Tales of Demons & Gods Next Legend บทที่ 444.77 เทพธิดาทั้งสอง
ทางด้านเนี่ยลี่นั้นได้เดินทางไปหาตู่ซื่อและฮวาหั่ว
พาเข้าไปในภาพจิตรกรรมหมื่นขุนเขาและสายน้ำ เพื่อรับอาวุธจาก
เทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยง
“คารวะท่านผู้อาวุโสข้าคือตู่ซื่อ”
ตู่ซื่อเข้าไปคารวะ เทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงด้วยความสุภาพ
“ส่วนข้าคือฮวาหั่ว”
ฮวาหั่วก็แสดงท่าทีที่ไม่ต่างกันเท่าใดนัก
“อาวุธของพวกเจ้านั้น
แตกต่างจากผู้อื่น ข้าจึงเลือกที่จะทำเป็นสิ่งสุดท้าย จงรับไปสิ
นี่คือถุงมือกิเลนคู่ และเสื้อคลุมจิตวิญญาณ” เทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงส่งให้แก่ฮวาหั่ว
ตรงส่วนบนของข้อมือทั้งสองข้างมีช่องยิงลูกดอกเพื่อใช้โจมตีระยะไกล
แต่ตัวลูกดอกนั้นต้องใช้พลังสวรรค์ในการสร้างขึ้นมา ซึ่งถูกใจฮวาหั่วยิ่งนัก
เนื่องจากสามารถยิงออกไปได้เร็วกว่าธนูที่นางเคยใช้
ส่วนเสื้อคลุมนั้นจะแปรเปลี่ยนไปตามลักษณะพลังวิญญาณของผู้สวมใส่
“ของเจ้านั้นคือมีดวงพระจันทร์
และเกราะเทพจันทรา” เทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงมอบให้แก่ตู่ซื่อ
สำหรับมีดวงพระจันทร์นั้นสามารถแยกออกเป็นสองเล่มได้
และเมื่อนำปลายสองด้านมาต่อกันก็จะสามารถใช้ปาออกไปเป็นอาวุธโจมตีระยะไกลได้
ส่วนเกราะเทพจันทรานั้น ยามที่ผสานเข้ากับกิเลนฟ้านั้น
พลังจากเทพจันทราจะเกื้อหนุนพลังให้แก่กิเลนฟ้าได้
“ขอบคุณท่านผู้อาวุโสยิ่งนัก”
ตู่ซื่อและฮวาหั่วก้มศีรษะกล่าวคำขอบคุณด้วยความนอบน้อม
“จากนี้ไป
ข้าจะสร้างอาวุธและชุดเกราะของข้าเอง เพื่อใช้ในสงครามที่ใกล้จะมาถึง
ยามที่เจ้าเดินทางไปยังอาณาจักรบรรพชนแห่งเทพ จงพาผู้กลับชาติมาเกิดทั้งหกไปด้วย
นั่นย่อมรวมถึงตัวข้าด้วย เมื่อไปถึงที่นั่น
จะเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามครั้งสุดท้าย” เทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยงพูดกับเนี่ยลี่ด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“ข้าเข้าใจแล้ว”
เนี่ยลี่ประสานมือตอบรับ แม้ว่าจะยังหาคนที่หกไม่พบ และไม่มีวิธีที่จะติดต่อกับจอมมาร
แต่เขาก็ต้องทำเท่าที่ทำได้
“อีกไม่กี่วันหลังจากนี้
