test

เมนู นิยาย บน

เมนูมังงะ

13 ม.ค. 2560

Tales of Demons & Gods Next Legend บทที่ 444.80 เสี่ยวฉีหลิง และ เสี่ยวหนีเสิ่น




          เสี่ยวฉีหลิงชักกระบี่ออกมาและตั้งท่าเตียมต่อสู้ในทันที ส่วนตู่ซื่อสัมผัสได้ถึงพลังของ ฮวาหั่ว จึงลืมตาขึ้นมา และพยักหน้าเป็นการขอให้ฮวาหั่วไม่ขัดขวางการต่อสู้ของทั้งสองคน ฮวาหั่วจึงพยักหน้าตอบรับในทันที

 

          “เจ้ากิเลนน้อย คิดจะมากลั่นแกล้งอันใดข้าอีก?” เสี่ยวหนีเสิ่นตะโกนกลับไป เดิมทีทั้งสองคนนั้นมักจะขัดแย้งกันที่นอกเมือง ยามที่นางต้องออกมาหากิ่งไม้ เสี่ยวฉีหลิงมักจะคอยกลั่นแกล้ง เนื่องจากเห็นว่านางนั้นเป็นอสูร ทางด้านเสี่ยวหนีเสิ่นจึงมักจะตอบโต้ขโมยเหล้าของเสี่ยวฉีหลิงยามที่ออกมาเดินเล่นนอกเมือง

 

          “ในวันนี้ข้าจะจบความบาดหมางระหว่างเราเสียที” เสี่ยวฉีหลิงฟันกระบี่ออกไปทันที ทางด้านเสี่ยวหนีเสิ่นกระโดดหลบพร้อมกับชัดกระบี่ของนางออกมาเช่นกัน

 

          ตู่ซื่อมองดูการต่อสู้ของทั้งคู่ ก็เห็นได้ชัดว่า พวกเขามีพื้นฐานที่ไม่เลวนัก แม้ว่าจะพูดว่าเป็นการต่อสู้เอาชีวิต แต่กลับดูเหมือนการหยอกล้อกันเสียมากกว่า จึงทำให้เขาอดที่จะยิ้มไม่ได้

 

          ประกายจากการที่กระบี่ของทั้งสองปะทะกัน เริ่มมีมากขึ้นตู่ซื่อจึงยื่นมือออกไปพร้อมกับใช้วรยุทธกิเลนคลุมสวรรค์สร้างม่านพลังระกันระหว่างทั้งสองเอาไว้

 

          เมื่อทั้งสองปะทะเข้ากับม่านพลัง จึงกระโดดถอยหลังออกมา พร้อมกับหันไปทางตู่ซื่อและเอ่ยถามว่า

 

          “นี่ท่านคิดจะขัดขวางการต่อสู้ของข้าเช่นนั้นหรือ?

 

          “ข้าได้เห็นฝีมือของพวกเจ้าแล้ว นับว่ามีพื้นฐานที่ดี หากพวกเจ้าต้องการ ข้ากับฮวาหั่วยินดีที่จะถ่ายทอดวรยุทธให้พวกเจ้า แต่พวกเจ้าจะต้องตอบสิ่งที่พวกข้าต้องการรู้มาก่อน” ตู่ซื่อลุกยืนขึ้นพร้อมกับพูดกับทั้งสองคน

 

          “ข้าชื่อชมที่ท่านแข็งแกร่ง แต่ข้านั้นไม่จำเป็นต้องให้ผู้ใดมาเป็นอาจารย์” เสี่ยวฉีหลิงยังคงรู้สึกไม่พอใจที่ตู่ซื่อยื่นมือเข้ามาขัดขวางการต่อสู้ของเขา ดังนั้นเขาจึงหันกระบี่ไปทางตู่ซื่อทันที

          เมื่อเห็นเช่นนั้นตู่ซื่อยังคงยืนอย่างสงบพร้อมกับยิ้มออกมา เด็กหนุ่มผู้นี้กล้าหาญยิ่งนัก ไม่กลัวที่จะต้องเผชิญหน้ากับผู้ที่เหนือกว่า แต่ในทางกลับกัน ก็เป็นเพียงแค่คนที่โง่เง่าที่ไม่รู้จักประมาณตนเท่านั้น

