Tales of Demons & Gods Next Legend บทที่ 444.79 อาณาจักรหุบเขาสวรรค์
ตู่ซื่อและฮวาหั่วได้มาถึงอาณาจักรหุบเขาสวรรค์
เบื้องหน้าของพวกเขาเป็นเทือกเขาสูงตระหง่าน
เมื่อมองไปจะเห็นรูปปั้นตั้งตระหง่านอยู่ตรงเทือกเขาสองฝั่ง
รูปปั้นตนหนึ่งมีใบหน้าเป็นมนุษย์ ส่วนรูปปั้นอีกตนมีใบหน้าของอสูร
โดยที่ดวงตาของรูปปั้นทั้งสองมีผลึกแก้วฝังอยู่ ฝั่งมนุษย์จะอยู่ตรงตาด้านขวา
ส่วนของอสูรจะฝังอยู่ที่ตาข้างซ้าย ราวกับว่าเป็นดวงตาที่จับจ้องไปยังเมืองของอีกฝ่ายตลอดเวลา
ตู่ซื่อและฮวาหั่วนั้นเดินยังประตูเมืองฝั่งของมนุษย์
ทันใดนั้นก็มีทหารผู้หนึ่งมายืนขวางเอาไว้
และตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงที่เกรี้ยวกราดว่า “เจ้ามิใช่มนุษย์
เจ้าไม่มีสิทธิ์มายังฟากนี้”
จริงอยู่ที่นางนั้นมีใบหูสีชาดประกายม่วงต่างจากมนุษย์
เนื่องจากนางสืบสายเลือดส่วนหนึ่งมาจากเผ่าเอลฟ์
แต่ร่างกายส่วนอื่นของนางนั้นไม่มีส่วนใดที่ต่างไปจากมนุษย์ และที่โลกใบเล็กนั้นมนุษย์กับเอลฟ์นั้น
อยู่ร่วมกันได้ นางจึงไม่เคยถูกมองด้วยสายตาเช่นนี้มาก่อน
“แต่ข้า...” ฮวาหั่วคิดจะแย้งกลับไป
แต่นางก็นึกขึ้นได้ว่า หากเผ่าอสูรมองว่านางนั้นเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน
การสืบข่าวจากฝั่งอสูรก็จะเป็นไปได้อย่างสะดวก
“ข้าแค่เดินมาผิดฝั่งเท่านั้น”
ฮวาหั่วพูดพร้อมกับรีบหันหลังเดินไปทางประตูเมืองอีกฝั่ง
“ตู่ซื่อข้าจะไปหาข้อมูลจากทางฝั่งอสูร
อีกราวสองชั่วยามมาไปพบกันที่ด้านนอก” ฮวาหั่วส่งเสียงผ่านลมปราณไปยังตู่ซื่อ
“เข้าใจแล้ว ข้าจะหาข่าวจากทางฝั่งนี้
ระวังตัวด้วย” ตู่ซื่อตอบกลับไปด้วยความกังวล
หลังจากที่เข้าไปในเมือง
ตู่ซื่อมุ่งหน้าไปหาข่าวที่โรงเตี๊ยมก่อนเป็นอันดับแรก
ตู่ซื่อเลือกที่จะเข้าไปยังโรงเตี๊ยมที่ใหญ่ที่สุด
และมีผู้คนเดินเข้าออกมากที่สุดของเมือง ป้ายหน้าโรงเตี๊ยมสลักชื่อเอาไว้ว่า
โรงเตี๊ยมจวั้งเอวี่ยน [狀元:คนไทยเรียกว่า จอหงวน แปลว่าอันดับหนึ่ง]
เดิมทีตู่ซื่อคิดจะมาสอบถามเท่านั้น
แต่เขาได้เรียนรู้มาจากโลกใบเล็กแล้วว่า
หากไม่มีสิ่งตอบแทนการที่จะทำให้อีกฝ่ายเอ่ยปากพูดนั้นเป็นเรื่องที่ยากนักเขาจึงทำตามที่เนี่ยลี่ได้แนะนำไว้
“ข้าขอเสียมารยาทเลี้ยงเหล้าทุกท่านที่อยู่ในโรงเตี๊ยมแห่งนี้”
ตู่ซื่อพูดพร้อมกับนำศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำออกมาหนึ่งก้อนและมอบให้กับเสี่ยวเอ้อ
[小二 จริง ๆ คำนี้แปลว่าน้องรอง ซึ่งเจ้าของร้านนั้นคือพี่ใหญ่]