ข้าจะพาพวกเจ้าไปยังอาณาจักรหุบเขาสวรรค์
ข้าคงต้องขอให้เจ้าพักอยู่ที่นิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ไปก่อน”
เนี่ยลี่หันไปพูดกับตู่ซื่อและฮวาหั่ว
“ข้าเข้าใจแล้ว
เมื่อสงครามใกล้มาถึง พวกข้าก็ต้องรีบทำการเพิ่มระดับพลังให้สูงขึ้นให้เร็วที่สุด”
ตู่ซื้อและฮวาหั่วพยักหน้าตอบรับ
“ในตอนนี้ข้านั้นก็บรรลุระดับเทพสงครามขั้นที่เก้าแล้ว
อีกเพียงก้าวเดียวที่จะบรรลุถึงระดับขอบเขตแห่งพระเจ้า เมื่อตอนนั้นมาถึง
พวกเราจะเดินทางไปยังอาณาจักรบรรพชนแห่งเทพด้วยกัน”
เนี่ยลี่พูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
หากที่แห่งนั้นจะเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามดั่งที่เทพศาสตราวุธเถี่ยเจี้ยง
เขาก็ต้องพาสหายและกองกำลังทั้งหมดของเขาไปด้วย
หลังจากนั้นพวกเขาก็ออกมาจากภาพจิตรกรรมหมื่นขุนเขาและสายน้ำ
และกลับไปบ่มเพาะพลังกันที่ห้องพักที่ตำหนักของประมุข
เอียจื่ออวิ๋นและเซี่ยวหนิงเอ๋อนั้นมุ่งหน้าไปถึงถ้ำทางทิศเหนือ
และพบว่านี่คือถ้ำที่มีกระจกข้ามภพติดอยู่ จึงเป็นถ้ำที่ใช้ติดต่อกับบริวารแห่งเทพ
“ข้าจะเอากระจกข้ามภพออกมา
ส่วนเจ้า สำรวจดูว่าสิ่งที่เซียงตังบอกไว้นั้นอยู่ที่ใด”
เอียจื่ออวิ๋นหันไปพูดกับหนิงเอ๋อ ขณะที่พยายามแกะเอากระจกข้ามภพออกมา
“ดูเหมือนว่าผนังถ้ำนี้จะมีอะไรบางอย่าง”
หนิงเอ๋อนั้นออกไปที่โลกภายนอกอยู่เสมอจึงคุ้นเคยกับค่ายกลประเภทต่าง ๆ
นางเอื้อมมือไปตรงด้านหนึ่งของผนังและพบว่ามีกลไกซ่อนอยู่ เมื่อขยับกลไกแล้วผนังด้านในก็เปิดขึ้น
“จื่ออวิ๋น เมื่อได้กระจกข้ามภพแล้วตามหลังข้ามา”
หนิงเอ๋อหันไปบอกกับจื่ออวิ๋นทันที
หนิงเอ๋อรีบมุ่งหน้าเข้าไปด้านใน
จื่ออวิ๋นที่เก็บกระจกข้ามภพไปแล้ว จึงรีบตามเข้าไปทันที
และพบว่าด้านในมีเส้นทางทอดยาวไปเพียงเส้นทางเดียว และที่ส่วนลึกนั้นมีแสงสว่างอยู่
สุดปลายถ้ำนี้มีทะเลสาบแห่งหนึ่งอยู่
นี่คือทะเลสาบแห่งเทพขนาดใหญ่
นี่คือเหตุผลที่พวกอสูรมีศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณอยู่เป็นจำนวนมาก
ตรงกลางทะเลสาบแห่งเทพนี้มีแท่นศิลาหินตั้งอยู่
และบนแท่นนั้นดูเหมือนว่าจะมีบางสิ่งอยู่ด้านใน
“ช่วยด้วย
ช่วยพวกข้าด้วย” มีเสียงดังขึ้นมาจากภายในม่านพลัง
เมื่อมองหาต้นเสียง
