test

เมนู นิยาย บน

เมนูมังงะ

11 ม.ค. 2560

Tales of Demons & Gods Next Legend บทที่ 444.78 บริวารแห่งเทพทั้งสิบ



          หลังจากที่เซียงตังได้สติ ก็พบว่าการต่อสู้ได้จบลงไปแล้ว ชาวเมืองต่างแยกย้ายกลับเข้าไปในเมือง

 

          “จากนี้ไปคงต้องฝากอาณาจักรแห่งนี้ไว้กับเจ้าแล้ว” จื่ออวิ๋นมอบเกราะสลายวายุเหมันต์และผ้าคลุมอัสนีคืนกลับให้แก่เซียงตังพร้อมกับยิ้ม

 

          “ข้าเองก็เป็นเพียงกองกำลังของส่วนกลางเท่านั้น เรื่องการดูแลอาณาจักรนั้นข้าไม่มั่นใจเท่าใดนัก” เซียงตังรับเกราะสลายวายุเหมันต์และผ้าคลุมอัสนีคืนกลับจากเอียจื่ออวิ๋น พร้อมกับถอนหายใจ

 

          “กองกำลังของส่วนกลางนั้นยังคงมีความจำเป็นยิ่งนัก จะต้องเป็นกองกำลังหลักในการปกป้องอาณาจักรแห่งนี้ และทะเลสาบแห่งเทพนั้น ให้ส่วนกลางเป็นผู้ดูแล ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องจัดอันดับความร่ำรวยอีกต่อไป กำไรจากการค้าทั้งหมดที่พวกข้าได้รับ จะมอบให้แก่ส่วนกลาง เพื่อที่จะแจกจ่ายแก่ชาวเมืองอย่างเป็นธรรม นอกเมืองในเวลานี้ก็สามารถปลูกพืชเลี้ยงสัตว์ได้แล้ว ข้าเชื่อเชื่ออีกไม่นานอาณาจักรแห่งนี้จะต้องรุ่งเรืองเป็นแน่” หนิงเอ๋อให้คำแนะนำแก่เซียงตัง

 

หลังจากนั้นจื่ออวิ๋นและหนิงเอ๋อก็เดินทางไปหาเถ้าแก่โหย่วและสหาย เพื่อขอรับผลกำไรทั้งหมด ซึ่งพวกนางก็ได้มอบเงินส่วนหนึ่งให้เป็นค่าตอบแทนที่พวกเขาช่วยเหลือ หนิงเอ๋อได้กำชับกับทุกคนว่า

 

“จากนี้ไปการเดินทางไปมาระหว่างอาณาจักรก็คงไม่ลำบากเช่นแต่ก่อน ดังนั้นขอให้พวกท่านทำการซื้อขายด้วยราคาที่ยุติธรรม หวังว่าคำร้องขอของข้าคงจะไม่มากเกินไปนะ”

 

“แม่นางโปรดวางใจ แม้ว่าเราจะเป็นพ่อค้า แต่พวกเราก็ค้าขายด้วยความเป็นธรรม เดิมทีที่ราคาสูงก็เกิดจากค่าใช้จ่ายในการขนส่ง จากนี้ไปสามารถขนส่งสินค้าได้อย่างสะดวก พวกข้าย่อมค้าขายในราคาที่เหมาะสมอย่างแน่นอน” เถ้าแก่โหย่วและสหายตอบกลับมาด้วยความยินดี

 

หลายวันต่อมา เมื่อเนี่ยลี่ได้เดินทางมายังอาณาจักรเทพอัสนีเหมันต์ ก็พบว่ากลายเป็นอาณาจักรที่อบอุ่น มีแสงตะวันสาดส่องแตกต่างจากครั้งก่อนหน้าที่เขาเดินทางมายิ่งนัก ชาวเมืองเริ่มออกมาทำการเพราะปลูกที่นอกเมือง และมีการเลี้ยงสัตว์ หากจะเรียกว่าเป็นแดนสวรรค์ของมนุษย์ก็คงไม่ผิดนัก

 