เมื่อได้รับศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำจากตู่ซื่อ
เสี่ยวเอ้อก็ได้นำสุราอู่เหลียงเยี่ย มาแจกจ่ายให้กับลูกค้าที่นั่งอยู่ในโรงเตี๊ยม
ซึ่งเมื่อเทียบกับศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณทองคำที่ตู่ซื่อมอบให้นั้น
ทางโรงเตี๊ยมยังได้กำไรมากมายนัก
หลังจากนั้นทางโรงเตี๊ยมจึงได้จัดอาหารอย่างดีมาให้แก่ตู่ซื่อ
ซึ่งตู่ซื่อก็ได้ขอให้นำไปแจกจ่ายแก่คนอื่น ๆ เขานั้นทานอาหารเพียงแค่ไม่กี่อย่างเท่านั้น
“พี่ชายน้ำใจงามยิ่งนัก
จอกนี้ข้าขอดื่มให้ท่าน” เสียงชายหนุ่มผู้หนึ่งพูดขึ้นมา
พร้อมกับยกเหล้าขึ้นมาดื่ม หลังจากนั้นเขาก็เทเหล้าใส่จอกที่วางอยู่บนโต๊ะและใช้มือปัดจอกเหล้าให้ลอยไปทางตู่ซื่อ
แม้ว่าจะลอยมาอย่างรวดเร็วแต่เหล้าในจอกนั้นมิได้กระฉอกเลยแม้แต่น้อย
ตู่ซื่อใช้มือขวารับก็เห็นว่า เหล้าในจอกนั้นหมุนวนอยู่ในจอกราวกับน้ำวน
เขาจึงยกขึ้นมาดื่มในทันที
“ข้านั้นมีนามว่าตู่ซื่อ
ไม่ทราบว่าท่านนั้นเป็นผู้ใดกัน?” ตู่ซื่อเอ่ยถามหลังจากดื่มเหล้าที่ส่งมาให้แล้ว
ชายหนุ่มที่หน้าตาคมคาย ผมยาวและรวบไว้ด้านบน
สวมเสื้อสีฟ้าอ่อน ส่วนเสื้อนอกนั้นมีสีขาว กางเกงสีน้ำเงิน มีขวดน้ำเต้าสำหรับใส่เหล้าห้อยอยู่ข้างเอว
ยกเหล้าขึ้นดื่มอีกจอก ก่อนที่จะตอบกลับไปว่า
“ข้ามีนามว่าเสี่ยวฉีหลิง
ผู้คนต่างเรียกขานข้าว่ากิเลนน้อย” [小麒麟:กิเลนน้อย] เด็กหนุ่มตอบกลับไป
“กิเลนน้อย
ขอข้าร่วมโต๊ะกับเจ้าจะได้หรือไม่?” ตู่ซื่อเอ่ยถาม เขารู้สึกว่า
เสี่ยวฉีหลิงผู้นี้ต้องไม่ใช่เด็กหนุ่มธรรมดาเป็นแน่ แม้จะยังอายุไม่มากนัก แต่ระดับพลังของเขา
ที่ตู่ซื่อสัมผัสได้คือระดับชะตาสวรรค์ขั้นที่เก้า
“เมื่อท่านเลี้ยงเหล้าข้า
ข้านั้นจะรังเกียจท่านด้วยเหตุผลใดกัน เสี่ยวเอ้อนำอาหารมาให้ข้าอีก
พี่ชายผู้นี้จะเป็นผู้จ่ายเงินเอง” เสี่ยวฉีหลิงหันไปสั่งอาหารกับเสี่ยวเอ้อ
ซึ่งตู่ซื่อเองก็พยักหน้าตอบรับทำให้เสี่ยวเอ้อไปนำอาหารมาวางที่โต๊ะของเสี่ยวฉีหลิงทันที
“กิเลนน้อย
ข้านั้นต้องการรู้เกี่ยวกับอาณาจักรแห่งนี้ เจ้าสามารถบอกข้าได้หรือไม่?”
ตู่ซื่อเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา
ทำให้เสี่ยวฉีหลิงที่กำลังฉีกเนื้อไก่เข้าปากนั้นถึงกับหยุดมือในทันที
“คนต่างถิ่นมาสอบถามเกี่ยวกับอาณาจักรเช่นนี้
ระวังผู้คนจะกล่าวหาว่าท่านนั้นเป็นสายของพวกอสูรนะพี่ชาย” เสี่ยวฉีหลิงตอบกลับไปพร้อมกับทานไก่ในมือ
“แล้วเจ้าสามารถบอกเรื่องที่ข้าต้องการรู้ได้หรือไม่?”