          เสี่ยวฉีหลิงคิดว่าตู่ซื่อนั้นยิ้มเยาะจึงแทงกระบี่ไปที่หน้าอกของตู่ซื่อ ไม่ทันที่กระบี่สัมผัสร่างกายของตู่ซื่อ กระบี่ของเสี่ยวฉีหลิงก็แตกกระจายออกไป เหลือเพียงด้ามจับเท่านั้น ตู่ซื่อใช้เพียงแค่ลมปราณก็สามารถทำลายกระบี่ของเสี่ยวฉีหลิงได้อย่างง่ายดาย

          เสี่ยวฉีหลิงสำนึกได้ในทันที ว่าเขานั้นกำลังเผชิญหน้ากับยอดฝีมือที่แข็งแกร่งเพียงใด และยอดฝีมือผู้นี้ยังพูดอีกว่ายินดีที่จะถ่ายทอดวรยุทธให้แก่เขาอีกด้วย

          “ข้าขออภัยที่ล่วงเกิน โปรดรับข้าเป็นศิษย์ด้วย” เสี่ยวฉีหลิงรีบคุกเข่าคำนับตู่ซื่อทันที

          “พี่สาวก็จะถ่ายทอดวรยุทธให้ข้าใช่หรือไม่?” เสี่ยวหนีเสิ่นหันไปถามฮวาหั่ว

          “คนผู้นั้นคือสามีของข้า วรยุทธที่เขาและข้าใช้นั้นเป็นวรยุทธเดียวกัน หากเจ้าต้องการข้าก็จะไม่ปฏิเสธ” ฮวาหั่วยิ้มพร้อมกับตอบกลับไป

          เมื่อได้ยินเช่นนั้นเสี่ยวหนีเสิ่นจึงรีบคุกเข่าและประสานมือเพื่อคารวะฮวาหั่วในทันที

          “ท่านอาจารย์ ศิษย์ผู้นี้จะเชื่อฟังคำสอนของท่าน ได้โปรดถ่ายทอดวรยุทธให้แก่ข้าด้วย” เสี่ยวหนีเสิ่น พูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง

          “ก่อนอื่นข้าต้องการรู้เรื่องราวเกี่ยวกับอาณาจักรนี้ทั้งหมด พวกเจ้าสามารถบอกได้หรือไม่?” ตู่ซื่อโบกมือให้ทั้งสองคนลุกขึ้นและถามออกไป

          หลังจากนั้นเสี่ยวฉีหลิงและเสี่ยวหนีเสิ่นจึงช่วยกันเล่าสิ่งที่พวกเขารู้เกี่ยวกับอาณาจักรหุบเขาสวรรค์นี้ให้ตู่ซื่อและฮวาหั่วฟัง

          “เดิมทีอาณาจักรหุบเขาสวรรค์แห่งนี้ จะมีสงครามระหว่างมนุษย์และอสูรอยู่เสมอ ซึ่งเป้าหมายของทั้งสองฝ่ายก็คือผลึกแก้ว ที่ใช้ติดต่อกับเทพบนสวรรค์ จนเมื่อหลายพันปีก่อนได้มียอดฝีมือจากอาณาจักรอื่นปรากฏตัวขึ้นมา เขาทำให้สงครามสงบลงโดยการแบ่งผลึกแก้วเป็นสองส่วนและฝังไว้ในรูปปั้นของแต่ละฝั่ง หลังจากนั้นมนุษย์และอสูรก็ต่างแยกกันอยู่อย่างสงบ” เสี่ยวฉีหลิงค่อย ๆ เล่าเกี่ยวกับสิ่งที่เขาเคยได้ยินมา

          “หากมีคนหรืออสูรที่คิดจะขโมยผลึกแก้วออกมาจะถูกสังหารทันทีโดยไม่มีข้อยกเว้น เนื่องจากรูปปั้นนั้นตั้งอยู่ระหว่างเมืองทั้งสอง ที่มีทหารเฝ้าอยู่ตลอดเวลา จึงไม่มีผู้ใดกล้าที่จะลักลอบขึ้นไปขโมย” เสี่ยวหนีเสิ่นพูดเสริมขึ้นมา

          “ด้วยความสามารถของพวกเราสามารถชิงมาได้ไม่ยากนักนะตู่ซื่อ” ฮวาหั่วหันไปพูดกับตู่ซื่อ