เนี่ยลี่ได้ไปพบกับเซียงตัง พร้อมกับเอียจื่ออวิ๋นและเซี่ยวหนิงเอ๋อ เพื่อพูดคุยกัน

 

“เซียงตัง ท่านคงทราบถึงสงครามที่ใกล้จะมาถึง” เนี่ยลี่เริ่มต้มบทสนทนาด้วยเรื่องสำคัญ

 

“จากความทรงจำที่สถิตอยู่ในสายเลือดของข้านั้น บรรพชนของข้าเคยต่อสู้กับจักรพรรดิปราชญ์มาก่อน ดังนั้นทันทีที่ได้ฟังเรื่องราว ข้าก็รู้ได้ทันทีว่าต้องไม่เรื่องโกหก” เซียงตังพยักหน้าตอบกลับไป

 

“หากเป็นเช่นนั้น ข้าจะมอบยาทิพย์ให้แก่ท่านเพื่อ รวบรวมยอดฝีมือที่จะต่อสู้ในสงครามที่ใกล้มาถึงนี้” เนี่ยลี่มอบแหวนห้วงมิติสำหรับเก็บของที่มียาทิพย์อยู่หลายร้อยขวดให้แก่เซียงตัง

 

“ข้าจะเข่าร่วมการต่อสู้เพื่อแก้แค้นให้แก่บรรพชน ท่านไม่ต้องกังวลในเรื่องนี้ ข้ายังมีสหายที่เชื่อใจได้ ข้าจะถ่ายทอดเรื่องราวนี้ให้พวกเขาฟัง ข้าเชื่อว่าพวกเขาจะต้องเป็นกำลังให้ท่านได้” เซียงตังรับแหวนมาและให้คำมั่น

 

“จื่ออวิ๋น หนิงเอ๋อ ข้าขอคุยกับเทพธิดาทั้งสองได้หรือไม่?” เนี่ยลี่หันไปมองทั้งสองคนและถามออกไป

 

“ตกลง!” จื่ออวิ๋นและหนิงเอ่อ พยักหน้า พร้อมกับหลับตาลงครู่หนึ่ง เพื่อให้เทพธิดาทั้งสองพูดผ่านร่างของพวกนาง

 

“เทพธิดาทั้งสอง ไม่ทราบว่าพวกท่านฟื้นพลังได้มากเพียงใดแล้ว?” เนี่ยลี่เอ่ยถามออกไป

 

“หลายวันที่ผ่านมา ข้าและฟงเหลย สามารถฟื้นพลังได้เพียงแค่สองส่วนเท่านั้น ดูเหมือนว่าอาจจะต้องใช้เวลานับเดือน พวกข้าจึงจะสามารถฟื้นฟูพลังได้อย่างสมบูรณ์” เทพธิดาฟงเสวี่ยตอบกลับผ่านร่างของจื่ออวิ๋น

 

“ข้าสามารถมาฟื้นพลังให้พวกท่านได้ แต่ก็มีเรื่องที่ต้องขอร้องพวกท่านเช่นกัน” เนี่ยลี่จ้องไปที่ใบหน้าของจื่ออวิ๋นและถามออกไป

 

“เจ้าคงหมายถึงเรื่องสงครามกับจักรพรรดิปราชญ์” เทพธิดาฟงเหลย พูดผ่านร่างของหนิงเอ๋อพร้อมกับถอนหายใจ

 

“ข้าต้องการให้พวกท่านสถิตอยู่ในร่างของพวกนาง จนกว่าสงครามนี้จะจบลง” เนี่ยลี่พูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง

 

“พวกข้านั้นเคยได้ยินเรื่องราวของจักรพรรดิปราชญ์มาบ้าง ข้านั้นไม่รู้ว่าเขาแข็งแกร่งเพียงใด แต่บริวารแห่งเทพผู้เป็นสาวกของเขานั้น เป็นผู้ที่จับพวกข้าไปขังไว้ แล้วพวกข้าจะเป็นกำลังให้แก่เจ้าได้เช่นใดกัน” เทพธิดาฟงเสวี่ยส่ายศีรษะ แม้แต่บริวารแห่งเทพ พวกนางก็ไม่อาจรับมือได้แล้ว การเข้าร่วมสงครามในครั้งนี้สำหรับพวกนางแล้วก็ไม่ต่างจากการแสวงหาความตาย