ตู่ซื่อถามกลับไปอีกครั้ง
“ถ้าหากเอาชนะข้าได้
ข้าจะตอบคำถามนี้แก่ท่าน!” เสี่ยวฉีหลิงใช้มือกระแทกโต๊ะเพื่อให้โต๊ะกระแทกเข้ากับตัวของตู่ซื่อ
แต่ตู่ซื่อใช้มือซ้ายจับโต๊ะไว้เบา ๆ เท่านั้น ก็สามารถทำให้โต๊ะหยุดนิ่ง
ไม่ขยับไปจากตำแหน่งเดิมแม้แต่น้อย
เป็นการใช้วรยุทธกิเลนกลืนสวรรค์ในการดูดซับพลังกระแทกจากฝ่ามือของเสี่ยวฉีหลิง
“ข้าไม่ต้องการที่จะต่อสู้กับผู้ใด
แต่หากเจ้าต้องการข้าก็ไม่ได้รังเกียจเท่าใดนัก และคงต้องขอเปลี่ยนสถานที่เพราะข้าไม่ต้องการให้เถ้าแก่โรงเตี๊ยมนี้ต้องเดือดร้อน”
ตู่ซื่อพูดด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ แต่ก็แผ่ลมปราณระดับเทพสงครามออกมา
เพื่อให้เสี่ยวฉีหลิงรับรู้ถึงความห่างชั้น
ตู่ซื่อคิดว่าเสี่ยวฉีหลิงจะรู้สึกหวาดกลัว
แต่เขากลับรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ที่ได้สัมผัสกับลมปราณของตู่ซื่อ
“พี่ชาย วรยุทธสูงส่งยิ่งนัก
ข้ายินดีที่จะตอบคำถามทุกเรื่องแก่ท่าน แต่สถานที่แห่งนี้คงไม่เหมาะสมเท่าใดนัก”
เสี่ยวฉีหลิงกระซิบบอกแก่ตู่ซื่อ
“ข้าเองนั้นก็ต้องออกไปทำธุระที่นอกเมือง
เจ้าสามารถออกไปกับข้าได้หรือไม่?” ตู่ซื่อเอ่ยถามพร้อมกับเรียกเสี่ยวเอ้อมาเก็บเงิน
“ค่าอาหารของคุณชายนั้น
เงินที่เราได้รับมาครั้งแรกนั้นเพียงพอแล้ว คุณชายไม่ต้องจ่ายเพิ่มขอรับ”
เสี่ยวเอ้อก้มศีรษะพูดกับตู่ซื่ออย่างสุภาพ
เงินที่ตู่ซื่อให้นั้นมากพอที่จะจ่ายค่าอาหารให้ทุกคนในโรงเตี๊ยมได้เสียด้วยซ้ำ
“ช้าก่อน
ถ้าเช่นนั้นจงนำเหล้าชั้นดีที่สุดมาเติมให้ข้าก่อน”
เสี่ยวฉีหลิงรีบสั่งให้เสี่ยวเอ้อเอาเหล้ามาเติมใส่น้ำเต้าให้เขา
เพราะเหล้าของเขานั้นหมดเกลี้ยงแล้ว
เสี่ยวเอ้อจึงรีบนำเหล้าชั้นดีมาเติมให้แก่เสี่ยวฉีหลิง
หลังจากนั้นเสี่ยวฉีหลิงก็หันมาพูดกับตู่ซื่อว่า
“ข้ายินดีที่จะไปกับท่านทุกที่
ตราบเท่าที่ท่านยังเลี้ยงเหล้าข้า”
ตู่ซื่อพยักหน้าพร้อมกับเดินออกจากโรงเตี๊ยมจวั้งเอวี่ยน
และมุ่งหน้าไปทางนอกเมืองทันที โดยมีเสี่ยวฉีหลิงเดินตามมาอย่างร่าเริง
ย้อนกลับไปทางด้านฮวาหั่วนั้น
นางสามารถเดินผ่านประตูเมืองอสูรได้ไม่ยากนัก
นางพบว่ามีผู้คนมากมายที่เป็นมนุษย์ที่มีเชื้อสายของอสูร เดินอยู่เป็นจำนวนมาก
แน่นอนว่ามีผู้คนที่มีเชื้อสายเอลฟ์เช่นเดียวกับนางอยู่เช่นกัน
นางจึงเลือกที่จะไปสอบถามกับผู้ที่มีเชื้อสายเอลฟ์ คนหนึ่ง
ดูเหมือนว่านางจะมีสายเลือดเอลฟ์มากกว่าฮวาหั่วเสียอีก นอกจากใบหูแล้ว
นางยังมีปีกอยู่ที่หลังของนางอีกด้วย นางใบหน้าดูงดงาม สวมใส่เสื้อผ้าสีขาว ที่ดูไม่สะอาดเท่าใดนัก
“ข้านั้นมีนามว่าฮวาหั่ว ข้าขอสอบถามอะไรกับเจ้าได้หรือไม่?”