ก็พบว่ามีเทพธิดาตัวเล็ก ๆ บินอยู่ด้านในม่านพลัง
และดูเหมือนว่าเทพธิดาทั้งสองจะไม่กล้าสัมผัสกับม่านพลังนี้เช่นกัน
“พวกเจ้าเป็นใครกัน”
หนิงเอ๋อถามออกไปด้วยความสงสัย
“พวกข้าคือ
เทพธิดาแห่งวายุเหมันต์ และเทพธิดาแห่งวายุอัสนี
พวกเราสองพี่น้องถูกพวกอสูรกักขังไว้ที่นี่
เพื่อให้พลังสวรรค์ของพวกข้าช่วยสร้างศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณขึ้นมา” เทพธิดาแห่งวายุอัสนีตอบกลับมา
ส่วนเทพธิดาแห่งวายุเหมันต์นั้นดูอ่อนแรงเป็นอย่างมาก
หนิงเอ๋อลองยื่นมือไปสัมผัสกับม่านพลัง
ก็ถูกพบว่าม่านพลังนี้มีความร้อนเป็นอย่างมาก นางจึงรีบดึงมือออกมาทันที
“ม่านพลังอัคคี”
หนิงเอ๋อพูดขึ้นมา เมื่อรู้ว่าม่านพลังนี้คือสิ่งใด
“ให้ข้าทดสอบดูได้หรือไม่?” จื่ออวิ๋นลองใช้ลมปราณสร้างน้ำแข็งห่อหุ้มมือของนางเอาไว้
และเอื้อมมือไปสัมผัสกับม่านพลัง ก็พบว่า
น้ำแข็งที่สร้างจากลมปราณของนางละลายไปอย่างรวดเร็ว
“จื่ออวิ๋นเจ้าคิดว่านี่คือสิ่งที่เซียงตังกล่าวไว้หรือไม่?” หนิงเอ๋อหันไปถามจื่ออวิ๋น
“ข้าเองก็ไม่มั่นใจนัก
แต่เจ้ามีหนทางในการทำลายม่านพลังนี้หรือไม่?”
จื่ออวิ๋นส่ายหน้าพร้อมกับถามกลับไป
“หากสามารถช่วยเทพธิดาทั้งสองได้
พวกนางอาจจะช่วยกำจัดอสูรจงอางขาวได้” หนิงเอ๋อพูดพร้อมกับตรวจสอบแท่นศิลาดู
“พวกเรามีเวลาไม่มากนัก
หากจะทำลายม่านพลังโดยวิธีที่ถูกต้องอาจต้องใช้เวลาหลายชั่วยาม
ข้าเกรงว่าเซียงตังจะไม่อาจต้านเอาไว้ได้นานถึงเพียงนั้น”
หนิงเอ๋อหันมาพูดกับจื่ออวิ๋น พร้อมกับใบหน้าที่จริงจัง
“ข้าจะใช้กำลังเพื่อสลายม่านพลังนี้”
หนิงเอ๋อใช้มือทั้งสองข้างจับไปที่ม่านพลัง
ทำให้มือของนางเริ่มร้อนเป็นไฟจนแทบลุกไหม้
“หนิงเอ๋อเจ้าทำบ้าอันใดกัน
ปล่อยมือออกมาเดี๋ยวนี้นะ”
จื่ออวิ๋นตะโกนออกไปพร้อมกับพยายามดึงมือทั้งสองข้างของหนิงเอ๋อขึ้นมา
“นี่คือหนทางเดียว
หากพลังของข้ามากพอ ก็จะเปิดเส้นทางให้พวกนางออกมาได้” หนิงเอ๋อพูดด้วยความเจ็บปวด
นางค่อย ๆ ใช้นิ้วฉีกม่านพลังออกเพื่อเปิดช่องทางหนีให้แก่เทพธิดาทั้งสอง
“ถ้าเช่นนั้นข้าจะช่วยเจ้าเอง”
จื่ออวิ๋นใช้มือทั้งสองข้างช่วยเปิดช่องทางหนีให้แก่เทพธิดาทั้งสอง
ทั้งสองคนช่วยกันเปิดทางหนีให้แก่เทพธิดาทั้งสอง