 

“พวกท่านนั้นสถิตอยู่ในห้วงวิญญาณของพวกนาง พวกท่านคงสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของพวกนางแล้ว แค่เพียงไม่กี่เดือนหากพวกท่านยังคงสถิตอยู่ในห้วงขอบเขตวิญญาณของพวกนาง เชื่อข้าเถิอดว่าพวกท่านและนาง จะต้องเพิ่มระดับพลังได้สูงขึ้นอีกหลายขั้น” เนี่ยลี่ตอบกลับไปเมื่อได้ยินคำตอบจากเทพธิดาฟงเสวี่ย

 

“หากเจ้ามั่นใจเช่นนั้น ก็จงฟื้นพลังให้แก่พวกข้า หลังจากนี้หนึ่งเดือนหากพวกนางทั้งสองไม่อาจบรรลุระดับขอบเขตแห่งพระเจ้าขั้นที่สามได้ พวกข้าจะขอปฏิเสธคำร้องขอของเจ้า” เทพธิดาฟงเหลยตอบกลับไป บริวารแห่งเทพที่กักขังพวกนางไว้นั้นมีพลังในระดับขอบเขตแห่งพระเจ้าขั้นที่ห้า หากในเวลาหนึ่งเดือนพวกนางยังไม่อาจที่จะบรรลุขั้นที่สามได้ การเข้าร่วมต่อสู้ในสงครามนี้ก็คงจะรู้ผลตั้งแต่ก่อนที่สงครามจะเริ่มขึ้นแล้ว

 

“พวกข้าจะบรรลุระดับขอบเขตแห่งพระเจ้าขั้นที่สามในหนึ่งเดือนเอง” จื่ออวิ๋นและหนิงเอ๋อ พูดแทรกขึ้นมา หลังจากที่ปล่อยให้เทพธิดาทั้งสองพูดผ่านร่างกายของตนเป็นช่วงเวลาหนึ่งแล้ว

 

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เนี่ยลี่จึงได้ชี้แนะวิธีการช่วยฟื้นฟูพลังให้แก่เทพธิดาทั้งสอง โดยใช้ดวงจิตอัสนี และดวงจิตวายุเหมันต์ ที่พวกนางก่อรูปไว้ในห้วงขอบเขตวิญญาณในการฟื้นฟูพลัง ทำให้พลังของเทพธิดาทั้งสองฟื้นฟูจนสมบูรณ์อย่างรวดเร็ว

 

“เดิมทีข้าคิดที่จะให้พวกเจ้าปกครองอาณาจักรแห่งนี้ แต่ดูเหมือนว่าคงไม่มีความจำเป็นแล้ว หลังจากนี้ข้าจะให้พวกเจ้าบ่มเพาะพลังอยู่ในภาพจิตรกรรมหมื่นขุนเขาและสายน้ำ จนกว่าจะถึงเวลาที่เดินทางไปยังอาณาจักรบรรพชนแห่งเทพ” เนี่ยลี่ยิ้มและพูดกับจื่ออวิ๋นและหนิงเอ๋อ

 

“เมื่อสงครามเริ่มต้นขึ้น ข้าเชื่อว่าคงรับรู้ได้ทั่วทั้งฟ้าดิน ในตอนนั้นข้าจะไปร่วมต่อสู้ด้วยอย่างแน่นอน” เซียงตังพูดขึ้นมา ก่อนที่จะแยกตัวออกไป

 

“ข้าจะรอเมื่อวันนั้นมาถึง” เนี่ยลี่พูดขึ้นพร้อมกับบอกลา

 

หลังจากนั้นเนี่ยลี่ก็พาเอียจื่ออวิ๋นและเซี่ยวหนิงเอ่อเข้าไปในภาพจิตรกรรมหมื่นขุนเขาและสายน้ำ

 

ในภาพจิตรกรรมหมื่นขุนเขาและสายน้ำ

 