ฮวาหั่วเข้าไปถามหญิงสาวผู้นั้น
“ที่แห่งนี้ไม่เหมาะสมกับท่าน
ข้าแนะนำให้ท่านออกจากเมืองนี้ไป
และไปยังอาณาจักรอื่นท่านอาจจะได้อาศัยอยู่กับมนุษย์” หญิงสาวผู้นั้นตอบกลับมาด้วยเสียงอันแผ่วเบา
หลังจากที่จับจ้องเสื้อผ้าชั้นดีที่ฮวาหั่วสวมใส่อยู่
“เหตุใดเจ้าจึงพูดเช่นนั้น?” ฮวาหั่วถามด้วยความสงสัย
“ข้านั้นมีนามว่า เสี่ยวหนีเสิ่น
มีเพียงแค่ชื่อเท่านั้นที่เป็นเทพธิดา ลูกผสมอย่างพวกเรา มนุษย์ก็รังเกียจ อสูรก็มองเห็นเป็นเพียงพวกชั้นต่ำ
ข้านั้นต้องทำงานรับจ้างได้ค่าแรงเพียงแค่วันละไม่กี่ศิลาจิตวิญญาณ”
เสี่ยวหนีเสิ่น พูดด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ [小女神:เทพธิดาน้อย]
“ในเมืองนี้ลูกผสมเช่นเจ้าอยู่จำนวนเท่าใดกัน?”
ฮวาหั่วถามออกไปด้วยความเห็นใจ
“พวกเรารวมตัวกันอยู่ในมุมเล็ก ๆ ของเมือง เป็นพื้นที่
ที่พวกเราช่วยกันหาเงินซื้อเอาไว้ ส่วนใหญ่จะเป็นลูกผสมเอลฟ์มีอยู่นับร้อยคน”
เสี่ยวหนีเสิ่นครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนที่จะตอบกลับไป
“พาข้าไปดูที่นั่นได้หรือไม่?”
ฮวาหั่วถามออกไปพร้อมกับรอยยิ้มที่เป็นมิตร
“หากท่านไม่รังเกียจข้าก็ยินดี แต่ข้าต้องไปหาซื้ออาหารก่อน”
เสี่ยวหนีเสิ่นตอบพร้อมกับเดินไปยังร้านค้าผัก และมองหาผักราคาถูกเพื่อไปทำอาหาร
“เพื่อตอบแทนที่เจ้าบอกข้าหลายสิ่ง
ข้าจะจ่ายค่าอาหารให้แก่เจ้า เถ้าแก่ข้าขอผักทั้งหมดในร้านของท่าน” ฮวาหั่วพูดพร้อมกับจ่ายเงินด้วยศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณจำนวนสิบก้อน
ทันทีที่เห็นศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณ
เถ้าแก่ร้านก็รีบจัดเตรียมผักอย่างดีให้แก่ฮวาหั่ว
ฮวาหั่วจึงนำผักเหล่านั้นไปเก็บไว้ในแหวนห้วงมิติสำหรับเก็บของ
และมอบมันให้กับเสี่ยวหนีเสิ่น
นางรับมาไว้ด้วยความยินดี ด้วยผักทั้งหมด
พวกนางสามารถอยู่ได้กันหลายสัปดาห์เลยทีเดียว
“หากเจ้าต้องการสิ่งอื่นเพิ่ม ข้าก็สามารถซื้อให้เจ้าได้” ฮวาหั่วพูดพร้อมกับยิ้ม
“น้ำใจพี่สาวมากมายยิ่งนัก
ข้าเกรงว่าคงจะรับไว้มากกว่านี้ไม่ได้ เพราะข้าคงไม่อาจชดใช้คืนได้เป็นแน่” เสี่ยวหนีเสิ่นส่ายหน้าปฏิเสธ
เพราะสิ่งที่ฮวาหั่วให้มาก็มากเกินพอแล้ว
หลังจากนั้นเสี่ยวหนีเสิ่นก็พาฮวาหั่วไปยัง พื้นที่เล็ก ๆ
มุมหนึ่งของเมือง พบว่ามีพวกลูกผสมรวมตัวกันอยู่ ซึ่งดูเหมือนว่าจะมีแต่พวกเด็ก ๆ
เท่านั้น
“ไม่มีผู้ใหญ่อาศัยอยู่เลยเช่นนั้นหรือ?”
