยด้วย เด็กปั้นของผู้แต่งเอง]


แต่งโดย นายมะพร้าว



 


เมนู นิยาย ล่าง

เมนู มังงะ ล่าง