          “ถ้าหากทำเช่นนั้น สงครามระหว่างมนุษย์และอสูรก็จะเริ่มขึ้นอีกครั้ง ข้าไม่ต้องการเช่นนั้น” ตู่ซื่อส่ายศีรษะปฏิเสธในทันที เขาต้องลองคิดหาหนทางอื่นดู

          “เมื่อพวกเจ้าเล่าทุกสิ่งให้ข้าฟังแล้ว จากนี้ไปพวกเราจะแยกกันเข้าไปในเมือง จากนั้นจะเป็นการฝึกพื้นฐานวรยุทธกิเลนสวรรค์ให้แก่เจ้า” ตู่ซื่อหันไปพูดกับเสี่ยวฉีหลิง

          “พรุ่งนี้เช้าพวกเรามาพบกันที่นี่อีกครั้ง เสี่ยวหนีเสิ่นคืนนี้เจ้าคงต้องฝึกหนักเพื่อที่จะไล่ตามกิเลนน้อยให้ทัน” ฮวาหั่วหันไปพูดกับเสี่ยวหนีเสิ่น นางนั้นระดับพลังด้อยกว่าเสี่ยวฉีหลิงหนึ่งขั้น หากจะให้นางจับคู่กับเสี่ยวฉีหลิง ก็ต้องเพิ่มระดับพลังของนางให้ได้ก่อน

          หลังจากที่แยกย้ายกันไปพักในเมือง ตู่ซื่อพักที่โรงเตี๊ยมจวั้งเอวี่ยนที่เขาได้เข้าไปก่อนหน้านี้ เสี่ยวเอ้อรีบจัดห้องพักที่ดีที่สุดให้ตู่ซื่อทันที

          “กิเลนน้อยจากนี้ไป ข้าห้ามเจ้าดื่มเหล้าจนกว่าจะฝึกวรยุทธกิเลนสวรรค์ได้สำเร็จ เจ้าจะรับปากข้าหรือไม่?” ตู่ซื่อหันไปพูดกับเสี่ยวฉีหลิงด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง

          “ขอรับท่านอาจารย์!” เสี่ยวฉีหลิงตอบรับในทันที แม้ว่าจะถูกให้ทำสิ่งใดเขาก็จะไม่ปฏิเสธ หากได้รับการสั่งสอนจากยอดฝีมือเช่นตู่ซื่อ เขาก็ไม่ต้องเกรงกลัวผู้ใดอีก

          “เจ้าคิดว่าเทพธิดาน้อยผู้นั้นเป็นเช่นใดบ้าง?” ตู่ซื่อถามออกไป หากทั้งสองไม่สื่อใจถึงกัน ก็ไม่อาจที่จะผสานจิตกันได้

          “ข้าจะตอบ แต่ท่านอย่าได้ไปบอกนางนะ ข้าคิดว่านางนั้นก็ดูแล้วน่ารักยิ่งนัก แต่เพราะผู้อื่นมองว่านางเป็นอสูร ข้าก็ไม่รู้ว่าจะต้องพูดเช่นใดกับนาง” เสี่ยวฉีหลิงพูดด้วยความเขินอาย

          “หรือเจ้ามองว่านางเป็นอสูร ฮวาหั่วภรรยาของข้า ในสายตาของเจ้าก็เป็นอสูรเช่นนั้นหรือ?” ตู่ซื่อถามออกไป เขาต้องการที่จะทราบความคิดของเสี่ยวฉีหลิง

          “ถ้าไม่นับที่ใบหูของนาง นางก็ดูเหมือนมนุษย์ สำหรับข้าแล้วนางก็เป็นมนุษย์ผู้หนึ่ง แต่ด้วยกฏที่ถูกตั้งเอาไว้ สำหรับชาวเมืองพวกเขาคงไม่คิดเช่นนั้น” เสี่ยวฉีหลิงตอบกลับไป

          “เทพธิดาน้อยก็มิได้ต่างจากภรรยาข้าเท่าใดนัก แค่นางมีปีกอยู่ด้านหลังเท่านั้น” ตู่ซื่อยังคงถามต่อไปด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ

          “สำหรับข้าแล้ว...นางก็เป็นดั่งเทพธิดาน้อยตามชื่อของนาง ปีกของนางทำให้นางดูงดงามและโดดเด่นเสียยิ่งกว่าคนทั่วไปเสียอีก” เสี่ยวฉีหลิตอบกลับไปอย่างไม่เต็มเสียงนัก