ด้วยพลังที่เหลืออยู่โดยที่ไม่มีผู้ใดคิดที่จะปล่อยมือแม้แต่น้อย
เมื่อมีช่องว่างพอที่จะลอดออกมาได้
เทพธิดาแห่งวายุอัสนีจึงพยุงเทพธิดาแห่งวายุเหมันต์บินออกออกมา
เมื่อเห็นเช่นนั้นหนิงเอ๋อและจื่ออวิ๋นจึงปล่อยมือจากม่านพลัง
มือของทั้งสองคนกำลังลุกไหม้จากความร้อนของม่านพลัง
แต่พวกนางในตอนนี้ไม่เหลือพลังที่จะดับมันได้
“ฟงเหลย [风雷:วายุอัสนี]
ข้าจะตอบแทนที่พวกนางช่วยเรา” เทพธิดาแห่งวายุเหมันต์พูดขึ้นมา นางมีรูปร่างราวสมส่วน
ราวกับเด็กสาวอายุสิบเจ็ดปี สวมชุดสีขาวราวกับหิมะ มีปีกสีขาวเล็ก ๆอยู่ด้านหลังใช้พลังน้ำแข็งของนางดับไฟที่กำลังลุกไหม้บนมือของทั้งสองคน
“ฟงเสวี่ย [风雪:วายุเหมันต์] เจ้านั้นกำลังอ่อนแรง
ข้าจะรักษาพวกเขาเอง” เทพธิดาแห่งวายุอัสนีที่มีหน้าตาเหมือนกันยิ่งนัก
แต่ชุดที่นางสวมใส่อยู่เป็นชุดสีเหลืองอ่อน
ใช้ลมปราณของนางทำการรักษาแผลให้แก่ทั้งสองอย่างช้า ๆ
เทพธิดาทั้งสองเป็นธิดาของเทพวายุ
และเทพธิดาจื้อเหลียว [治疗:การรักษา]ที่มีพลังแห่งการรักษา
ทำให้พวกนางสามารถใช้พลังในการรักษาได้
แม้ว่าจะรักษาทั้งสองคนได้ แต่การฟื้นฟูพลังนั้นเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลามากนัก
“พวกนางช่วยเหลือเราโดยมิได้คำนึงถึงชีวิตตนเอง
ข้าต้องการตอบแทนน้ำใจของพวกนาง” เทพธิดาฟงเสวี่ย สัมผัสได้ว่าพลังวิญญาณของจื่ออวิ๋นนั้น
เป็นธาตุเดียวกับนาง นางจึงทำการถ่ายทอดพลังของตนให้แก่เอียจื่ออวิ๋น
“เมื่อเจ้าตัดสินใจเช่นนั้น ข้าก็จะทำเช่นกัน”
เทพธิดาฟงเหลย ก็ทำกับหนิงเอ๋อเช่นเดียวกัน การถ่ายทอดพลังเช่นนี้เป็นการฝืนบังคับ
หากวิญญาณธาตุของทั้งสองฝ่ายแตกต่างกันก็จะไม่อาจทำได้
ทางด้านเซียงตังที่ต่อสู้อยู่กับอสูรจงอางขาว
เขากำลังเพลี่ยงพล้ำเป็นอย่างมาก
เพราะพลังหลังจากการเลื่อนระดับนั้นยังไม่มั่นคงเท่าใด
และระดับพลังของอีกฝ่ายก็เหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด
อสูรจงอางขาวใช้ลิ้นโจมตีเซียงตังอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งลิ้นของอสูรจงอางขาวก็คือแส้จงอางขาวที่ฟู่เพี่ยวเลี่ยงใช้ก่อนหน้านี้นั่นเอง
ทำให้เซียงตังต้องปัดป้องเท่านั้น
เมื่อเห็นว่าฟันของแส้จงอางขาว
ไม่อาจที่จะกัดผ่านเกล็ดของมังกรภูเขาเกล็ดสีชาดได้