ฮวาหั่วถามด้วยความสงสัย
“เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่
หากเป็นชายก็จะถูกบังคับให้เข้าร่วมกับกองกำลัง
หากเป็นหญิงก็จะถูกบังคับให้แต่งงาน เมื่อมีลูกที่ยังมีสายเลือดมนุษย์เจือปนอยู่
ก็จะถูกนำมาทิ้งไว้ที่นี่” เสี่ยวหนีเสิ่นกัดฟันพูดด้วยความเจ็บปวด
“ถ้าเช่นนั้นพวกเจ้าคงไม่ได้ฝึกวรยุทธอย่างจริงจัง
แต่ดูเหมือนว่าเจ้านั้นจะมีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับชะตาสวรรค์ขั้นที่แปด”
ฮวาหั่วสัมผัสถึงพลังที่แผ่ออกมาจากร่างของเสี่ยวหนีเสิ่นได้
“พวกข้าก็แค่เรียนรู้มาเพียงผิวเผินเท่านั้น
เมื่อเกิดมาพวกเราก็มีพลังอยู่ในระดับชะตาสวรรค์แล้ว แต่พวกข้านั้นไม่มีศิลาจิตวิญญาณมากพอที่จะทำการบ่มเพาะพลังให้ได้สูงมากนัก”
เมื่อได้ยินฮวาหั่วจึงไม่รู้สึกแปลกใจที่พวกเขาต้องทนอยู่ในเมืองนี้
เพราะด้านนอกของเมือง
พวกนางก็สัมผัสได้ว่าสัตว์อสูรในป่าโดยรอบนั้นมีความแข็งแกร่งไม่น้อยกว่าระดับแก่นแท้แห่งสวรรค์
“บ้าจริงเชียว นี่ผ่านไปหลายชั่วยามแล้ว เทพธิดาน้อย
เจ้าพอจะมีเวลาไปกับข้าบ้างหรือไม่ ข้านัดกับคนผู้หนึ่งเอาไว้ที่นอกเมือง”
ฮวาหั่วพูดคุยกับเสี่ยวหนีเสิ่นจนลืมเวลา ตู่ซื่อคงรอนางนานแล้วเป็นแน่
“ข้าจะให้พวกพี่น้องช่วยกันทำอาหาร
ดังนั้นข้าสามารถไปกับพี่สาวได้ ถือเป็นการตอบแทนน้ำใจที่พี่สาวมีให้กับข้า”
เสี่ยวหนีเสิ่นพูดกับฮวาหั่วด้วยรอยยิ้ม นอกจากเหล่าพี่น้องที่อยู่ที่นี่
ไม่เคยมีผู้ใดที่ทำดีกับนางเช่นนี้มาก่อน
“พวกเจ้าทานอาหารได้เลยไม่ต้องรอข้า
ข้าจะไปทำธุระกับพี่สาวผู้นี้ก่อน” เสี่ยวหนีเสิ่นหันไปบอกกับพวกพี่น้องของนาง
ทางด้านตู่ซื่อและเสี่ยวฉีหลิงที่คอยอยู่ที่นอกเมือง
“นี่เกินกว่าเวลาที่นัดเอาไว้ถึงหนึ่งชั่วยาม
หรือว่านางจะมีอันตรายกันแน่?” ตู่ซื่อรู้สึกเป็นกังวล
แต่ก็ยังคงไม่ใช้เวลาไปอย่างสูญเปล่า เขานั่งบ่มเพาะพลังโดยมีเสี่ยวฉีหลิง
นั่งดื่มเหล้าอยู่ใกล้ ๆ
“นางมารน้อย เจ้าจะมาขโมยสิ่งใดไปจากข้าอีก?”
เสี่ยวฉีหลิงพูดขึ้นมาหลังจากที่มีร่างสองร่างปรากฏขึ้นมา.................จบตอน
แต่งโดย นายมะพร้าว
Scroll to Top