          “ข้าไม่มีสิ่งใดจะถามเจ้าแล้ว จากนี้ไปให้เจ้าโครจรพลังให้ข้าดู” ตู่ซื่อเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง

          เสี่ยวฉีหลิงเริ่มโคจรพลังไปทั่วร่าง แต่เห็นได้ชัดว่าเขานั้นไม่อาจโครจรพลังไปได้ในทุกส่วนของร่างกาย ตู่ซื่อจึงเริ่มทำการชี้แนะเกี่ยวกับการโคจรพลังไปก่อน โดยที่ยังไม่ได้เสี่ยวฉีหลิงดูดซับพลังสวรรค์เพิ่ม

          ทางด้านฮวาหั่วกับเสี่ยวหนีเสิ่น ฮวาหั่วได้ให้นางทำการดูดซับพลังสวรรค์จากศิลาจิตวิญญาณ เพื่อเลื่อนสู่ระดับชะตาสวรรค์ขั้นที่เก้าให้เร็วที่สุด ซึ่งจากก็สามารถดูดซับพลังสวรรคืได้อย่างรวดเร็ว อาจจะเป็นเพราะสายเลือดของเอลฟ์ที่อยู่ในร่างกายของนางก็เป็นได้

          ฮวาหั่วมองดูเสี่ยวหนีเสิ่น ที่ทำการดูดซับพลังสวรรค์อยู่ด้วยความเอ็นดู และถามออกไป

          “เทพธิดาน้อย เจ้านั้นคิดเช่นกับกับกิเลนน้อยผู้นั้น?

          เมื่อถูกถามเช่นนั้นทำให้การดูดซับพลังของนางเริ่มติดขัด และดูเหมือนว่าจะไม่สามารถโครจรลมปราณภายในร่างได้อย่างปกติ

          “ท่านอาจารย์หมายความเช่นใดกัน?” เสี่ยวหนีเสิ่นถามกลับไปด้วยใบหน้าที่แดงระเรื่อเล็กน้อย

          “ข้าเองก็เป็นหญิง เหตุใดจะไม่เข้าใจท่าทีของเจ้า ก่อนหน้านี้ที่พวกเจ้าสู้กัน ข้ามองเห็นได้อย่างชัดเจนว่า เจ้านั้นมิได้หมายเอาชีวิตของเขา” ฮวาหั่วยิ้มและพูดออกไป

          “คงเป็นแค่การหลงไหลเพราะวัยหนุ่มสาวเท่านั้น มนุษย์กับพวกเลือดผสมไม่อาจอยู่ร่วมกันได้ ข้าคงไม่คิดสิ่งใดที่เกินเลยไปกว่าที่เป็นอยู่” เสี่ยวหนีเสิ่นตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ นางนั้นเริ่มทำสมาธิอีกครั้ง

          “ข้ากับตู่ซื่อยังสามารถแต่งงานกันได้ หากเจ้าต้องการข้าสามารถพาเจ้าไปอยู่ที่อาณาจักรอื่น ๆ พร้อมกับพี่น้องของเจ้าได้ อาณาจักรที่ข้าเดินทางมานั้น มนุษย์และพวกเลือดผสมอย่างพวกเราสามารถอยู่ร่วมกันได้นะ” ฮว่าหั่วรู้สึกเอ็นดูเสี่ยวหนีเสิ่นเป็นอย่างมาก นางนั้นมีสายเลือดที่ไม่ต่างกัน แต่กลับได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างกันเป็นอย่างมาก

          “หากท่านสามารถช่วยเหลือพี่น้องของข้าได้ ข้าก็ยินดีที่จะติดตามท่านอาจารย์ไปทุกแห่ง” เสี่ยวหนีเสิ่นตอบกลับไปด้วยความซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก

          “การที่จะบรรลุวรยุทธของข้าได้ มีสองสิ่งที่จำเป็น ขั้นแรกคือข้าต้องหาดวงจิตกิเลนให้แก่พวกเจ้า และสองพวกเจ้าต้องผสานใจเป็นหนึ่ง พรุ่งนี้ข้าจะให้เจ้าและกิเลนน้อยฝึกร่วมกัน เจ้าจงปลดปล่อยความรู้สึกของตนออกไปพร้อมกับโคจรพลังสวรรค์ หากไม่อาจผสานกันได้ ข้าก็จะไม่บังคับให้เจ้าทำเช่นนั้นอีกเป็นครั้งที่สอง” ฮวาหั่วอธิบายเกี่ยวกับการฝึกฝนไปอย่างช้า ๆ