อสูรจงอางขาวจึงใช้หางฟาดใส่ร่างของ เซียงตังอย่างรุนแรง
เสียงหากที่แหวกอากาศดังหวีดหวิว และปะทะร่างของเซียงตัง
แต่เขาก็พยายามใช้มือจับรัดหางของอสูรจงอางขาวเอาไว้
“ข้าจะทำให้เจ้ากลายเป็นจงอางหางไหม้”
เซียงตังใช้ลมปราณสร้างร่างอัคคีขึ้นมาอีกครั้ง
และกอดรัดหางของอสูรจงอางขาวไว้ไม่ยอมปล่อย ทำให้หางของอสูรจงอางขาวเกิดไฟลุกขึ้น
หากใช้ไอเย็นเพื่อดับไฟ ก็จะทำให้หางของมันถูกแช่แข็งไปด้วย
อสูรจงอางขาวจึงสะบัดหางไปมาอย่างรุนแรง
ทำให้เซียงตังที่จับหางเอาไว้ถูกเหวี่ยงไปมาเขาใช้กรงเล็บของมังกรภูเขาเกล็ดสีชาดจิกที่หางของอสูรจงอางขาวเอาไว้
และไม่ยอมให้ถูกสะบัดหลุดเป็นอันขาด แต่การที่ต้องถูกฟาดไปกัดพื้นน้ำแข็งและภูเขาที่อยู่โดยรอบ
ก็ทำให้เขาบาดเจ็บไม่น้อย
สุดท้ายเซียงตังก็กลับคือสู่รูปลักษณ์ของมนุษย์
การผสานร่างถูกคลายออกเนื่องจากอาการบาดเจ็บของเขา
และอสูรจงอางขาวก็สามารถดับไฟที่หางของตนได้
“เจ้ามนุษย์ที่น่ารังเกียจ บังอาจทำให้หางของข้าถูกเผาจนเกรียม
ข้าจะกัดกินเจ้าซะ” อสูรจงอางขาวพูดขึ้นมาด้วยความโกรธแค้นเป็นอย่างมาก
อสูรจงอางขาวพุ่งไปเพื่อหมายที่จะกลืนกินเซียงตังให้หายแค้น
แต่แค่พริบตาเดียว เซียงตังก็หายไปจากพื้นน้ำแข็งที่เขานอนสลบอยู่
หนิงเอ๋อและจื่อเข้าไปอุ้มเซียงตังและนำไปวางไว้บนกำแพงเมือง
และบินมาด้านหน้าอสูรจงอางขาว
“คู่ต่อสู้ของเจ้าคือพวกข้า”
จื่ออวิ๋นและหนิงเอ๋อพูดขึ้นมาพร้อมกัน
ในตอนนี้พวกนางนั้นผสานเข้ากับดวงจิตของเทพธิดาทั้งสอง ที่ใกล้จะสลายไปจากการฟื้นฟูพลังให้พวกนาง
พวกนางจึงตัดสินใจที่จะผสานร่างเข้ากับดวงจิตของเทพธิดาทั้งสองเพื่อทำการฟื้นฟูพลังวิญญาณให้แก่พวกนาง
[เป็นการผสานในรูปแบบเดียวกับกิเลนฟ้า
เทพธิดาทั้งสองจึงยังมีชีวิตอยู่]
“หนิงเอ๋อ เจ้าเห็นหรือไม่?” จื่ออวิ๋นหันไปถามหนิงเอ๋อ
เมื่อเห็นแผลที่หางอสูรจงอางขาว แม้ว่าพลังของอสูรจงอางขาวจะแพ้ธาตุไฟ แต่เกราะสลายวายุเหมันต์
ไม่ได้มีเพียงคุณสมบัติในการสลายพลังเท่านั้น
ยังสามารถสร้างพายุหิมะเพื่อใช้ป้องกันตัวเองได้ด้วย
แต่หางของอสูรจงอางขาวนั้นดูเหมือนว่าจะไม่ถูกปกป้องจากเกราะสลายวายุเหมันต์เลย
“หมายความว่าเกราะสลายวายุเหมันต์ และ ว่าผ้าคลุมอัสนีคืนกลับ
นั้นปกป้องเพียงส่วนลำตัวของมันเท่านั้น”