          จื่ออวิ๋นและหนิงเอ๋อ พบว่าเทพธิดายู่หยานและเซี่ยวหยู่นั้นทำการบ่มเพาะพลังอยู่ ระดับของของเซี่ยวหยู่นั้นบัดนี้อยู่ในระดับขอบเขตแหงพระเจ้าขั้นที่ห้าแล้ว นับว่าเหนือกว่าคนอื่นเป็นอย่างมาก เนื่องจากนางนั้นบ่มเพาะพลังอยู่ในที่ ที่มีพลังสวรรค์อยู่เต็มเปี่ยมนั่นเอง

 

          แต่ทางด้านเทพธิดายู่หยานนั้นกลับมีความก้าวหน้าน้อยมาก นางนั้นบรรลุระดับเทพสงครามขั้นสูงสุดแล้ว แต่กลับไม่อาจทะลวงผ่านระดับขอบเขตแห่งพระเจ้าได้

 

          “ราวกับว่ามีบางสิ่งที่ขาดหายไป ทำให้ข้าไม่อาจบรรลุระดับขอบเขตแห่งพระเจ้าได้” เทพธิดายู่หยานคิดอยู่ในใจ แต่ก็ยังคงทำการดูดซับพลังสวรรค์ต่อไป ร่างกายของนางนั้นดูดซับพลังสวรรค์ไปเป็นจำนวนมาก แต่ห้วงขอบเขตวิญญาณของนางนั้นดูเหมือนว่าจะไม่ถูกเติมเต็มเสียที

 

หลังจากนั้นเนี่ยลี่ก็กลับมายังอาณาจักรกำแพงสวรรค์ เพื่อให้ลู่เพียวและเซี่ยวซุ่ย กู้เบ่ย หลี่ชิงอวิ๋น และหลงยู่อิน เข้าไปบ่มเพาะพลังในภาพจิตรกรรมหมื่นขุนเขาและสายน้ำ โดยเนี่ยลี่ได้ให้ทุกคน ฝากฝังงานของตนเองเอาไว้กับคนที่ไว้ใจได้

 

ผ่านไปอีกหลายวันเนี่ยลี่ ได้ใช้เวลาในการเดินทางไปยังนิกายต่าง ๆ เพื่อพาสหายของเขาเข้าไปอยู่ในภาพจิตรกรรมหมื่นขุนเขาและสายน้ำ ในเวลานี้ทุกคนได้มาอยู่ด้านในภาพจิตรกรรมหมื่นขุนเขาและสายน้ำจนครบแล้ว รวมไปถึงเหยียนหยางและหมิงเยี่ยวู่ซวงด้วย

 

เนี่ยลี่ได้พา เว่ยหนาน จางหมิง และซูเซียงจิ้งไปยัง ร้านตีเหล็กเสิ่นหวู่ซี่ของฮัวเตี่ย ผู้เป็นหลานสาวของเทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยง เพื่อรับอาวุธคู่กาย

 

ซึ่งทั้งสามรู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก เนี่ยลี่ขอให้พวกเขา ฝึกใช้งานให้เชี่ยวชาญก่อนที่จะเดินทางไปยังอาณาจักรเทพวายุ

 

และหลายวันต่อมาเนี่ยลี่ก็ได้เรียกให้ตู่ซื่อ ฮวาหั่ว ต้วนเจี้ยน เว่ยหนาน จางหมิง และซูเซียงจิ้ง ออกมาข้างนอกภาพจิตรกรรมหมื่นขุนเขาและสายน้ำ เพื่อที่จะส่งพวกเขาไปทำภารกิจยังอาณาจักรทั้งสาม

 

“ตู่ซื่อ ฮวาหั่ว ข้าจะส่งเจ้าทั้งสองไปยังอาณาจักรหุบเขาสวรรค์ ในอีกครึ่งเดือน ข้าจะไปรับเจ้ากลับมา” เนี่ยลี่พูดพร้อมกับเปิดเส้นทางสวรรค์ไปยังอาณาจักรหุบเขาสวรรค์ทันที ด้วยความสามารถของทั้งสองคน ครึ่งเดือนอาจจะเป็นเวลาที่มากเกินไปเสียด้วยซ้ำ