          “หากอาจารย์พูดเช่นนั้น ข้าก็จะทำตามที่ท่านชี้แนะ” เสี่ยวหนีเสิ่นตอบรับและเริ่มปรากฏสีชมพูที่ใบหน้าของนาง

          “กิเลนเพลิง เจ้าคงไม่ว่าข้านะ ที่จะหาดวงจิตกิเลนให้แก่พวกเขา” ฮวาหั่วพูดกับกิเลนเพลิงในห้วงขอบเขตวิญญาณของนาง นางและตู่ซื่อได้หาซื้อดวงจิตประเภทกิเลนเท่าที่หาได้ เพื่อรวบรวมดวงจิตกิเลน ที่เป็นญาติพี่น้องของกิเลนฟ้าและกิเลนเพลิง

          “การที่ดวงจิตของเผ่าพันธุ์ของข้าอยู่ที่คนที่เหมาะสม ข้าก็ไม่อาจต่อว่าเจ้าได้ ข้าเองก็คิดว่านางนั้นมีพรสวรรค์ไม่น้อยที่จะเรียนรู้วรยุทธกิเลนสวรรค์” กิเลนเพลิงตอบกลับไป

          วันต่อมาระดับพลังของเสี่ยวหนีเสิ่นก็สามารถบรรลุระดับชะตาสวรรค์ขั้นที่เก้าได้ นั่นทำให้ฮวาหั่วรู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก หลังจากที่ทานอาหารแล้ว พวกนางก็เดินทางออกมานอกเมืองเพื่อพบกับตู่ซื่อและเสี่ยวฉีหลิง

          ทันทีที่พบหน้ากัน ทั้งสองมีอาหารเขินอายอย่างเห็นได้ชัด แต่ด้วยคำสั่งของตู่ซื่อและฮวาหั่ว ทั้งสองคนจึงต้องมานั่งประกบมือกัน ตู่ซื่อและฮวาหั่วใช้ลมปราณสร้างพื้นที่ผสานดวงจิตขึ้นมา ซึ่งเป็นเทคนิคลับที่ถ่ายทอดให้แก่โอรสและธิดาศักดิ์สิทธิ์ของนิกายกำเนิดสวรรค์เท่านั้น

          เมื่อทั้งสองเริ่มโคจรพลังตามที่ได้รับการชี้แนะมา แค่เพียงไม่นานดวงจิตของทั้งสองฝ่ายก็ผสานเป็นหนึ่ง ชะตาวิญญาณของทั้งเก้า ในห้วงจิตวิญญาณของทั้งสองคนเริ่มหลอมรวมกัน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าใจของทั้งสองนั้นตรงกันยิ่งนัก ความทรงจำของทั้งสองฝ่ายต่างโคจรผ่านร่างกายและสมองของอีกฝ่าย ทำให้รับรู้ได้ถึงความรู้สึกนึกคิดของอีกฝ่าย ทำให้ทั้งสองรู้สึกมีความสุขเป็นอย่างมาก

          จากนั้นทั้งสองก็คลายการประกบมือ ทั้งสองไม่กล้าที่จะสบตากับอีกฝ่าย ตู่ซื่อและฮวาหั่วมอบดวงจิตกิเลนให้แก่ทั้งสอง เสี่ยวฉีหลิงนั้นได้รับดวงจิตกิเลนวารี ส่วนเสี่ยวหนีเสิ่นนั้นได้รับดวงจิตกิเลนวายุ

          “วันนี้พวกเจ้าจงผสานเข้ากับดวงจิตกิเลน และทำให้อยู่ในสภาพสมดุล จากนั้นข้าจะถ่ายทอดวรยุทธวิเลนสวรรค์ทั้งสามกระบวนท่าให้แก่พวกเจ้า” ตู่ซื่อพูดขึ้นมาด้วยความยินดีที่ ทั้งสองสามารถผสานใจเป็นหนึ่งได้

          “จากนี้ไปก็นับว่าพวกเจ้าเป็นศิษย์ของเราทั้งสองอย่างแท้จริงแล้ว” ฮวาหั่วยิ้มด้วยความภูมิใจในตัวศิษย์ทั้งสองเป็นอย่างมาก................จบตอน

        

แต่งโดย นายมะพร้าว




         

เมนู นิยาย ล่าง

เมนู มังงะ ล่าง