หลังจากที่ผสานเข้ากับเทพธิดาทั้งสอง
ทำให้พลังของเอียจื่ออวิ๋นและเซี่ยวหนิงเอ๋อนั้นเพิ่มขึ้นไปอยู่ในระดับขอบเขตแห่งพระเจ้าขั้นที่สองแล้ว
“อัญเชิญเทพอัสนี! ”หนิงเอ๋อนำกระบี่เทพวายุอัสนีออกมาพร้อมกับชูขึ้นเพื่อรวบรวมพลังสายฟ้า
จากเมฆเบื้องบน ฟ้าผ่าลงมาที่กระบี่เทพวายุอัสนี จนทำให้กระบี่เทพวายุอัสนีนั้นมีประกายสายฟ้าอยู่โดยรอบ
จนดูน่ากลัวยิ่งนัก
“นี่คือผลจากการที่แกทำร้ายเซียงตัง กระบี่อัสนีทะลายสวรรค์”
หนิงเอ๋อฟันกระบี่เทพวายุอัสนีไปด้านหน้า โดยเป้าหมายอยู่ที่หางที่ถูกเผาจนไหม้ของอสูรจงอางขาว
คลื่นสายฟ้าจากกระบี่ที่พุ่งออกไป ตัดหางของอสูรจงอางขาวออกทันที
ทำให้มันร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
“วายุเหมันต์จงประสานเข้ากับกายข้า!”
จื่ออวิ๋นรวบรวมพลังจากพายุหิมะที่อยู่โดยรอบเข้าไปไว้ในร่างกายของตน
ก่อนที่ย้ายพลังทั้งหมดมาไว้ที่ปลายนิ้วของนาง
อสูรจงอางขาวเห็นดังนั้นจึงรีบพุ่งมา
หมายที่จะกลืนกินเอียจื่ออวิ๋นก่อนที่จะใช้กระบวนท่าใดออกมา แต่ก็ช้าเกินไป
เอียจื่ออวิ๋นหมุดตัวหลบและใช้ดัชนีจิ้มไปที่หน้าผากของอสูรจงอางขาวทันที
“ข้าต้องไม่พ่ายแพ้เช่นนี้
ข้าเป็นถึงเจตจำนงของบริวารแห่งเทพ” อสูรจงอางขาวใช้แรงเฮือกสุดท้ายพูดออกมาก่อนที่ส่วนหัวจะถูกแช่แข็งไป
“ดัชนีเหมันต์ปลิดวิญญาณ!” เอียจื่ออวิ๋น พูดขึ้นมาพร้อมกับลงไปยืนที่พื้น
ไอเย็นที่ถูกปล่อยออกไปจากปลายนิ้วของเอียจื่ออวิ๋นนั้นจะทำให้ทุกสิ่งถูกแช่แข็งจากภายในร่างกาย
ต่อให้อีกฝ่ายสวมใส่เกราะสลายวายุเหมันต์
แต่หากโจมตีจากส่วนอื่นที่มิได้สวมใส่เกราะอยู่ ก็จะสามารถแช่แข็งได้เช่นกัน
เมื่อร่างกายของอสูรจงอางขาวถูกแช่แข็งจนหมด
ก็ค่อย ๆ แตกกระจายออกเป็นเศษน้ำแข็งส่องแสงประกายไปทั่ว หลังจากที่พายุหิมะ
และสายฟ้าหายไปจากท้องฟ้า ดวงตะวันก็เริ่มทอแสงในรอบร้อยปี ความอบอุ่นเริ่มเกิดขึ้นในอาณาจักรแห่งนี้
ทำให้ผู้คนที่หลบอยู่ในถ้ำ ทะยอยออกมา
เพื่อมองดูดวงอาทิตย์ที่พวกเขาไม่คิดว่าจะได้เห็นในอาณาจักรแห่งนี้
เอียจื่ออวิ๋นก้มลงไปหยิบเกราะสลายวายุเหมันต์และผ้าคลุมอัสนีคืนกลับขึ้นมา
นางตั้งใจที่จะมอบให้แก่เซียงตังเพื่อที่จะตอบแทนน้ำใจของเขา...............จบตอน
แต่งโดย นายมะพร้าว
Scroll to Top