 

“ข้ากับฮวาหั่วจะไม่ทำให้เจ้าต้องผิดหวัง” ตู่ซื่อตบที่ไหล่ของเนี่ยลี่ก่อนที่จะเดินผ่านเส้นทางสวรรค์ไป

 

เมื่อเห็นว่าตู่ซื่อและฮซาหั่วเดินทางผ่านเส้นทางสวรรค์ไปแล้ว เนี่ยลี่จึงหันมาคุยกับเว่ยหนาน จางหมิง และซูเซียงจิ้ง ทันที

 

“เว่ยหนาน จางหมิง และซูเซียงจิ้ง พวกเจ้าทั้งสามจะต้องเดินทางไปยังอาณาจักรเทพวายุ คงต้องรบกวนพวกเจ้าแล้ว”

 

“ยามที่พวกเราสามพี่น้องอยู่ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นนรกขุมไหน พวกข้าก็สามารถฝ่าไปได้” จางหมิงพูดขึ้นมาด้วยความมั่นใจ

 

“ด้วยระดับพลังของพวกข้าในตอนนี้ เชื่อว่าจะไม่ทำให้เจ้าผิดหวังเป็นแน่” จางหมิงพูดพร้อมกับหัวเราะออกมา

 

“อาวุธที่พวกข้าทั้งสามได้รับมา นั้นวิเศษยิ่งนัก พู่กันสวรรค์นี้ข้าสามารถใช้ได้อย่างเชี่ยวชาญแล้ว” ซูเซียงจิ้งพูดพร้อมกับถือพู่กันสวรรค์ไว้ในมือของเขา

 

เนี่ยลี่รวบรวมพลังเพื่อเปิดเส้นทางสวรรค์อีกครั้ง เพื่อส่งพวกเขาทั้งสามไปยังอาณาจักรเทพวายุ

 

“อีกเจ็ดวันข้างหน้าข้าจะเดินทางไปหาพวกเจ้า ขอให้มาพบข้าตรงจุดที่ข้าส่งพวกเจ้าไป” เนี่ยลี่พูดก่อนที่ทั้งสามคนจะเดินผ่านประตูสวรรค์ไป

 

ในตอนนี้เหลือเพียงต้วนเจี้ยนเท่านั้น ซึ่งเนี่ยลี่รู้สึกเป็นกังวลที่สุด เนื่องจากอาณาจักรซากทมิฬ เป็นอาณาจักรที่น่ากลัวที่สุดในเก้าอาณาจักร เนื่องจากอาณาจักรแห่งนี้ถูกอสูรครอบครองอยู่ถึงเก้าส่วน และมนุษย์ที่อาศัยอยู่ที่นั่นก็มิได้เป็นมิตรกับผู้ใด

 

“ต้วนเจี้ยน อาณาจักรซากทมิฬนั้นเป็นดินแดนที่อยู่ทางใต้สุด มันถูกปกคลุมไปด้วยหมอกสีดำจนแทบมองเห็นสิ่งใดได้ เจ้าจงระวังตัวให้ดี” เนี่ยลี่จ้องมองที่หน้าของต้วนเจี้ยวก่อนที่จะพูดออกไปด้วยความกังวล

 

“นายท่านไม่ต้องกังวล แม้จะต้องสละชีวิต ข้าก็จะทำงานนี้ให้สำเร็จ” ต้วนเตี้ยนคุกเค่าและให้คำมั่นต่อเนี่ยลี่

 

“ข้าไม่ต้องการให้เจ้าสละชีวิต จงปกปักชีวิตของเจ้าเอาไว้ไม่ว่างานจะสำเร็จหรือไม่ สำหรับข้านั้นเจ้าเป็นสหายผู้หนึ่ง จากนี้ไปไม่จำเป็นต้องคุกเข่าให้ข้า” เนี่ยลี่พูดพร้อมกับจับที่ไหล่ของต้วนเจี้ยน

 

“ข้าเข้าใจแล้ว” ต้วนเจี้ยนลุกยืนขึ้น แม้ว่าจะไม่ได้คุกเข่า แต่หัวใจของเขานั้นยังคงนับถือเนี่ยลี่ไม่น้อยลงไปเลย

 

“อีกหนึ่งเดือนข้างหน้า ข้าจะเดินทางไปหาเจ้า ดูแลตัวเองด้วย” เนี่ยลี่พูดพร้อมกับเปิดเส้นทางสวรรค์ เพื่อส่งต้วนเจี้ยนไปยังอาณาจักรซากทมิฬ

 

“ข้าขอลา” ต้วนเจี้ยนพูดเสร็จก็เดินผ่านเส้นทางสวรรค์ไปโดยไร้ซึ่งความลังเล

 

“พวกเจ้าดูแลตัวเองด้วยนะ” เนี่ยลี่พูดก่อนที่จะปิดเส้นทางสวรรค์ไป ในตอนนี้เขาเหลือพลังไม่ถึงสามส่วนทำให้รู้สึกอ่อนแรงเป็นอย่างมาก เขาจึงกลับที่พักเพื่อทำการบ่มเพาะพลังและพักผ่อนไปพร้อมกัน

 

ดินแดนแห่งสวรรค์

 

          เหล่าบริวารแห่งเทพทั้งสิบได้มารวมตัวกันในห้องโถงใหญ่ หลังจากที่พวกเขาไม่อาจที่จะติดต่อกับสาวกที่อยู่บนโลกได้ พวกเขานั้นอยู่ในรูปลักษณ์ของมนุษย์สวมเสื้อคลุมสีดำปกปิดใบหน้าเอาไว้

 

          “บนโลกจะต้องเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นเป็นแน่” บริวารแห่งเทพที่ปกครองนิกายอสูรฟ้าในอาณาจักรกำแพงสวรรค์ พูดขึ้นมา หลังจากที่ไม่อาจติดต่อกับเบื้องล่างได้

 

          “ไม่เพียงแค่อาณาจักรซากมังกร อาณาจักรกำแพงสวรรค์ แม้แต่ อาณาจักรวิญญาณสาบสูญ อาณาจักรธาราสวรรค์  ก็ไม่อาจติดต่อกับผู้ใดได้” บริวารแห่งเทพอีกคนพูดขึ้นมาด้วยความไม่พอใจ

 

          “อาณาจักรเทพอัสนีเหมันต์ที่ข้าได้ส่งเจตจำนงส่วนหนึ่งลงไป ดูเหมือนว่าเจตจำนงของข้านั้นจะถูกสังหารไปแล้ว นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” บริวารแห่งเทพคนที่สามพูดขึ้นมา การที่เจตจำนงของเขาสลายไป ทำให้ระดับพลังของเขาลดไปถึงสองขั้น

 

          “บนโลกไม่น่าจะมีผู้ใดที่มีพลังเกินกว่าระดับเทพสงคราม ข้าคิดว่าต้องรายงานเรื่องนี้แก่ท่านจักรพรรดิปราชญ์”

 

“ท่านจักรพรรดิปราชญ์ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าพบ ดังนั้นจึงควรสั่งการลงไปยังอาณาจักรที่เหลือให้ตรวจสอบว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้น หากมีพวกมนุษย์ที่คิดลองดีกับพวกเรา ก็ให้ส่งกองกำลังทั้งหมดไปเพื่อสังหารพวกมันซะ!” บริวารแห่งเทพคนที่สี่พูดด้วยน้ำเสียงที่เดือดดาลยิ่งนัก

 

“ถ้าเช่นนั้นข้าจะส่งข่าวไปยังสี่อาณาจักรที่ให้เตรียมพร้อมเอาไว้ หากมีมนุษย์ที่ก้าวผ่านมายังอาณาเขตของอสูรก็ให้สังหารโดยทันที” บริวารแห่งเทพคนที่ห้าพูดขึ้นมา จากนั้นทั้งสิบก็แยกย้ายกันออกไปจากห้องโถงใหญ่......จบตอน

 

แต่งโดย นายมะพร้าว


 

 


เมนู นิยาย ล่าง

เมนู มังงะ ล่าง